ตอนที่ 11
เท่แบบอิสๆ
วันนี้ผมกลับมาทำงานปกติ โดนพี่พิงค์บ่นนิดหน่อยเพราะแผลยังไม่ทันหายดี แต่มันไม่ได้ลำบากต่อการทำงานเท่าไรนัก ผมไม่อยากหยุดงานนาน ไม่ได้ทำงานหลายวันแล้วเริ่มขี้เกียจแถมกลัวว่าจะได้เงินน้อยด้วย ขณะที่ผมกำลังเก็บโต๊ะแล้วเดินเอาแก้วไปเก็บในครัว สองขาก็หยุดชะงักเพราะไฟในร้านดับพรึบลงกะทันหัน
ผมเงยหน้ามองหลอดไฟที่ดับสนิททุกดวง แต่นอกร้านสว่างเป็นปกติ คนในร้านส่งเสียงจอแจแต่พนักงานไม่ได้มีปฏิกิริยาใด เพราะที่ไฟดับเป็นฝีมือของพี่พิงค์ที่สับสวิตช์ไฟอยู่ข้างหลัง ทิ้งช่วงให้ลูกค้าแตกตื่นไม่ถึงนาที พี่อีมก็จัดการจุดเทียนบนเค้กก้อนหนึ่งแล้วเดินออกไป ก่อนเสียงเพลงแฮปปี้เบิร์ทเดย์จะดังขึ้นจากกลุ่มนักเรียนหญิงโต๊ะหนึ่ง เมื่อรู้ว่าไฟดับเป็นแผนเซอร์ไพรส์วันเกิดซึ่งเด็กนักเรียนกลุ่มนั้นมาขอให้เราช่วยแผนการ พี่พิงค์เลยจัดการเล่นใหญ่ ดับไฟให้เป่าเทียนกันเลย บรรดาลูกค้าโต๊ะอื่นๆ ก็หัวเราะชอบใจ ร่วมร้องเพลงไปด้วยจนดังทั่วร้าน
“แฮปปี้เบิร์ทเดย์ แฮปปี้เบิร์ทเดย์ แฮปปี้เบิร์ทเดย์ ทูยู...”
เสียงเพลงท่อนสุดท้ายจบลง เจ้าของวันเกิดที่นั่งยิ้มแก้มปริหัวเราะเบาๆ ดูเคอะเขิน ก่อนจะเป่าเทียนนั้น
“เย้!”
“ขอบคุณมากนะพวกแก ดีใจมากอ่า!”
“พวกเรารักแกนะเว้ย!”
“อื้อ รักๆ”
“สุขสันต์วันเกิดนะแก”
“ขอบคุณมากๆ”
พี่พิงค์สับสวิตช์ขึ้น ก่อนบรรยากาศในร้านจะกลับมาเป็นปกติ ผมอดยิ้มไม่ได้กับภาพตรงหน้าหรือที่จริงแล้วความรู้สึกในใจคืออิจฉามากกว่า ผมจำไม่ได้แล้วว่าได้เป่าเทียนวันเกิดครั้งสุดท้ายตอนอายุเท่าไร
“พี่คะ”
“ครับ?” หลุดออกจากความคิดตอนที่นักเรียนหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาเรียก
“พี่ปิงใช่ไหมคะ”
ผมพยักหน้าอย่างดูงงๆ ที่เธอรู้จักผม ก่อนอีกฝ่ายจะหันไปหาเพื่อนที่เดินมาด้วยกัน
“บอกแล้วว่าใช่”
“ตัวจริงขาวกว่าในรูปอีก”
เดาได้ด้วยประโยคนั้นว่าพวกเธอคงรู้จักผมเพราะช็อก ช่วงนี้ผมเริ่มหวั่นวิตกนิดหน่อย คนชอบช็อกอาจจะไม่ชอบผม เพราะอยู่ดีๆ ก็เหมือนจะไปตีสนิทช็อกอะไรทำนองนั้น ผมจะโดนเกลียดหรือเปล่า
“พี่ปิงทำงานที่นี่เหรอคะ”
“ครับ”
“ทำทุกวันไหมคะ”
“ทำบางวันครับ”
“อ๋อ พี่ปิง ดูใกล้ๆ แล้วก็น่ารักนะคะเนี่ย”
ผมได้แต่ฉีกยิ้มฝืดๆ ส่งไป
“เหมือนเคะตัวน้อยๆ”
“ครับ?”
