-๑๑-
ความลับในใจ
เช้าวันรุ่งขึ้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารอบอวลไปด้วยความเงียบงัน มีเพียงเสียงกระทบกันของช้อนส้อมกับจานดังอยู่เนืองๆ นักบินเห็นสภาพของแต่ละคนก็อดขำไม่ได้ จึงตัดสินใจใช้โอกาสนี้ประกาศข่าวดีให้ทุกคนทราบโดยพร้อมเพรียงกัน
“ทุกคนครับผมมีเรื่องจะบอก” เมื่อได้ยินเสียงทุกก็หันมามองนักบินทันที
“มีอะไรจะเซอร์ไพรซ์อีกเหรอพี่” นักรบเอ่ยถาม
“ฉันไม่อยากฟังอะไรจากปากแกแล้ว” คุณหญิงหันมาเอ่ยกับลูกชายแล้วเมินหน้าหนี เพราะเรื่องเมื่อวานยังทำให้รู้สึกเศร้าสร้อยมาจนถึงตอนนี้
“ยังไม่หายงอนอีกเหรอครับคุณแม่”
“ฉันจะไม่หายงอนจนกว่าหนูปลาวาฬจะท้อง”
“ถ้าอย่างนั้นคุณแม่ต้องหายงอนผมแล้วล่ะครับ” พูดแล้วก็หันไปยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่วนคุณหญิงก็หันขวับมามองลูกชายด้วยความสงสัย
“แกหมายความว่ายังไงนักบิน อย่ามาล้อฉันนี่แม่แกนะ”
“เมื่อเช้านี้ไอ้เดี่ยวมันโทรมาบอกว่า....” นักบินเว้นช่วงไว้เพราะอยากแกล้งทุกคน ที่ตอนนี้กำลังหันมามองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นซะเต็มประดา
“ว่าไงยะบอกฉันมาเร็วๆ ถ้าไม่มีสาระฉันจะจับตีก้นลายเลยคอยดู” คุณหญิงดูท่าจะลุ้นหนักกว่าคนอื่น
“จริงๆแล้วปลาวาฬท้องครับ” นักบินตะโกนออกไปเสียงดังจนทุกคนได้ยินถนัดหู
“ว้ายยย! แกไม่ได้หลอกแม่ใช่ไหมนักบิน” คุณหญิงวางช้อนส้อมลงบนจาน แล้วยืนขึ้นกรีดร้องลั่นบ้านด้วยความดีใจ ไม่ต่างจากคนอื่นๆที่มีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า ยินดีปรีดากับเรื่องที่เพิ่งจะได้ยินมา
“เรื่องจริงครับมันเป็นความผิดพลาดของผลแล็บ” ที่ต้องอ้างอย่างนั้นเพราะไม่อยากให้ปลาวาฬรู้ว่าเมื้อคืนนี้โดนหลอก หากเป็นเช่นนั้นมีหวังเขาได้ถูกเด็กนั่นเอาคืนเป็นสิบเท่าแน่นอน นึกถึงกรรไกรเล่มนั้นแล้วยังขนลุกอยู่ไม่หาย
“ต่อไปหนูปลาวาฬต้องดูแลตัวเองดีๆนะจ๊ะ เพราะกำลังมีเจ้าตัวน้อยอยู่ในท้อง” คุณหญิงหันไปเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ขณะที่ปลาวาฬเองก็ยิ้มแล้วใช้มือเรียวลูบที่ท้องไปด้วย
“ดีใจด้วยนะปลาวาฬ” นักรบเอ่ยแสดงความยินดี
“อื้ม” เจ้าตัวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
“ตาเดี่ยวทำเอาฉันแทบจะเป็นบ้า ถ้าเจอตัวจะด่าซะให้เข็ดเลย” คุณหญิงเอ่ยคาดโทษเพื่อนลูกชายเอาไว้
“ยะ...อย่านะครับคุณแม่ มันเป็นความผิดพลาดคงไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก อย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดกับมันอีกเลยนะครับ” นักบินรีบเอ่ยห้ามมารดาไว้ เพราะกลัวเรื่องมันจะแดงขึ้นมา
