Waiting For Love
ผมกับกันย์ เราไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกัน เราไม่เคยคุยเรื่องส่วนตัวของกันและกัน กันย์ถึงใช้คืนนั้นเพื่อบอกลา ทำไมผมจะไม่รู้ ผมรู้ว่าสักวันมันจะต้องจบ แต่พอถึงวันนี้มันกลับเจ็บกว่าที่คิด เจ็บตรงที่รู้ว่าสุดท้ายเขาก็ไม่เลือกผม
Patr : กันย์จะบินวันนี้
Patr : มึงอยากไปส่งไหม
ผมกดปิดแชทของภัทร ความจริงผมอยากไปเห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย อยากไปถามว่าเขาคิดถึงผมแบบที่ผมคิดถึงเขาบ้างไหม ผมหวังลมๆแล้งๆว่าถ้าเขาเห็นหน้าผมแล้วอาจจะเจ็บปวดบ้าง แต่อีกใจก็รู้ว่าไม่มีทาง
นอกจากความหลงซึ่งกันและกันของเราแล้ว ผมแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย บ้านเขาอยู่ไหน ครอบครัวเขามีใครบ้าง เขาจะไปเรียนต่อที่ไหน ผมไม่รู้อะไรเลย จะให้ผมไปที่สนามบินในฐานะคนไม่รู้จักแล้วบอกเขาว่าโชคดีนะ ผมทำไม่ได้หรอก
เขาคงจะขึ้นเครื่องบินไปที่ไหนสักที่ที่ผมไม่รู้จัก ที่นั่นคงสวยน่าดู
Mom : กันต์ลูก พ่อเขาด่าแม่ แม่จะทำยังไงดี
หลังจากวันสุดท้ายที่เจอกับกันย์ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว ทุกคืนผมนอนไม่หลับ ผมเอาแต่ถามตัวเองว่าทำไม ทำไมเขาบอกว่ารักแต่ทำแบบนั้นกับผม เขาเห็นผมเป็นอะไร แล้วทำไมผมถึงยังเป็นอยู่แบบนี้ ทำไมไม่ทำแบบนั้น ผมคิดเรื่องเดิมๆซ้ำๆซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องแย่ๆอยู่ในหัว
ผมเคยชอบเซ็กส์และการนอนเพราะมันทำให้ผมลืมเรื่องปวดหัวไปชั่วขณะแต่ตอนนี้มันช่วยอะไรผมไม่ได้อีกต่อไปแล้วจนเมื่อทนไม่ไหวผมถึงเลือกที่จะกินยานอนหลับอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ผมเคยกินมันอยู่พักหนึ่ง พอกลับมากินอีกครั้งแม้แต่ยาก็ช่วยผมไม่ได้แล้ว ผมทั้งสวดมนต์ ออกกำลังกาย ทำงานหนัก ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองหลับ พอร่างกายชัตดาวน์ลงไปเพราะเหนื่อยได้แค่ไม่ถึงสองชั่วโมง สมองมันก็ตื่นขึ้นมาคิดใหม่ ผมคิดซ้ำไปซ้ำมาแบบหาข้อสรุปไม่ได้ คิดยังไงก็ไม่ตกผลึก
…แม่งทรมานฉิบหาย...
จนมันทำให้ผมคิดถึงตัวเองเมื่อก่อน ผมเพิ่งรู้ว่าชอบตัวเองตอนอยู่คนเดียวมากแค่ไหน ผมไม่ต้องคิดถึงใคร ผมแค่ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงานพาร์ทไทม์นิดหน่อย ถ้าเหนื่อยหน่อยก็แค่ดูรายการตลกๆในอินเตอร์เน็ต
อดีตมักเป็นสิ่งหอมหวาน แม้มันจะขาดไปบ้าง แต่อย่างน้อยผมก็ขอแค่ให้ตัวเองนอนหลับได้โดยไม่ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาร้องไห้แบบนี้
Kant : ไดจิ
Kant : รักตัวเอง ต้องทำยังไงนะครับ
“เกิดอะไรขึ้น”
ผมเดินเข้ามาในห้องนี้เป็นครั้งที่สอง ผู้ชายญี่ปุ่นใจดีเห็นสภาพผมก่อนจะดึงผมเข้าไปกอด ผมซุกตัวลงที่แผ่นอกกว้างพร้อมกับน้ำตา ผมร้องไห้เพราะผมอยากผ่านช่วงเวลาทรมานนี้ไปสักที ผมอยากจะเป็นผู้ใหญ่ให้ได้เหมือนกับไดจิ เป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็ง
“เธอทำให้ฉันคิดถึงตอนเด็กๆ” เขาว่าแล้วดึงตัวผมไปนั่งกอดไว้บนโซฟา
“เห็นหล่อๆ ฉันก็เคยอกหักนะ” เขาว่าพลางขำแต่ผมกลับแค่เงียบฟัง
“ไม่ขำเหรอ” เขาหัวเราะแก้เก้อก่อนจะก้มลงจูบแก้มผมเบาๆ
We are one of a kind, irreplaceable
How did I get so blind and so cynical?
