บทที่ ๒๙
หลังจากตื่นขึ้นมาเพราะกระหายน้ำ และลงมาดื่มน้ำในครัวเมื่อคืนนี้ เฟย์ก็กลับไปนอนไม่หลับอีกเลยตลอดคืน ถึงจะไม่ได้เปิดไฟ แต่หญิงสาวก็คิดว่าตัวเองตาไม่ฝาดที่เห็นเจ้าชายหกแห่งไม่ซีนทรง ‘จูบ’ พี่ชายของนาง
คงไม่ใช่ยื่นพระพักตร์เข้าไปกระซิบอะไรแน่ๆ
รุ่งเช้า น้องสาวของฟีเรียสก็เอาแต่จับสังเกตพฤติกรรมของหนึ่งเจ้าชายกับหนึ่งองครักษ์อยู่เกือบตลอดเวลา จุดประสงค์อยู่ที่การพยายามสรุปให้ได้ว่านางเพียงแต่คิดมากและเข้าใจผิดไปเอง ผลก็คือถ้าไม่คิดมากก็ไม่ต้องกังวล แต่ถ้าคิด ก็จะเห็นสิ่งผิดปกติเต็มไปหมด
หลังจากเสร็จงานในสวน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เข้าไปในครัวหมายจะช่วยพี่ชายทำอาหาร ก็พบว่าเขามีผู้ช่วยกิตติมศักดิ์อยู่แล้ว เจ้าชายรามิเรสแย้มพระสรวลให้นางอย่างหล่อเหลาเหมือนเคย
“หิวแล้วหรือ” เป็นคำทักทายของคนที่กำลังทรงล้างผัก
“...หม่อมฉันจะมาช่วยพี่ฟีเรียสทำอาหารเพคะ”
“ปิ้งขนมปังที” คนกำลังชิมอะไรสักอย่างอยู่หน้าเตาร้องสั่ง “เปิดแยมขวดใหม่ด้วย”
ฟีเรียสเป็นคนกลบเกลื่อนความรู้สึกและความผิดไม่เก่ง การสั่งงานอย่างเป็นธรรมชาติแบบนี้ทำให้เฟย์ใจชื้นขึ้นมาหน่อย คิดว่านางคงจะคิดมากไปเอง แต่ว่า
“ฝ่าบาท ล้างนานไปแล้วพระเจ้าค่ะ ทรงเอาขึ้นได้แล้ว”
ปกติองครักษ์เขาสั่งเจ้าชายกันได้ด้วยหรือ
“โอ๊ะ”
“กระหม่อมว่าเดี๋ยวต้องได้ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์ใหม่แน่” กราบทูลแล้วก็หยิบผ้าสะอาดถวาย ก่อนจะเดินไปหยิบผ้ากันเปื้อนผืนหนึ่งมาถวายด้วย
“ข้าใส่ไม่เป็น”
พ่อครัวประจำบ้านมีการทำหน้าเหมือนระอา คลี่ผ้ากันเปื้อนออกและทำท่าจะสวมถวาย ทว่าเมื่อหันมาเห็นน้องสาวมองอยู่ด้วยสีหน้าสงสัย จึงเพียงแต่บอกวิธีใส่เท่านั้นแล้วกลับไปยืนหน้าเตาต่ออย่างมีพิรุธ
“เจ้าชายทรงเป็นแขก มาช่วยอย่างนี้จะดีหรือเพคะ”
“ไม่เป็นไร ข้าอยากช่วย อย่าคิดว่าข้าเป็นแขกเลย คิดเสียว่าเป็นพี่ชายอีกคนหนึ่งของเจ้าเถอะ”
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เฟย์ก็คงจะปลาบปลื้มในพระเมตตาไปแล้ว ทว่าตอนนี้กลับทำให้ยิ่งรู้สึกระแวง...เจ้าชายหกเคยรับสั่งอะไรทำนองนี้กับนางมาก่อนรึเปล่านะ
“แล้วคนอื่นๆ ล่ะเพคะ อย่างพี่โรดีอัส” นางเห็นแล้วว่าคนที่เหลือนั่งคุยกันอยู่ในห้องโถง ที่ทูลถามก็แค่อยากจะรู้คำตอบของเจ้าชายหนุ่ม
“พวกนั้นก็คงอยากจะเข้ามาช่วย แต่ฟีเรียสบอกว่าคนมากเกะกะ”
รับสั่งตอบแล้วก็มีการปรายสายพระเนตรไปทางพ่อครัวตัวจริงเพื่อดูปฏิกิริยา และฝ่ายนั้นก็หันกลับมามองราวกับจะรู้จังหวะ เจ้าชายรามิเรสทรงพระสรวลเบาๆ เมื่อเห็นองครักษ์หนุ่มนิ่วหน้า รับสั่งเพิ่มเติมว่า
“กับข้า เขาก็ไม่อยากให้เข้ามาเกะกะเหมือนกัน แต่ข้าเป็นเจ้านายเขา เขาเลยขัดขืนไม่ได้”
ขัดก็พอมั้ง ไม่ต้องถึงกับขัดขืน เดี๋ยวความหมายมันจะแปลกไป