“อยู่กับพี่ช็อกแล้วคลิกอะ ฉันชิปคู่นี้!”
“เนอะแก!”
สองคนยกมือตีกันพร้อมเสียงหวีดร้องเบาๆ ผมยืนกะพริบตาปริบๆ เพราะไม่เข้าใจที่พวกเธอพูด ไม่เข้าใจสักคำเลย เป็นภาษาวัยรุ่นที่เข้าใจเฉพาะกลุ่มหรือว่าเป็นภาษาอื่น...หรือยังไงนะ
“งั้นพวกหนูไปก่อนนะคะพี่ปิง”
“อ่า...ครับ”
“แกหยิบไม้พายขึ้นมา!”
ผมสะดุ้งเสียงของเธอที่แผดขึ้นมาก่อนจะเดินออกไป ปล่อยให้ผมงงกับคำพูดที่หาความหมายไม่เจอเข้าไปอีก...อะไรวะ
“มีสาวๆ มาจีบเหรอน้องปิง”
“ไม่ใช่พี่” ผมหันไปตอบพี่พิงค์ที่เดินเข้ามาถาม
“เห็นมาหวีดอะไร”
“เขาพูดอะไรไม่รู้ ไม่ค่อยเข้าใจ ตอนแรกนึกว่าจะโดนตบซะอีก”
“หือ? ทำไมต้องโดนตบอะ”
“ช่วงนี้ผมไปทำตัวสนิทกับคนดังของโรงเรียนอะครับ แล้วแฟนคลับเขาเยอะ โดนมองแต่ละทีนี่เสียวหลังเลยอะ ไม่รู้ว่าผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า”
“จริงดิ แล้วปิงเป็นแฟนเขาเหรอ”
“ไม่ใช่ครับ ผมย้ายบ้านไปอยู่ใกล้ๆ เขา เราเลยเจอกันบ่อย จริงๆ ไม่มีอะไรเลย”
“เขาจีบเปล่า”
“ไม่ครับ”
“หรือจีบเขา?”
“ม่าย!” ผมส่ายหน้ารัวๆ พี่พิงค์หลุดหัวเราะแล้วยกมือโยกหัวผมเบาๆ
“เอาคืนไง ชอบแซวพี่”
“โห่...ไม่มีอะไรน่าแซวเลย เขาเป็นผู้ชายด้วย”
“แล้วปิงไม่ชอบผู้ชายเหรอ”
ผมเหลือบตาขึ้นไปมองพี่พิงค์ นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบออกไปจากใจจริง
“ผมไม่เคยชอบใครครับ ไม่รู้ว่าแบบไหนถึงเรียกว่าชอบ”
“เด็กน้อยเอ๊ย” พี่พิงค์ส่ายหน้ายิ้มๆ
“โอ๊ะ! ถึงเวลาเลิกงานแล้วนี่นา ผมกลับบ้านดีกว่า”
“เดี๋ยวๆ กระตือรือร้นแปลกๆ ปกติเลิกงานนี่ไล่ยังไม่ไป ไหนว่าไม่ค่อยชอบบ้าน”
“ผมย้ายบ้านแล้วครับ” ผมยิ้มนิดๆ แล้วปลดผ้ากันเปื้อนออก ก่อนจะเดินไปเก็บของหลังร้าน จริงอย่างที่พิงค์ว่า เมื่อก่อนบ้านไม่ได้ทำให้ผมอยากกลับไปเลย แต่ตอนนี้ผมชอบบ้านมาก ชอบห้องนอนสวยๆ ที่นอนนิ่มๆ กับผ้าปูที่นอนลายเบ็นเท็นที่ชักชอบมันแล้ว...ผมชอบทุกอย่างที่บ้านเลย
ผมสะพายเป้ขึ้นบ่า บอกลาคนในร้านและเดินออกมาข้างนอก เห็นผู้ชายท่าทางคุ้นๆ นั่งก้มหน้ากดมือถืออยู่ที่ริมฟุตปาท เสื้อผ้าชุดเมื่อเช้าที่จำได้ดีเลยมั่นใจว่าเป็นเขาโดยไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมาให้มองเลย
“พี่อิสครับ!”
