ตอนที่ 9
“เฮ้ย มึงจะเอาไงวะ” ผมถามไอ้ซัน ที่กำลังนอนเล่นอยู่บนเตียงของผม ป้าแอ๊นท์กับป้ากุ้งรวมทั้งไคล์กำลังออกไปข้างนอกเพื่อซื้อของมาทำอาหารเที่ยงกับอาหารเย็นที่บ้านกัน จึงมีเวลาให้ผมกับไอ้ซันได้คุยกันเรื่องที่ป้าแอ๊นท์จะให้พวกเราไปเที่ยวที่อเมริกาแทนเพราะขาที่เจ็บทำให้ป้าเขาไปไม่ได้ “เดี๋ยวค่อยกลับมาคุยรายละเอียดกันทีหลัง” คือประโยคสุดท้ายที่แม่ของไอ้ซันเป็นคนพูดทิ้งเอาไว้ก่อนจะขับรถออกจากบ้านไป
“กูก็ไม่รู้” มันพูดเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
“มึงอยากไปมั๊ยล่ะ”
“ไม่รู้ว่ะ มันกะทันหันไปหน่อยมั๊ง เลยคิดอะไรไม่ค่อยออก” มันพลิกตัวเปลี่ยนเป็นนอนหงาย แล้วแหงนหน้ามามองผม “มันไม่ใช่ว่าถ้าอยากไป อยู่ดีๆก็จะไปเลยนี่หว่า ไปเที่ยวที่เมืองอื่นที่ต้องเดินทางนานเกินสองสามชั่วโมงกูยังคิดแล้วคิดอีกเลย แล้วนี่ให้ไปถึงนู่นนน” มันลากเสียงพลางชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า ผมพยักหน้า แล้วลุกขึ้นมาเปิดแล็ปท็อป
“กูมีรูปของที่นั่นพอดี” ผมบอกมัน
“รูปอะไรวะ”
“รูปของแกรนด์แคนยอนไง กูได้เมล์มาจากเพื่อนน่ะ จะดูมั๊ยล่ะ”
“เออ ก็ดี กูไม่เห็นรู้จักเลย ที่นั่นมันมีอะไรมั่งวะ” ไอ้ซันลุกขึ้นและเดินมาหยุดอยู่หลังเก้าอี้ มันเอามือจับบนบ่าและเอาคางมาเกยไว้บนหัวของผม ผมขยับหัวเบาๆ และจากนั้นก็คลิกเลือกที่โฟล์เดอร์รูปภาพแล้วเลือกรูปแกรนด์แคนยอนที่เพื่อนผมส่งมาเปิดให้มันดู
“มีทั้งหมดห้าหกรูปได้มั๊ง นี่ไง” ผมเปิดให้มันดูทีละภาพ
“อืมมม ก็สวยดีนี่หว่า”
“อืม กูก็ว่างั้น........”