“ฉันก็พูดเล่นไปอย่างนั้นล่ะ แกดูจริงจังไปนะนักบิน” คุณหญิงเอ่ยแล้วส่งสายตาจับผิดลูกชาย
“เปล่าครับคุณแม่ ไม่มีอะไรจริงๆ” นักบินรีบส่ายมือปฏิเสธทันที
ปลาวาฬจ้องหน้านักบินด้วยความสงสัย ทำท่าลุกรี้ลุกรนอย่างกับคนทำความผิดมาซะอย่างนั้น อย่าให้เขารู้นะว่าเรื่องเมื่อคืนมันเป็นแผนไม่งั้นจะจัดคืนให้หนักเลยคอยดู
“พ่อว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแกไม่ต้องไปทำงานแล้วล่ะ อยู่ดูแลหนูปลาวาฬที่บ้านจนกว่าจะคลอด” เกริกไกรเอ่ยกับลูกชาย
“ผมว่าไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้มั้งครับคุณพ่อ อยู่บ้านปลาวาฬก็มีคนรับใช้ดูแลอยู่แล้วนี่นา” นักบินรีบปฏิเสธทันที ถ้าอยู่ด้วยกันทั้งวันเขากลัวจะเผลอทำอีกฝ่ายแทงค์ไปซะก่อน
“ฉันเห็นด้วยกับคุณ นักบินต้องมาอยู่บ้านดูแลหนูปลาวาฬเท่านั้น” คุณหญิงเห็นด้วยอีกเสียง
“ผมก็เห็นด้วยครับ” นักรบสนับสนุนอีกเสียง
“โอเคๆก็ได้ครับผมจะอยู่ดูแลปลาวาฬที่บ้าน ทุกคนพอใจแล้วนะ” นักบินต้องยอมแต่โดยดี หากไม่ยอมทำตามมีหวังได้โดนบ่นไม่เว้นแต่ละวันแน่นอน
“ถ้าคุณนักบินไม่เต็มใจผมว่าไม่ต้องก็ได้นะครับ” ปลาวาฬเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็รู้สึกไม่ปลื้ม เขาเองก็ไม่อยากให้นักบินมาคอยดูแลเหมือนกันเพราะมันคงจะอึดอัดน่าดู
“บอกน้องเขาไปสิว่าแกเต็มใจ” คุณหญิงเอ่ยกับลูกชายเป็นคำสั่งกลายๆ
“ครับคุณแม่” นักบินตอบรับมารดา แล้วหันไปเอ่ยกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “ฉันเต็มใจได้ยินแล้วใช่ไหม” นักบินยักคิ้วใส่
“ผมไม่มีปัญหาครับเหมือนกันครับ” ปลาวาฬหันไปยิ้มให้กับทุกคนเพื่อสื่อว่าตัวเองก็เห็นด้วย
“ถ้างั้นเย็นนี้เรามาจัดปาร์ตี้ฉลองกันดีไหม” อยู่ๆคุณหญิงก็คิดอะไรดีๆขึ้นมาได้
“ดีครับคุณแม่ผมเห็นด้วย” นักรบสนับสนุนเต็มที่
“บ้านเราไม่มีงานรื่นเริงมานานแล้วก็ดีเหมือนกันนะ” เกริกไกรก็เห็นด้วยอีกเสียง
“ถ้างั้นก็เอาตามนี้เดี๋ยวฉันจะให้แม่บ้านไปซื้อของมาเตรียมสำหรับงานเย็นนี้ก็แล้วกันนะ” คุณหญิงเอ่ยกับทุกคนด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
“เดี๋ยวผมจะช่วยเตรียมสถานที่ละกันครับ” นักรบอาสา
“เดี๋ยวผมไปช่วยนักบรบอีกแรงครับ” ปลาวาฬอาสาช่วยอีกแรง
“ไม่ได้นะ! หนูปลาวาฬกำลังตั้งท้อง ต้องนั่งอยู่เฉยๆเดี๋ยวให้คนอื่นจัดการดีกว่า” คุณหญิงเอ่ย
“ผมทำไหวครับช่วยเล็กๆน้อยๆยังพอได้” ปลาวาฬยังยืนยันที่จะอาสาช่วยทำ
“ถ้างั้นก็ตามใจจ๊ะแต่ระวังด้วยนะเดี๋ยวจะหกล้มเอา” คุณหญิงเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
“ครับคุณหญิง”