“โห่ มึงเลิกงานกี่โมงเนี่ย รอนานฉิบหาย นี่กูรอจนแทบจะไหลลงท่อระบายน้ำไปแล้วเนี่ย”
บ่นใส่เป็นชุดก่อนทำการทักทายใดๆ ตามสไตล์ของลุง
“มานั่งรอทำไมอะ”
“กูเพิ่งกลับมาไง เดินผ่านร้านพอดีเลยรอ ก็ไม่รู้จะรอทำห่าอะไรเหมือนกัน”
“ทำไมไม่เข้าไปรอในร้านอะ”
“ไม่เอาอะ กูไม่ชอบเข้าร้านกาแฟ เห็นมีแต่เด็กนักเรียน”
“งั้นไปกินข้าวกัน”
“อือ ยุงกัดฉิบหาย เกาจนหนังกำพร้ากูแหกหมดแล้วเนี่ย ดูๆ” เขาว่าแล้วยื่นท่อนแขนที่มีรอยเกาแดงๆ ส่งมาให้ดูเหมือนกำลังฟ้อง
“แล้วจะให้ช่วยเกาหรือไง”
“เออ เกาเลย”
“พี่นี่”
เขายื่นแขนมาตรงหน้าเหมือนจะแกล้งไม่ให้ผมเดิน ผมได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ แล้วยกมือขึ้นมาเกาแขนให้เขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ พอเห็นมือตัวเองที่อยู่บนแขนเขาเลยรู้ตัวว่าแขนผมเล็กมากเมื่อเทียบกับท่อนแขนใหญ่กับเส้นเลือดหนาๆ พวกนั้น ขนาดตัวที่แตกต่างย้ำชัดกว่าตอนอยู่ใกล้ๆ พี่อิสผมตัวเล็กนิดเดียว เล็กแบบเป็นแมวของเขาได้เลย
“จั๊กจี้อะ”
“พอใจยังอะ”
“พอเหอะ ขนลุก” เขาดึงแขนกลับไป เราเดินกันมาพักหนึ่งจึงตกลงกันว่าจะกินบะหมี่หมูแดงร้านริมทาง พี่อิสเป็นคนกินอะไรก็ได้ง่ายๆ ผมก็กินทุกอย่างยกเว้นผักกับนมจึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องกินเท่าไร
“คนเยอะอะ ซื้อไปกินบ้านเหอะ”
“ได้ครับ” ผมพยักหน้าหงึกๆ ก่อนพี่อิสจะไปสั่งบะหมี่ใส่ถุงกลับบ้าน
“ของผมไม่ใส่ถั่วงอกนะครับ” ผมหันไปสั่งกับป้าคนขาย
“ใส่ไปเลยครับป้า” พี่อิสแย้งขึ้นมา
“พี่อิส ผมไม่กิน”
“บอกแล้วไงอยู่กับกูห้ามเลือกกิน กินผักแล้วมันจะตายหรือไงฮะ?”
“โห่ ขอเลย ถั่วงอกนี่เกินความสามารถจริงๆ อะ”
“เดี๋ยวกูสอนกิน”
“อย่างอื่นผมได้หมด เว้นถั่วงอกนะพี่อิส ไม่เอา”
เขาหรี่ตามอง คิ้วขมวดเข้าหากันก่อนจะพยักหน้าส่งๆ
“เออ ยอมให้อย่างหนึ่งก็ได้ แต่อย่างอื่นมึงต้องกินนะ ไม่งั้นกูจะยัดใส่ปากมึงเอง”
ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปสั่งป้าอีกทีว่าถุงหนึ่งไม่ใส่ถั่วงอก ไม่ถึงสิบนาทีบะหมี่สองถุงที่สั่งก็ได้ ผมกำลังควักกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายเงิน
“ไม่ต้อง กูจ่ายเอง” พี่อิสดึงถุงพลาสติกออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ที่อยู่ในนั้นอีกทีออกมาควักเงินจ่ายค่าบะหมี่ ผมหลุดยิ้มกับถุงพลาสติกใสๆ ในมือเขา ข้างในมีกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือ ซองบุหรี่ ไฟแช็ก และลูกอมสองสามเม็ด