เฟย์พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ แต่ไม่หายสงสัย ไม่แปลกใช่ไหม ที่พอพี่ชายเรียกนางไปชิมรสชาติอาหารแล้วเจ้าชายรามิเรสจะทรงขอ ‘ชิม’ ด้วย ไม่แปลกใชไหม ที่เมื่อนางพูดถึงแอนจิเทีย ว่าทำอาหารเก่งเหมือนกัน เจ้าชายหนุ่มจะรับสั่งยิ้มๆ ว่า
“ในครัวมีคนทำอาหารเก่งแค่คนเดียวก็พอ เก่งสองคนอาจจะทะเลาะกันก็ได้”
ไม่แปลกสินะ ที่เมื่อพี่ชายของนาง ‘ไล่’ ให้เจ้านายของตนออกไปตัดดอกไม้ พระองค์จะเสด็จออกไปแต่โดยดี ซ้ำยังกลับเข้ามารับสั่งถามพระพักตร์เฉยว่าให้ช่วยเช็ดโต๊ะด้วยไหม
เฟย์ไม่กล้าปรึกษาเรื่องที่สงสัยเต็มหัวใจกับใคร ไม่ว่าจะเป็นมารดาหรือคนรัก นางไม่อยากทำให้คนอื่นพลอยกังวลไปด้วย...หากยังไม่แน่ใจเสียก่อน
เมื่อใกล้เวลาที่เจ้าชายหกจะเสด็จกลับเต็มที หญิงสาวก็ตัดสินใจเลือกที่จะหาโอกาสทูลถามเจ้าชายหนุ่ม ขณะที่อีกฝ่ายทรงช่วยนางใส่ปุ๋ยต้นไม้ตอนเช้า ส่วนฟีเรียสที่ห่อผลไม้เสร็จแล้วกำลังเดินรดน้ำตามอยู่ไกลๆ
“เจ้าชายทรงมีคนรักแล้วหรือยังเพคะ”
คุณเรจินที่กำลังช่วยใส่ปุ๋ยอยู่เหมือนกันถึงกับหันมามอง เฟย์คิดว่าเจ้าชายหกอาจจะรับสั่งให้องครักษ์ประจำพระองค์ไปที่อื่นก่อน แต่ก็ไม่
“มีแล้ว”
คนทูลถามใจเต้นแรงขึ้นนิดหนึ่ง
“เป็น...พระคู่หมั้นหรือเพคะ” เมื่ออีกฝ่ายมีสีพระพักตร์สงสัย หญิงสาวก็อธิบาย “พี่ฟีเรียสเคยบอกเพคะ ว่าเจ้าชายมีพระคู่หมั้นแล้ว” ตอนที่บอกให้นางเลิกเขียนจดหมายถึงพระองค์ได้แล้ว เพราะพระคู่หมั้นอาจจะไม่พอใจ
“ข้าถอนหมั้นกับนางแล้ว”
เฟย์รู้จักกาลเทศะดีพอที่จะไม่ทูลถามเหตุผล กระนั้นเจ้าชายหนุ่มซึ่งไม่ได้ทรงคิดเป็นอื่นกับหญิงสาว นอกจากเห็นว่าเป็นเหมือนคนหนึ่งในครอบครัวก็รับสั่งบอกง่ายๆ
“เป็นความผิดของข้าเอง ที่มีคนอื่น”
“ใครหรือเพคะ” คำถามนั้นออกจากปากไปเร็วกว่าที่ตั้งใจ เมื่อเห็นสีพระพักตร์ประหลาดพระทัย หญิงสาวก็รีบเสริม “หม่อมฉันก็ถามไปอย่างนั้นเองเพคะ หม่อมฉันคงจะไม่รู้จัก”
เจ้าชายหนุ่มไม่ได้รับสั่งตอบ สักพักหนึ่ง หญิงสาววัยแรกรุ่นก็ทูลถามอีกอย่างระงับความอยากรู้เอาไว้ไม่ไหว
“คนรักของเจ้าชายคงจะเป็นผู้หญิงที่สวยมากนะเพคะ เพราะว่าเจ้าชายทรงพระหล่อมาก”
คราวนี้แม้แต่เรจินเองก็ถึงกับยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เสียดายที่เฟย์ไม่ทันได้เห็น เห็นแต่รอยแย้มพระสรวลนิดๆ ของเจ้าชายรามิเรส
“ข้าชอบ ข้าก็ว่า...สวย แต่ไม่เคยชมให้ได้ยิน เพราะว่าเขาขี้อาย”
“เขา...หรือเพคะ”
คนทูลถามจับผิดเต็มที่ ส่วนคนถูกจับผิดก็เพียงแต่แย้มพระสรวลนิ่มๆ แต่ไม่ตรัสตอบว่าอะไร และเนื่องจากสรรพนาม ‘เขา’ สามารถใช้ได้กับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย หญิงสาวจึงไม่สามารถสรุปอะไรได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ พี่ชายของนางไม่ใช่คนขี้อาย
“นางคงเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากๆ เลยนะเพคะ”
“เชื่อเถอะ ว่าข้าเองก็โชคดีไม่ต่างกัน”
เฟย์ชะงัก ความคิดแรกที่วาบขึ้นมาก็คือ ถ้าคนที่เจ้าชายหกกำลังรับสั่งถึงคือพี่ชายของนางจริงๆ นางก็คงจะดีใจแทนเขาเหลือเกิน แม้ว่า...จริงๆ แล้วจะอยากได้พี่สะใภ้มากกว่าพี่เขยก็ตาม
“คราวหน้าถ้าเสด็จมาอีก ทรงพา ‘นาง’ มาให้หม่อมฉันรู้จักด้วยได้ไหมเพคะ”
“อืม ถ้า ‘นาง’ ยอม”
ขณะที่เฟย์พยายามสืบเอาจากทางเจ้าชายเจ้ากรมสรรพาวุธ หญิงสาวไม่รู้เลยว่ามารดาของนางก็สอบถามจากลูกชายของตนเหมือนกัน
ปกติเฟย์จะนวดหลังนวดไหล่ให้มารดาก่อนนอนอยู่บ่อยๆ ทว่าคืนนี้ฟีเรียสเป็นคนทำ สองแม่ลูกคุยเรื่องสัพเพเหระกันบ้างระหว่างการนวด มีเรื่องเกี่ยวกับแขกกิตติมศักดิ์ของบ้านบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องผิวเผินทั่วไป หลังจากผ่านไปนานนับชั่วโมง และฟีเรียสดูแลให้มารดาดื่มยาก่อนนอนเรียบร้อยแล้ว เรเซียก็รั้งให้ลูกชายอยู่คุยกับนางก่อน และเพราะคุยเรื่องทั่วๆ ไปมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีอารัมภบทอีก
“อยู่ที่เมืองหลวง รู้สึกถูกตาต้องใจผู้หญิงคนไหนบ้างรึเปล่าลูก”
ในความประหลาดใจเล็กๆ มีความระมัดระวังตัวตีคู่กันขึ้นมา
“ไม่มีหรอกครับ ข้าเพิ่งได้รับตำแหน่ง ตั้งใจว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เรื่องผู้หญิงยังไม่คิด” และคงจะไม่คิดไปตลอดชีวิต ส่วนเรื่องผู้ชาย ก็เคยไม่อยากจะคิด...แต่ก็หยุดคิดไม่ได้ ปัจจุบันนี้ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นครอบครองพื้นที่ความคิดของเขาไปกี่ส่วนแล้ว
“วอลเซนส์มาเกริ่นๆ กับแม่ว่าอยากจะแต่งงานกับเฟย์ปีหน้า น้องจะแต่งงานแล้ว แต่ลูกยังไม่มีแม้แต่ผู้หญิงที่ชอบ แม่สงสัย ก็เลยถามดู”
ฟีเรียสยิ้มอ่อนๆ ไม่มีความหมายอะไร นอกจากเพื่อจะได้ไม่ต้องตอบคำถาม
“ฟีเรียส”
“ครับ”
“...ไม่มีจริงๆ หรือจ๊ะ”
ถามแบบนี้ สีหน้าแบบนี้ สายตาแบบนี้ มารดาคงจะรู้สึกระแคะระคายไรบ้างแล้ว แม้จะรู้สึกเครียดขึ้นมา แต่เมื่อนึกถึงคนที่เขาพาไปพบพ่อที่วิหารเล็กๆ ด้วยกันเมื่อวันก่อน ความทรมานก็บรรเทาลงบ้าง
องครักษ์หนุ่มมองหน้ามารดาอย่างชั่งใจ
“ที่จริง...ก็มีครับ”
เรเซียเป็นฝ่ายชะงักไปบ้าง “นางเป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน”
“...ขอยังไม่บอกได้ไหมครับ”
“ทำไมถึงบอกตอนนี้ไม่ได้ล่ะจ๊ะ”
ฟีเรียสนิ่งเงียบไปหลายอึดใจ
“ฟีเรียส แม่...ไม่ว่าหรอกจ้ะ ไม่ว่าลูกจะรักชอบใคร” อยากจะทำใจให้ได้อย่างนั้นอยู่เหมือนกัน แต่นางก็รู้ดีว่าเรื่องทุกเรื่องย่อมมีข้อยกเว้น แม้ว่าจะพยายามทำใจให้กว้างเท่าไรก็อาจจะไม่พอ “เรามีกันอยู่แค่สามคนแม่ลูก แม่อยากจะสบายใจว่าลูก...ชอบผู้หญิงที่ดี เป็นคนที่ทำให้ลูกมีความสุขได้”
แล้วถ้าเขาเป็น ‘ผู้ชายที่ดี’ แทนล่ะ
“...”
“มีแล้วก็ยังไม่ต้องรีบแต่งก็ได้จ้ะ ผู้ชายแต่งงานช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร แม่อาจจะได้อุ้มหลานยายก่อน แต่ยังไงก็อยากจะอุ้มหลานย่า”
“...”
“เป็นองครักษ์คงจะได้ตามเสด็จไปที่ไหนๆ บ่อยๆ ลูกเจอนางตอนที่ตามเสด็จไปรึเปล่า หรือว่าเป็นน้องสาวของเพื่อน”
องครักษ์หนุ่มทรมานใจมากขึ้นทุกที
“หรือว่า ลูกชอบคนที่ไม่ควรจะชอบ”
ชายหนุ่มชั่งใจ ก่อนพยักหน้าช้าๆ เรเซียใจหาย
“เป็นคนที่อยู่สูงมากครับ” เคยคิดว่าเกินเอื้อม แต่เมื่อตัดสินใจยื่นมือออกไป ก็เอื้อมถึงได้ด้วยความพยายามเพียงครั้งเดียว “ที่ข้ายังไม่อยากบอก ก็เพราะอาจจะมีอุปสรรคอยู่อีก ข้ากับ...เขา อาจจะเดินไปด้วยกันได้ไม่ไกล ข้าเลยไม่อยากให้แม่กังวลใจไปด้วย”
ช้าไปแล้ว นางกังวลใจไปมากแล้ว
“ข้าบอกได้เท่านี้ เอาไว้ข้าพร้อมมากกว่านี้ ข้าจะบอกท่านทุกอย่าง ดึกแล้ว นอนเถอะครับ”
องครักษ์หนุ่มลุกขึ้นยืนแล้ว ทว่า
“ฟีเรียส” มารดาคงไม่อาจนอนหลับหากได้รู้เพียงครึ่งๆ กลางๆ
“แม่อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก ข้ายังไม่พร้อมจะบอกจริงๆ แต่สัญญาว่าจะบอกแน่ๆ ครับ ถึงตอนนั้น ถ้าท่านไม่ชอบคนที่ข้าชอบ ข้าก็จะ...ปล่อยมือจากคนคนนั้นครับ” พูดไม่ได้หรอกว่าจะตัดใจ เพราะคงจะยากยิ่งกว่าให้กลับใจไปชอบผู้หญิงเสียอีก “รักแม่นะครับ”
คนที่น้อยครั้งจะพูดว่ารักโน้มตัวลงกดจูบบนแก้มมารดา ก่อนผละมา
“ฟีเรียส”
สาวเท้ายาวๆ มาจนถึงประตูแล้ว แต่ก็ต้องหันกลับไป
“แม่ถามอีกอย่างเดียวลูก” ทั้งแม่และลูกล้วนแต่กลั้นหายใจ คนเป็นแม่ถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงคาดหวังสุดใจ “คนที่ลูกชอบ...เป็นผู้หญิงใช่ไหม”
เมื่อเห็นสีหน้าของลูกชาย เรเซียก็อยากให้เวลาย้อนกลับไป และนางไม่ได้ถามคำถามนั้น
“...เป็นผู้หญิงสิครับ แม่ถามแปลก”
ฟีเรียสยิ้ม... เหมือนคนกำลังจะร้องไห้