“ผมว่าเราทานข้าวต่อกันเถอะครับ อาหารเย็นหมดแล้วมั้งเนี่ย” ทั้งหมดนั่งสนทนากันจนลืมไปว่าตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร
อาหารเช้ามื้อนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุขของทุกคนในครอบครัว ส่วนปลาวาฬรู้สึกดีใจมากเหลือเกินแต่พยายามไม่แสดงออกจนเกินงาม แค่รู้ว่ามีเจ้าตัวน้อยในท้องก็ทำให้ชีวิตดูมีค่าขึ้นมาก นับจากนี้ไปเขาจะดูแลตัวเองให้ดี เพื่อให้เจ้าตัวเล็กคลอดออกมาอย่างแข็งแรงสมบูรณ์
*-*-*-*-*-*-*
ช่วงเย็นปลาวาฬลงมาช่วยนักรบจัดเตรียมพื้นที่ในสวนข้างบ้าน ทั้งสองวางคอนเซปต์จะเปลี่ยนจากสวนที่เคยเขียวขจีเป็นสวนในเทพนิยาย โดยประดับตกแต่งไปด้วยไฟสลับสีและลูกโป่งคละสีจำนวนมาก
“เดี๋ยวปลาวาฬเอาลูกโป่งไปติดที่ต้นไม้นะเราจะเป็นคนเป่าให้” นักรบเอ่ยขณะถือถุงลูกโป่งอยู่ในมือ
“โอเคจ้า” ปลาวาฬนั่งลงข้างๆมองดูนักรบใช้เครื่องสูบเติมลมเข้าไปในลูกโป่ง เมื่อลูกโป่งพองตัวจนได้ขนาดพอดีแล้วก็ยื่นให้ หลังจากนั้นปลาวาฬก็นำไปติดที่ต้นไม้
ลูกโป่งถูกนำไปติดบนต้นไม้ลูกแล้วลูกเล่า จนเหลือลูกสุดท้ายที่อยู่สูงจนปลาวาฬต้องเขย่งเท้าขึ้นไปติด นักรบเห็นอย่างนั้นก็เดินเข้าไปซ้อนหลังแล้วช่วยมัดเชือก หากมองจากด้านหลังจะคล้ายกับว่าทั้งสองคนกำลังยืนกอดกันอยู่ ระหว่างนั้นนักบินบังเอิญเดินมาเห็นเข้าก็ชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ เพราะคิดว่าปลาวาฬกำลังอ่อยน้องชายตัวเองอีกคน จึงเดินตรงเข้าไปหาคนทั้งสองอย่างหงุดหงิด
“ทำอะไรกันอยู่น่ะ!” สายตาคมจ้องมองคนทั้งสองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้
“อ้าว! พี่นักบินลงมาได้แล้วเหรอ” เมื่อเห็นพี่ชายยืนทำหน้าบึ้งอยู่ตรงหน้า นักรบก็เอ่ยทักทายทันที
“เออ แล้วทำอะไรกันอยู่น่ะ” เจ้าตัวเอ่ยด้วยน้ำเสียงห้วนๆ สายตาคมจ้องจับผิดร่างเล็กอย่างออกหน้าออกตา
“ก็ช่วยกันตกแต่งสวยไงล่ะ คุณนักบินตื่นเร็วจังเลยครับนี่มันแค่ห้าโมงเย็นเองนะ” ปลาวาฬพูดประชดประชัน เพราะหลังจากทานข้าวเที่ยงแล้ว นักบินก็เข้าไปงีบในห้องนอนจนเลยเถิดมาถึงตอนนี้
“นี่นายกำลังพูดประชดฉันอยู่รึเปล่า”
“ไม่นี่ครับผมก็พูดปกติ” พูดแล้วก็ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“ปลาวาฬงั้นเดี๋ยวเราขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันดีกว่า อีกหน่อยแม่บ้านคงจะมาเตรียมอาหารไว้แล้ว” นักรบกล่าว
“โอเคแล้วเจอกันตอนเย็นนะ” พูดจบทั้งสองคนก็เดินแยกย้ายกัน แต่นักบินกลับรั้งมือร่างเล็กเอาไว้เสียก่อน
“คุณมีอะไรอีก” ปลาวาฬมองตาขวางพร้อมกับบิดข้อมือเพื่อให้เป็นอิสระ
“เมื่อกี้นายคิดจะทำอะไร” นักบินไม่ยอมปล่อยมือกลับถามคำถามที่ทำให้ปลาวาฬถึงกับงง
“ทำอะไร?”