“มึงชอบเหรอ” มันถาม แล้วชะโงกหน้ามาโผล่ตรงเหนือไหล่ด้านขวาของผม
“ก็อืม มันก็สวยดีนี่ กูว่าก็น่าไปดีออก”
“ถึงขนาดเซฟรูปเก็บเอาไว้เนี่ย คงมีอะไรมากกว่า ‘สวย น่าไป’ มั๊ง กูว่า”
“เออ ก็ กูเองก็เคยคิดอยากไปมานานแล้วล่ะ พอใจยัง แล้วที่สำคัญได้ไปฟินิกซ์ด้วย มึงก็รู้ว่ากูชอบทีมบาสของฟีนิกซ์ กูก็เลยอยากไปในเมืองที่เป็นทีมบาสที่กูชอบโคตรๆเหมือนกันนั่นแหละ ก็นะ ใครๆมันก็ต้องอยากไปในเมืองที่เป็นทีมโปรดของตัวเองอยู่แล้วทั้งนั้นใช่มั๊ยล่ะ” ผมหันไปมองหน้าของมันที่กำลังยิ้มรออยู่แล้ว “นี่มึงยิ้มอะไรของมึง”
“เปล่า ถ้ามึงอยากไป ก็ไปดิ่” มันผละออกจากเก้าอี้ แล้วเดินไปนอนลงบนเตียงอีกครั้ง
“อ้าวอะไรวะ พูดง่ายๆ แล้วมึงล่ะ” ผมหันเก้าอี้มาถามมัน
“ไม่รู้ว่ะ คิดดูก่อน”
“ไอ้ซัน มึงอย่ามาทำแบบนี้ดิ่วะ พูดง่ายๆบอกว่าถ้ากูอยากไปก็ไป แล้วมึงกลับบอก ‘ไม่รู้ คิดดูก่อน’ เนี่ยนะ กูเองก็ต้องคุยกับพ่อกูด้วยเหมือนกันนะ แถมถึงกูอยากจะไปก็จริง แต่กูไม่ได้อยากไปแบบนี้........” ผมหยุด
“ไปแบบนี้ หมายความว่ายังไง” มันจ้องหน้าผม
“ซัน.......” ผมลุกขึ้นเดินตรงไปหามัน “กูรบกวนครอบครัวมึงมามากแล้วนะ แค่พ่อแม่มึงให้บ้านคุ้มหัวกูอยู่นี่ก็เป็นพระคุณไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว แล้วนี่ป้ามึงก็ยังจะเหมือนกับเอาเงินมาโยนให้กูเลยแบบนี้อีกเนี่ย กูรับไว้ไม่ได้หรอก กูพูดตรงๆ”
ไอ้ซันลุกขึ้นมานั่งมองหน้าผม มันเกาหัวแกรกๆ ทำหน้าเซ็งๆ
“ข้อแรก” มันชี้นิ้วชี้ขึ้นมา “มึงไม่ได้รบกวนอะไรครอบครัวกูเลย ข้อสอง มึงได้นอนบ้านหลังนี้ก็เพราะมึงจะได้เรียนที่เดียวกับกูและคอยดูแลกูได้ ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น นี่คือสิ่งที่แม่กูเขาบอกกูมานะ ข้อสาม บ้านหลังนี้เดิมทีก็ไม่ใช่ของครอบครัวกู แต่เป็นของป้าแอ๊นท์ต่างหาก อันนั้นมึงก็รู้ ส่วนข้อสี่ ป้ากูเขาไม่ได้เอาเงินมาโยนให้มึง เขาไม่อยากให้เสียดายเงินที่จ่ายไปแล้วต่างหาก” ตอนนี้มันชูทั้งหมดสี่นิ้วแล้ว “จะเอาข้อห้าด้วยมั๊ย”
ผมยักไหล่เป็นเชิงว่า ก็พูดมาสิ
