มารดาของฟีเรียสกำลังตัดดอกไม้อยู่ในสวนหน้าบ้าน เจ้าชายรามิเรสเสด็จเข้าไปหาและอาสาช่วย เรเซียกราบทูลให้เสด็จไปสรงน้ำเสียก่อน จะได้เสด็จลงมาทันเวลาอาหารเช้าพอดี
“ขอช่วยสักเดี๋ยวเถอะครับ เรื่องตัดดอกไม้นี่ข้าพอจะถนัดอยู่บ้าง”
หญิงวัยกลางคนดูจะประหลาดใจ
“ตัดที่วังหรือเพคะ”
“ที่บ้านพักนอกเมืองครับ" รับสั่งพลางยิ้มขัน “มีคนใช้ให้ไปตัด”
“ท่านแม่ของเจ้าชายใช่ไหมเพคะ”
เจ้าชายหนุ่มทรงสั่นพระเศียร “มาครับ ข้าช่วย”
หากว่าเมื่อวานนี้มารดาของฟีเรียสจะรู้สึกเกร็งๆ เมื่ออยู่ต่อหน้า ‘เจ้าชาย’ อยู่บ้าง เช้าวันนี้ความรู้สึกเช่นนั้นก็ได้หายไปแล้วเมื่อได้พูดคุยกับพระองค์ตามลำพัง
ลูกชายของนางโชคดีจริงๆ ที่ได้เป็นองครักษ์ของเจ้าชายที่มีพระจริยวัตรงดงามเช่นนี้
พอถึงวลาอาหารเช้าเท่านั้น เรเซียก็พลันคิดว่า พระจริยวัตรของเจ้าชายหกแห่งไมซีนดูจะ ‘งาม’ เกินไปบ้าง เมื่อพระองค์ถึงกับตักอาหารประทานให้ลูกชายของนางด้วย ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่เป็นหลายครั้ง ถึงจะตักประทานให้นางด้วยก็ตาม
ฟีเรียสมองไปทางมารดาอย่างกลัวถูกจับได้ เขาพยายามส่งสายตาทูลห้ามแล้ว ทว่าอีกฝ่ายทรงทำเหมือนไม่เข้าพระทัย จึงจำใจต้องกราบทูลตรงๆ
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ แต่กระหม่อมตักเองดีกว่า”
เจ้าชายรามิเรสไม่รับสั่งอะไร เพียงแย้มพระสรวลบางๆ และไม่ได้ทรงตักประทานให้อีก
ฟีเรียสเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน เขาอ่อนไหวง่าย รับรู้ความรู้สึกของคนอื่นเก่ง ที่ผ่านมาเขาไม่รู้ว่าเจ้าชายรามิเรสทรง ‘ชอบ’ เขา เพราะเขาไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง ไม่อยากจะเจ็บปวดลึกล้ำ ทว่าเมื่อรู้แล้วว่าพระองค์ทรงมีใจให้ ตอนนี้ เขาก็รู้เช่นกันว่าพระองค์คงไม่พอพระทัยนักที่เขาพยายามจะปกปิด ทั้งที่พระองค์ทรงพยายามแสดงออก
เจ้าชายหกหันไปรับสั่งกับแม่ของเขาแล้ว คุณชายมิทรอสชวนน้องสาวของเขาคุย คุณเรจินนั่งกินเงียบๆ ตามนิสัย ส่วนโรดีอัส...