“ก็นายกำลังอ่อยน้องชายฉันอยู่ไง บอกไว้ก่อนเลยว่าห้ามเด็ดขาด น้องฉันมันยังเรียนไม่จบเลย” คนพูดเองก็ทำหน้าไม่ถูก รู้สึกกระดากปากที่เอ่ยอย่างนั้นออกไป ทั้งที่ในใจจริงๆแล้วไม่ได้ห่วงน้องชายเลย แต่กลับรู้สึกหวงคนที่อยู่ตรงหน้าเสียมากกว่า
“คุณมันบ้าไปแล้ว ผมเนี่ยนะจะอ่อยนักรบ” ปลาวาฬชี้เข้าที่หน้าตัวเอง
“ก็นายสองคนกำลังยืนกอดกันอยู่ฉันเห็นนะ” นักบินยังคงรบเร้าไม่เลิก
“อย่ามโน นักรบแค่มาช่วยติดลูกโป่งต่างหาก ปล่อยมือผมได้แล้วจะขึ้นไปอาบน้ำ”
“ก็ขึ้นไปสิ” นักบินยืนทำหน้าตายเหมือนตั้งใจจะยั่วให้อีกฝ่ายโมโห
“ก็จับมือผมไว้อย่างนี้จะไปได้ยังไง” ปลาวาฬเริ่มขึ้นเสียงเมื่อเห็นว่ากำลังโดนอีกฝ่ายแกล้ง
“ก็ไปพร้อมกันนี่ไง อย่าลืมว่าทุกคนในบ้านให้ฉันดูแลนายเป็นอย่างดี”
“มันไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ผมรำคาญเข้าใจไหม” ปลาวาฬแยกเขี้ยวใส่อย่างเหลืออด เจ้าตัวรู้ว่านักบินอยากแกล้งเขามากจนเอาเรื่องนั้นมาอ้าง อย่าคิดว่าเขาจะไม่รู้ทัน
“แต่ฉันไม่เห็นจะรำคาญ ป่ะขึ้นห้องกัน” ว่าแล้วก็เดินนำหน้าจูงมืออีกฝ่ายขึ้นไปบนห้อง ต่อไปนี้เขาจะต้องจับตาดูปลาวาฬไม่ให้คลาดสายตา โดยเฉพาะเวลาที่อยู่กับผู้ชายคนอื่น ชอบยั่วชอบอ่อยจนผู้ชายหลงไหลได้ปลื้ม
และแล้วช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง แม้จะเป็นงานเลี้ยงเล็กๆที่จัดขึ้นเฉพาะคนในครอบครัว แต่คุณหญิงฉัตรฉายแต่งตัวจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหน้าผม ราวกับไปออกงานสังคมไฮโซซะอย่างนั้น ขณะที่คนอื่นกลับแต่งตัวสบายๆ
อาหารหลากหลายเมนูถูกจัดวางไว้บนโต๊ะ ส่วนข้างๆก็จะมีเตาย่างบาร์บีคิวและอาหารทะเล ซึ่งมีแม่บ้านคอยยืนคุมอยู่ประจำที่ ขณะเดียวกันก็มีเสียงเพลงสากลบรรเลงคลอไปด้วย เพื่อเพิ่มบรรยายกาศให้ดูสนุกสนานมากขึ้น ตอนนี้ทุกคนนั่งอยู่บนโต๊ะอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว คนที่เป็นแม่งานอย่างคุณหญิงฉัตรฉายยืนตระหง่านพร้อมกับชูแก้วไวน์ขึ้น
“ทุกคนมาฉลองกันหน่อยยย” ว่าแล้วทั้งหมดก็ยกแก้วขึ้นไปชนกันตรงกลางโต๊ะดังแกร๊ง ก่อนจะจิบไวน์ด้วยสีหน้ารื่นรมย์ แต่แก้วของปลาวาฬกลับแปลกจากคนอื่น เพราะของเหลวที่อยู่ในนั้นคือน้ำส้มคั้นนั่นเอง