“มึงยิ้มอะไร”
“นี่กระเป๋าพี่เหรอ”
“เออ ทำไม”
“ชาวบ้านเขาก็รู้หมดเลยว่าพกอะไรบ้าง”
“เท่จะตาย ไปได้แล้ว” เขารับเงินทอนมาจากแม่ค้า ก่อนจะสะบัดหน้าเป็นเชิงให้ผมเดินออกไป
“จริงๆ พี่ไม่ต้องจ่ายให้ผมก็ได้นะ ข้าวเช้าก็ทำให้กิน”
“เออ ไว้กูหมดตัวเมื่อไรมึงค่อยจ่าย”
“งั้นเดี๋ยวผมช่วยทำให้พี่หมดตัวเร็วๆ นะ”
“กวนตีน เดินไปเลยไป”
ผมหัวเราะหน่อยๆ กำลังจะเอากระเป๋าสตางค์ตัวเองเก็บใส่เป้ ก่อนสองขาที่กำลังก้าวไปจะเซเกือบล้มเพราะถูกชนไหล่เข้าจังๆ จนกระเป๋าสตางค์ในมือกระเด็นตกไป คนที่เดินชนไหล่ดูรีบร้อนไม่ได้สนใจหันมองผมด้วยซ้ำ
“อะไรของมันวะ เดินชนไม่ขอโทษสักคำ สันดาน” พี่อิสบ่นพึมพำแล้วก้มลงไปหยิบกระเป๋าสตางค์ให้
“เขาอาจจะรีบก็ได้”
“แหม โลกสวยนะมึง เป็นกูตามไปเตะละ...” เขาหยุดพูด แล้วขมวดคิ้วนิดหนึ่งเมื่อมือหนึ่งคลี่กระเป๋าสตางค์ผมออกแล้วมองไปยังบางอย่างในนั้น
“นี่มึงเหรอ” เขาพลิกกระเป๋าสตางค์มาให้ผมดูบัตรประชาชนที่อยู่ในนั้น
“ก็ต้องเป็นผมสิ”
“เชี่ย หน้าอย่างมึน มึงง่วงมากเหรอ”
“พี่อิส เอาคืนมาเลย”
“โคตรตลกอะ” เขาหัวเราะเบาๆ แล้วส่งคืนให้ผม
“โห่พี่ หน้าใครๆ ก็ตลกหมดแหละถ้าอยู่ในบัตรประชาชนอะ”
“กูหล่อนะ”
“ขอดูหน่อยสิ”
“ไม่ให้”
“ไม่หล่อจริงอะดิ ทำเป็นอวด”
“ไปเลย รีบเดิน บะหมี่อืดหมดแล้ว ดึกแล้วด้วย พรุ่งนี้มึงต้องไปเรียนอีก”
“พรุ่งนี้ว่าจะไม่ไปโรงเรียนนะ”
“หือ? ทำไม” เขาหันหน้ามาถาม
“พรุ่งนี้ตอนบ่ายมีงานประชุมผู้ปกครองประจำเทอมอะ มีเรียนแค่ช่วงเช้า ผมเลยว่าจะไม่ไป”
“ประชุมผู้ปกครองเหรอ”
“อื้อ ผมไม่มีผู้ปกครองไปร่วมงาน ตอนบ่ายก็กลับได้เลย”
พี่อิสพยักหน้าหน่อยๆ ทุกๆ เทอมจะมีงานประชุมผู้ปกครอง ผมไม่รู้ว่าในงานเป็นยังไง เพราะไม่เคยมีผู้ปกครองไปสักปีเลย ป้าไม่เคยว่างไปเป็นผู้ปกครองให้ผม หรือจริงๆ ก็อาจจะว่างแต่ไม่อยากไปก็ได้...ไม่รู้เหมือนกัน
“งั้นกูไปให้ไหมล่ะ”
“ครับ?”
“กูไปเป็นผู้ปกครองให้ไง”
“พี่จะไปให้เหรอ”
“เออ หรือกูไม่ได้แก่พอจะเป็นผู้ปกครองมึงได้”
ปกติถ้าไม่มีผู้ปกครองไปในวันพบผู้ปกครอง ผมจะถูกฝ่ายปกครองเรียกไปคุยส่วนตัวแล้วก็มีจดหมายถึงผู้ปกครองอีกครั้ง บางทีครูที่ปรึกษาจะโทรหาป้าแต่ป้าก็โยนให้ย่าคุยทุกที แต่ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่บ้านนั้นแล้ว ถ้าครูโทรไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร แต่ถ้าให้พี่อิสไปเป็นผู้ปกครองให้...