“เอ้า กินเข้าไปเยอะๆ ของโปรดเจ้านี่หว่า”
ก็ทำตัวเป็นเพื่อนที่แสนดีได้อย่างไม่รู้เวลาเอาเสียเลย
ฟีเรียสหันไปมองคนประทับหัวโต๊ะอย่างระแวง เจ้าชายหกทรงหันมามองเขากับโรดีอัสดังคาด แล้วก็หันไปแย้มพระสรวลพลางรับสั่งกับแม่ของเขาดังเดิมราวกับไม่ได้ทรงติดพระทัยอะไร ทว่าฟีเรียสไม่สบายใจ เขาตักอาหารชนิดเดียวกับที่โรดีอัสเพิ่งตักให้ไปไว้ในจานของเจ้าชายหนุ่ม เจ้าชายรามิเรสทรงหันมามอง
“กระหม่อมชอบกินพระเจ้าค่ะ”
คนฟังยกมุมพระโอษฐ์ขึ้น สายพระเนตรฉายประกายอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาไม่กล้ามองตอบนาน หูทั้งสองข้างรู้สึกร้อนๆ ขึ้นมาชอบกล โดยเฉพาะเมื่อได้ยินรับสั่งทุ้มนุ่ม
“ดีใจที่รู้เพิ่มขึ้นว่าเจ้าชอบอะไรอีก นอกจากสตรอว์เบอร์รี่”
“เจ้าชายทรงทราบด้วยหรือเพคะ ว่าพี่ฟีเรียสชอบสตรอว์เบอร์รี่”
คนถูกถามแย้มพระสรวล “แล้วก็ชอบนมด้วย ใช่ไหม”
“ใช่เพคะ ทำไมทรงทราบ”
“เห็นเขาดื่มอยู่สองสามครั้ง ท่าทางน่าอร่อย”
เฟย์พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ “แล้วเจ้าชายชอบทานอะไรบ้างล่ะเพคะ”
“เจ้าจะทำให้ข้ากินหรือ”
หญิงสาวส่ายหน้า “ให้พี่ฟีเรียสทำให้เพคะ หม่อมฉันทำไม่เก่ง”
“โธ่ พี่คิดว่าจะได้กินฝีมือเฟย์” มิทรอสหยอด ขณะคนอื่นๆ ยิ้มอย่างเอ็นดู
“พี่ชายของเจ้าจะยอมทำให้ข้าหรือ”
“ทำไมถึงจะไม่ทำให้ล่ะเพคะ” หญิงสาวขมวดคิ้วพลางหันไปทางพี่ชายเป็นเชิงถาม ฟีเรียสที่เพิ่งจะโล่งใจว่าคนอื่นไม่ได้สนใจเขาเท่าใดนักพลันตกเป็นเป้าสายตาทันที องครักษ์หนุ่มอึกอัก ขณะตัวการทรงเลิกพระขนงขึ้นนิดหนึ่งเป็นเชิงถามสำทับราวกับไม่ได้ทรงทำอะไรผิด
“ฝ่าบาทโปรดอะไรเล่าพระเจ้าค่ะ” แน่นอนว่าคนอย่างเขาต้องป้องกันตัวเองไว้อย่างดีด้วยการขยายความ "ฝ่าบาททรงเป็นแขก กระหม่อมย่อมยินดีทำถวายในฐานะเจ้าบ้านที่ดีพระเจ้าค่ะ"
"แล้วถ้าเป็นฐานะอื่นล่ะ จะยอมไหม"
เสียงผิวปากเบาๆ ดังขึ้นจากคุณชายบ้านเสนาบดีกลาโหมทันที
มิทรอสเป็นคนเดียวกล้าส่งเสียง ส่วนคนอื่นๆ เงียบกริบ เรเซียและเฟย์สงสัย เรจินรอดูสถานการณ์ ส่วนโรดีอัสเครียดรองจากฟีเรียส เมื่อกี้เขาอุตส่าห์พยายามช่วยกลบเกลื่อนว่าการตักอาหารให้กันเป็นเรื่องธรรมดาแล้วเชียว แต่เจ้าชายรามิเรสกลับยังไม่ทรงยอมรามือ
ฟีเรียสนึกอยากจะโพล่งถามออกไปเหมือนกันว่าฐานะอะไร แต่ก็ ‘กลัวใจ’ จึงไม่เสี่ยง
"ฝ่าบาททรงเป็นเจ้านายและเจ้าหนี้ กระหม่อมยินดีพระเจ้าค่ะ"
เจ้าชายหกแย้มพระสรวล ทราบในทันทีว่าอีกฝ่ายไม่พร้อมจะเปิดเผย
เอาเถอะ พระองค์ทรงยอมก็ได้
"ทำให้กินไปตลอดชีวิตเลยนะ" แต่ก็แค่คนละครึ่งทางเท่านั้น
องครักษ์หนุ่มชะงัก ปลายสายตาเห็นคุณชายมิทรอสร้อง 'ว้าว' โดยไม่ออกเสียง สีหน้าดูทึ่งปนขำ ส่วนตัวเขาเองนั้นทั้งที่ควรจะเครียดจนไมเกรนขึ้นสมองไปแล้ว กลับพบว่าตัวเองหน้าร้อนผ่าวเสียอย่างนั้น เขาเครียด เขากลัว แต่สายพระเนตรอ่อนโยนขนาดนั้น... เขาทานทนไม่ได้