เราต่างเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครแทนที่ใครได้
ทำไมผมถึงได้ตาบอด และดูถูกตัวเองแบบนี้
“ก่อนที่ผมจะมาเมืองไทย ผมแต่งงานกับแฟนผม เราคบกันมาตั้งแต่ตอนเป็น uni student” ไดจิเริ่มเล่าเรื่องของเขา
“ตอนแรกวางแผนว่าปีนี้เราจะแต่งงานกัน แต่เธอท้องเลยตกลงแต่งก่อน ผมโอเคนะ ยังไงก็ได้เพราะผมรักแฟนผมมาก ตื่นเต้นด้วยที่จะมีลูก”
ผมเอื้อมมือขึ้นไปกอดร่างกายแข็งแรงไว้แน่น
”ตอนเธอท้อง เธอหงุดหงิดจนน่ากลัว แม่ผมบอกว่าคนท้องอารมณ์จะไม่ดี” ไดจิเล่ามันด้วยเสียงนุ่มๆของเขา
“แต่ผมรู้สึกแปลกๆ เพราะเธอเปลี่ยนไปเยอะ จนใกล้วันคลอด ผมกำลังประชุมงานอยู่ที่บริษัท” เขาก้มลงจูบไหล่ผม
“แม่โทรมาบอกผมว่าเธอฆ่าตัวตายพร้อมกับลูก” ปลายเสียงของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ผมที่เหมือนจะหยุดร้องไห้แล้วสะอื้นจนไดจิโยกตัวไปมาเพื่อปลอบ
“ทุกคนมีปัญหาหมดนะ ตอนนี้เธอก็มีใช่ไหม”
ผมพยักหน้า
“แต่วันนี้ปีหน้าเธอจะไม่ร้องไห้แล้ว” เขาว่าก่อนจะผละตัวออกไปหยิบทิชชู่ให้ผม ผมที่ร้องไห้จนปวดหัวหันไปถามเขาด้วยเสียงแหบน่าเกลียด
“แล้วยังไงต่อ”
“ผมเหรอ?” ไดจิชี้มือเข้าหาตัวเอง ผมพยักหน้ารับ
“I was so socked ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอทำแบบนั้น แต่วันงานศพพ่อของเด็กในท้องแฟนผมก็โผล่มา”
“หมายความว่ายังไงครับ” ผมถาม
“แฟนผมมีอะไรกับรุ่นน้องที่ทำงานจนท้อง เธอเครียดสะสม” เขาเล่าเหมือนเขาลืมความเจ็บปวดนั่นได้แล้ว แต่ผมว่ามันคงซ่อนอยู่ที่ไหนสักที่
“So, everything happens for reason” เขาว่าแล้วนั่งลงตรงข้ามกัน
“ทีนี้ อยากเล่าไหม เรื่องของเธอ”
For every tyrant a tear for the vulnerable
In every lost soul the bones of a miracle
สำหรับทุก ๆ หยดน้ำตาแห่งความอ่อนแอ
ในทุก ๆ ความพ่ายแพ้ มักจะมีสิ่งมหัศจรรย์
ผมหลุบตามองพื้น ผมไม่เคยเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟัง จริงๆคือไม่มีใครฟังต่างหาก
“ผมเจอใครคนหนึ่งจากในแอปเหมือนคุณ แล้วเรามีอะไรกัน” ผมลูบหน้าตัวเองแรงๆแล้วค่อยๆเล่าต่อ
“ผมรักเขา แต่เป็นไปไม่ได้” ผมบอก
“ทำไมเป็นไปไม่ได้” ไดจิลูบแก้มผมเบาๆ
“เขามีคนรักอยู่แล้ว ตอนนี้เขาจะย้ายไปต่างประเทศแล้วครับ” ผมตอบพร้อมกับยิ้มเปื้อนน้ำตา
“แล้วเธอเสียใจตรงไหน” ไดจิถามพร้อมกับยกกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่ม
“เขาบอกว่าเขารักผม...แต่เขาไม่ได้เลือกผม” ไดจิเลิกคิ้วมองผมก่อนจะบอก
“เขาเลือกแล้ว”
ผมยิ้ม ผมไม่ได้เจอไดจิแค่สองเดือนแต่รู้สึกเหมือนว่าภาษาไทยเขาดีขึ้นมาก เอาจริงๆผมไม่เชื่อหรอกว่าคนๆหนึ่งจะสามารถรักใครพร้อมกันทั้งสองได้ ถ้าเขารักผม
...เขาควรยืนอยู่กับผมตรงนี้...
