รามิเรส : บทที่ 33 (จบ) และบทส่งท้าย (30 ธ.ค.57) แจ้งข่าวหนังสือ หน้า 1 ค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รามิเรส : บทที่ 33 (จบ) และบทส่งท้าย (30 ธ.ค.57) แจ้งข่าวหนังสือ หน้า 1 ค่ะ  (อ่าน 345309 ครั้ง)

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
Re: รามิเรส : บทที่ 31 (3 ธ.ค. 57) หน้า 25
«ตอบ #750 เมื่อ12-12-2014 00:24:41 »

รอๆๆ

ออฟไลน์ ชุน

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-1
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #751 เมื่อ12-12-2014 17:26:42 »

บทที่ ๓๒.๑



   วิหารนอกเมืองเป็นสถานที่กว้างขวางและเงียบสงบ มีต้นไม้ให้ความร่มรื่นอยู่แทบทุกบริเวณ มีบรรยากาศที่ชวนให้ผู้มาเยือนรู้สึกผ่อนคลาย ทว่าฟีเรียสไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะสงบ ร่มรื่น หรือผ่อนคลาย เขากำลังกลัว และความรู้สึกนั้นก็แสดงออกมาทางหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นจนแทบจะชนกัน

องครักษ์หนุ่มชะงักเมื่อคนดำเนินเยื้องไปข้างหน้าเล็กน้อยทรงยื่นพระหัตถ์มาข้างหลังและจับมือเขาไว้ ก่อนที่พระองค์จะทรงหันพระพักตร์มาแย้มพระสรวลให้

“แม่ข้าใจดี ไม่ต้องกลัว” มือของฟีเรียสเย็นมาก ทั้งที่ปกติจะอุ่น

ฟีเรียสไม่พูดอะไร รู้สึกว่าพูดไม่ออก ทั้งที่เตรียมใจมาก่อนหน้านี้หลายวันจนคิดว่า ‘พร้อมแล้ว’ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าเฝ้าจริงๆ ก็ยังคงกังวลอยู่

“ทำตัวตามปกติ ไม่ต้องเกร็ง”

เขาก็พยายามทำอยู่ เชื่อเถอะ...เขาพยายามสุดๆ แล้ว

“ยังไงข้าก็อยู่ข้างๆ เจ้าตลอดเวลา”

ฟีเรียสมองพระพักตร์อยู่ชั่วครู่ แล้วก็ยิ้มออกมาได้นิดหนึ่ง...อยากจะทำให้อีกฝ่ายสบายพระทัยมากกว่าจะรู้สึกหายกลัวแล้วจริงๆ   






สถานที่เข้าเฝ้าคือบนระเบียงหน้าเรือนพักหลังกะทัดรัดแต่งดงาม ซึ่งอยู่ถัดจากสุสานหลังวิหาร นางข้าหลวงที่ออกบวชตามเสด็จยกเครื่องดื่มและเครื่องว่างมาวางถวายบนโต๊ะกลม ถวายความเคารพแล้วจึงล่าถอยออกไปยืนห่างๆ

พระมารดาของเจ้าชายรามิเรสทรงเป็นผู้หญิงที่งามมาก แม้ว่าเวลานี้จะนุ่งขาวห่มขาว และปลงเกศาอย่างนักบวชก็ตาม เจ้าชายหนุ่มทรงรับความงามของพระมารดามาหลายส่วน ที่แน่ๆ ก็คือพระเนตร

แววพระเนตรของพระสนมเหมือนกับของเจ้าชายรามิเรส...ตอนที่พระองค์ทรงทำตัวเป็น ‘เจ้าชาย’ ไม่ใช่ ‘คนรัก’

ยังดีที่โปรดให้เขานั่ง แต่พอนั่งลงแล้วกลับใกล้ชิดกับพระองค์มากกว่าเดิมนี่ก็ไม่ค่อยดีนัก

“แม่อยากรู้เรื่องของลูกกับฟีเรียส เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมจ๊ะ ว่าพบกันตอนไหน รักชอบกันได้ยังไง”

พระสุรเสียงนุ่มนวล รอยแย้มพระสรวลอ่อนหวาน สีพระพักตร์อารี มีเมตตา ทว่าถ้อยรับสั่งเข้าเป้า พุ่งตรงประเด็นแบบไม่มีอ้อมค้อม แตกต่างจากมารดาของเขาอย่างสิ้นเชิง

ฟีเรียสไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่าพระมารดาของเจ้าชายรามิเรสจะเป็นผู้หญิงเช่นนี้

แปลกที่แทนที่เขาจะโล่งใจ กลับรู้สึกหน่วงๆ อย่างไรชอบกล

มองไปทางเจ้าชายหก ก็เห็นว่ามีลักษณะคล้ายๆ กัน บางทีเขาอาจจะคิดไปเองก็ได้ ที่รู้สึกว่ากำลังนั่งอยู่ระหว่างผู้ทรงปัญญาสองคนที่เหมือนจะรู้ทันกันอยู่ตลอดเวลา โดยมีเขานั่งโง่ๆ อยู่คนเดียว

เจ้าชายหกกราบทูลพระมารดาไปตามตรง ตัดเฉพาะฉากสำคัญแต่ไม่มีการบิดเบือนข้อมูลเลยแม้แต่จุดเดียว

“ไม่นึกเลยว่าลูกจะมีคนรักเป็นผู้ชาย แต่เท่าที่ฟังมา ฟีเรียสก็น่าเอ็นดูจริงๆ”

ฟีเรียสฟังแล้วก็เครียด เขาน่ะหรือ...น่าเอ็นดู พระสนมรับสั่งยังไม่พอ เจ้าชายหกยังหันมาแย้มพระสรวลให้เขาราวกับจะสนับสนุนเสียอีก

“นอนด้วยกันไปแล้วหรือยังจ๊ะ”

องครักษ์หนุ่มรู้สึกเหมือนอะไรติดคอ อยากจะส่งเสียงแต่ก็ไม่กล้า จึงได้แต่กลั้นเอาไว้จนหน้าแดง

“หลายครั้งแล้วพระเจ้าค่ะ”

รายนี้บางทีก็...พระพักตร์หนาเกิน

“แสดงว่าถึงเป็นผู้ชายเหมือนกันก็ไม่มีปัญหาสินะ”

“ไม่มีพระเจ้าค่ะ”

ไม่ต้องตอบรับทุกคำขนาดนั้นก็ได้ บางทีพระสนมอาจจะแค่ทรงเปรย

“ลูกชอบเขาตรงไหน”

คำถามนี้ แม้แต่องครักษ์หนุ่มเองก็กลั้นหายใจรอฟัง เจ้าชายรามเรสแย้มพระสรวลอ่อนโยน ตรัสตอบเนิบๆ

“อะไรที่รวมกันแล้วเป็นเขา หม่อมฉันก็ชอบทั้งหมดพระเจ้าค่ะ”

ฟีเรียสมองสบสายพระเนตรเนิ่นนานอย่างลืมตัว เขาเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ ว่าคำว่าชอบของเจ้าชายหกแห่งไมซีนมีความหมายมากมายขนาดนี้

“แล้วเจ้าล่ะ ชอบลูกชายข้าตรงไหน”

หลายวันที่ใช้เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจ เขาไม่ได้เตรียมคำตอบสำหรับคำถามนี้มา เวลานี้จึงได้แต่อึกอัก นั่งนิ่งเหมือนคนเบื้อใบ้ แม่ชีตรัสถามเขาอย่างกะทันหันเกินไป เขานึกหาคำตอบไม่ทัน

“กระหม่อม...” ยิ่งร้อนรนยิ่งลนลาน คิดไม่ออก

ยิ่งเห็นว่าเจ้าชายหนุ่มก็กำลังทรงรอ เขายิ่งรู้สึกกดดัน

ฟีเรียสเป็นคนจริงจัง เขาตอบเหมือนกับเจ้าชายรามิเรสไม่ได้ ต่อให้เขาชอบทั้งหมดของอีกฝ่ายเหมือนกัน เขาก็ต้องแจกแจงออกมาเป็นข้อๆ ให้ชัดเจน

“คิดไม่ออกว่าชอบตรงไหนหรือ”

พระสนมตรัสถาม และฟีเรียสก็ไม่อยากให้พระองค์ทรงรอนานกว่านี้

“กระหม่อมชอบความพยายามพระเจ้าค่ะ”

สิ้นเสียงก็มีแต่ความเงียบ ทั้งแม่และลูกทำหน้าเหมือนกันคือแปลกใจ และนั่นทำให้องครักษ์หนุ่มยิ่งเครียด เขาทูลตอบไปอีกประโยค

“เจ้าชายหกทรงอดทนกับกระหม่อมมาก”

“เจ้าชอบที่เขามีความอดทน”

ไม่รับสั่งก็แล้วไป แต่พอรับสั่งออกมา เหมือนย้ำให้เขารู้ว่า คำตอบของเขามันแย่มาก ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหน แค่คำถามง่ายๆ ก็ตอบได้ไม่ดี ก้อนความรู้สึกแข็งๆ บางอย่างก่อตัวขึ้นมาจุกอยู่ตรงอก ทว่าเมื่อเจ้าชายหกทรงจับมือเขาไว้ ฟีเรียสก็เปลี่ยนเป็นตกใจแทน ถึงเขาจะวางมือไว้บนหน้าขา แต่นั่งอยู่ด้วยกันแค่นี้ แม่ชีต้องทอดพระเนตรเห็นอยู่แล้วว่าพระโอรสกำลังทรงทำอะไร

“เอาเถอะ ความอดทนก็เป็นข้อดีของรามิเรสเหมือนกัน” เว้นวรรคไปนิดก็รับสั่งต่อ “ถึงแม้ว่าเท่าที่ข้าเห็น ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยอดทนเท่าไรแล้วก็เถอะนะ”

ฟีเรียสรีบดึงมือออกจากพระหัตถ์ เห็นสีพระพักตร์เปลี่ยนไปก็นึกเสียใจขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ก็คิดว่าเขาทำถูกแล้ว พระสนมยังไม่ได้ทรงยอมรับเขา เขาไม่อยากทำให้พระองค์ทรงตำหนิว่าทำกิริยาไม่สมควร

หลังจากนั้นพระมารดาของเจ้าชายรามิเรสก็รับสั่งเรื่องอื่นๆ กับพระโอรส รวมทั้งชวนคนรักของพระโอรสคุยด้วย ทำให้ฟีเรียสรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง แต่นั่นมันก่อนที่พระองค์จะโปรดให้เจ้าชายหนุ่มตามเสด็จเข้าไปในเรือนเพื่อรับสั่งเรื่อง ‘ส่วนตัว’ ตามลำพัง