ฟีเรียสไม่รู้จะตอบว่าอะไร ดีที่เฟย์เอ่ยช่วย
"เจ้าชายจะให้พี่ฟีเรียสทำอะไรให้ทานหรือเพคะ เมื่อกี้ยังไม่ได้บอกเลยว่าชอบทานอะไร"
เจ้าชายหนุ่มทรงหันไปแย้มพระสรวลกับหญิงสาว ตรัสตอบนาง แต่ปรายสายพระเนตรไปทางพี่ชายของนาง
"นม"
"อะไรนะเพคะ"
"ข้าชอบนม"
เฟย์ทำหน้าประหลาดขึ้นมาทันที
"นม... นมสด นมวัวเนี่ยนะเพคะ"
"อืม"
"ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันอุ่นให้ดื่มก็ได้นะเพคะ ไม่เห็นต้องใช้ความสามารถอะไรเลย เอ๊ะ หรือว่าพี่ฟีเรียสมีเคล็ดลับพิเศษอะไร"
เมื่อน้องสาวหันมามองอย่างต้องการคำตอบ ฟีเรียสก็จำใจต้องตอบ
"ไม่มี"
"อ้าว" คราวนี้หญิงสาวหันไปทางเจ้าชายหนุ่มแทน ชักจะงงหนัก
"ความจริงแล้วข้าไม่เคยชอบนมมาก่อน เห็นพี่เจ้ากินน่าอร่อยก็เลยกินพร้อมกับเขาครั้งหนึ่ง" ขณะรับสั่ง เจ้าชายรามิเรสทอดพระเนตรหน้าน้องสาวของเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้มองมาทางเขาเลย แต่เมื่อทรงเว้นจังหวะให้คาดเดา หัวใจของฟีเรียสก็เต้นผิดจังหวะ รวนหนักยิ่งกว่าเดิม "มันอร่อยมากจนข้าคิดว่า... คงจะต้องกินบ่อยๆ"
"แหม รับสั่งเหมือนกับว่ามันอร่อยเพราะว่าคนที่กินด้วยกันคือพี่ฟีเรียสเลยนะเพคะ"
พูดเอง แล้วก็ฉุกใจคิดเอง หญิงสาวมองพระพักตร์อย่างระแวงแต่ไม่เห็นพิรุธใดๆ ครั้นหันไปทางมารดาก็เห็นว่านางมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก บางทีอาจจะกำลังคิดถึงเรื่องเดียวกัน
แต่จะเป็นไปได้ยังไงกัน
หลังอาหารเช้า เจ้าบ้านก็พาแขกไปเที่ยวชมฟาร์มม้าของวอลเซนส์ เจ้าชายรามิเรสรับสั่งเรื่องม้าๆ กับเจ้าของฟาร์มได้อย่างถูกคอ ทว่าในที่สุดเจ้าชายหนุ่มก็ทรงหาโอกาสแยกตัวมาขี่ม้าเล่นกับองครักษ์ใหม่ได้
“ขี่ม้าแข่งกันมั้ย” เจ้าชายหกทรงท้า ฟีเรียสชะงัก เขาตั้งใจว่าจะคุยเรื่องที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารกับพระองค์ ทว่าเนื่องจากเป็นคนที่ทนคำท้าทายในเรื่องที่คิดว่าตัวเองก็พอมีฝีมืออยู่ไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจพยักหน้า
“จากตรงนี้ ลงเนินไป อ้อมต้นไม้ใหญ่สุดนั่น แล้วกลับมาตรงนี้ ตกลงมั้ย”
“พระเจ้าค่ะ”
“ต้องต่อให้รึเปล่า”
องครักษ์หนุ่มทำสีหน้าเหมือนถูกดูถูกอย่างจัง กราบทูลเสียงแข็ง
“ไม่ต้องพระเจ้าค่ะ”
“จะไม่ต่อให้ข้าสักหน่อยจริงหรือ”
ฟีเรียสงุนงงไปวูบ อารมณ์ดีขึ้นเมื่อรู้ว่าแปลความหมายของอีกฝ่ายผิดไป แต่เขาไม่เชื่อหรอกว่าอีกฝ่ายทรงสู้เขาไม่ได้
“แค่ฝ่าบาทไม่ทรงออมมือให้กระหม่อม ก็เป็นพระกรุณามากแล้วพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวล
“เจ้าอาจประเมินฝีมือข้าสูงไป เจ้านับ หรือข้านับ”
“ฝ่าบาทเถิดพระเจ้าค่ะ”
“ตกลง พร้อม” ฟีเรียสพยักหน้า “หนึ่ง... สอง... หนึ่ง!”
