ตอนที่ 12
แสงแดดของเช้าวันใหม่สาดเข้ามาในห้อง มันแยงตาผมจนทำให้รู้สึกตัวและเริ่มขยับร่างเพื่อบิดขี้เกียจ จะบอกให้ว่าเตียงนุ่มในบ้านของบัฟฟอร์จต่างจากไอ้นวมแข็งๆ ในโรงแรมสามดาวนั่นมากโข คราวที่แล้วตื่นมาปวดเนื้อปวดตัวไปหมด แต่ครั้งนี้สบายๆ ลมเย็นจากอากาศด้านนอกทำให้เราไม่ต้องเปิดพัดลมด้วยซ้ำ
เดี๋ยวก่อนสิ!
เตียงน่ะนุ่ม แต่ทำไมหมอนมันแข็งวะ...
ผมรีบลืมตาตื่น สัมผัสได้ถึงไออุ่นของร่างกายมนุษย์ถัดไปประมาณครึ่งไม้บรรทัด เพียงเท่านี้ผมก็รู้ในทันทีว่าสิ่งที่ผมหนุนอยู่ไม่ใช่หมอน หากแต่เป็นแขนแกร่งของผู้ชายที่นอนกับผมทั้งคืน
ผมนอนบนแขนไค!
“เฮ้ย!” ผมสะดุ้งพร้อมลุกขึ้นนั่งบนเตียงโดยอัตโนมัติ และให้ตายเถอะ ผมเห็นเขาลืมตาชัดแป๋วเลย ถ้าตื่นก่อนผมแล้วทำไมถึงไม่ปลุกหรือผลักผมออกไปวะ จะมานอนหนุนแขนตัวเองในขณะที่อีกแขนก็ปล่อยให้ผมหนุนเพื่อ?
“คุณตื่นนานหรือยังครับ” ไม่รู้จักอธิบายความตกใจแรงในวินาทียังไง โคตรเสร่อ โคตรเอ๋อ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเขินผู้ชายด้วยกันขนาดนี้ แล้วต่อไปไคจะกล้านอนกับผมเหรอวะ ดูดิ ผมรุกล้ำเขตเขายังไม่พอ ดันเสือกไปนอนหนุนแขนเขาอีก ผับผ่าสิ!
“สักพักใหญ่”
เจ้าของร่างบึกบึนลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงอย่างไม่รู้สึกรู้สา ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนหรือมองตาขวางใส่ผมแต่อย่างใด เขายืดแขนตัวเองออกเพื่อยืดเส้นยืดสาย ได้ยินเสียงกึกจากกระดูกที ใจผมนี่ตกไปอยู่ตาตุ่ม
เพราะแบบนี้ไงผมถึงอยากได้ผ้าห่มเพิ่มแทนที่จะใช้ผ้าห่มร่วมกับไค คือผมเป็นคนติดผ้าห่ม ถึงอากาศจะร้อนก็ต้องมี เวลานอนผมมักจะเกลือกกลิ้งอยู่ในผ้าห่มเพราะมันให้ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรคุ้มครอง แต่เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นรู้มั้ย ผมต้องนอนเกร็งแม่งทั้งคืน แถมตื่นมาแต่ละครั้งก็พบว่าตัวเองห่มผ้าอยู่คนเดียว เดือนร้อนต้องลุกขึ้นมาห่มให้ไคทุกครั้ง เพราะงั้นผมถึงอยากได้ผ้าห่มเพิ่มอีกผืนไงเล่า
เฮ้อ...ไม่รู้ว่าเขาจะอยากให้ผมเอาผ้าห่มอีกผืนไปคืนทำไม
“ถ้าตื่นแล้วก็น่าจะปลุกผมสิครับ” เห็นแขนไคดูแดงๆ สงสัยผมจะนอนทับอยู่นาน โถ~ คงเมื่อยน่าดู
“ไปอาบน้ำซะ เดี๋ยวฉันจะเก็บมุ้งเอง”
“เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ผมดีกว่าครับ” ว่าแล้วผมก็ลุกออกไปปลดเชือกที่ขึงอยู่กับเสาทันที
“บอกให้ไปอาบก็ไปสิ ไหนบอกจะเชื่อฟังฉันไง”