“เอาไง จะให้ไปไหม พรุ่งนี้กูว่างอยู่พอดีด้วย ไม่สิ กูก็ว่างทุกวันแหละ”
“เอาครับ ไปครับ”
“เออ ก็แค่นั้น โชคดีขนาดไหนที่มึงจะมีผู้ปกครองเท่อย่างกู”
“พี่อิสโคตรเท่เลย” ผมรีบพยักหน้าหงึกๆ แล้วชูนิ้วโป้งขึ้นสองข้าง เอาใจไว้ก่อนเพราะกลัวพี่แกติสต์เปลี่ยนใจขึ้นมา ผมคงดีใจเก้อ
...
เช้าวันถัดมา ผมจัดตารางสอนแค่ช่วงเช้าซึ่งมีแค่วิชาคณิตพื้นฐานกับคณิตเพิ่มเติม เอาจริงๆ มันจะแยกกันทำไมก็ไม่รู้ แต่จะพื้นฐานหรือเพิ่มเติมมันก็คือความอัปยศในชีวิตการเรียนของผมทั้งสิ้น ผมเกลียดตัวเลข ถ้าไม่ใช่จำนวนเงิน อะไรที่เป็นเลขเกลียดหมดเลย
ผมแต่งตัวเสร็จออกมาข้างนอก พี่อิสอยู่ในครัวเหมือนทุกวัน กลิ่นอาหารเช้าพาผมให้เดินเข้าไปในครัว วันนี้มีขนมปังปิ้ง โบโลน่า แล้วก็ก้อนอะไรไม่รู้เหลืองๆ ฟูๆ น้ำมันเยิ้มๆ
“จ้องอะไร กินสิ”
“อันนี้อะไรอะ” ผมชี้ไปยังสิ่งที่น่าสงสัยก้อนนั้น
“ไข่ดาว”
“ทำไมมัน...”
“มึงอย่ามีปัญหากับไข่กู ก็แค่กินเข้าไป”
“ครับ” ผมปลดเป้ลงจากบ่าแล้วหยิบขนมปังปิ้งกรอบๆ เข้าปากก่อน
“เอาซอสไหม”
ผมพยักหน้ารับ
“หยิบเอง ในตู้เย็น”
แล้วจะถามเพื่อ... ผมหมุนตัวกลับไปเปิดตู้เย็น กวาดตาหาขวดซอส ตู้เย็นขนาดใหญ่กับทุกพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเสบียงดูแน่นขนัด เฉพาะช่องฝั่งประตูก็เต็มไปด้วยของมึนเมาที่ไม่เหมาะกับเยาวชน ทั้งเบียร์ขวด เบียร์กระป๋อง โซดา ไวน์คูลเลอร์ ให้เพียบไปหมด ไม่รู้เลยว่าขวดซอสมันซ่อนอยู่ในซอกไหน
“พี่อิส หาไม่เจอ”
“มันก็อยู่ตรงนั้นแหละ มึงพยายามก่อนที่จะบอกว่าหาไม่เจอได้ไหม”
ผมแอบคว่ำปากใส่คนที่กำลังบ่น ก้มมองในตู้เย็นอีกทีก็หาไม่เจอจริงๆ
“นี่ไง”
เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ ที่ข้างหู ตอนที่พี่อิสยื่นมือมาจากด้านหลัง หยิบขวดซอสที่นอนอยู่ที่ชั้นล่าง ผมตัวแข็งตอนหันไปเจอหน้าเขาที่โน้มลงมาพอดี กะพริบตาปริบๆ ตอนที่พี่อิสไม่ยอมขยับตัวออกไป มุมปากเขายกขึ้นนิดๆ ก่อนจะถอยออกไป
“เป็นงูฉกเบ้าตามึงไปแล้ว” เขาพูดพลางบิดฝาขวดซอส
“ก็มันไม่เห็น...” ผมเถียงเบาๆ
“เปิดไม่ออกว่ะ อะ เปิดเอง” เขายื่นขวดซอสให้ ผมหมุนข้อมือบิดฝาซอสเบาๆ ฝาก็เปิดออก พี่อิสเบิกตาขึ้นงงๆ
“แขนใหญ่ๆ นี่ไม่ได้ช่วยเรื่องความแข็งแรงเลยใช่ปะ” ผมแกล้งแซว
“โด่ กูบิดจนมันจะออกอยู่แล้วเหอะ กินเลย เดี๋ยวสาย”
ผมหัวเราะหน่อยๆ แล้วเทซอสลงไปบนบางสิ่งที่เขาเรียกมันว่าไข่ดาว เอาตรงไหนมาไข่ดาว...ไม่รู้เหมือนกัน
“แล้ววันนี้กูต้องไปกี่โมง”
“เริ่มประชุมบ่ายโมงครับ”
“อือ แล้วมึงกลับพร้อมกูได้เลยใช่ไหม”
“ครับ”
“เค” เขาพยักหน้านิดๆ แล้วหันไปเปิดน้ำล้างกระทะ ผมมองเขาจากด้านหลัง พี่อิสอยู่ในชุดที่คล้ายๆ กับเมื่อวาน เขาจะไปชุดนี้เลยไหมนะ ถ้าลองขอให้แต่งตัวหล่อๆ ดู จะโดนด่าหรือเปล่า ไม่เสี่ยงดีกว่า เขาดูเป็นคนที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเองจริงๆ นั่นแหละ ขนาดพี่เนยขอยังไม่ทำให้เลย ถ้าผมขอนี่คงโดนสวดยับแน่ๆ
“หลินปิง”
“ครับ...ครับพี่อิส?”