ฟีเรียสทะยานออกไปแล้ว... ก่อนจะนึกได้ องครักษ์หนุ่มหยุดม้าอย่างกะทันหัน เบนหัวม้ากลับมาเพื่อจะพบว่า
“ฮ่ะๆๆๆๆ” เจ้าชายหกแห่งไมซีนทรงพระสรวลลั่น ดวงพระเนตรเป็นประกายพราวสดใสอยู่ในแสงแดดอ่อนอุ่นยามสาย หล่อเหลา... จับตา ทว่าคนมองไม่มีอารมณ์จะชื่นชม
“ขอโทษๆ” คนรับสั่งพยายามจะกลั้นเสียงสรวล เมื่อทอดพระเนตรเห็นหน้างอๆ ขององครักษ์ประจำพระองค์ “ข้าแค่อยากจะแกล้งเจ้าเล่น”
“แต่กระหม่อมจริงจัง” คนจริงจังไม่ยอมชักม้าเข้ามาใกล้ด้วยซ้ำ เจ้าชายหนุ่มจึงเป็นฝ่ายขยับเข้าไปใกล้แทน
“นั่นล่ะที่ข้าอยากจะบอก แค่แข่งกันเล่นๆ ก็พอ อย่าจริงจังนักเลย ตกลงไหม”
สีหน้าของคู่แข่งดูไม่เห็นด้วย แต่ก็ยอมตอบ “ก็ได้พระเจ้าค่ะ”
“คราวนี้เจ้านับก็แล้วกัน” คนช่างแกล้งทรงเอาใจ ฟีเรียสยังมีสีหน้าตึงๆ อยู่ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
“พร้อมนะพระเจ้าค่ะ”
“อืม”
“หนึ่ง... สาม!... ย้า!”
องครักษ์หนุ่มทะยานออกไปแล้วด้วยสีหน้ายิ้มกริ่มอารมณ์ดี เจ้าชายหนุ่มทรงเป็นฝ่ายถูกแกล้งจึงออกตัวช้ากว่า ทว่าพระองค์กลับพระอารมณ์ดีกว่าเมื่อครู่นี้เสียอีก
การแข่งขันใช้เวลาไม่นานนักก็รู้ผล เนื่องจากไม่มีกรรมการจึงตัดสินยากว่าใครเป็นฝ่ายชนะ ฟีเรียสรู้สึกว่าเจ้าชายหนุ่มทรงถึงพร้อมๆ กับเขาเลยทีเดียว และเมื่อทูลถาม คำตอบก็คือ
“เสมอกันดีไหม”
“ฝ่าบาทไม่ได้ทรงออมมือให้กระหม่อมแน่นะพระเจ้าค่ะ”
“ออมมือให้” คนจริงจังหน้านิ่ว “แต่ไม่มาก ข้าแค่อยากถึงพร้อมๆ กับเจ้า อยู่ข้างๆ เจ้าไปตลอดทาง”
ฟีเรียสนิ่งอึ้ง ความคิดแรกที่วาบเข้ามาก็คือ ทำแบบนี้บ่อยไหม พูดแบบนี้กับผู้หญิงมาแล้วกี่คน แต่ก็คิดว่าไม่ควรจะถาม ถึงจะเป็น ‘คนรัก’ แต่ก็เพิ่งจะเริ่มคบหากันในสถานะนี้ คำถามเช่นนั้นคงจะเป็นการละลาบละล้วงเกินไป
“อยากจะพูดอะไร”
“รับสั่งแบบนี้ เคยใช้กับผู้หญิงมาก่อนรึเปล่าพระเจ้าค่ะ”
อา... ในที่สุดเขาก็พูด และเสียใจแทบจะทันทีที่พูดจบ เพราะสีพระพักตร์แบบ ‘ยิ้มๆ’ ของอีกฝ่ายหายไปแล้ว
“ไปหาที่นั่งคุยกันดีไหม ใต้ต้นไม้นั่นน่าจะดี”
ฟีเรียสได้แต่พยักหน้า
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้น”