“อ้า...ก็ได้ครับ” ผมจำต้องยื่นเชือกของมุ้งคืนให้กับไค ขณะเดินไปหยิบเสื้อผ้าในกระเป๋า ผมเหลือบมองเขาพับมุ้งด้วยความเรียบร้อยและเก็บเข้าที่อย่างเป็นระเบียบ
“ในห้องของบัฟมีเสื้อผ้าที่พอจะใส่ไปเที่ยวได้ ชอบตัวไหนก็เอามาใส่เลย ฉันจะไปบอกหมอนั่นให้” คำพูดของไคทำให้ผมประหลาดใจ
“ผมต้องไปไหนเหรอครับ”
“นายบอกเองว่าอยากไปเคเบิ้ลคาร์”
“หืม?” อ้อ เมื่อคืนนี้น่ะเหรอ “ผมแค่แนะนำเผื่อคุณจะอยากไป ไม่ได้แปลว่าผมอยากเองสักหน่อย” หลังจากพูดจบประโยค ไคค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ผมก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“โกหกไม่เนียน” เขาเอ่ย “ถ้าไม่อยากให้ใครจับได้ก็ควรตีหน้าให้มันจริงจังกว่านี้”
ผมทำหน้าเหว่อชนิดกู่ไม่กลับ โดนด่าว่า ‘คนโกหก’ ยังไม่เจ็บเท่าคำว่า ‘โกหกไม่เนียน’ มันให้ความรู้สึกเหมือนผมไม่มีความสามารถพอ แต่มันจะเป็นไปได้ไงวะ ผมไม่ใช่คนใสซื่อหรือคนดีขนาดไม่เคยโกหกนะเว้ย เอ๊ะ! หรือว่าไคจะเก่งเรื่องการวิเคราะห์คนเหมือนแม่ผม
ไม่นานผมก็เห็นไคเดินไปที่ประตู
“คุณจะ...”
“ฉันจะไปบอกบัฟฟอร์จเรื่องเสื้อผ้าที่นายจะขอยืมใส่” เขาตอบผมทั้งๆ ที่ยังถามไม่จบ เหมือนรู้ว่าจะโดนถาม ‘คุณจะไปไหน’ ซึ่งผมก็แอบดีใจนะ อย่างน้อยเขาก็ทำตามคำที่ผมเคยขอ...
“ขอบคุณครับ”
เคเบิ้ลคาร์เป็นที่เที่ยวยอดฮิตของเกาะลังกาวี ระหว่างเดินทางมาไคเล่าให้ผมฟังว่ามันสูงมาก และตั้งอยู่กลางหุบเขา หากวันนี้มีคำเตือนเกี่ยวกับสภาพอากาศจนไม่สามารถขึ้นกระเช้าไปได้ เขาก็จะพาผมไปเดินเล่นที่ชายหาดใกล้ๆ แทน
เมื่อรถยนต์ขับมาถึง ผมเห็นร้านขายอาหารและของที่ระลึกมากมาย ดูจากจำนวนนักเที่ยวแล้วผมว่าวันนี้เคเบิ้ลคาร์เปิดให้บริการแน่ ไคบอกผมให้รออยู่บริเวณทางเข้าเดี๋ยวเขาจะไปซื้อตั๋วมาให้ จากนั้นก็ไปรอขึ้นกระเช้าที่ขึ้นได้ครั้งละหกคน ฉะนั้นในกระเช้าจึงมีคนอื่นอยู่รวมกับพวกเรา
กระเช้าค่อยๆ เคลื่อนไปเรื่อยๆ ผมเริ่มเห็นผืนผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์กลางหุบเขา เห็นทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล รวมทั้งเกาะเล็กเกาะน้อยมากมาย เชื่อว่าภาพพวกนี้ต้องเป็นความทรงจำที่ผมไม่มีวันลืมแน่ๆ เพราะนอกจากวิวสวยๆ ที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ผมก็ยังผู้ร่วมเดินทางเป็นชายชาวต่างชาติที่มีโอกาสรู้จักกันในระยะเวลาสั้นๆ
“วิวสวยใช่ได้เลย” ใบหน้าผมแทบจะติดกับกระจก ส่วนไคก็เอาแต่นั่งกอดอกพร้อมยกขาขึ้นไขว่ห้าง ช่างเป็นความนิ่งเฉยที่ไม่มีอารมณ์ร่วมกับสถานการณ์เอาซะเลย