“เพื่อหลานชายคนแรกของตระกูลมหาธำรงกุลคร้าบบ” นักรบเอ่ยขึ้นเสียงดังแม้ตอนนี้จะยังไม่รู้เลยว่าเด็กในท้องของปลาวาฬเป็นเพศไหนกันแน่
“เดี๋ยวๆๆ ไอ้นักรบแกรู้ได้ไงว่าลูกฉันจะเป็นผู้ชาย” นักบินถามน้องชาย
“ก็ผมอยากได้หลายชายไงเลยพูดไว้ก่อน” นักรบตอบแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
“แต่แม่อยากได้หลานสาวมากกว่า” สีหน้าของคุณหญิงดูมีความหวังว่าเด็กในท้องของปลาวาฬจะเป็นหลานสาว
“พ่อยังไงก็ได้” เกริกไกรเองก็เอากับเขาบ้าง
“แล้วแกล่ะนักบินอยากได้ลูกสาวหรือลูกชาย” คุณหญิงถามลูกชาย
“ผมอยากได้ทั้งหญิงและชายเลยครับ ถ้าเป็นแฝดได้ก็ยิ่งดี” นักบินตอบแล้วหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เห็นว่าปลาวาฬทำหน้าเครียดเหม่อลอยอยู่เลยสะกิดที่หน้าขาเบาๆ เมื่อปลาวาฬหลุดจากภวังค์ก็หันไปมองหน้าอีกฝ่ายทันที
“เป็นอะไร” นักบินเอ่ยถามเบาๆด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีความสุขกับปาร์ตี้ครั้งนี้
“เปล่าครับ” เจ้าตัวตอบกลับเบาๆแล้วหันไปโปรยยิ้มให้กับทุกคน
“แล้วหนูปลาวาฬอยากได้ลูกชายหรือลูกสาวจ๊ะ” คุณหญิงถามออกไป
“เอ่อ..ผมยังไงก็ได้ครับ” ปลาวาฬตอบส่งๆออกไป ยิ่งได้ยินทุกคนพูดอย่างนี้ยิ่งละอายใจกับสิ่งที่ทำอยู่ ซึ่งมันไม่ต่างจากการขายลูกกินเลย เมื่อได้รู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นแม่คน ยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดในใจมันผุดขึ้นมาเรื่อยๆ
“ฉันลืมไปว่าหนูแค่มารับจ้างอุ้มท้องให้เท่านั้นเอง” เมื่อพูดออกไปแล้วคุณหญิงก็เอามือมาปิดริมฝีปากไว้ เพราะลืมคิดไปว่าอาจจะทำให้ปลาวาฬรู้สึกไม่ดีก็เป็นได้ “ฉันขอโทษนะจ๊ะที่พูดอย่างนั้นออกไป หนูปลาวาฬอย่าคิดมากนะ”
“ไม่เป็นไรครับคุณหญิงผมโอเค เรื่องที่คุณหญิงพูดมามันก็คือเรื่องจริงนี่นา” แม้จะรู้สึกแย่มากแค่ไหน แต่เขาก็ต้องแสดงออกให้ดูร่าเริงมากที่สุด เพราะไม่อยากให้ทุกคนอึดอัด
“ผมว่าเรามาชนแก้วกันอีกครั้งดีกว่าครับ เอ้าชน!” นักบินกลัวว่าบรรยากาศจะกร่อย เลยเอ่ยแทรกขึ้นมาเพื่อดึงบรรยากาศให้ครื้นเครงขึ้น
แกร๊ง!