“อาซาฮีไหม อร่อยนะ” ไดจิถาม ผมส่ายหน้า
“ผมไม่เคยดื่ม” ผมพูดจริง ก่อนหน้านี้ผมก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่แค่ที่เรียน ที่ทำงานและหอพัก เหล้าหรืออาหารแพงๆเป็นสิ่งที่เกินกำลังทรัพย์ของผม
“เธอนี่น่ารักจริงๆนะ” เขาว่าก่อนจะกระดกมันลงคอไป ก่อนจะโน้มคอผมลงไปจูบ
“มันขมนิดหน่อย แต่อร่อยดี ว่าไหม” ผมหลุบตามองพื้น ก่อนจะส่ายหน้า ผมชอบกอดของไดจินะ แต่ผมไม่ชอบจูบของเขา
“รู้ใช่ไหมว่าแอปนี้ใช้ไว้นัดทำอะไร” อยู่ๆเขาก็ถามขึ้นมา
“ผมรู้” ผมตอบ
“รู้ใช่ไหมว่าผมเองทักเธอมาครั้งแรกเพราะอะไร”
“ครับ” ผมรู้ รู้ด้วยว่าการที่วิ่งโร่มาหาผู้ชายที่รู้จักกันผ่านแอปแบบนี้มันหมายความว่ายังไง แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่าเขาเป็นคนดี
“คุณเป็นคนดี” ผมว่า
“เธอมองโลกดีเกินไปต่างหาก” เขาบอกและผละตัวออกไป ผมมองแผ่นหลังแข็งแรงก่อนจะบอกเขาด้วยเสียงสั่นๆของตัวเอง
“ผมนอนไม่หลับมาเกือบเดือนแล้ว”
“แล้วยังไง” เขาถาม
“ผมอยากนอนหลับ” ผมบอกเขาพร้อมกับน้ำตา ไดจิยิ้มให้เบาๆก่อนจะก้าวเท้าเข้ามาหาผม
จูบรสเบียร์เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง มือใหญ่ของเขาป่ายแปะไปทั่วร่างกายผมพร้อมๆกับตอหนวดสากที่ครูดอยู่กับซอกคอผม ไดจิจูบผมไปทั่วตัว เขาใช้มือใหญ่บี้หน้าอกผมจนมันชูเด่น ร่างกายของผมตอบสนองได้ดีแม้ผมจะเหนื่อยล้าจากการนอนไม่พอมานาน
“เธออยากจะทำหรือเปล่า พูดออกมาตรงๆ” เขาถามผมที่เอาแต่ร้องไห้
อย่างที่ผมเคยบอก ถ้าไม่ใช่กันย์ ผมในตอนนี้ไม่อยากทำกับใครทั้งนั้น ผมส่ายหน้าพร้อมกับปาดน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุด
“ถ้ารักตัวเอง อย่าทำให้ตัวเองเจ็บปวด” เขาว่าแล้วลุกขึ้นจากเตียง
ผมร้องไห้ทั้งสะอื้นเหมือนจะขาดใจตาย พร้อมกับใช้มือที่แทบจะไม่มีแรงดึงเสื้อที่ถูกเลิกขึ้นลงมา ไม่มีใครรู้หรอกว่าผมสมเพชตัวเองแค่ไหน ...ถ้าไม่ใช่ผมแล้ว ไม่มีใครเข้าใจหรอก
“ผมช่วยไม่ได้หรอก แต่เบียร์น่าจะช่วยได้ มันจะทำให้เธอหลับสบาย” ไดจิว่าในตอนที่เดินกลับมาในห้อง เขายื่นเบียร์เย็นเฉียบให้ผมกระป๋องหนึ่ง
“ถ้ามันขม ก็คิดว่ามันเป็นยา”
Monday left me broken
Tuesday I was through with hoping
ในวันจันทร์ ผมถูกทิ้งไป