“มาถ่ายรูปกัน” ผมหันไปพูดกับไค ขอสักหน่อยเถอะ ไหนๆ ก็มาแล้ว
“ฉันไม่ชอบ”
“แต่ผมอยากมีรูปที่ถ่ายกับคุณสักภาพหนิ จะได้เก็บไว้เป็นความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเราเคยมาที่นี่ด้วยกันไง” ผมเอียงคอมองด้วยสายตาเว้าวอน จนเขาถึงกับถอยหายใจยาว
“น่ารำคาญ”
เขาบ่นอุบอิบ แต่ก็อุตส่าห์หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา ผมเลยจับมาเปิดกล้องและทำการถ่ายเซลฟี้ด้วยการโน้มตัวไปใกล้เขา แต่ให้ตายเถอะ สีหน้าของคนข้างๆ ผมโคตรจะไร้อารมณ์ ก็รู้ว่าถูกขอให้ร่วมมือโดยที่ไม่อยากทำ แต่ช่วยกันหน่อยเถอะ เราไม่ได้มาถ่ายบัตรประชาชนกันนะเว้ย
“ยิ้มหน่อยสิครับ” ผมถึงกับลงทุนทำปากมุ่ยพร้อมกระพริบตาปริบๆ ให้ในชนิดที่ว่าชาตินี้ต้องจารึก เขาก็ควรให้ความร่วมมือนะ เพราะตอนขอเงินแม่ซื้อคอมพิวเตอร์ผมยังไม่ทำขนาดนี้เลย
ไคหลับตาลงอย่างจำใจ บริหารใบหน้าชั่วครู่ก่อนจะเผยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปาก ผมรีบถ่ายอย่างไว แถมยังใช้โหมดแบบถ่ายรัวๆ รัวแล้วรัวอีกจนไคต้องเหลือบตามองมา
“พอ!”
น้ำเสียงจับได้ว่านั่นเป็นคำสั่ง ผมจึงลดโทรศัพท์ลงในขณะที่ยังยิ้มแย้มอย่างสาแกใจ เลื่อนรูปดูไปขำไป นึกได้ว่านี่เครื่องนี้เป็นโทรศัพท์ของไค ถ้าอยากได้รูปพวกนี้บ้างก็ต้องให้ไคส่งมาให้
“แอดไลน์ผมด้วยนะ” ผมหันไปบอกเขา
“ทำไม?”
“คุณจะได้ส่งรูปนั้นมาให้ผมในไลน์ไง” ไคนั่งคิดสักพักก่อนจะเอ่ยตอบ
“ฉันไม่มี”
“ไม่มีก็สมัครดิ...”
“...” เงียบแบบนี้หมายความว่าไง อย่าบอกนะว่าทำไม่เป็น
“ผมสมัครให้ละกัน” ว่าแล้วผมก็จัดการทำทุกอย่างให้ แม้กระทั่งตั้งชื่อไลน์ของเขาและเปลี่ยนภาพโปรไฟล์เป็นรูปที่เราเพิ่งถ่ายกันไป หลังจากนั้นก็ค้นหาไอดีของผมแล้วกดแอดไป
“นี่ไลน์ผมนะ” ผมยื่นโทรศัพท์ให้เขาดู “ถ้ากลับไปอเมริกาแล้วคิดถึงผมขึ้นมา ก็อย่าลืมทักหากันล่ะ”
ไคไม่พูดอะไร เอาแต่จ้องโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น จากสภาพแล้วผมว่าเขาไม่น่าจะเล่นพวกแอฟพิเคชั่นในมือถือเท่าไหร่ โผล่มาจากยุคไหนวะเนี่ย ถึงจะอายุมากแล้ว แต่คนที่แก่กว่าเขาเป็นสิบปีก็ยังเล่นเป็นเลย
“นายสะกดชื่อฉันผิด” หืม? ที่จ้องอยู่นานเพราะเอ๊ะใจเรื่องนี้น่ะนะ
นอกจากชื่อจะเรียกยากแล้วยังสะกดยากอีก ผมเลยพิมพ์ไปง่ายๆ ว่า ‘KAI’
“งั้นคุณสะกดมา เดี๋ยวผมอีดิสให้”
“ช่างเถอะ” พูดจบก็เก็บโทรศัพท์ใส่เป๋ากางเกง ผมมองการกระทำของเขา จนกระทั่ง...