ครู่ใหญ่ เจ้าชายหกก็เสด็จออกมา เพื่อเปลี่ยนให้องครักษ์หนุ่มเข้าไปแทน

“เจ้าแม่คงรับสั่งถามเรื่องของเราเพิ่มเติม แค่ทูลตอบไปตามตรงก็พอ ไม่ต้องกลัว”

ดูจากสีพระพักตร์ไร้กังวลของพระองค์แล้วมันก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ฟีเรียสรู้ดีว่าคนรักของเขาพระทัยเย็น เรื่องไม่น่ากลัวของพระองค์อาจเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับเขาก็ได้

“ตอนนี้ไม่มีใครเห็น อยากให้ข้าจูบให้กำลังใจสักทีรึเปล่า”

“ไม่ต้องพระเจ้าค่ะ”

องครักษ์หนุ่มทูลตอบเสียงขรึม แต่ให้ตายเถอะ...รับสั่งเล่นๆ ของพระองค์ช่วยให้เขาผ่อนคลายขึ้นมากทีเดียว

ราวยี่สิบนาทีต่อมา ฟีเรียสก็กลับออกมาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ แววตากังวลลึกล้ำ และคำตอบเดียวที่เขาสามารถกราบทูลเจ้าชายรามิเรสได้ก็คือ

“แค่รับสั่งถามเรื่องของเราเพิ่มเติมพระเจ้าค่ะ กระหม่อมก็ทูลตอบไปตามตรง...ไม่ต้องกลัว”

ลอกรับสั่งของเจ้าชายหนุ่มมาเปี๊ยบ






ราวหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฟีเรียสมีวันหยุด เขาไปเยี่ยมจิลเวลและดีลุคซซึ่งเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนองครักษ์ ขณะนั้นโรงเรียนกำลังซ่อมแซมและทาสีตึกพักใหม่ องครักษ์หนุ่มเข้าไปดูห้องที่เขาเคยพัก ขณะที่กลับออกมา ก็ถูกกระถางต้นไม้ที่อยู่บนระเบียงชั้นสามตกลงมาใส่ศีรษะอย่างแรงจนถึงกับสลบไปต่อหน้าต่อตาจิลเวล

ผู้อำนวยการโรงเรียนรีบให้คนไปกราบทูลเจ้าชายหกทันทีเพราะเกรงจะมีความผิด

เจ้าชายรามิเรสเสด็จมาถึงโรงเรียนอย่างรวดเร็ว ขณะนั้นฟีเรียสนอนอยู่ที่ห้องพยาบาลและฟื้นแล้ว

ข่าวดีก็คือ เนื่องจากกระถางมีน้ำหนักเบาเพราะไม่ได้ใส่ดินไว้ ดังนั้นแม้จะมีเลือดออกแต่ก็ไม่ถึงกับต้องเย็บ

ข่าวร้ายก็คือ...ความทรงจำขององครักษ์หนุ่มหยุดอยู่แค่ตอนเป็นนักเรียนองครักษ์...ก่อนหน้าที่จะได้พบกับเจ้าชายหกแห่งไมซีนในคืนนั้น ที่บ้านของผู้อำนวยการโรงเรียน

ฟีเรียสดูงงๆ ปนๆ เครียด เมื่อรู้ว่าตัวเองเรียนจบแล้ว และได้เป็นองครักษ์ของเจ้าชายรามิเรส เขาเบิกตากว้างอย่างระแวงสงสัยเต็มที่ เมื่อเจ้าชายหนุ่มรับสั่งบอกเขาว่า เขาเป็นคนรักของพระองค์

“กระหม่อม...จำไม่ได้พระเจ้าค่ะ”

ฟีเรียสไม่พูดอะไรมาก เขาได้แต่ย้ำประโยคนี้ซ้ำๆ และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากจะฟังใครให้ข้อมูลอะไรอีกตอนนี้

“อย่างนั้นก็กลับไปพักผ่อนที่บ้านเถอะ”

“บ้าน?”

“ตำหนักของข้า...บ้านเรา”

องครักษ์หนุ่มนิ่งเงียบไปหลายอึดใจ สายตาที่มองสบสายพระเนตรดูระแวงสงสัยไม่รู้จบ

“กระหม่อม...ขออยู่ที่นี่พระเจ้าค่ะ” เขามองไปทางอดีตหัวหน้าชั้นปีของตนเอง แต่จิลเวลไม่อยู่ในสถานะที่จะพูดอะไรได้ ในสถานที่ที่มีทั้งเจ้าชายและผู้อำนวยการโรงเรียนอยู่แบบนี้

“จะอยู่ในฐานะอะไร”

“ถ้ากระหม่อมเรียนจบแล้วจริง ก็ขอเป็นครูอยู่ที่นี่ก็ได้พระเจ้าค่ะ”

“ขอเป็นไม่ได้ อยากจะเป็นครูก็ต้องสอบ”

“ถ้าอย่างนั้น...” องครักษ์หนุ่มหันไปทางผู้อำนวยการโรงเรียน

“ตำแหน่งครูที่นี่ยังมีที่ว่างอยู่อีกรึเปล่า ท่านทีมัส”

คนถูกถามมองพระพักตร์ ความมากประสบการณ์ในการอ่านพระประสงค์ของ ‘เบื้องบน’ ทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าต้องทูลตอบว่าอะไร

“ตำแหน่งเต็มแล้ว คงยังไม่เปิดสอบอีกหลายปีพระเจ้าค่ะ”

ฟีเรียสนิ่งอึ้ง อึดอัดใจ

“อย่างนั้นกระหม่อมขอเป็นนักเรียน...” คำกราบทูลหยุดชะงักเมื่อเห็นรอยแย้มพระสรวลราวกับขำขัน

“เจ้าเรียนจบแล้ว จะเป็นอีกคงไม่ได้”

เมื่อทอดพระเนตรเห็นสีหน้าอับจนหนทางของอีกฝ่าย เจ้าชายหนุ่มก็โปรดให้คนอื่นๆ ออกไปจากห้องก่อน

“ขอบใจพวกท่านมาก ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว เดี๋ยวข้าจะพาเขากลับไปเอง”

สีหน้าของคนเจ็บที่เหมือนเด็กมองตามแม่ไม่ได้ทำให้เจ้าชายหนุ่มทรงสงสาร ตรงข้าม กลับขัดพระทัยเสียอีก

“เจ้าเป็นของข้าแล้ว”

ถ้อยรับสั่งทำให้ฟีเรียสหันมองพระพักตร์ เขาคิดว่าพระองค์อาจจะตกคำว่า ‘องครักษ์’

“ถึงความจำจะหายไป แต่อย่างน้อยก็ต้องมีความเคยชินหลงเหลืออยู่ เจ้ากลับไปพักผ่อนให้สบายก่อน  หายแล้วค่อยทำหน้าที่เหมือนเดิม ข้าจะให้คนมาสอนงานให้ เรื่องฝีมือก็ไม่ต้องห่วง” มุมพระโอษฐ์พลันปรากฏรอยแย้มพระสรวลนิดๆ เมื่อรับสั่งถึงตรงนี้

“ถ้าฝีมือไม่ดีจริง ข้าไม่เลือกมาเป็นองครักษ์แน่”

“แต่ฝ่าบาทรับสั่งว่า กระหม่อมเป็น...” เขาหยุดเพื่อให้อีกฝ่ายทรงต่อ ทว่าเมื่อไม่ยอมรับสั่ง เขาจึงต้องพูดคำนั้นเสียเอง “คนรักของฝ่าบาท กระหม่อม...จำไม่ได้ และคงจะทำให้ฝ่าบาททรงอึดอัดพระทัยพระเจ้าค่ะ”

“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วง มันเป็นอุบัติเหตุ แค่เจ้าบาดเจ็บก็นับว่าเคราะห์ร้ายมากแล้ว เรื่องความจำเสื่อมเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดของเจ้า กลับไปกับข้า แล้วเราจะค่อยๆ ทำให้ความทรงจำของเจ้ากลับมาด้วยกัน”

ทั้งถ้อยรับสั่ง สีพระพักตร์ พระสุรเสียง ล้วนแต่ดูน่าเชื่อถือมาก ทว่าฟีเรียสยังคงไม่สบายใจ

“กระหม่อมจะ...ขอประทานพระอนุญาต ทูลลากลับไปบ้านก่อนได้หรือไม่พระเจ้าค่ะ”

เจ้าชายหนุ่มทรงนิ่งคิด การกลับบ้านในเวลาอย่างนี้ก็อาจจะดี เพราะบ้านคือที่พักใจ แต่ในเมื่อพระองค์กับเขามี ‘บ้าน’ ด้วยกันอยู่แล้ว จะทรงปล่อยให้เขาไปอยู่ที่อื่นได้ยังไง

“ถ้าคิดว่าจะไปถามความจริงจากแม่และน้องสาวของเจ้าก็ไม่จำเป็น เจ้าอ่านเอาจากจดหมายที่เฟย์เขียนมาหาได้ หรือถ้าสงสัยอะไรก็เขียนไปถาม”

ดูจากสีหน้าแล้ว ฟีเรียสคงกำลังพยายามหาทางเลี่ยงไม่กลับพระตำหนักอีก เจ้าชายรามิเรสจึงทรงประมวลเหตุผลและสรุปในคราวเดียว

“เจ้าเพิ่งกลับบ้านไป” ที่จริงก็นานพอสมควรแล้ว แต่ในเมื่อจำไม่ได้ ก็ยกผลประโยชน์ให้พระองค์ก็แล้วกัน “จะกลับไปอีกคงไม่เหมาะ เพราะเจ้าบอกข้าอยู่บ่อยๆ ว่าถึงเป็นคนรักกันก็ไม่อยากใช้อภิสิทธิ์ ในด้านหน้าที่การงาน เจ้าเป็นองครักษ์ การลากลับบ้านนานๆ ทำให้ข้าขาดองครักษ์ไปทั้งที่จ่ายเงินเดือนเต็มเดือน หรือถ้าเจ้ายินดีจะให้ข้าหักเงินเดือน ข้าก็ขอเตือนไว้ก่อนว่า เจ้าติดหนี้ข้าก้อนโต...เจ้าอาจจำไม่ได้ แต่เรื่องนี้มีหลักฐาน กลับไปแล้วจะเอาให้ดู ถ้าเจ้าขาดงานหลายวัน ข้าคิดว่าเจ้าจะหาเงินมาใช้หนี้ข้าได้ล่าช้าออกไปอีก เพราะฉะนั้นก็กลับไปด้วยกันก่อน จะกลับบ้านหรือไปไหนก็เอาไว้ค่อยพูดกันทีหลัง”

ฟีเรียสอยากจะทูลถามว่า เขากับพระองค์เป็น ‘คนรัก’ กันแน่หรือ ทำไมถึงรับสั่งเหมือนพ่อค้าเงินกู้ขนาดนี้

อย่างไรก็ดี เขาไม่ได้พูดอะไร และแน่นอนว่าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากกลับไปกับพระองค์






กลับถึงพระตำหนัก องครักษ์ผู้สูญเสียความทรงจำไปช่วงหนึ่งก็มีปัญหาอีก

“กระหม่อมพักห้องนี้หรือพระเจ้าค่ะ”

“ใช่ หรือถ้ารู้สึกว่าไม่คุ้น ไม่ชอบ ก็ยังมีให้เลือกอีกห้องหนึ่ง”

“ห้องไหนพระเจ้าค่ะ”

“ห้องข้า”

“...”