รับสั่งถาม หลังจากฟีเรียสจัดหาที่นั่งให้ตัวเองได้เรียบร้อยแล้ว คือนั่งขัดสมาธิบนพื้นหญ้า หันหน้ามาทางพระองค์ซึ่งประทับแบบเดียวกัน
“ขอประทานอภัย ถือว่ากระหม่อมไม่ได้ทูลถามเถิดพระเจ้าค่ะ”
“เจ้าเป็นคนคิดมาก แต่บางทีความคิดของเจ้าอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง คำถามของเจ้าข้าอยากตอบ แค่อยากรู้ก่อนเท่านั้นว่าเพราะอะไรเจ้าถึงคิดอย่างนั้น”
“กระหม่อมไม่ทราบพระเจ้าค่ะ แค่จู่ๆ ก็คิดขึ้นมา เพราะว่าเมื่อก่อน... ฝ่าบาทไม่ได้ทรงเป็นอย่างนี้”
“จริงหรือ”
ถูกถามอย่างนี้ฟีเรียสก็ชักจะลังเล
“เมื่อก่อนข้าไม่เคยหยอดเจ้าหรือ”
ที่จริง... ไม่ต้องรับสั่งออกมาตรงๆ ก็ได้ว่าหยอด พอรับสั่งแบบนี้เลยไม่รู้ว่าจะเครียดหรือจะเขินดี ที่ทำได้คือตีหน้าตายแล้วทูลตอบตรงๆ
“ฝ่าบาทไม่ได้รับสั่งบ่อย”
“นั่นเพราะข้ากับเจ้าเป็นแค่เพื่อน ข้ายังไม่มั่นใจในตัวเอง ส่วนเจ้าก็ยังไม่ได้ให้ความมั่นใจกับข้า แต่พอเราเป็นคนรักกันแล้ว ข้าก็อยากจะพูดให้บ่อยเท่าที่ต้องการ ไม่ได้ตั้งใจจะหยอดเจ้า ข้าแค่พูดในสิ่งที่ข้ารู้สึก”
ใช่ รับสั่งได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก เพราะอย่างนี้มันถึงได้น่ากลัวเหลือเกิน เขากลัวว่าตัวเองจะตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ไม่เคยพูดแบบนี้กับผู้หญิง หรือผู้ชายคนไหนสักคน อันธียาเป็นแค่คู่หมั้นตามความเหมาะสม ข้าไม่ได้รัก ส่วนผู้หญิงอื่น... ข้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เจ้าหึงย้อนหลังหรือ”
“ปะ... เปล่าพระเจ้าค่ะ กระหม่อมไม่ได้หึง แค่... สงสัย” ฟีเรียสหลบสายพระเนตร ขณะเจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวล ไม่ได้รับสั่งคาดคั้น
“มีอะไรสงสัยอีกไหม”
องครักษ์หนุ่มส่ายหน้า
“อย่างนั้นข้าถามเจ้าบ้าง”
ฟีเรียสตั้งใจฟัง
“เจ้าไม่อยากให้แม่เจ้ารู้ ว่าเราเป็นคนรักกันหรือ”
เรื่องแบบนี้ คนพูดก่อนได้เปรียบจริงๆ เขาตั้งใจจะพูดเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่พอพระองค์รับสั่งขึ้นก่อน เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายผิดขึ้นมา