“ไว้ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยน ฉันจะเป็นคนเปลี่ยนเอง”
พูดคลุมเครืออีกแล้ว ผมละอยากรู้วิธีง้างปากผู้ชายคนนี้ซะเหลือเกิน!
ไม่นานกระเช้าก็ขึ้นมาถึงสถานีปลายทาง ผมกับไคเดินลงมาตรงจุดชมวิวเพื่อรับลมเย็น แดดอ่อนๆ ทำให้การขึ้นมาบนนี้มีอากาศสบายๆ จากจุดชมวิวทำให้ผมมองเห็นท่าเรือเปโตรนาสชัดเจน และนอกจากนี้ก็มีทางเดินจากสถานีไปถึงตัวสะพานที่สามารถเดินได้ด้วย ผมกำลังคิดว่าไคจะเดินไปด้วยกันหรือเปล่า เพราะตัวสะพานมันพาดระหว่างหุบเขา หากมองไปด้านล่างมันก็เหวดีดีนี่เอง แต่พอคิดดูอีกที ผมว่าคนอย่างเขาไม่น่าจะกลัวอะไรหรอก
นั่นไง! พูดไม่ทันขาดคำเขาก็เดินนำผมไปละ
“เดินมาสักที” พอเห็นผมยืนมองก็เร่งกันทันที
อืม...จะว่าไป เขาเคยพูดอะไรบางอย่างกับผมไว้นี่หว่า สงสัยต้องจัดให้สักหน่อยละ จะได้รู้ว่าวิถีคนจริงมันเป็นยังไง การมาดูถูกผมแบบนั้นมันยังเร็วไป
โอเค แอคชั่น!
“สะพานมันสั่นๆ ด้วย ผมกลัว ไม่กล้าเดินต่อแล้ว” ริมฝีปากสั่นระริก ผมรีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“เดินมา” เสียงเข้มออกคำสั่ง
“ผมรอคุณอยู่ตรงนี้ได้มั้ย”
ไคทำหน้าเอือมระอา ก่อนจะเดินกลับมายืนตรงหน้า เขาฉายแววตาสีฟ้าเพื่อเพ่งมองผมอย่างไม่ลดละ อาจกำลังคิดว่า ‘ควรเอายังไงกับเด็กคนนี้ดี’ จนในที่สุด มือหนาที่เอาแต่ซุกซ้อนอยู่ในกระเป๋ากางเกงมาตั้งแต่เมื่อกี้ยื่นมาใกล้ เขาดึงมือข้างหนึ่งไปจับไว้อย่างมั่นคง วินาทีนั้นผมสะดุ้งเฮือก เบิกตากว้างด้วยความตกใจ และกว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็โดนคนตรงหน้าจับมือเดินลงไปตรงสะพานซะแล้ว
มืออุ่นๆ ทำให้หัวใจผมรู้สึกหวิวแปลกๆ ไม่รู้ว่ามันเป็นผลข้างเคียงจากความสูงที่เราต้องข้ามผ่านหรือเปล่า แต่อีกใจหนึ่งผมกลับสุขใจ ซึ่งดูได้จากรอยยิ้มที่ผมเผลอแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว อยากรู้จังว่าคราวนี้ไคต้องใช้ความอดทนกับผมแค่ไหน ถึงได้ยอมช่วยเหลือคนกำลังกลัวด้วยวิธีนี้
คนตัวสูงเดินไปเรื่อยๆ ก้าวเท้าไม่หยุดจนไกลออกไป ผมเชื่อแล้วล่ะว่าเขาไม่มีความเป็นนักท่องเที่ยวอยู่ในจิตใจ เหมือนมางั้นๆ คนส่วนใหญ่เที่ยวกันตรงไหนก็เดินๆ ให้มันจบๆ
เวลาผ่านไปสักพัก เราก็เดินมาจนสุดทาง...
“หูย~ ลมแรงชะมัด” ผมดึงมือตัวเองออกแล้วเดินไปจับราวสะพาน ด้วยอากัปกิริยาแตกต่างจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ก็แหงล่ะ ผมไม่กลัวความสูงจริงๆ สักหน่อย เหตุผลที่ทำก็แค่อยากแสดงการ ‘โกหกอย่างเนียนๆ’ ให้ไคเห็นเท่านั้นเอง
“นี่ไค...” ผมเรียกคนที่เพิ่งเดินมายืนข้างๆ “เมื่อกี้ผมจริงจังพอยัง?”