เจ้าชายรามิเรสไม่ได้รับสั่งอธิบายเรื่องคดีความของฟีเรียสกับวิลให้ยุ่งยาก เหตุผลที่พระองค์ประทานให้คนรักที่ความจำเสื่อมบางส่วนฟังก็คือ คนรักกันก็ต้องอยู่ใกล้ๆ กันเป็นธรรมดา

ฟีเรียสไม่ได้ยอมง่ายๆ เขาพยายามหาเหตุผลมากราบทูลเพื่อจะได้อยู่ตึกพักองครักษ์ แต่ไม่ว่าอย่างไร ผลก็คือ เขาเปลืองน้ำลายเปล่า

“ธอมัสจะเป็นคนอธิบายเรื่องต่างๆ ที่สำคัญให้เจ้าฟัง อาเรห์จะบอกเกี่ยวกับหน้าที่ขององครักษ์” ทรงหมายถึงองครักษ์ประจำพระองค์นายหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับฟีเรียส “ส่วนเรื่องระหว่างเจ้ากับข้า ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเอง” หยุดแย้มพระสรวลนิดหนึ่งแล้วค่อยรับสั่งต่อ “ทุกวัน วันละสักชั่วโมง เพื่อไม่ให้เจ้าต้องรับข้อมูลมากเกินไปในเวลาสั้นๆ”

ฟีเรียสขยับปาก อยากจะทูลถามขึ้นมาเป็นกำลัง ว่าการที่คนรักของพระองค์ความจำเสื่อม จำเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ไม่ได้เลยนี่ไม่ได้ทำให้พระองค์ทรงเศร้า สลด เดือดร้อน กังวล หรือว่าอะไรที่ใกล้เคียงบ้างเลยหรือ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา เขาก็เห็นพระองค์ทรงทำอยู่หน้าเดียว...คือหน้าแบบคนมั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ต้องการ

“มีอะไรจะถามข้าไหม”

“แค่เล่าเรื่อง...อย่างเดียวหรือพระเจ้าค่ะ”

คนฟังทรงขมวดพระขนง ครุ่นคิดอยู่ครู่จึงนึกออกว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังกังวลเรื่องอะไร

“แรกๆ ก็คงจะแค่นั้นไปก่อน แต่ถ้าเจ้ายังนึกเรื่องของเราไม่ออกเลย...อาจจะต้องกระตุ้นด้วยการสัมผัส”

องครักษ์หนุ่มยืนนิ่งขึง คนทอดพระเนตรเห็นจึงแย้มพระสรวลละมุน

“ข้ารับรองว่าจะไม่ฝืนใจเจ้า ไม่ต้องกังวล”

เมื่อฟีเรียสไม่มีอะไรจะทูลถามแล้ว เจ้าชายรามิเรสก็โปรดให้เขาพักผ่อนอยู่ที่ห้องและกำชับให้กินยาแก้ปวดหลังอาหารด้วย เสด็จ
ไปถึงประตูแล้วจึงหันกลับมารับสั่งอย่างคนที่เพิ่งนึกขึ้นได้

“ข้าลืมบอกเจ้า ว่าธอมัสกับอาเรห์จะคุยกับเจ้าทีหลัง เรจินทำให้ข้ามีวันว่างสามวัน พรุ่งนี้เราจะไปบ้านริมผากัน ข้ากับเจ้าจะได้อยู่
ด้วยกันตามลำพังสามวัน หวังว่าจะทำให้เจ้าจำเรื่องของเราได้บ้าง”

ลืมบอก...หรือตั้งใจบอกทีหลังกันแน่!





*****************************************





การใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังเป็นเวลาสามวันตลอดเวลานั้นไม่ได้ทำให้ฟีเรียสลำบากใจอย่างที่นึกกังวลจนนอนไม่หลับ เจ้าชายรามิเรสไม่ได้ทรง ‘รุก’ จนเขารับไม่ทัน พระองค์ไม่ได้ทรง ‘แตะเนื้อต้องตัว’ เขาเลย แต่ละวันผ่านไปด้วยการกินข้าวด้วยกัน รดน้ำต้นไม้ ทำสวน อ่านหนังสือ นอนกลางวัน ไปเที่ยวตลาด เข้าร้านโน้น ออกร้านนี้ เดินดูของต่างๆ ถ้าไม่ชอบก็แค่ดู ถ้าชอบก็ซื้อ ถ้าชอบ...แต่บอกว่าไม่ชอบ...แล้วเจ้าชายหกไม่ทรงเชื่อว่าเขาไม่ชอบ พระองค์ก็ซื้อประทานให้ รับสั่งว่า

“เมื่อก่อนเจ้าไม่ชอบให้ข้าซื้อของให้เจ้า ข้าก็พยายามจะไม่ซื้อเพราะว่าตอนจีบก็อยากจะเอาใจ แต่ตอนนี้เจ้าจำไม่ได้ ก็ถือว่าเราเป็นแค่เจ้าชายกับองครักษ์ เจ้าไม่ควรปฏิเสธ ‘ของประทาน’ จากเจ้าชาย มันเป็นมารยาท”

บ่ายวันนั้นฟีเรียสได้หนังสือแนวที่เขาชอบอ่านมาประมาณยี่สิบเล่ม

ฟีเรียสที่สูญเสียความทรงจำได้เจอกับเด็กหญิงพรีเชียสเป็นครั้งแรก เมื่อเจ้าชายหกทรงพาเขาไปกินอาหารที่ร้านของนาง พระองค์รับสั่งบอกเขาว่า

“ไม่จำเป็นต้องให้นางรู้ว่าเจ้าจำนางไม่ได้ ทำเหมือนจำได้ นางพูดอะไรก็ตอบนางไปตามที่คิด ถ้านางถามเรื่องอะไรที่เจ้าจำไม่ได้ ข้าจะช่วยตอบให้”

เด็กหญิงช่างเจรจาเล่าเรื่อง ‘พี่นีน่า’ ให้ ‘พี่ราม’ และ ‘พี่ฟี’ ฟังจ้อยๆ ตอนที่กำลังไม่มีลูกค้า และมารดาของนางก็ไม่ได้เรียกใช้ให้ไปทำอะไร เพราะรู้ว่าลูกสาวจะได้ทิปติดไม้ติดมือมาเป็นจำนวนมากทุกครั้งที่ไปคุยเล่นเป็นเพื่อน ‘คุณชายทั้งสองท่าน’

“พี่นีน่ามีคนมาชอบเยอะนะคะ แต่พี่นีน่าไม่ชอบใครเลยสักคน นางบอกข้าว่าไม่เคยลืมพี่ฟีเลย ข้าบอกไปว่าพี่ฟีมีคนรักแล้ว แต่นางก็บอกว่าไม่เชื่อ จนกว่าจะได้เห็นด้วยตัวเองค่ะ”

ฟีเรียสยิ้มนิดๆ ให้เด็กหญิง เขาตอบอะไรไม่ได้เพราะไม่รู้จะตอบยังไง

“คนที่มาจีบนาง มีคนที่เจ้าคิดว่าดีมากๆ บ้างไหม” เจ้าชายรามิเรสตรัสถาม

“อืม ก็มีนะคะ ชื่อพี่นอกซ์ ใจดีแล้วก็ขยันมากด้วยค่ะ แต่แม่พี่นีน่าไม่ค่อยชอบเท่าไรเพราะว่าจน”

“เจ้าทำให้สองคนนี้ชอบกันได้ไหม”

“หา! ข้าเหรอ”

เจ้าชายหกทรงพยักพระพักตร์ ขณะฟีเรียสมองพระองค์แล้วก็นิ่วหน้า หลุดปากออกไปว่า

“คิดจะทำอะไรครับ”

คนถูกถามเพียงแย้มพระสรวล ไม่ตรัสตอบ

“ทำไม่ได้หรือ”

นับว่าถามได้ถูกต้อง เพราะเด็กสาวเชิดหน้าขึ้นมาทันที

“ทำแล้วข้าจะได้อะไรล่ะคะ”

“เจ้าเห็นร้านนั้นไหม” เจ้าชายรามิเรสทรงชี้ไปทางร้านอาหารร้านใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

“เห็นมาตั้งแต่เกิดแล้วล่ะค่ะ แม่บอกว่าเปิดมาตั้งยี่สิบปีแล้ว พี่รามถามทำไมคะ”

“ถ้าเจ้าทำให้พี่นีน่าของเจ้าแต่งงานกับพี่นอกซ์ หรือผู้ชายดีๆ คนอื่นสักคนได้ ข้าจะสร้างร้านใหม่ให้เจ้า เอาให้ใหญ่เท่ากับร้านนั้นเลย ดีไหม”

เด็กหญิงพรีเชียสตาโต ตื่นเต้นจนเสียงสั่น

“จริงนะ พี่รามไม่หลอกข้าแน่นะคะ”

เจ้าชายเจ้ากรมสรรพาวุธแย้มพระสรวล “อืม”

“...ต้องมีค่ามัดจำก่อน...”