ในวันอังคาร ผมผ่านมาได้ ด้วยความหวัง
“จะไปไหน” ภัทรถามผมที่เก็บของลงกระเป๋าเป้ใบเล็กๆ
“ไปไกลๆ” ผมมีวันหยุดอยู่สามวัน ผมที่นอนไม่หลับมาเดือนกว่าๆอยากไปที่ไหนก็ได้ที่ทำให้ผมนอนหลับสนิท ไดจิบอกว่าควรออกไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง
“กูไปด้วย” ภัทรบอก ผมส่ายหน้า ผมอยากอยู่คนเดียว
“กูสัญญาว่าจะไม่กวนมึง”
ผมมองคนที่มีหน้ามาสัญญาทั้งๆที่ยังตามติดผมอยู่เกือบทุกวัน
ผมตื่นมายืนที่สถานีรถไฟเก่าๆในตอนตีห้า ผมบอกว่าภัทรว่าจะไปเที่ยวโดยรถไฟในตอนตีห้าครึ่ง แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปที่ไหน เราไม่ได้นัดกันเป็นกิจจะลักษณะ ผมมองหาเขาแต่ก็ไม่เจอ แต่ที่แน่นอนคือผมจะไม่รอ
ผมก้าวขึ้นมาบนรถไฟเก่าๆที่ปนไปด้วยกลิ่นฝุ่นกับสนิม ไม่นานนักรถไฟก็ออกแต่ยังไม่เห็นใครคนนั้น ผมเลิกสนใจเพื่อนร่วมทางแต่มองออกไปที่หน้าต่างในยามที่ฟ้ายังไม่สว่าง แสงสลัวในยามรุ่งเช้าค่อยๆสว่างขึ้นพร้อมๆกับวิวที่เปลี่ยนไป รู้ตัวอีกทีผมก็ออกมาถึงชานเมืองหลวงแล้ว
...ถ้าตอนนี้กันย์นั่งอยู่ด้วยก็คงดี...
“โทษที ขึ้นที่หัวลำโพงไม่ทัน เลยนั่งรถมารอที่นี่”
ผมมองคนที่อยู่ๆก็โผล่มา ก่อนจะหลุดขำการแต่งตัวกับกระเป๋าลากเหมือนทัวร์จีนของภัทร ภัทรที่สัญญาว่าจะไม่กวนนั่งคนละฝั่งหน้าต่างกับผม ผมเห็นเขาเสียบหูฟังเพื่อฟังเพลงผมถึงเลิกสนใจเขา แล้วหยิบหูฟังของตัวเองขึ้นมาบ้าง
ผมวูบหลับไปเพราะเมื่อคืนไม่ได้นอนเลย แต่ไม่ถึงชั่วโมงก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกที
-- นครปฐมครับ ให้เวลา 40 นาทีในการเที่ยวชมวัดครับ นครปฐมครับ ให้เวลา 40 นาทีในการเที่ยวชมวัดครับ --
เสียงโทรโข่งดังขึ้นมาในตอนเจ็ดโมงกว่า ผมบิดตัวคลายเมื่อยก่อนจะมองนักท่องเที่ยวที่ส่วนมากเป็นชาวต่างชาติค่อยๆทยอยลงจากรถไฟ ผมได้กลิ่นไก่ย่างแล้วหิวถึงได้ลุกขึ้นบ้าง อย่างน้อยมาถึงแล้วก็ไปไหว้พระสักหน่อย
“อะไร”
ผมสะกิดคุณหนูที่นอนคอพับอยู่ตรงที่นั่งหน้าต่างอีกฝั่ง
“กินข้าวกัน”
ภัทรทำหน้างงๆ แต่ก็ลุกขึ้นเดินตามมา
ผมกำลังเดินอยู่ในที่ที่ไม่รู้จัก เดินสวนกับคนที่ไม่รู้จัก มันทำให้ผมสงบอย่างประหลาด
“เอาเส้นเล็กต้มยำครับ” ผมนั่งลงที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นเพิงตรงทางเข้าของวัด ภัทรดูเก้ๆกังๆแต่ก็หันไปสั่งเมนูเดียวกับผม