“ข้อห้า” ไอ้ซันกระดกโป้งนิ้วสุดท้ายขึ้นมา ฝ่ามือของมันชูอยู่ตรงหน้าของผม “มึงคือคนที่มีบุญคุณให้กับพ่อ แม่และครอบครัวของกูมากที่สุด กูบอกไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นไง ป้าแอ๊นท์เขาก็รักกูเหมือนลูกแท้ๆของเขาเลยเหมือนกัน ใช่ ตั้งแต่กูยังเล็ก ตอนที่แกไม่มีลูก แกก็รักกูมากๆ พอแกย้ายมาที่นี่และมีลูกชาย แกก็ยังบินกลับไปเยี่ยมกูอยู่บ่อยๆเลย เพราะฉะนั้น..........” ผมยังคงไม่พูดอะไร รอให้มันเป็นฝ่ายพูดต่อเอง “เพราะฉะนั้น ถ้ามึงไม่อยากจะคิดว่ามึงกำลังรบกวนครอบครัวกู หรือครอบครัวกูมีพระคุณกับมึงมากเสียเหลือเกิน มึงก็ต้องคิดว่า ครอบครัวกูเป็นหนี้บุญคุณมึงและคราวนี้พวกกูก็กำลังจะทดแทนให้แก่มึง เข้าใจมั๊ย” ไอ้ซันจบท้ายประโยคเสียงเข้ม
“มีแค่สองตัวเลือกเองเหรอ” ผมถาม
“ใช่ แค่นั้น”
ผมนิ่วหน้า แสร้งทำท่าครุ่นคิด “ทวนอีกทีได้มั๊ยวะ”
“ได้แน่นอน กูให้เลือกระหว่าง......” ไอ้ซันยกนิ้วชี้ข้างซ้ายขึ้นมา “มึงคือผู้ที่มีพระคุณกับพ่อและแม่ของกูที่สุดในชีวิตของพวกท่าน หรือไม่ก็ ครอบครัวของกูช่างมีพระคุณให้กับมึงเสียเหลือเกินจนมึงรับไว้ไม่ไหวแล้ว” มันยกนิ้วชี้อีกข้างขึ้นมาชูไว้คู่กัน “มึงจะเลือกข้างไหน”
“โห เลือกยากนะเนี่ย” ผมขมวดคิ้ว แต่ไอ้ซันกลับมีรอยยิ้มที่มุมปาก
“งั้นกูให้ตัวเลือกที่สามกับมึง”
“ว่ามา”
ไอ้ซันเลื่อนนิ้วทั้งสองนิ้วมาชิดกัน แล้วพูดว่า “คิดซะว่ามึงเป็นครอบครัวเดียวกับกูไปแล้วไงล่ะ” มันฉีกยิ้ม
“งั้นสงสัยคำตอบของกู มันคงมีอยู่ทางเดียวแล้วล่ะมั๊ง” ผมหัวเราะ
“ทางไหน” ผมได้ยินความคาดหวัง ซึ่งน่าจะเป็นคาดหวังว่าจะได้ยินผมเลือกตัวเลือกที่สามออกมาจากน้ำเสียงของมัน
“ข้อสอง แต่แบบตัดส่วนที่ว่ากูรับไว้ไม่ไหวทิ้งไปนะเพราะกูจะเอามันมาผสมกับข้อหนึ่ง นั่นก็คือกลายเป็น กูกำลังรับน้ำใจของพ่อแม่ของมึงที่กูเคยช่วยลูกชายของท่านเอาไว้ เป็นตัวเลือกที่สี่ไง แบบนี้ดีมะ”
“แล้วข้อสามล่ะ ไม่เข้าเค้าเลยเหรอ” มันเริ่มชักสีหน้าไม่พอใจที่ผมไม่ได้ตอบอย่างที่มันคิดเอาไว้
“อืมมม งั้นกูมีตัวเลือกที่ห้าเหมือนกัน จะฟังมะ” ไอ้ซันทำท่าเอียงคอ ยักไหล่ “เอาตัวเลือกที่สี่มาทั้งตัวเลือก แต่ผสมกับตัวเลือกที่สามของมึง นั่นคือ พ่อแม่ของมึงกำลังตอบแทนกู และสักวันกูก็จะตอบแทนพ่อแม่ของมึงโดยเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกับมึงเพื่อลดช่องว่างระหว่างพวกเราออกไป”
ไอ้ซันฉีกยิ้มเมื่อได้ยินดังนั้น “ดีมาก คิดได้อย่างนี้สิ ค่อยฉลาดสมกับเป็นนักเรียนนอกหน่อย แต่ถ้าจะฉลาดกว่านี้ ก็น่าจะรู้ตัวนะ ว่ามึงน่ะเป็นครอบครัวเดียวกับกูไปแล้ว ไอ้เมฆ ไม่ใช่ ‘สักวัน’ มึงจะเป็น”
“ยัง มึงยังฟังไม่จบ” ผมแย้ง