“กระหม่อม...ยังไม่พร้อมพระเจ้าค่ะ”
“กลัวนางเสียใจหรือ”
“...พระเจ้าค่ะ”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่
“แล้วคิดจะบอกนางไหม”
ฟีเรียสพยักหน้า
“เมื่อไหร่”
เขาไม่รู้ อย่าบังคับเขาเลย
“ถ้าเจ้าบอกแล้วนางรับไม่ได้ ต้องการให้เจ้าเลือกระหว่างนางกับเจ้า เจ้าจะเลือกข้าไหม”
องครักษ์หนุ่มอึดอัดใจ ลังเล ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเสียพระทัย แต่คำตอบที่เขาตอบได้ในตอนนี้ก็คือ
“กระหม่อม...เลือกแม่พระเจ้าค่ะ”
คนฟังทรงชะงักไปหลายอึดใจ ฟีเรียสไม่อยากให้เกิดความเงียบขึ้นนาน เขารู้ว่าความรู้สึกของเจ้าชายหกอาจจะยิ่งแย่ลงอีก แต่เขาก็พรั่งพรูออกมา
“กระหม่อมรักแม่มากพระเจ้าค่ะ ตอนที่รู้ตัวว่าชอบผู้ชายก็ทุกข์ใจ แต่ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าแม่อยากให้กระหม่อมแต่งงานกับผู้หญิง กระหม่อมก็จะแต่ง”
เจ้าชายรามิเรสยังทรงนิ่งเงียบ ทำเอาองครักษ์หนุ่มยิ่งใจคอไม่ดี
“แต่ว่าตอนนี้...” พูดแล้วก็เงียบนาน
“ตอนนี้อะไร”
“ตอนนี้กระหม่อมคิดว่าจะพยายามทำให้แม่เข้าใจและยอมรับให้ได้ ว่ากระหม่อมคงจะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนไม่ได้ แต่กระหม่อมอยากจะค่อยๆ บอก หาวิธีที่ทำให้แม่ไม่ตกใจพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายหกแห่งไม่ซีนทอดพระเนตรสีหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่ทรงคิด ว่าเจ้าตัวจะรู้บ้างไหม ว่ากำลังทำหน้าขอความเห็นใจได้น่ามองขนาดไหน
“แล้วใช้วิธีของข้าไม่ดีหรือ ที่ข้าทำเมื่อเช้า”
“กระหม่อมตั้งตัวไม่ทันพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายรามิเรสทรงนิ่งเงียบไปอีก ไม่ได้สะเทือนพระทัยอะไรนัก เพียงแต่เพิ่งทรงตระหนักว่า ความบันเทิงใจของพระองค์เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งแล้ว แม้ไม่ปรารถนาจะยอมรับ แต่ก็ทรงปฏิเสธไม่ได้ ว่าการแกล้งให้ฟีเรียสมีสีหน้าทุกข์ใจกึ่งๆ อ้อนวอนนี่ทำให้พระทัยพองโตขึ้นมาอย่างประหลาด
“ฝ่าบาท...”