“ไม่มีหรอก” รับสั่งทั้งที่ยังแย้มพระสรวลนิดๆ อยู่ “ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ก็ไม่ต้องทำก็ได้ แต่ถ้าอยากได้ ก็ต้องเชื่อใจพี่”

คราวนี้เด็กหญิงคิดนาน

“กลับไปคิดดูก่อนก็ได้”

“...พี่ไม่หลอกข้าแน่นะ”

“อืม”

พรีเชียสไม่ได้ถวายคำตอบทันที แต่ฟีเรียสมองสีหน้าและสายตาของเด็กหญิงแล้วก็สรุปได้ทันทีว่า สำเร็จเก้าสิบเปอร์เซ็นต์






“ฝ่าบาทรับสั่งจริงหรือพระเจ้าค่ะ”

องครักษ์หนุ่มทูลถาม เมื่อออกจากร้านของเด็กหญิงวัยสิบขวบและกำลังเดินไปขึ้นม้าที่ผูกไว้ใต้ต้นไม้กับเจ้าชายหนุ่ม

“ข้าไม่หลอกเด็ก”

“ทรง...ทำไปทำไมพระเจ้าค่ะ”

“สงสารพี่นีน่าของนาง ไม่อยากให้นางหลงรอคนที่จะไม่มีวันรักนางตอบ”

“ทรงมั่นพระทัยได้ยังไงพระเจ้าค่ะ ว่ากระหม่อมจะไม่ชอบนาง”

สายพระเนตรของเจ้าชายรามิเรสมีความหมาย อะไรบางอย่างร้องเตือนฟีเรียสแล้วว่าควรยุติบทสนทนาเรื่องนี้เอาไว้เพียงเท่านี้ ควรกราบทูลว่าเขาไม่อยากจะรู้แล้ว แต่ปากกลับยังไม่ขยับ

“เจ้าเคยถามข้าว่าข้าหึงเจ้ากับนางไหม ข้าตอบว่าใช่ ถึงเจ้าจะจำไม่ได้ แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าเสียใจ”

ฟีเรียสเกือบจะรักษาสีหน้าเรียบเฉยอย่างคนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเอาไว้ไม่ได้

“...กระหม่อมคิดว่า ฝ่าบาททรงลงทุนมากเกินไป” เปลี่ยนประเด็นไปเป็นเรื่องอื่นเสีย จะได้ไม่เข้าตัวอีก

“ถ้าหมายถึงเรื่องเงินก็ไม่เป็นไร ถือว่าทำบุญ เผื่อกุศลของการทำให้คนได้แต่งงานกันจะทำให้ข้าได้คนรักของข้าคืนมา”

คนฟังสะท้านใจ






คืนสุดท้ายที่มาพักผ่อนที่บ้านริมผา เจ้าชายรามิเรสตรัสชวนองครักษ์ของพระองค์มานอนดูดาวที่ระเบียงห้องบรรทม ฟีเรียสขัดไม่ได้จึงต้องมา

บริเวณระเบียงมีเก้าอี้ตัวใหญ่บุผ้าฝ้ายสำหรับนั่งกึ่งนอนสองตัว มีหมอนใบใหญ่เอาไว้รองหลังสองใบ มีโต๊ะกลมตั้งอยู่ข้างเก้าอี้ตัวซ้ายหนึ่งตัว และบนนั้นมีนมอุ่นๆ สองแก้ว ฟีเรียสไม่ได้นำมาถวาย แต่พอเขามาถึงมันก็มีอยู่แล้ว แค่เขามองพระพักตร์ เจ้าชายหนุ่มก็รับสั่งราวกับจะรู้ใจ

“ข้าสั่งให้เรจินเอามาให้ นั่งลงสิ ดื่มตอนที่ยังอุ่นๆ อยู่”

ฟีเรียสคิดว่า บางทีหัวหน้าของเขาก็เหมือนภูตพราย ไปมาตอนไหนเขาก็ไม่เห็น

องครักษ์หนุ่มค้อมศีรษะถวายคำนับอย่างเป็นพิธีการ ทูลขอบพระทัย แล้วจึงนั่งตัวตรง พึมพำขอบพระทัยอีกรอบ เมื่ออีกฝ่ายทรงยื่นแก้วนมประทานให้ และเพราะพระองค์ทรงจับกลางแก้ว เขาจึงต้องรับสองมือ คือจับใกล้ๆ กับปากแก้ว และจับใกล้ๆ กับก้นแก้ว
พยายามแล้ว แต่มือก็ยังสัมผัสกับพระหัตถ์

ฟีเรียสมองพระพักตร์ เจ้าชายหกแย้มพระสรวลนิดๆ เป็นปกติ

“ขอโทษ”

แววตาของคนฟังมีรอยหวั่นไหว ก่อนจะเม้มปากนิดๆ แล้วหลุบตาลง ถ้าไม่มีชนักติดหลังอยู่ เขาคงไม่ ‘รู้สึก’ ถึงขนาดนี้

“นั่งให้สบายๆ เถอะ ไม่ต้องเกร็ง”

“กระหม่อมนั่งอย่างนี้ก็สบายแล้วพระเจ้าค่ะ”

“ถ้าไม่เอนหลังพิงหมอน ข้าจะสั่งให้เจ้ามานอนเตียงเดียวกัน”

สีหน้าของคนฟังครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง ทว่าเมื่อนึกขึ้นได้ ก็รีบปรับสีหน้าให้เรียบเฉยอย่างที่ควรจะเป็น และนั่งในท่าที่ผ่อนคลายขึ้น

เจ้าชายรามิเรสแย้มพระสรวลนิดหนึ่ง แล้วก็ทรงดื่มนมของพระองค์ไป ไม่ได้รับสั่งอะไรอีก ที่เคยรับสั่งว่าจะทรงเล่าเรื่องในอดีตให้องครักษ์หนุ่มฟังวันละหนึ่งชั่วโมงนั้น เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียว บางทีพอได้ทำอะไรที่เคยทำ พระองค์ก็จะรับสั่งเล่าย้อนให้ฟังบ้างเป็นระยะ ส่วนเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ว่า ก็อาจจะแค่ต่างคนต่างนั่งอ่านหนังสือในห้องเดียวกันเงียบๆ หรือนั่งดูดาวด้วยกันอย่างคืนนี้

แค่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังเท่านั้น

เวลาผ่านไปนานเข้า ฟีเรียสก็ลืมเกร็ง เขาปล่อยตัวตามสบาย อยากจะซึมซับความสงบนี้เอาไว้ ก่อนจะต้องระมัดระวังทุกการกระทำและคำพูดอยู่ตลอดเวลาอีกครั้ง

“ฟีเรียส”

เจ้าของชื่อเกร็งตัวขึ้น นั่งตัวตรงทันที

“นอนลงไปนั่นล่ะ”

องครักษ์หนุ่มไม่อยากจะทำตามเลย แต่ตอนนี้เขาเป็นเพียงองครักษ์ ไม่ใช่ ‘คนรัก’ จึงมีแต่ต้องทำตามรับสั่งเท่านั้น เจ้าชายรามิเรสได้ไม่หันมามองเขาเลย ขณะรับสั่งถาม

“เจ้าอยากจะได้ดาวสักดวงไหม”

“...”

“เล็งดวงที่เจ้าชอบเอาไว้ แล้วยื่นมือออกไปข้างหน้าสิ”

เจ้าชายหกแห่งไมซีนทรงเห็นเขาเป็นเด็กเล็กๆ หรือยังไง แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของเจ้าชาย ก็ต้องทำตาม

“กางนิ้วออกกว้างๆ ยื่นแขนออกไปให้สุด ตั้งใจให้ดี”

ถ้อยรับสั่งนุ่มๆ นั้นราวกับมีมนต์ขลัง จากที่คิดว่าเป็นแค่เรื่องหลอกเด็ก ฟีเรียสกลับตั้งใจทำขึ้นมาจริงๆ

“แล้วก็คว้ามันมา”

องครักษ์หนุ่มค่อยๆ งอนิ้วเข้าหากัน

สิ่งที่เขาคว้ามาได้...คือพระหัตถ์ของเจ้าชายหกแห่งไมซีน

คนถูกหลอกให้ประสานมือด้วยหันไปมองพระพักตร์ของคนที่เอามือเขาไปวางไว้บนพระนาภีของพระองค์หน้าตาเฉย เจ้าชายหนุ่มทรงหันมามองยิ้มๆ

แลดูเจ้าเล่ห์อย่างบอกไม่ถูก

“เสียใจรึเปล่า”

“เรื่องอะไรพระเจ้าค่ะ” เรื่องที่ถูกหลอกน่ะหรือ

“ที่ไม่ได้ดาว”

เขาไม่ใช่เด็กสามขวบ จะได้เชื่อ ถ้าคว้ามาได้จริงๆ สิ...ถึงตอนนั้นค่อยตกใจ

“เจ้าอาจจะคว้าดาวไม่ได้ แต่เจ้าได้ข้า”

หัวใจของคนฟังสั่นสะท้าน

“ข้าจะจับมือเจ้าแล้วพาเจ้าไปเอง”

“ไปไหนพระเจ้าค่ะ”

“ไปให้ถึงดวงดาว”

ยังซึ้งอยู่ แต่เมื่อมองแววประหลาดในสายพระเนตรนานเข้า ก็รู้สึกว่าชักจะทะแม่งๆ ไม่ได้การเสียแล้ว

“ไปกันไหม”

“ไม่ไปพระเจ้าค่ะ” คนถูกชวนทูลตอบเสียงแข็ง

“แต่เจ้าหน้าแดง...แสดงว่าจำได้บ้างแล้วใช่ไหม”

ฟีเรียสเพิ่งรู้สึกตัว สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาขยับมือ...ปล่อยสิ่งที่เขาคว้ามาได้ให้หลุดมือไป องครักษ์หนุ่มลุกขึ้นยืนตัวตรง หน้าขรึม

“กระหม่อมยังจำไม่ได้ ขอประทานอภัยพระเจ้าค่ะ หากฝ่าบาทไม่ทรงมีเรื่องอะไรจะให้กระหม่อมทำถวายอีก กระหม่อมก็ขอทูลลากลับห้องพระเจ้าค่ะ”

เจ้าชายหกทอดพระเนตรคนที่ฝืนมองสบตากับพระองค์ด้วยสีหน้าที่พยายามทำให้ดูเหมือนไร้ความรู้สึกอยู่ชั่วอึดใจ

“ไปเถอะ”

องครักษ์หนุ่มค้อมตัวลงถวายความเคารพและหันกลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็นความเจ็บปวดในดวงตา

เขารู้แล้ว ว่าวิธีที่จะทำให้ได้เจ้าชายหกแห่งไมซีนมาไว้ในกำมือนั้นไม่ยากเลย สิ่งที่ยาก...คือวิธีที่จะเก็บรักษาพระองค์เอาไว้ให้อยู่กับเขาไปนานๆ ต่างหาก





******************************************



บทที่ 32 ยาวหน่อย ขอแบ่งครึ่งค่ะ ครึ่งหลังจะตามมาเร็วๆ นี้
ส่วนตอนพิเศษไม่มีนะคะ
หลังจากบทที่ 33 แล้วก็จะมีบทส่งท้ายอีกนิดนึงค่ะ


ออฟไลน์ IIMisssoMII

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-2
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #752 เมื่อ12-12-2014 17:47:01 »

ชอบเวลาองชายจีบนี่แหละ

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #753 เมื่อ12-12-2014 18:34:40 »

ฟีเรียสจำไมได้จริงๆเหรอคะ...