“อะไรวะ” มันชะงัก รอยยิ้มเริ่มหุบลง
“มันขึ้นอยู่กับวิธีการ”
“วิธีการอะไรของมึง”
“การเป็นครอบครัวเดียวกับมึงไง” ผมหยุด ดูสีหน้าของไอ้ซัน รู้ได้เลยว่ามันไม่เข้าใจ ผมจึงอธิบายต่อ “ถ้าอยู่ดีๆกูเป็นครอบรัวเดียวกับมึงไปแล้วแบบนี้ ก็เหมือนกูกับมึงก็เป็นพี่เป็นน้องกันน่ะสิ เพราะงั้น กูต้อง ‘ได้’ มึงก่อน แบบนั้นถึงจะเรียกได้ว่าเราสองครอบครัวกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันจริงๆไง” ผมหัวเราะ ไอ้ซันเองก็หัวเราะ แต่แค่แป๊บเดียวเท่านั้นมันก็รีบกระโจนเข้ามาใส่ผม แล้วคร่อมตัวผมเอาไว้ให้ถูกกดอยู่ข้างล่าง
“จะ ‘ได้’ กูงั้นเหรอ ง่ายไปมั๊ง ใครกันแน่ที่จะ ‘เสีย’ น่ะ” มันกดแขนสองข้างของผมเอาไว้แล้วก้มหน้าเข้ามาพูดเสียจนชิดกับใบหน้าของผม ผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆและเสียงหัวใจของมันที่กำลังเต้นแรงอยู่ตรงหน้าผมเหมือนกับเมื่อคืนไม่มีผิด แต่ว่าวันนี้ ตอนนี้ ไม่ใช่เวลาจะมาเคลิบเคลิ้มแล้ว ผมวาดขาขวากวาดอ้อมใต้ลำตัวตัวของมันจากนั้นก็ออกแรงดันขาและเกร็งแขนที่ถูกกดอยู่หมุนพลิกตัวให้ไปทางด้านขวา
คราวนี้ไอ้ซันกลายเป็นคนที่อยู่ข้างล่างบ้างแล้ว
“ไม่ง่ายนักหรอกน่า ถึงกูจะตัวเล็กกว่ามึง แต่ก็ไม่กระจอกเหมือนที่มึงคิดหรอกนะ” ผมฉีกยิ้ม อย่างน้อยๆการที่ผมไปเล่นยูโดมาตั้งนานจนได้สายดำก็ไม่ได้ไปเสียเงินเพราะแค่อยากใช้เงินหรอกนะ ไอ้ซันทำท่าจะขัดขืน ผมจึงเอาสองขาไขว้ล็อกขาซ้ายของมันเอาไว้ และออกแรงดึงแขนขวาของมันให้ชูขึ้นเหนือหัวและจับไขว้บิดข้อต่อล็อกเอาไว้ทันที ไอ้ซันหลุดปากร้องโอ๊ย ออกมาทันที
“เป็นยังไงมึง อย่าดิ้นนะ ไม่งั้นเจ็บไม่รู้ด้วย แล้วก็อย่าให้กูต้องเผลอออกแรงมากกว่านี้นะ ไม่งั้นข้อต่อหลุดไปจริงๆนะมึง” แต่ไอ้ซันยังคงมีท่าทางขัดขืน “ยอมแพ้ซะเถอะน่า มึงดิ้นไม่หลุดหรอก มีแต่เจ็บตัวเปล่าๆ” พอผมพูดจบมันจึงเริ่มสงบลง
“เออๆ กูยอมแล้วๆ” ไอ้ซันร้องออกมาแบบไม่ค่อยจะพอใจนัก ผมจึงปล่อยแขนของมันออก แต่ขาของผมยังคงล็อคเอาไว้อยู่อย่างเดิม เพราะฉะนั้นผมกับมันจึงอยู่ในท่าที่ผมนอนคว่ำทับตัวของมันอยู่ “กูบอกกูยอมแล้วไง ลุกไปได้แล้ว ไอ้เมฆ” มันหอบ
ผมค่อยๆพลิกตัวลงไปนอนหงายอยู่ข้างๆกับมัน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้หยุดพักหายใจ ไอ้ซันก็พลิกกลับขึ้นมาบนตัวของผมอีกครั้ง คราวนี้มันล็อกขาของผมไว้ท่าเดียวแบบที่ผมทำกับมันและยังเอามือมาดึงแขนทั้งสองของผมออกไปในท่าขึงพืดอีกด้วย ไอ้ซันจับมือผมไว้แน่น ผมออกแรงดึงแต่ก็สู้แรงมันไม่ได้เพราะไม่ได้อยู่ในท่าที่ถนัด