น้ำเสียงแบบนี้ก็ด้วย มองปากคนเรียกแล้วก็นึกอยากจะจูบขึ้นมาเป็นกำลัง แต่ก็ต้องตัดพระทัยเพราะตรงนี้เป็นที่โล่งแจ้ง
“เอาเถอะ ข้าให้เวลาเจ้า ขออย่างเดียว ต่อไปถ้าข้าถามเจ้าอีกว่าจะเลือกใครระหว่างข้ากับแม่ของเจ้า เจ้าอย่าตอบเร็วนักเลย ถึงจะไม่เปลี่ยนใจ แต่ก็ทำเป็นคิดนานๆ หน่อยก็ได้...ข้าเห็นแล้วเสียใจ”
องครักษ์หนุ่มเบิกตากว้างขึ้น ดวงหน้าคมคายค่อยๆ เป็นสีก่ำขึ้นจนคนทอดพระเนตรเห็นอดยิ้มออกมาไม่ได้
ตกบ่าย เจ้าชายหกแห่งไมซีนก็ได้ทรงรู้จักกับแอนจิเทีย ลูกสาวเจ้าของร้านขายขนมปังตรงหัวมุมถนนเป็นหญิงสาวที่หน้าตาน่ารักและอัธยาศัยดีทีเดียว ดูเป็นหญิงสาวที่ไม่มีจริตมารยา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ทั้งสีหน้าและสายตาดูออกง่ายมากว่าชื่นชอบและชื่นชม ‘พี่ฟีเรียส’ มากขนาดไหน องครักษ์หนุ่มพูดด้วยไม่กี่ประโยคก็หน้าแดงจนเหมือนจะระเบิดออก
“ขนมปังพวกนี้นางทำเองหมดเลยนะเพคะ” เฟย์กราบทูลเจ้าชายหนุ่ม “นอกจากทำขนมปังเก่งแล้วยังทำอาหารเก่งด้วยนะเพคะ ขนมอื่นๆ ก็ทำได้ เรียกได้ว่าถ้าใครได้ไปเป็นภรรยาล่ะก็สบายไปทั้งชาติ เรื่องอาหารการกินนี่ไม่ต้องห่วงเลย”
“เฟย์”
หญิงสาวที่ถูกชมซึ่งหน้ากระตุกแขนเสื้อเพื่อนผู้อ่อนวัยกว่า หน้าแดงก่ำยิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็เหลือบตาขึ้นมองพี่ชายของนางว่าทำสีหน้าแบบไหน
เจ้าชายรามิเรสเพิ่งทรงทราบว่าองครักษ์ใหม่ของพระองค์ดูจะเป็นคนยิ้มง่ายเมื่อสนทนากับผู้หญิง
“ข้าต้องไปฝึกทำขนมกับทำอาหารไหม”
เจ้าชายหนุ่มตรัสถาม ในจังหวะที่แอนจิเทียเข้าไปเตรียมจานและมีดกับส้อมให้ทุกคน โดยมีเฟย์ตามเข้าไปช่วยด้วย ส่วนคนอื่นๆ ก็อยู่ใกล้ๆ กัน น่าจะได้ยินคำถามของพระองค์กันทุกคน แต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“ฝึกทำไมพระเจ้าค่ะ”
“อยากให้เจ้าสบายไปทั้งชาติ”
ฟีเรียสนิ่งอึ้ง นี่ถ้าเขาเป็นคนปากไวคงโพล่งออกไปแล้ว ว่าพระองค์อยากจะเป็น ‘ภรรยา’ ของเขาเรอะ ดีที่ปกติเป็นคนปากหนัก ถึงได้เพียงแต่ถลึงตาใส่คนที่รับสั่งถามแบบไม่ดูสถานที่เอาเสียเลย
“ขอได้ทรงโปรดอย่าล้อกระหม่อมเล่น กระหม่อมไม่ขำพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายรามิเรสแย้มพระสรวล
“ข้าก็ไม่ได้พูดให้เจ้าขำ ก็แค่กลัวเท่านั้น”
องครักษ์หนุ่มยังไม่ได้ทูลถามว่ากลัวอะไร เจ้าชายหนุ่มก็ตรัสถามเสียก่อน
“ในสายตาเจ้า นางเป็นยังไงบ้าง”
ไม่ต้องบอกว่านางไหน ฟีเรียสก็นึกรู้ได้เอง “ก็เป็นผู้หญิงที่ดีพระเจ้าค่ะ ขยัน กตัญญู”
“แค่นั้นหรือ”
ฟีเรียสนิ่วหน้า ไม่เข้าใจว่าจะต้องพูดอะไรเพิ่มเติมอีก
“เจ้าว่าข้าต้องกลัวนางไหม”
“กลัวทำไมพระเจ้าค่ะ”
“กลัวจะมาเป็นคู่แข่งหัวใจ”