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #754 เมื่อ12-12-2014 18:56:15 »

เหมือนว่าจะเริ่มจำได้แล้วนะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #755 เมื่อ12-12-2014 19:17:30 »

เข้าไปคุยอะไรกับพระสนมถึงได้แกล้งความจำเสื่อม

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #756 เมื่อ12-12-2014 19:25:08 »

เป็นแผนการอะไรหรือเปล่านะ

ออฟไลน์ Takarajung_TK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 931
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-2
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #757 เมื่อ12-12-2014 19:27:26 »

ทำไมอ่านแล้วรู้สึกว่าฟีเรียสไม่ได้ความจำเสื่อม
แม่ขององค์ชายหกให้ทดสอบอะไรรึเปล่า

ออฟไลน์ uknowvry

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +284/-6
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #758 เมื่อ12-12-2014 20:40:37 »

ทำไมเลือกวิธีนี้อ่า.... ไม่ได้ความจำเสื่อมจริงๆใช่มั้น

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #759 เมื่อ12-12-2014 21:16:35 »

ไม่ว่าจะความจำเสื่อมจริง หรือฟีเรียสแค่ทดสอบ

แต่เจ้าชายยังทรงมีมุกที่ทำห้คนอ่านจิกหมอนอิ๊อ๊างได้ตลอดนะคะ ชอบตอนหลอกให้คว้าดาวอ่ะ โอย ตายย :o8: :jul1:

น่ารักแท้ อิจฉาฟีเรียสงะ  :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
« ตอบ #759 เมื่อ: 12-12-2014 21:16:35 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #760 เมื่อ12-12-2014 21:26:17 »

ความจำเสื่อม!!! ??


 :a5:

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #761 เมื่อ12-12-2014 21:44:53 »

ีฟีเรียสหลอกเจ้าชายไม่ได้หรอก
องค์ชายก็หยอดตลอด เขินแทน

ออฟไลน์ mur@s@ki

  • อยากรัก..แต่ใจไม่กล้า
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1899
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-5
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #762 เมื่อ12-12-2014 22:37:30 »

เราว่าเจ้าชายรู้ทันแต่แรกแล้วล่ะ
คุณแม่สามีมีเอี่ยวใช่มั้ยฟีเรียส

 :กอด1:

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #763 เมื่อ12-12-2014 23:21:08 »

สงสัยแม่องค์ชายอ่ะ  o18

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #764 เมื่อ12-12-2014 23:25:58 »

ทำไมฟีเรียสทำงี้อ่ะ แต่คงจะเจ็บปวดใจอยู่เหมือนกัน
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ

ออฟไลน์ NIMME

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #765 เมื่อ13-12-2014 01:10:38 »

ฟีเรียสหลอกเหรอ

ออฟไลน์ Ta_ii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #766 เมื่อ13-12-2014 01:25:25 »

เดาว่าเจ้าชายรู้นะว่าเป็นแผน ส่วนฟีก็ไม่น่าจะจำไม่ได้ อาจเป็นหมากในแผนของแม่เจ้าชายป่าว :katai1:

ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #767 เมื่อ13-12-2014 01:39:34 »

เข้าใจว่าองค์ชายน่าจะรู้นะว่า ฟีเรียสไม่ได้ความจำเสื่อม

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1389
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #768 เมื่อ13-12-2014 01:57:03 »

หืมมมมมมมมม ความจำเสื่อมมมม ไม่นะๆๆๆๆ ล้อเล่นกันใช่มั้ยยยยย :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ Zelsy

  • เพราะ "รัก" คำเดียวเท่านั้น
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-2
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #769 เมื่อ13-12-2014 05:34:33 »

คิดว่าพระสนมนี่แหละ ตัวตั้งตัวตีเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
« ตอบ #769 เมื่อ: 13-12-2014 05:34:33 »





ออฟไลน์ Phut

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #770 เมื่อ13-12-2014 12:41:22 »

ฟีเรียสแกล้งความจำเสื่อมไปก็เท่านั้น หนีเจ้าชายไม่พ้นหรอก
 :katai2-1:

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #771 เมื่อ13-12-2014 14:11:14 »

แม่ผัวกลั่นแกล้งลูกสะใภ้เหรอ? :serius2:

สงสารฟีเรียสปนหมั่นไส้ตะหงิดๆ
เจ้าชายก็หยอดเมียต่อไป

รอครับ :katai5:

ออฟไลน์ วัวพันปี

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +540/-3
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #772 เมื่อ13-12-2014 19:43:53 »

ฟีเรียส ทำอะไรรรรรรร
ถามจริงเจ็บในหัวใจรึเปล่า?

ออฟไลน์ Infinity 888

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2026
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +157/-7
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #773 เมื่อ13-12-2014 20:10:44 »

แม่องค์ชาย ภายนอกก็ปลงทิ้งไปหลายอย่างแล้ว

ทำไม ถึงไม่ปลงเรื่องของลูกชายบ้างหนอ

ฟีเรียสเอ๋ย จะหลอกคนอย่างองค์ชายนี่คิดบ้างไหม

ทั้งฉลาด ทั้งเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ จะถูกหลอกได้ไง ยิ่งอ่านยิ่งรักองค์ชาย  :L1:

ออฟไลน์ ่patsaporn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-6
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #774 เมื่อ13-12-2014 22:16:09 »

ฟีเรียสทดสอบความอดทนเจ้าชายอีกแล้ว พระสนมสั่งหรือ หรือความจำเสื่อมจริง
ถึงเจ้าชายจะเข้มแข็งยังไงก็ต้องมีท้อบ้างล่ะนะ
เจ้าชายเก่งและฉลาดสมเป็นเจ้าชายค่ะ คนอ่านรักมาก
ชอบตอนบอกว่าเจ้าเป็นของข้า กับตอนที่ให้ฟีเรียสคว้าดาวแต่ท่านจับมือฟีเรียสเอาไว้
ฮาตอนท่านบอกแม่ว่านอนกันหลายครั้งแล้ว ฟีเรียสบ่นในใจว่าทรงด้าน 555
ขอให้หายไวๆ นะฟีเรียส

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ Maxshu

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #775 เมื่อ14-12-2014 00:09:37 »

ขอคำถามตัวโตๆเลยค่ะว่า


"ฟีเรียสความจำเสื่อมแน่นะ?"

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #776 เมื่อ15-12-2014 02:31:53 »

เห้อไม่ไหวๆ

ออฟไลน์ himoru

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (12 ธ.ค. 57) หน้า 26
«ตอบ #777 เมื่อ15-12-2014 15:56:48 »

เกิดอะไรขึ้น ฟีเรียสสสสสส
บอกฉันมาาาาาาา
ทำไมคุยเสร็จแล้วกลายเป็นแบบนี้
ฮึกกกกกกกกก

ออฟไลน์ ชุน

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-1
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (15 ธ.ค. 57) หน้า 27
«ตอบ #778 เมื่อ15-12-2014 17:44:53 »

บทที่ ๓๒ (ต่อ)


ฟีเรียสเพิ่งจะสูญเสียความทรงจำไปได้แค่เจ็ดวันเท่านั้น แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นโรคนี้มานานเหลือเกิน เขากลับมาทำงานตามปกติแล้ว เพื่อนร่วมงานไม่มีใครพูดเรื่องความจำเสื่อมกับเขา จะเป็นเพราะไม่รู้หรือเจ้าชายรามิเรสตรัสสั่งเอาไว้ว่าไม่ให้พูด เขาก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า ทั้งที่เขาควรจะสบายใจขึ้น เขากลับยังอึดอัดใจอยู่เหมือนเดิม

ไม่แปลกที่เขาจะรู้จักเพื่อนร่วมงานทุกคน เพราะอาเรห์ เพื่อนร่วมรุ่นของเขาซึ่งเป็นคนหนึ่งที่รู้ว่าเขาสูญเสียความทรงจำเป็นคนให้ข้อมูล

แต่บางที...เขาก็เผลอพูดเรื่องที่คน ‘จำไม่ได้’ ไม่ควรจะรู้ออกไป

โล่งใจไปที่เพื่อนองครักษ์ด้วยกันไม่มีใครรู้สึกผิดหู แต่ยังอดระวังตัว ระวังคำพูดอยู่ตลอดไม่ได้อยู่ดี






ฟีเรียสเจอโรดีอัสครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงที่ฝ่ายนั้นเป็นเวรตามเสด็จเจ้าชายเฮเดสไป เพื่อนสนิทของเขาพูดเหมือนไม่รู้ว่าเขาสูญเสียความทรงจำ ฟีเรียสลำบากใจมาก พยายามจะพูดให้น้อยคำเข้าไว้ เมื่ออีกฝ่ายพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาก็ไม่รู้ว่าจะบอกอีกฝ่ายไปดีหรือไม่ ว่าเขาจำไม่ได้ ถ้าบอก...โรดีอัสอาจพยายามหาทางทำให้เขาจำได้ และชีวิตของเขาก็คงจะยุ่งยากขึ้น

โชคดีที่เจ้าชายหกทรงพยักพระพักตร์เป็นเชิงตรัสเรียกให้เขาไปหาเสียก่อน จึงไม่ต้องคุยกับโรดีอัสนาน

อย่างไรก็ดี ก่อนจะจากกัน โรดีอัสพูดอย่างจริงจังเป็นประโยคสุดท้าย

“มีเรื่องอะไรที่บอกเจ้าชายหกไม่ได้ก็ปรึกษาข้าได้นะ ฟีเรียส สีหน้าเจ้าดู...แย่ๆ ว่ะ”

ฟีเรียสชะงัก แล้วก็พยักหน้า

เขารู้ตัวดีอยู่แล้วว่าเขาเครียด มองกระจกตอนโกนหนวดก็เห็นอยู่ว่าสีหน้าของเขาดูหม่นหมองและอิดโรย หลายวันที่ผ่านมาเขานอนแทบไม่หลับ ใต้ตามีรอยคล้ำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และดูจะไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้เขาสักเท่าไร

องครักษ์หนุ่มได้แต่คิดว่าเขาต้องอดทน เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น ไม่นานเลย แล้วเรื่องเลวร้ายนี้ก็จะผ่านไป สิ่งที่เขาภาวนามีอยู่เพียงอย่างเดียว

คือขอให้เจ้าชายรามิเรสอย่าเพิ่งทรงหมดความอดทนกับเขาไปเสียก่อน






เจ้าชายหกแห่งไมซีนดูจะไม่ใช่คนหมดความอดทนง่ายๆ แต่ฟีเรียสเพิ่งรู้ตัว ว่าเขามีความอดทนน้อยกว่าที่ตัวเองคิดเอาไว้มาก
เจ้าชายหนุ่มทรงได้รับเชิญไปงานเลี้ยงสองคืนติดกัน บรรยากาศในงานก็เหมือนๆ เดิม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เดิมๆ ที่ไม่เหมือนเดิมอาจจะเป็นตัวเขาเอง เขากำลังอยู่ในช่วง ‘สูญเสียความทรงจำ’ ดังนั้นไม่ว่าจะสีหน้าหรือสายตา ก็ล้วนแต่แสดงออกไม่ได้ ปกติแล้วเขาก็ไม่ค่อยแสดงออกนัก เพียงแต่เมื่อก่อนนั้นเขารู้ตัวว่า ‘มีสิทธิ์’ แต่ไม่ใช้สิทธิ์ แต่ตอนนี้...เขาอยู่ในสถานะที่ ‘ไม่มีสิทธิ์’ แม้ว่าเจ้าชายรามิเรสจะไม่ได้ทรงถอนสิทธิ์ของเขาก็ตาม