“ไม่รู้หรือไงว่าต้มยำมันเผ็ด” ผมถามเมื่อเห็นอีกคนพยายามกินของที่ไม่ถูกปาก เขาหน้าแดงและเหงื่อซึมไปทั้งหน้า
“รู้ แต่อยากลอง ไหนๆก็มาแล้ว” ภัทรว่าพร้อมกับเช็ดน้ำตาท่าทางน่าสงสาร
ผมรีบกินก่อนจะหิ้วกาแฟรถเข็นยี่สิบบาทขึ้นมาบนพระปฐมเจดีย์ ผมเดินวนรอบดูความยิ่งใหญ่และศรัทธาของมนุษย์ที่หาที่พึ่งทางใจ ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้แต่ก็เดินไปนั่งคุกเข่ายกมือไหว้แบบที่แม่เคยสอนตอนเด็กๆ
“ขอให้ผมกับแม่มีความสุข” ผมว่าเบาๆแบบไม่เชื่ออะไร แต่ก็แปลกที่คำขอ 20 บาทของผมทำให้ตัวเองยิ้มออก
“ร้อน!”
ผมหันไปหาผู้ชายที่เคลมตัวเองว่ามาจากปักกิ่ง ภัทรแต่งตัวเหมือนจะไปเดินนิวยอร์กแฟชั่นวีค ดูไม่เหมาะกับทริปราคา 120 บาทของผมแต่อย่างใด
“มึงบ้าป่ะวะ ธูปเขาถือเอียงๆ ขี้ธูปมันจะได้ตกลงพื้น” ผมว่าพร้อมกับปัดขี้ธูปออกจากมือภัทร
Wednesday my empty arms were open
Thursday waiting for love, waiting for love
ในวันพุธ อ้อมแขนที่ว่างเปล่าของผมได้อ้าออก
ในวันพฤหัสบดี ผมกำลังรอคอยความรัก รอคอยเพื่อรัก
“มือเป็นอะไร” ภัทรถามในตอนที่เรากลับมานั่งในตู้รถไฟขบวนเดิม แต่ก่อนผมคงตอบว่า เรื่องของกู หรือไม่อย่างนั้นคงเป็น ไม่ใช่เรื่องของมึง แต่วันนี้ผมแค่มองหน้าเขาแล้วตอบ
“โดนน้ำมันตอนทำงาน” เป็นเพราะช่วงนี้นอนน้อย ทุกอย่างเลยรวนไปหมด ผมว่าดีแล้วที่น้ำมันราดลงแค่มือ
“เจ็บไหม” ภัทรถาม
“อืม” ผมตอบแล้วหันออกไปมองวิวข้างนอก รถไฟขบวนนี้กำลังมุ่งหน้าลงใต้
“ขอโทษ ลืมไปว่าจะไม่วุ่นวาย” ภัทรว่าก่อนจะถอยร่นออกไป ผมเอื้อมมือไปดึงแขนเขาไว้แล้วควักเอายาทาแก้แผลพุพองที่พกไว้ออกมา
“เอามือมา”
ผมบีบมันลงบนมือขาวเนียนของเขาแล้วลูบวนเบาๆตรงจุดที่โดนธูปหล่นใส่
“Thanks” ภัทรว่าก่อนจะชักมือกลับไปไว้ข้างตัว ผมมองหน้าของเขาที่ดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูกก่อนจะชี้ลงบนเก้าอี้ข้างตัว
“นั่งตรงนี้ก็ได้”
TBC.
_______________________________
theme track - Avicii : waiting for love
https://youtu.be/cHHLHGNpCSAไม่รู้จะพูดอะไรเลยค่ะ จบแต่ละตอนเราก็เหม่อไปนานเหมือนกัน
แต่อยากแนะนำให้ฟังเพลง ดีมากจริงๆ