“...” ไคเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ผมแกล้งกลัวซะเนียนเลยชะ ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่เดินเข้ามาจูงมือผมหรอก จริงมั้ย” พูดตามตรงผมก็ไม่อยากกวนตีนเขาหรอก แต่เพราะคำพูดประโยคนั้นมันเลยทำให้ผมอดไม่ได้จริงๆ
‘โกหกไม่เนียน...ถ้าไม่อยากให้ใครจับได้ก็ควรตีหน้าให้มันจริงจังกว่านี้’
นึกแล้วก็ขำ พอผมทำท่าว่ากลัวไคก็เดินมาจับมือผมเลย เห็นอย่างนี้เขาก็มีมุมอบอุ่นเหมือนกันนี่หว่า
“ฉันรู้อยู่แล้วว่านายแกล้ง”
“หา?”
ไม่จริงน่า ถ้ารู้แล้วจะมาจับมือผมทำไม...เอ๊ะหรือว่า มันเป็นการหลอกซ้ำหลอกซ้อน ดักทางผมได้แล้วก็ตระหลบหลังกันอะไรแบบนี้น่ะเหรอ
โหย ร้ายกาจ~
“วิวบนนี้สวยสุดยอดเลย ผมจะจำภาพนี้ไว้ แล้วเอาความทรงจำกลับไปวาดรูปที่บ้าน” รีบเปลี่ยนเรื่องอย่างไว
“นายเรียนอยู่ปีไหน?”
“ปี 2 สาขาจิตรกรรมครับ” พอพูดถึงเรื่องเรียนผมก็นึกอะไรขึ้นได้ “จะว่าไป...ผมยังวาดรูปที่ต้องส่งอาจารย์ค้างไว้อยู่เลย การวาดรูปนามธรรมเกี่ยวกับความรักที่มองไม่เห็นเนี่ย เป็นหัวข้อที่ยากมากเหมือนกันแฮะ”
“ความรักก็เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่แล้ว” เขาเอ่ยคล้ายกับพูดขึ้นมาลอยๆ
“ใช่ครับ เพราะมันสัมผัสได้ด้วยใจไง...ใช้ใจสัมผัสและค่อยๆ รับความรู้สึกนั้น”
“ความรู้สึกแบบไหน?”
ได้ยินคำถามนั้นแล้วผมก็หันไปมองไค และเชื่อมั้ยว่ายิ่งมองเขาก็ยิ่งเหมือนประติมากรรมชิ้นเอก เมื่อยามผมปลิวไสวท่ามกลางสายลมยิ่งโคตรเท่ห์ มันปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นที่มีเสน่ห์จริงๆ ผมชักเริ่มเชื่อที่เขาบอกว่ามีคนมองเพราะเห็นว่าเขาหล่อแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ผมมองใบหน้ามุมข้างของไค มากกว่าการชมวิวซะอีก!
“นั่นสิ ผมไม่เคยมีความรักเลยไม่ค่อยใจมั่นใจเท่าไหร่ เพราะงั้นถึงวาดไม่เสร็จสักที” ผมหยุดคิดอะไรสักพัก ก่อนจะพูดต่อ “ผมว่าความรักมันมีหลายนิยาม แต่มันวิเศษตรงที่ไม่มีเหตุผล อยู่ๆ ก็เกิดขึ้น หรืออยู่ๆ ก็หายไป อนุภาพของมันเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างได้ อันที่จริง...แค่รู้สึกดีกับใครหรือสิ่งไหน มันก็คือการเริ่มต้นของความรักแล้วนะ เพียงแต่มันจะเป็นความรักในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง”
ไครับฟังโดยไม่ออกความเห็น ทว่าอยู่ๆ คำพูดประโยคหนึ่งก็ออกมาจากปากของเขา...
“แสดงว่าฉันก็มีความรักแล้วสิ” ************
ถือเป็นการลงต้อนรับวันปีใหม่เพื่อเป็นของขวัญให้กับทุกคน ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์เป็นกำลังใจจ้า
จะพยายามอัพอย่างสม่ำเสมอ ยังไงก็เอาใจช่วยทั้งคู่ให้ผ่านอุปสรรคทั้งปวงไปได้ด้วยน๊าาาา