กลับถึงพระตำหนัก ฟีเรียสจะเดินไปส่งเสด็จที่เชิงบันได ทว่าเจ้าของพระตำหนักกลับทรงเลี้ยวขวา

“ไปที่ห้องเจ้า”

ฟีเรียสเป็นคนเปิดประตู แต่เจ้าชายหนุ่มเสด็จเข้าไปก่อน องครักษ์หนุ่มล็อคประตู เมื่อหันกลับมาก็พบว่าเจ้าของวรองค์สูงโปร่งทรงยืนอยู่ใกล้กับเขามาก

ที่จริงเขารู้อยู่แล้ว แต่ก็หันกลับมา

ต่างฝ่ายต่างยืนมองตากันอยู่ ลมหายใจร้อนผ่าวเกือบจะรินรดกัน หน้าค่อยๆ เคลื่อนใกล้กันมากขึ้นทีละนิด ทีละนิด ฟีเรียสหายใจแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ ชั่ววูบที่ยังพอจะหักห้ามใจได้อยู่ เขาคิดจะเบือนหน้าหนี ทว่าเจ้าชายหกทรงเร็วกว่าเขา

พระโอษฐ์ทาบชิด แนบติดกับริมฝีปากของเขาเบาๆ เพียงเท่านั้น ก็กระชากเอาความยับยั้งชั่งใจของเขาออกไปจนหมดสิ้น

องครักษ์หนุ่มเปิดปาก...แล้วจูบตอบ

ไม่แน่ใจว่านานแค่ไหน แต่เมื่ออีกฝ่ายตรัสถามพระสุรเสียงนุ่มว่า

“จำได้บ้างแล้วใช่ไหม”

เขาก็รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาด รีบดันพระอังสาของพระองค์ออกห่างแล้วเลี่ยงออกจากบริเวณประตูทันที

“ขอประทานอภัยพระเจ้าค่ะ บางที...อาจจะเป็นความเคยชิน กระหม่อมเลยลืมตัว”

ไม่น่าเลย...ฟีเรียสได้แต่ก่นด่าตัวเอง หันไปทางอื่นก็ดีอยู่แล้ว เขาไม่น่ามองไปทางพระองค์เลย ถ้าไม่มอง ก็ไม่ต้องเห็นร่องรอยความเสียพระทัยในสายพระเนตรแล้ว

“ไม่เป็นไร”

บางที...เขาก็เกลียดคำนี้ของพระองค์เหลือเกิน

เขาเห็นอยู่ว่าเป็น...ก็ยังจะหลอกเขาอีก

“ที่จริงข้าแค่อยากจะคุยเรื่องหลานสาวนายพลเรือกับเจ้า”

อารมณ์ของคนฟังขุ่นมัวขึ้น แต่ก็พยายามจะใจเย็นเมื่อรู้ว่าเริ่มจะไม่มีเหตุผล

“ได้ยินมาว่านางชอบผู้หญิงด้วยกันมากกว่าผู้ชาย แต่ถึงข่าวลือจะไม่จริง เจ้าก็ไม่ต้องคิดมาก และข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งเจ้า เราแค่คุยเรื่องที่เที่ยว เอาไว้ข้ามีเวลาว่างและความจำของเจ้ากลับมาแล้ว เราค่อยไปเที่ยวทะเลกัน”

“...”

“...”

“ถ้ากระหม่อมจำไม่ได้เลยตลอดไปเล่าพระเจ้าค่ะ”

“ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ตอนนี้ข้าอยากจะพยายามทำให้เจ้าจำได้ให้ได้มากที่สุด การทำให้เจ้ารู้สึกหึงหวงอาจจะทำให้เจ้าจำเรื่องอะไรระหว่างเราขึ้นมาได้บ้าง แต่ขอให้เชื่อว่า มันไม่ใช่วิธีที่ข้าจะเลือกทำเด็ดขาด ข้าอยากจะทำให้เจ้าจำได้เพราะเจ้ามีความสุขเวลาอยู่กับข้า ไม่ใช่เพราะทุกข์มากถึงนึกออก”

ถามว่าเขาหวั่นไหวไหม เมื่อได้ยินพระองค์รับสั่งอย่างนี้

...ไม่หรอก...

มันยิ่งกว่านั้น ยิ่งกว่าคำว่า...หวั่นไหว

เจ้าชายหกเสด็จกลับไปห้องของพระองค์แล้ว พาเอาความรู้สึกอบอุ่น มีชีวิตชีวาออกไปจากห้องนี้ด้วย และเมื่อคิดถึงจูบแรกที่ได้รับในช่วงหลายวันที่ผ่านมา อารมณ์โหยหาก็โหมทวีอยู่ในอกราวกับพายุ

ฟีเรียสไม่เคยใช้เจ้าชายหกแห่งไมซีนเป็นเครื่องมือในการสำเร็จความใคร่มาก่อนเลย เขาสาบานได้

...จนกระทั่งวันนี้...






ดูจากตารางเวรแล้ว ฟีเรียสยังไม่มีวันหยุดในช่วงเวลาอันใกล้นี้เลย แต่เขาเครียดมากจนต้องขอลาพักหนึ่งวัน และเรจินก็อนุญาตโดยไม่ต้องรอกราบทูลเจ้าชายหก

องครักษ์หนุ่มไม่มีที่ไหนให้เลือกไปมากนัก เขาไม่อยากไปบ้านโรดีอัส จึงตัดสินใจไปขอพักกับดีลุคซที่บ้านพักครูในโรงเรียนองครักษ์สักคืนหนึ่ง และฝ่ายนั้นก็เต็มใจอย่างยิ่ง

“เจ้ามีปัญหาอะไรรึเปล่า อยากจะให้ข้าหรือจิลเวลช่วยไหม ข้าอาจจะช่วยไม่ได้ แต่จิลเวลน่าจะคิดอะไรดีๆ ออก”

ดีลุคซก็พูดเหมือนโรดีอัส แต่มันเป็นเรื่องที่เขาพูดกับใครไม่ได้

“เครียดเรื่องจำไม่ได้รึไง ไม่เป็นไรน่า ไม่ต้องรีบ ข้าก็ไม่ค่อยรู้ แต่คิดว่าเรื่องนี้อาจจะต้องใช้เวลา ที่สำคัญ เจ้าชายหกก็ไม่ได้ทรงเร่งรัดเจ้าไม่ใช่หรือ...หรือว่าใช่”

ฟีเรียสส่ายหน้า เอ่ยปากขอบใจอีกฝ่าย แต่ยังคงไม่เล่า

“เจ้าจะไปห้องจิลเวลรึเปล่า”

เพื่อนร่วมรุ่นที่หล่อที่สุดในรุ่นของเขาดูมีท่าทางเขินๆ ขึ้นมานิดหนึ่ง

“ไม่เป็นไร คืนนี้ข้าว่าจะคุยกับเจ้าทั้งคืน เผื่อเจ้าจะจำเรื่องอะไรขึ้นมาได้บ้าง”

ตั้งแต่เมื่อไรนะ ที่เขาเกลียดคำว่า ‘ไม่เป็นไร’

หลังจากโต้เถียงกันไปมาอยู่สองสามประโยค ในที่สุดดีลุคซก็ไปที่ห้องของคนรัก ส่วนฟีเรียสก็ได้อยู่ในห้องพักตามลำพัง

เป็นห้องพักที่ไม่กว้างมากนัก และตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีข้าวของอยู่ไม่มาก ตรงข้ามกับห้องพักของเขาในพระตำหนักของเจ้าชายหกอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่ว่าห้องจะกว้างหรือแคบ ความรู้สึกหนักอึ้งในใจของเขาก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม

ฟีเรียสนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน

เช้าวันรุ่งขึ้น เขาตัดสินใจพูดกับจิลเวล ขอนักเรียนองครักษ์คนหนึ่งถือจดหมายขอลาพักเพิ่มอีกสองวันไปให้เรจิน และเมื่อนักเรียนองครักษ์ผู้นั้นกลับมา สิ่งที่เขาถือมาด้วยก็ไม่ใช่คำอนุญาตหรือจดหมายตอบ แต่เป็นพระหัตถเลขา

กระดาษสีฟ้า บนหัวกระดาษมีตราประจำพระองค์นั้นช่างคุ้นตา

...อนุญาตให้ลาพักได้นานเท่าที่ต้องการ แต่ถ้าเมื่อไรที่คิดถึงข้า ก็ขอให้กลับมา...

ไม่ต้องรอเวลาหรอก ตอนนี้เขาก็คิดอยู่

...คิดถึง...







ฟีเรียสไม่ได้อยู่เปล่าๆ เขาเป็นครูพิเศษให้นักเรียนองครักษ์ของดีลุคซ เขามีรุ่นน้องเข้ามาพูดคุยด้วย ถึงจะไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนักตอนเป็นนักเรียน แต่ในเมื่อตอนนี้เขาเป็นรุ่นพี่เพียงคนเดียวที่กลับมาเยี่ยมโรงเรียน ซ้ำยังเป็นถึงองครักษ์ประจำพระองค์ของเจ้าชาย เขาก็กลายเป็นคนที่ได้รับความนิยมขึ้นมาทันที

“เจ้าชายหกทรงเป็นอย่างไรบ้างครับ พระทัยดีกับองครักษ์รึเปล่า”

รายนี้สอบได้ที่เจ็ดของชั้นปี ในอนาคต...อาจได้ทำงานหน่วยเดียวกับเขา

เจ้าชายหกๆๆๆๆๆๆ  วันทั้งวันไม่รู้ว่าเขาได้ยินคำนี้ไปกี่หน แต่ไม่ใช่เพราะได้ยินหรอก ที่ทำให้เขาคิดถึง ตอนที่นอนอยู่คนเดียวในห้องเงียบๆ เขาก็คิด

ไม่ได้คิดถึงอะไรดีๆ ของพระองค์เลย คิดแต่สายพระเนตรผิดหวัง สีพระพักตร์เสียใจ และบรรยากาศเศร้าๆ รอบๆ พระองค์ในบางวูบที่พระองค์อาจจะคิดว่าเขามองไม่เห็น