มาถึงตรงนี้ ฟีเรียสต้องเหลือบตามองคนอื่นๆ อย่างระแวง แต่ทุกคนดูเหมือนจะรู้จักกาลเทศะดี คุณเรจินเดิน ออกไปรอนอกร้านซึ่งมีโต๊ะสำหรับนั่งกินแล้ว ส่วนคุณชายมิทรอสก็ชวนโรดีอัสไปเดินเลือกขนมปังตรงมุมอื่น ถึงแม้ว่าจะอยู่ในระยะได้ยิน และเอียงๆ หูมาทางนี้ทั้งสองคนก็เถอะ แต่เขาไม่พูดเสียอย่าง ยังไงก็ไม่ได้ยิน
ที่เขาทำก็แค่...ส่ายหน้า
“แปลว่าอะไร”
ถ้าใครถามเขาว่าเจ้าชายหกแห่งไมซีนเป็นคนยังไง ฟีเรียสตอบได้ตอนนี้เลย ว่าเรื่องมาก และเอาแต่ใจเป็นที่สุด ดูสีพระพักตร์ก็รู้ว่าพระองค์ทรงทราบว่าเขาหมายความว่ายังไง ได้คืบยังจะเอาศอก ที่จริงแล้วเขาคิดว่าพระองค์ทรงแกล้งเขาเสียด้วยซ้ำ ผู้ชายที่เพียบพร้อมไปหมดทุกอย่างอย่างพระองค์ยังจะต้องทรงกลัวเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยหรือ อยากจะปิดปากเงียบต่อไป แต่เพราะพระองค์ทรงยอมให้เวลาเขาเรื่องแม่ เขาก็เลย...ก็แค่อยากจะเอาใจคนที่ดูเหมือนจะจริงจังกับคำตอบของเขาเหลือเกินเท่านั้น ถึงได้ตอบเบาๆ
“ไม่ต้องกลัวพระเจ้าค่ะ”
รอยแย้มพระสรวลของเจ้าชายรามิเรสยังไม่เท่าไร ฟีเรียสพอจะต้านทานได้ แต่ไอ้เสียงผิวปากดังวี้ดวิ้วกับเสียงเปรยๆ ของคุณชายมิทรอสนี่มันอะไร
“เจ้าว่าขนมปังร้านนี้ใส่น้ำตาลมากไปรึเปล่า โรดีอัส”
**************************
คาดว่าเรื่องนี้จะจบได้ในบทที่ 33 นะคะ
ที่จริงแล้วชุนจะมาชวนไปงานฟิคน่ะค่ะ แต่จะมามือเปล่าก็เกรงใจ เลยเอาบทที่ 27 มาฝากแก้เขินด้วย
วันเสาร์ที่ 25 ต.ค. นี้จะมีงานฟิคที่อาคาร Thai CC Convention Hall ค่ะ ใกล้ๆ กับโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์
ถ้าใครอยู่ใกล้ๆ หรือไม่ใกล้แต่อยากไปเที่ยวงานก็เชิญชวนนะคะ
- วันเสาร์ที่ 25 ตุลา เวลา 11.30-16.30 น.
- อาคาร Thai CC Convention Hall ชั้น 12
- ค่าบัตรเข้างาน 70 บาท สามารถซื้อได้ที่หน้างาน
- มีนิยายวายขายเพียบเลย ส่วนใหญ่จะเป็นฟิค แต่ที่ไม่ใช่ฟิคก็น่าจะมีเยอะพอสมควรนะคะ (เดาเอา ชุนไม่เคยไปหรอกค่ะ อยากไปเหมือนกัน แต่ปีนี้ขอผัดไปก่อน อยู่ต่างจังหวัดด้วย แล้วก็...ยังไม่ทันจะสิ้นเดือนเลย เงินเดือนหายไปไหนหมดก็ไม่รู้
)
- ชุนสั่งพิมพ์เรื่อง “เวลา” ไปวางขายด้วยค่ะ สามารถหาซื้อได้ที่บูธ A16 ในราคา 380 บาท
- รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูและสอบถามได้ที่นี่ค่ะ
https://www.facebook.com/NanaNaRiSshop?fref=ts- ถ้าไม่สะดวกไป ก็ยังสามารถสั่งจองกับที่ร้านได้นะคะ รายละเอียดตามนี้เลย
https://www.facebook.com/notes/nananaris-shop/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2-by-%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B8%E0%B8%A8/763418607033964จบการโฆษณาขายของแต่เพียงเท่านี้
ป.ล.ถ้าผิดกฎเล้า (เรื่องการลง link การประชาสัมพันธ์ หรือการขายหนังสือ) ก็ช่วยเตือนด้วยนะคะ