“ไงมึง หายซ่ารึยัง ทีนี้รู้รึยังว่าใครแรงเยอะกว่า” ไอ้ซันแสยะยิ้ม
“กูก็ไม่ได้บอกว่ากูแรงเยอะกว่ามึงสักหน่อย” ผมยังดิ้นอยู่ จนแขนเกือบจะหลุดออกมาแล้ว แต่ไอ้ซันก็รวบกลับไปไว้ได้อีกครั้ง
“โอ๊ะๆ เกือบไปแล้ว” มันอุทาน ผมเห็นเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของมัน
“ไง ปล้ำกับกู ไม่ง่ายใช่มั๊ยละ” ผมพูด และหยุดดิ้น
“เออ ไอ้เหี้ย แรงเยอะชิบหาย” เมื่อมันเห็นผมหยุดดิ้น ไอ้ซันจึงค่อยๆคลายมือของผมออกและลุกขึ้นยืนหันหลังให้ผม “พอๆ เลิกเล่นแล้ว เหนื่อย” มันหอบ
ผมลุกขึ้นนั่ง มองเห็นแผ่นหลังของมันมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย ผมลุกขึ้นยืนและเดินตรงเข้าไปกอดมันจากทางด้านหลัง ไอ้ซันสะดุ้งและเอามือมาจับที่แขนของผมทำท่าจะขัดขืน
“กอดเฉยๆน่า ไม่ได้รึไง” ผมเกยคางลงบนบ่าของมันและพูดออกมาเบาๆ
“ตกใจหมด ไอ้ห่า” ไอ้ซันคลายมือที่เคยจับแขนของผมไว้แน่นเปลี่ยนเป็นแค่กุมเอาไว้เบาๆแทน
“ถ้ากูจะปล้ำมึงนะ กูทำไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ผมกอดมันแน่นขึ้นและโยกตัวเบาๆ “กูรักมึงจริงๆว่ะ ไอ้ซัน” ผมพูด
“อืม กูรู้” มันตอบกลับมาเบาๆ
“แล้วมึงล่ะ รักกูมั๊ย”
“มึงก็รู้คำตอบอยู่แล้ว”
“แต่กูอยากได้ยิน......... อีก”
“ถ้าอย่างนั้น........” มันจับมือของผมเลื่อนไปวางไว้ที่หน้าอกของมัน จังหวะการเต้นตุบๆของหัวใจดังผ่านมาทางฝ่ามือของผม “ว่าไง มันพูดว่าไงบ้าง”
“มันบอกว่า ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ว่ะ กูเดาเอาว่า มันคงจะแปลว่า ‘รักไม่รักไม่รู้ รู้แต่ตอนนี้อยากเสียตัว’ มั๊งนะ”
“พอเลยมึง” ไอ้ซันสะบัดมือผมทิ้งทันที “ไอ้เหี้ยนี่ หมดอารมณ์เลยกู” ไอ้ซันแกะมือผมออกแล้วก็เดินไปนั่งบนขอบเตียง ผมยืนมองมันแล้วหัวเราะ
“อะไร อารมณ์อะไรของมึงวะ” ผมยื่นมือออกไป กวักมือให้มันยื่นมือมาให้ แต่มันกลับเฉย
“เปล่า ไม่มีอะไร พอๆ เลิกพูดเลย” มันโบกมือทำท่ารำคาญ ผมเลยเดินไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้ามัน
“กูรู้ไอ้ซัน ว่ามึงก็รักกู” ผมจับมือของมัน “งั้นกูกับมึง........ เราไปเที่ยวด้วยกันนะ”
ผมชะโงกหน้าเข้าไปใกล้แล้วหอมมันที่แก้มเบาๆ