เจ้าชายรามิเรสไม่ได้ทรงเร่งรัดเขา ไม่เคยรับสั่งให้เขาพยายาม แต่สีพระพักตร์ที่เปลี่ยนไปชั่วแวบที่เขาทูลว่าจำไม่ได้ ก็เสียดแทงหัวใจเขามากแล้ว

พระองค์ทรงจับมือ เขาก็ต้องดึงออก สายตาอาทรที่มองมา เขาต้องตอบกลับด้วยแววตาเฉยเมยเหมือนไม่รู้สึก อยากจะสัมผัส ก็สัมผัสไม่ได้ อยากจะจูบ ก็จูบไม่ได้ อะไรที่มากไปกว่านั้นยิ่งไม่มีหวัง

นี่เพิ่งแค่สิบสามวันเท่านั้น ยิ่งนาน...เวลาก็ยิ่งเดินช้าลงเรื่อยๆ






ไม่รู้เมื่อไรที่รู้สึกว่าห้องเป็นเหมือนคุก องครักษ์หนุ่มผิวเข้มร่างโปร่งออกมาเดินเล่นข้างนอกทั้งที่ลมแรงมาก ฝนใกล้จะตกเต็มที อดีตครูของเขาเพิ่งจะเดินสวนเข้าไปในตึกพัก และเตือนให้เขากลับเข้าห้องไปดีกว่า

“อีกเดี๋ยวคงตกแน่”

“อยากจะออกไปเดินเล่นแถวๆ นี้สักเดี๋ยวครับ ถ้าตกก็คงรีบเข้ามาทัน”

อีกฝ่ายบอกตามใจ แล้วก็เดินแยกไป ส่วนฟีเรียสก็ไม่ได้ไปไหนไกล เขาออกมาเดินเล่นเพื่อให้ลมแรงๆ ช่วยทำให้ใจของเขาสงบลงบ้าง แต่ความอึดอัดของเขาดูเหมือนจะไม่มีทางออก มันพัดโหมอยู่ข้างในและไม่สามารถหยดลงมาได้เหมือนฝน

เขา...คิดถึง

การอยู่ห่างกันไม่ได้ช่วยทำให้เขาลำบากน้อยลงเลย

พิษของความคิดถึงรุนแรงยิ่งกว่าพิษของความรักเสียอีก

มันกัดกร่อนหัวใจของเขาเสียจนพรุน

ฝนหยดแรกตกลงมากระทบแขน แต่ฟีเรียสยังคงเดินอยู่ เขาอ้อมไปข้างหลังตึก หันหน้าเข้าหากำแพง สองมือยันกำแพงเอาไว้แล้วก้มหน้าลงอย่างทรมาน หัวคิ้วขมวดแน่น กัดฟัน เม้มปากสนิท

รสจูบในคืนนั้นยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก ทว่าสายพระเนตรสะเทือนใจกลับฝังหัวเขามากยิ่งกว่า

...จำได้บ้างแล้วใช่ไหม...

ฟีเรียสกำหมัดแน่น แล้วระบายความอึดอัดด้วยการต่อยกำแพง

ปึ้ก!

...ไม่เป็นไร...

ปึ้ก!

...ข้าอยากจะทำให้เจ้าจำได้เพราะเจ้ามีความสุขเวลาอยู่กับข้า ไม่ใช่เพราะทุกข์มากถึงนึกออก...

ปึ้ก!...ปึ้ก!...ปึ้ก! ปึ้ก! ปึ้ก!...

...ซู่...

หากใครสักคนจะได้ยินเสียงคนชกกำแพง ตอนนี้ก็คงจะไม่ได้ยินแล้ว เพราะถูกเสียงฝนที่เทกระหน่ำลงมาดังกลบจนหมด






เมื่อคืนนี้ฟีเรียสกินยาดักไข้เอาไว้แล้ว ทว่าเช้านี้ก็ยังรู้สึกว่าปวดหัวมากและตัวร้อนรุมๆ เขาไปอาคารพยาบาลทันทีที่ตื่น และถูกหมอดุเรื่องที่ไม่ยอมมาหาตั้งแต่เมื่อคืน

กระดูกข้อนิ้วข้างขวาของเขาหัก หมอต้องเข้าเฝือกเอาไว้ให้และให้ใช้ผ้าสามเหลี่ยมคล้องแขนไว้กับคอ เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเผลอใช้มือทำอะไร จนเป็นเหตุให้กระดูกประสานกันได้ช้า และให้เขากินยาแก้ไข้ทุกๆ 4-6 ชั่วโมงจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น

ใครต่อใครที่เดินผ่านเขาล้วนแต่ถามเรื่องมือ องครักษ์หนุ่มได้แต่บอกว่าเป็นอุบัติเหตุ และไม่มีใครกล้าซักถามมากกว่านั้น มีเพียงจิลเวลและดีลุคซที่ไม่ยอมรู้แค่นั้น เขาจึงต้องยอมบอกความจริงและถูกดุกลับมา

ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเด็กเล็กๆ อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็...รู้สึกดีขึ้นบ้าง

ชายหนุ่มนอนพักอยู่ในห้อง พิษไข้และความอ่อนเพลียที่สะสมมาหลายคืนทำให้เขาหลับเป็นตาย ก่อนจะตื่นขึ้นตอนบ่ายแก่ๆ เมื่อดีลุคซมาบอกว่า

“เจ้าชายหกเสด็จมา โปรดให้เจ้าไปเข้าเฝ้าที่ห้องผู้อำนวยการ”

เขาไม่อยากเจอพระองค์ตอนนี้เลย แต่ก็...อยากเจอ







สถานการณ์คล้ายๆ กับตอนแรกที่พบกันเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่อารมณ์ความรู้สึกล้วนเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ฟีเรียสยังคงรักษาความสง่างามไว้ได้ เขาค้อมศีรษะถวายความเคารพ...โดยซ่อนมือขวาเอาไว้ข้างหลัง ส่วนผ้าสามเหลี่ยมนั้นเอาออกไปแล้ว

“ข้ามารับกลับ”

สีหน้าของคนฟังดูเจ็บปวดเหมือนถูกตี

“ขอโทษที่ไม่รักษาคำพูด”

...อนุญาตให้ลาพักได้นานเท่าที่ต้องการ...

“แต่ข้าคิดถึงเจ้า”

ฟีเรียสกัดฟัน

“มือเป็นอะไร”

“...มีดบาดพระเจ้าค่ะ”

“เอาออกมาให้ข้าดูหน่อย”

องครักษ์หนุ่มยืนเฉย แต่เจ้าชายรามิเรสทรงยืนขึ้นแล้ว

“กระหม่อมไปให้หมอทำแผลให้แล้วพระเจ้าค่ะ อีกไม่กี่สัปดาห์ก็คงจะหายดี” คนพูดเลื่อนมือขวาออกมาห้อยไว้ข้างลำตัวแล้ว แม้น้ำเสียงจะเรียบ แต่ใจกลับเต้นระรัวเมื่อเห็นสายพระเนตรที่ทอดตกลงมาบนมือ

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น”

“กระหม่อม...ชกกำแพงพระเจ้าค่ะ”

พระพักตร์ของคนยืนหลังโต๊ะดูดุจัด ประกายเนตรโชนแสงกล้าอย่างที่ฟีเรียสไม่เคยเห็นมาก่อน บรรยากาศในห้องน่ากลัว เยือกเย็นขึ้นทันที เขารู้แล้ว ว่าเวลาที่พระองค์กริ้วจัดจะเป็นแบบไหน

“ชกทำไม” แม้พระสุรเสียงก็ฟังรู้ว่ากำลังข่มกลั้นพระอารมณ์

“ชก...เฉยๆ ไม่มีเหตุผ...”

“อย่าโกหก”

คนฟังถึงกับสะดุ้ง ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้รับสั่งดัง

“...”

“...”

ฟีเรียสใจเต้นไม่เป็นส่ำ ลังเลอย่างหนัก ยิ่งอีกฝ่ายเสด็จอ้อมโต๊ะทรงงานมาหาแล้ว เขายิ่งลน ทว่าเจ้าชายหนุ่มทรงหยุดในระยะที่ห่างจากเขาพอสมควร ไม่ได้เสด็จมาถึงตัว

“ฟีเรียส”

ถึงจะดูกริ้วมาก แต่ก็เสียพระทัยมากเช่นกัน

“เจ้าจะไม่รักข้าก็ได้ แต่ขอให้รักตัวเอง แค่นี้ ทำให้ข้าได้ไหม”

คนฟังกำมือซ้ายแน่น กัดฟัน และรู้สึกว่าตัวสั่น ครั้นอีกฝ่ายทรงก้าวเข้ามาหา เขาก็พลันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เจ้าชายรามิเรสทรงชะงัก ไม่ว่าฟีเรียสจะรู้สึกตัวหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้เขากำลังจ้องพระองค์เขม็ง ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความทระนงเสมอมาเวลานี้แดงก่ำ แดงมากแต่ไม่ยอมร้อง เขาไม่มีน้ำตา ทว่าตาแดงเหมือนเลือดกำลังจะหยดลงมา

เจ้าชายหกแห่งไมซีนทรงสูดพระอัสสาสะเข้าลึก ตัดสินพระทัยแล้วว่าจะบอก...

“กระหม่อมขอโทษพระเจ้าค่ะ” น้ำเสียงสั่น แต่พยายามจะควบคุมอารมณ์ “ขอประทานอภัยที่ไม่อดทน แต่กระหม่อมทำไม่ได้แล้วพระเจ้าค่ะ”

ระหว่างกันมีแต่ความเงียบอยู่หลายอึดใจ

“กระหม่อมไม่ได้สูญเสียความจำพระเจ้าค่ะ กระหม่อมโกหก”

สายตาที่มองมา ระคนกันระหว่างรู้สึกผิดและร้องขอการให้อภัย

“...แม่ข้าบอกให้เจ้าทำอย่างนี้ใช่ไหม”

“ไม่ใช่พระเจ้าค่ะ กระหม่อมทำเอง”

“ฟีเรียส”

“กระหม่อมแค่อยากรู้ว่าฝ่าบาทจะทรงอดทนกับกระหม่อมได้มากแค่ไหน ถ้ากระหม่อมจำอะไรไม่ได้ ฝ่าบาทจะทรงยอมเริ่มต้นใหม่ อดทนกับกระหม่อมอีกครั้งได้ไหม กระหม่อมไม่ดีเอง...”

เจ้าชายหกทรงก้าวหนึ่งก้าว ฟีเรียสก็ถอยก้าวหนึ่ง ทว่าคราวนี้ฝ่ายแรกไม่ทรงยอมอีกต่อไปแล้ว พระองค์ทรงก้าวพรวด คว้าตัวอุ่นๆ ของอีกฝ่ายมาไว้ในอ้อมแขน องครักษ์หนุ่มยืนนิ่งอยู่ครู่ ก่อนจะยกมือขึ้นกอดตอบ มือซ้ายขยุ้มฉลองพระองค์เอาไว้แล้วกำแน่น แต่ไม่ยอมหลับตา

“ไม่เป็นไร” โกหกกันก็ไม่เป็นไร “ไม่เป็นไร ฟีเรียส”

“กระหม่อม...”