“มึงมองกูนานมากเลย มีอะไร”
“ไม่มีครับ”
“พูดมา” เสียงเข้มๆ ทำให้ผมต้องเอ่ยปากในสิ่งที่คิดออกไป
“กำลังคิดว่าวันนี้จะขอให้พี่อิสแต่งตัวหล่อๆ ได้หรือเปล่า ผมแค่คิดเฉยๆ นะครับ ไม่ได้กะจะขอจริงๆ”
“เออ ได้ เดี๋ยวหล่อให้โรงเรียนพังเลย”
“จริงนะ”
“อือ”
“โกนหนวดด้วยนะ”
“เรื่องมากจริง เดี๋ยวไม่ไปแม่ง”
“โอเคๆ ไม่ต้องโกนหนวดก็ได้”
พี่อิสหัวเราะในลำคอเบาๆ ผมรีบยัดอาหารเช้าที่เขาทำให้กินจนหมดแล้วออกไปโรงเรียน เดินออกมาที่หน้าปากซอย เห็นมนุษย์คนหนึ่งนั่งไขว่ห้างร่างกายสว่างจ้าอยู่บนมอเตอร์ไซค์ เมื่อคนตรงนั้นหันมาเห็นผมพอดีจึงยกมือขึ้นเป็นเชิงทักทาย
“ช็อก...มานั่งทำอะไรตรงนี้”
“รอปิงไง บอกแล้วว่าจะไปโรงเรียนพร้อมกัน”
“เฮ้ย จริงๆ ไม่เป็นไรนะ เราไปเองได้”
“ทำไมเล่า ไปกับเรามันไม่ดียังไง ยังไงก็ทางเดียวกันอยู่แล้ว”
“แต่ว่า...”
“ทำไม”
“เอาจริงๆ เราเกร็งมากตอนอยู่กับช็อกอะ”
“ทำไมวะ”
“เรากลัวว่าคนที่ชอบช็อกเขาจะไม่ชอบเราหรือเปล่า”
“เฮ้ย จะบ้าเหรอ ทำไมเขาต้องไม่ชอบปิงด้วย”
“ไม่...ไม่รู้ดิ บางทีก็ถูกมองแปลกๆ”
“งั้นเราก็มีเพื่อนไม่ได้เลยดิ ใครเป็นเพื่อนเราก็ต้องถูกไม่ชอบงี้เหรอ ไร้สาระ”
“ไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอ”
“เออดิ ปิงคิดมาก” ช็อกยื่นมือมาขยี้หัวผมเบาๆ
“เฮ้ย หลินปิง”
หือ?
ทั้งผมและช็อกหันขวับไปหาเสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูคุ้นหูและคนที่จะเรียกผมแบบนั้นก็มีคนเดียวบนโลกนี้
“พี่อิส”
“มึงลืมมือถือ” พี่อิสว่าแล้วยื่นมือถือให้ผมแต่สายตามองไปทางช็อก คนถูกมองก็ได้แต่ส่งยิ้มให้อย่างดูเก้ๆ กังๆ ผมจึงรีบแนะนำ
“พี่อิส นี่เพื่อนผมเอง ที่ไปส่งบ้านวันนั้นไง ส่วนนี่พี่ที่เราอยู่บ้านด้วยอะ” ประโยคหลังผมหันไปพูดกับช็อก เขาพยักหน้านิดๆ แล้วหันไปแนะนำตัวกับพี่อิสอีกที
“ผมช็อกครับ”
“เป็นห่าอะไรต้องช็อก”
“ไม่ใช่ เขาชื่อช็อก” ผมสะกิดแขนเขา
“อ้าวเหรอ เออ ชื่อมึงนี่น่าตกใจดีนะ”
ช็อกหัวเราะเบาๆ แล้วหันมาพูดกับผม
“จะสายแล้วอะ รีบไปกัน”
ผมพยักหน้ารับกำลังจะก้าวขาขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ แต่พี่อิสก็ยกมือดึงแขนผมเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวๆ”
“ครับ?”
“ไปด้วยกันเหรอ”
“ใช่ครับ”
“ไปมอไซค์เนี่ยนะ”
ผมพยักหน้าแทนคำตอบ
“หมวกกันน็อกก็ไม่มี อันตรายไหมเนี่ย ฮะ? ถ้าเกิดอุบัติเหตุทำไง...”
วิญญาณลุงขี้บ่นเข้าสิงอีกแล้ว ผมรีบก้าวขาขึ้นมอเตอร์ไซค์ช็อกแล้วสะกิดให้เขาสตาร์ตรถออกไปเลย
“เฮ้ย! ยังพูดไม่จบเลย”
“สายแล้ว ไม่มีเวลาฟังแล้ว เจอกันตอนบ่ายครับ ไปนะ”
“หวัดดีครับ” ช็อกหันไปพูดกับพี่อิส
“ไม่ต้องมาหวัดดีกู”
“ไปเลยช็อก”
“ขับดีๆ นะมึง! ไอ้เด็กเวร วันหลังเอาหมวกกันน็อกมาด้วยสิโว้ย!”
ผมหัวเราะเบาๆ ตอนที่ช็อกขับออกมาแล้วแต่พี่อิสยังยืนบ่นอยู่ตรงนั้นไม่หยุด ยิ่งอยู่ด้วยยิ่งเหมือนมนุษย์ลุงเข้าไปทุกที
ช็อกขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่เดิมเหมือนเมื่อวาน สายตาคู่อื่นๆ ก็ยังมองมาเหมือนเมื่อวาน แต่ผมลดความเกร็งลงนิดหน่อยเพราะในความเป็นเพื่อนคงไม่ผิดเพียงเพราะเรามาโรงเรียนพร้อมกัน
“พรุ่งนี้เจอกันที่เดิมนะปิง”
“โอเค”
“ต้องเอาหมวกกันน็อกมาเปล่าอะ พี่ปิงแม่งอย่างน่ากลัวเลย”
“เฮ้ย พี่อิสไม่น่ากลัวนะ”
“ไม่รู้ดิ มองเราเหมือนจะกัดอะ”
“เขาหน้าตาโหดเฉยๆ แต่ใจดีมากเลย ขนาดเพิ่งรู้จักกับเรายังให้เรามาอยู่บ้านเลย”
“ปิงเพิ่งรู้จักกับเขาเหรอ”
ผมพยักหน้าแทนคำตอบ
“เขาให้ปิงมาอยู่ด้วยนี่ ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงใช่เปล่า”
“คือยังไงอะ”
“ก็แบบ...เขาเคยแบบ...คิดล่วงเกินอะไร...”
“เฮ้ย ไม่มี!” ผมปฏิเสธเสียงดัง
“ไว้ใจได้เหรอ ไม่ได้รู้จักกันดีสักหน่อย ปิงก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน”
ผมพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนเขาจะบอกลาเพื่อแยกกันเดินไปคนละทาง ผมกำลังคิดว่าทำไมทุกคนต้องคิดว่าพี่อิสเป็นพวกโรคจิตหลอกเด็กมาทำมิดีมิร้าย หรือว่าหน้าตามันเข้าข่าย? แต่เลิกคิดเรื่องนั้นไปได้เลย ขนาดถอดเสื้อเดินในบ้านยังโดนบ่น โดนสั่งให้แต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนออกจากห้องทุกครั้ง เลยมั่นใจว่าพี่อิสไม่ใช่พวกที่จะคิดเรื่องอะไรแบบนั้นแน่นอน ถ้าถามว่าไว้ใจพี่อิสไหม ผมก็ไว้ใจไปแล้ว พี่อิสไม่น่ากลัวเลย เป็นแค่ลุงแก่ๆ อายุจริงยี่สิบห้า หน้าสามสิบ...ความคิดหกสิบบวกๆ
To be continued.