“นั่งกันนานแล้วตอนนี้เรามาขยับแข้งขยับขากันดีกว่าครับทุกคน” นักรบยืนขึ้นแล้วเอ่ยกับทุกคน
“ดีเหมือนกันแม่ไม่ได้เต้นรำมานานแล้ว” คุณหญิงเอ่ยแล้วหันไปมองหน้าสามีทันที นั่นทำให้เกริกไกรรู้ตัวทันทีว่าเขาจะต้องเป็นคู่เต้นรำให้กับภรรยาแน่นอน
“เดี๋ยวผมจะไปเปลี่ยนเพลงให้นะครับ” ว่าแล้วนักรบก็เดินตรงไปยังโต๊ะควบคุมเครื่องเสียง เพื่อเปลี่ยนเพลงให้เหมาะหรับการเต้นรำ แล้วเดินกลับมาโค้งคำนับเพื่อขอให้ปลาวาฬลุกขึ้นมาเป็นคู่เต้นรำด้วย “คุณปลาวาฬให้เกียรติเต้นรำกับผมด้วยครับ”
ก่อนที่ปลาวาฬจะตอบรับ นักบินกลับเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน
“ไม่ได้เว้ยไอ้น้องรัก วันนี้ปลาวาฬต้องเต้นรำคู่กับพี่เท่านั้น” ว่าแล้วก็จับมือคนที่นั่งอยู่ให้ลุกขึ้น แล้วโอบไหล่เดินไปกลางฟลอร์ ซึ่งเป็นพื้นหญ้าโล่งในสวน
“โด่ววว หวงซะจริงๆเลย” นักรบบ่นให้พี่ชายแต่ก็ยอมโดยดี
“ผมเต้นไม่เป็นนะ” ปลาวาฬเอ่ยพร้อมกับค่อยๆแกะมือของอีกฝ่ายออกจากไหล่บาง
“ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันจะสอนเอง” ว่าแล้วก็พลิกตัวอีกฝ่ายมาประจัญหน้า แล้วสอดประสานนิ้วยกขึ้นข้างลำตัว ส่วนมืออีกข้างเกี่ยวที่เอวคอดเอาไว้แล้วกระชับตัวเข้ามา
“ชิดเกินไปรึเปล่าคุณ” ปลาวาฬเงยหน้าขึ้นไปถามอีกฝ่าย แต่นักบินกลับทำหน้าทะเล้นแล้วยิ้มให้
“ชิดกว่านี้ก็เคยมาแล้วจะกลัวอะไร” พูดแล้วก็ยักคิ้วให้ ทำเอาคนที่อยู่ในอ้อมกอดเบ้ปากใส่ทันที
ระหว่างนั้นคุณหญิงฉัตรฉายและสามีก็จูงมือกันลงมากลางฟลอร์เช่นเดียวกัน ส่วนนักรบเปลี่ยนหน้าที่มาเป็นผู้บันทึกภาพและวิดีโอไปโดยปริยาย
ระหว่างที่ดนตรีคลาสสิคบรรเลงไปเรื่อยๆ คู่เต้นรำทั้งสองก็ออกสเตปไปตามจัวหวะอย่างช้าๆ แม้ว่าคุณหญิงฉัตรฉายและสามีจะห่างหายจากการเข้าคู่มานาน แต่การเต้นรำกลับเป็นไปอย่างราบรื่น ทำให้หวนนึกถึงสมัยที่เคยจีบกันใหม่ๆ ส่วนคู่นักบินกับปลาวาฬเกือบสะดุดล้มไปหลายรอบ แต่ถึงอย่างนั้นนักบินก็ช่วยสอนและเป็นผู้นำได้เป็นอย่างดี แม้จะโดนอีกฝ่ายเหยียบเท้าอยู่หลายครั้งก็ตาม
“ทำหน้าให้มันดีๆหน่อย” แม้จะเต้นรำมาได้สักพักแต่ปลาวาฬกลับยังคงทำหน้างองุ้มไม่หยุด
“ก็ผมบอกว่าเต้นไม่เป็นคุณก็ยังจะบังคับ และอีกอย่างผมก็ไม่อยากเต้นกับคุณด้วย”
“เต้นกับฉันแล้วมันจะทำไม อ้อ...ลืมไปว่ากำลังอ่อยน้องฉันอยู่คิดจะเทครัวรึไงห๊ะ”
“ในหัวคุณคิดแต่เรื่องต่ำๆไม่เหมือนนักรบ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นพี่น้องคลานตามกันมา” ปลาวาฬมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว
“นี่นายกล้าว่าฉันต่ำเหรอ!” นักบินชักสีหน้าใส่พร้อมที่จะจัดการอีกฝ่ายได้ตลอดเวลา
“เอาสิจะทำอะไรผมก็รีบทำ ทุกคนจะได้รู้ว่าคนอย่างคุณมันไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเลยแม้แต่น้อย” ปลาวาฬท้าทายเพราะคิดว่ายังไงนักบินก็ไม่มีทางทำอะไรเขาได้
“ตั้งแต่รู้ตัวว่าท้องนี่ปากเก่งขึ้นเยอะนะ อย่าคิดว่าฉันจะไม่กล้าทำอะไรนาย”
“กล้าก็ทำเลยสิผมจะได้เอาเรื่องนี้ไปฟ้องคุณหญิง” ปลาวาฬรู้ดีว่ายังไงซะคุณหญิงก็ต้องอยู่ข้างเขา และถ้าเอาเรื่องความปลอดภัยของเด็กมาอ้างมีหรือที่อีกฝ่ายจะไม่โดนเอ็ดเอา
“ฉันไม่โง่อย่างนั้นหรอกนะหึๆ” พูดจบก็เลื่อนมือหนาไปลูบไล้ที่บั้นท้ายแล้วคลึงเล่นเบาๆ ก่อนจะยิ้มอย่างผู้มีชัย ทำเอาปลาวาฬถึงกับมองตาขวางแล้วพยายามสลัดตัวออกเพื่อกลับไปนั่งที่เดิม
“ผมเหนื่อยแล้วขอกลับไปนั่งที่”
“อ้าว! ง่วงแล้วเหรอยังสนุกอยู่เลย” นักบินพูดเสียงดังจนทุกคนหันมามองเป็นตาเดียวกัน
“คุณพูดบ้าอะไรเนี่ย” ปลาวาฬกัดฟันพูดเสียงเบา
“ทุกคนครับผมขอตัวพาปลาวาฬขึ้นไปนอนก่อนนะ น้องง่วงแล้วงอแงงอย่างกับเด็กเลย” นักบินพยายามโอบไหล่ร่างเล็กเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนได้
“ถ้างั้นก็พาน้องขึ้นไปนอนเถอะ” คุณหญิงฉัตรฉายเอ่ย
“ครับคุณแม่”
นักบินโอบไหล่ร่างเล็กเดินขึ้นไปบนห้องนอน โดยที่อีกฝ่ายกลับเอาแต่ฮึดฮัดไม่ยอมตามใจ
เมื่อมาถึงห้องแล้วนักบินก็ผลักร่างเล็กลงบนเตียงแล้วคร่อมตัวเอาไว้ มือเรียวทั้งสองข้างถูกประสานนิ้วแล้วตรึงไว้เหนือศีรษะ ทำให้ปลาวาฬกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรบ้าๆลงไปเหมือนเมื่อคืนอีก
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” ร่างเล็กกดเสียงต่ำบ่งบอกว่ากำลังโมโหอยู่ไม่น้อย สายตาคมจ้องมองมาอย่างไม่ได้ใส่ใจกับคำทัดทานนั่นเลย
“ไม่ จนกว่านายจะบอกฉันว่านายเป็นอะไร”
“ผมเป็นอะไร?” ปลาวาฬเริ่มงงกับคำถาม
“ก็ตอนที่นั่งเหม่ออยู่ในงานเลี้ยงไง นายคิดอะไรอยู่บอกฉันมา”
“เปล่า” พูดแล้วก็เบนหน้าหนีไปอีกทาง ขืนบอกไปว่าเขารู้สึกผิดที่ขายลูกกินมีหวังนักบินได้สมน้ำหน้าเขาแน่นอน
“จะบอกไม่บอก” นักบินเริ่มไม่เล่นด้วย ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาอยากรู้เรื่องที่อีกฝ่ายคิดในตอนนั้น และมั่นใจว่าแววตาเศร้านั่นเหมือนกับมีเรื่องไม่สบายใจอยู่
“ผมจะคิดอะไรจำเป็นต้องบอกคุณทุกเรื่องเลยเหรอ บ้าไปแล้วรึไง”
“ที่ถามเพราะอยากรู้ว่านายมีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า ฉันจะได้ช่วยนายไงล่ะ” นักบินเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมากขึ้น ทำให้ปลาวาฬมองหน้าชายหนุ่มอย่างประหลาดใจ ทำไมอยู่ๆถึงได้เปลี่ยนท่าทีไปได้ง่ายๆอย่างนี้นะ แถมสายตาคมคู่นั้นมันมีความจริงใจซ่อนอยู่ข้างในจนสัมผัสได้
“เลิกพูดถึงเรื่องนี้เถอะผมง่วงแล้ว” ปลาวาฬหลบตาลงแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง เขาไม่มีทางให้อีกฝ่ายรู้เรื่องที่คิดในใจเด็ดขาด
“นายนี่ปากแข็งจริงๆ ถ้างั้นนอนเถอะฉันไม่กวนแล้ว” ก่อนจะปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ นักบินกลับโน้มใบหน้าลงไปประกบจูบทันที เขาไม่สามารถปล่อยอีกฝ่ายไปเฉยๆได้ ทุกครั้งที่แตะเนื้อต้องตัวเด็กคนนี้เขาห้ามใจไม่ให้ทำเกินเลยไม่ได้สักที