“ข้ารักเจ้า”

แม้จะไม่ยอมหลับตา แต่หยดน้ำอุ่นจัดก็ยังคงไหลออกมาได้อยู่ดี

ฟีเรียสปล่อยให้ไหล่ที่เครียดเกร็งตกลู่ลง เทน้ำหนักตัวลงในอ้อมแขนกว้าง แล้วก็หลับตาลง






องครักษ์หนุ่มหลับสนิทไปแล้ว ทว่าคนเสด็จมาทรงเฝ้าถึงห้องเพื่อบังคับให้นอนยังประทับอยู่บนเตียงของคนหลับ ไม่ได้เสด็จออกไปไหน ทอดพระเนตรมือข้างขวาที่เข้าเฝือกอยู่แล้วก็ทอดถอนพระทัย ไม่คิดว่าจะเป็นถึงขนาดนี้

เจ้าชายหกแห่งไมซีนทรงระลึกถึงบทสนทนาระหว่างพระองค์กับพระมารดา

“ตอนหมั้นกับอันธียา หม่อมฉันไม่มีใครจึงยอมตามพระทัยเจ้าแม่ได้ ตอนขอถอนหมั้นครั้งแรก ก็ยอมยับยั้งไว้เพราะถวายคำตอบให้ไม่ได้” พระองค์กราบทูลไปตามตรง ว่าอยากจะปราศจากพันธะ เพื่อจะได้มีสิทธิ์บอกฟีเรียสว่าพระองค์ทรงรู้สึกพิเศษกับเขา ครั้นพระมารดาตรัสถามว่าแล้วนักเรียนองครักษ์ผู้นั้นมีใจให้พระองค์ไหม พระองค์ก็ทูลตอบไม่ได้ “ครั้งนี้หม่อมฉันมั่นใจแล้ว และคงจะทำตามที่เจ้าแม่รับสั่งไม่ได้”

“ลูกไม่อยากจะรู้หรือว่าเขารักลูกไหม รักมากเท่าที่ลูกรักเขารึเปล่า” พระมารดาทรงเกลี้ยกล่อมด้วยพระสุรเสียงนุ่มเนิบ “พิสูจน์เสียตอนนี้ เวลาแค่เดือนเดียวเท่านั้น ถ้าเขาสอบผ่าน แม่จะได้วางใจ ลูกเองก็จะได้มั่นใจจริงๆ”

“...”

“หรือว่าลูกกลัวว่าผลจะออกมาตรงกันข้ามกับที่หวัง”

“...”

ก็ไม่เชิง

“ที่ผ่านมาดูเหมือนลูกจะเป็นฝ่ายพยายาม ให้เขาลองพยายามดูบ้างไม่ดีหรือจ๊ะ รามิเรส”

พระมารดาของพระองค์ทรงเป็นอย่างนี้ มีวาทศิลป์ดี รับสั่งให้ใครๆ คล้อยตามได้ง่ายๆ แต่พระองค์ทรงนึกถึงตอนที่ฟีเรียสคุกเข่าสาบาน จูบพระหัตถ์ และบอกชอบเสียงสั่นแล้วก็ทำไม่ลง

“หม่อมฉันไม่ชอบและไม่เห็นประโยชน์ในการทำอย่างนั้นพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันอยากจะให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ อนาคตข้างหน้าคงจะมีเรื่องอะไรผ่านเข้ามาให้หม่อมฉันและเขาได้พิสูจน์กันและกันอีกมาก” แย้มพระสรวลนิดหนึ่งแล้วจึงกราบทูล “เราจะพยายามด้วยกันพระเจ้าค่ะ ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง”

แม่ชีทรงนิ่งเงียบไปนาน แต่การยอมแพ้อะไรง่ายๆ ก็ไม่ใช่พระนิสัย

“แล้วถ้าแม่จะเสนอข้อเสนอนี้กับคนของลูกล่ะ”

“!!!”

“ลูกจะไม่แกล้งความจำเสื่อมก็ได้ แต่แม่จะบอกให้เขาเป็นคนทำแทน”

“...จะรับสั่งบอกเขาว่ายังไงพระเจ้าค่ะ”

“เขาบอกว่าชอบความอดทนของลูก แม่จะให้เขาแกล้งจำเรื่องของลูกไม่ได้สักหนึ่งเดือน พ้นหนึ่งเดือนไปแล้วถ้าลูกยังอดทนกับเขา พยายามทำให้เขารักขึ้นมาใหม่ และยืนยันว่ารักเขา แม่ก็จะยอมรับเรื่องของเขากับลูก”

“ทั้งๆ ที่ก็ทรงยอมรับอยู่แล้วน่ะหรือพระเจ้าค่ะ” ทรงทราบเรื่องของพระองค์กับเขาตั้งแต่พระองค์จะขอถอนหมั้นครั้งแรกแล้ว บทสนทนาในวันนี้บางส่วนถูกจัดฉากให้ฟีเรียสดู

พระมารดาแย้มพระสรวล...ยิ้มแบบนี้ทีไรพระองค์ทรงปวดพระเศียรทุกที

“แล้วเรื่องจริงเป็นยังไงพระเจ้าค่ะ ทำยังไงเขาถึงจะสอบผ่าน”

“ถ้าเขายอมบอกความจริงกับลูกว่าเขาไม่ได้ความจำเสื่อม หรือมาขอยกเลิกข้อตกลงกับแม่ก่อนจะถึงกำหนดหนึ่งเดือน เขาก็สอบผ่านจ้ะ” พระมารดาทรงเว้นวรรค “แต่ถ้าเขาทำได้ถึงหนึ่งเดือน แม่ก็คิดว่าลูกหลงรักคนใจแข็งเกินไปเสียแล้ว”

“เขาคงจะไม่ยอมทำ”

“แน่ใจหรือจ๊ะ”

ไม่...ไม่แน่พระทัยเลย พระองค์พอจะทรงเดาใจเขาได้บ้าง แต่สำหรับเรื่องนี้ โอกาสที่ฟีเรียสจะตอบรับและตอบปฏิเสธมีมากพอๆ กัน

สิ่งที่แน่พระทัยก็คือ คนรักของพระองค์ไม่ใช่คนใจแข็ง เขาแค่อ่อนไหวจนต้องสร้างลักษณะอย่างนั้นขึ้นมาป้องกันตัวเอง สร้างกำแพงขึ้นมา เพื่อให้คนที่เจ็บปวดอยู่หลังกำแพงนั้นมีเพียงเขาแค่คนเดียว...พระองค์ถึงต้องเป็นฝ่ายปีน

“เจ้าแม่ลองรับสั่งกับเขาดูก็ได้พระเจ้าค่ะ แต่ไม่ว่าเขาจะทำหรือไม่ทำ คำตอบที่หม่อมฉันเคยกราบทูลไปแล้วก็ยังเหมือนเดิม”

ฟีเรียสยอมทำ และพระองค์ก็ไม่ทรงทราบว่าควรจะผิดหวังหรือว่าไม่แปลกใจดี

ความกังวลใจของเขามีมากจนคงจะลืมสงสัย ว่ากระถางใบนั้นไยตกลงมาได้เหมาะเจาะ เป็นกระถางใบเล็ก แถมยังไม่มีดิน ไม่มีต้นไม้ ที่สำคัญคือพระองค์ไม่ได้โปรดให้มีการสอบสวนเสียด้วยซ้ำ ว่าเป็นฝีมือของใครหรือไม่

ฟีเรียสเป็นคนคิดมาก เครียดง่าย การทดสอบครั้งนี้ทรมานเขามาก นอกจากจะเงียบขรึมและดูวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลาแล้วยังรู้สึกผิด ไม่มีความสุขเลย และสาเหตุที่เขาเป็นเช่นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพระองค์เอง ที่ทรงใช้ความอ่อนไหวของเขาเป็นเครื่องมือ

พระองค์มั่นพระทัยอยู่แล้ว ว่าฟีเรียสจะอดทนไม่ได้ถึงหนึ่งเดือน แต่ไม่ทรงคาดคิดว่าเรื่องนี้จะบีบคั้นให้เขาหาทางระบายความเครียดด้วยวิธีนี้ ไม่กี่สัปดาห์ก็คงจะหายดีอย่างนั้นหรือ...ถ้าหายดีภายในสองเดือนก็นับว่าเร็วมากแล้ว ถ้ามือใช้งานได้ไม่เหมือนเดิมจะทำยังไง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้กริ้วมาก

กริ้วเขาที่ทำร้ายตัวเองแทนที่จะยอมพึ่งพาพระองค์ และกริ้วพระองค์เองที่ทรงยอมปล่อยให้เขาเดินมาถึงจุดนี้ 

เกือบจะรับสั่งบอกเขาอยู่แล้วว่าพอเถอะ พระองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่าเขาไม่ได้สูญเสียความทรงจำ  แต่ฟีเรียสก็กราบทูลขึ้นมาเสียก่อน

...กระหม่อมขอโทษพระเจ้าค่ะ...ขอประทานอภัยที่ไม่อดทน...

ดีแล้วที่ไม่อดทน เขาไม่ต้องอดทนหรอก คนที่อดทน มีเพียงพระองค์คนเดียวก็พอแล้ว เพราะทรงทราบดีว่า...ผลของความอดทนนั้นช่างหอมหวานอย่างไม่มีใดเปรียบ

หวังเพียงว่าวันหนึ่งหากเขารู้ความจริง
.
.
.
.
.
เขาจะให้อภัยพระองค์



************************************

บทหน้าจบแล้วค่ะ
ยกให้แม่ฟีเรียสไปบทนึง ไม่ยาวนักค่ะ

ตามด้วยบทส่งท้ายอีกหน่อยนึง แต่จะลงคนละวันกันนะคะ
เพราะงั้นก็เจอกันอีกประมาณสองครั้งสำหรับเรื่องนี้ค่ะ ^^


ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
Re: รามิเรส : บทที่ 32 (15 ธ.ค. 57) หน้า 27
«ตอบ #779 เมื่อ15-12-2014 18:16:34 »

ก้อคิดไว้แล้วล่ะว่าองค์ชายต้องรู้อยู่แล้ว
แต่ก้อไม่คิดว่าจะมีเหตุผลซับซ้อนขนาดนี้อ่ะนะ
555555
แต่คนที่เป็นคนบอกความจริงจะง่ายกว่าคนที่บอกทีหลังเสมอนะคะ องค์ชายยยยยย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด