ตอนที่ 13
แบบช็อกๆ
จากที่ตั้งใจจะไปรอทำงานที่ร้านเลยแต่ยังเหลือเวลาเยอะมาก ผมก็เลยแวะเข้ามาในร้านหนังสือฆ่าเวลาไปก่อน ผมเลื่อนมือไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งบนชั้นหนังสือขายดีมาเปิดอ่านผ่านๆ ถึงผมจะชอบอ่านหนังสือแต่ซื้อไม่บ่อย เพราะเมื่อเทียบกับรายได้ที่ผมมี หนังสือพวกนี้ก็ราคาแพงไปสำหรับผม
“ปิง”
ผมเงยหน้าขวับไปมองเสียงเรียกเบาๆ ตรงหน้า ก่อนจะเห็นว่าเป็นช็อกที่กำลังยืนยิ้มกว้างอยู่
“ช็อก มาได้ไงอะ”
“แวะมาซื้อยางลบ” เขาว่าแล้วชูยางลบในมือให้ดู
“แล้วไม่กลับบ้านเหรอ”
“ยังอะ ตอนเย็นมีซ้อมดนตรี แล้วปิงอะ ไม่กลับเหรอ”
“เรารอไปทำงาน”
“ทำงานกี่โมง”
“ห้าโมง”
“เหลือเวลาตั้งเยอะ ไปเรียนดนตรีกันปะ”
ผมพยักหน้ารับตามคำชวน วางหนังสือเก็บไว้ที่เดิมแล้วตามเขาออกมา ช็อกพาผมกลับมาที่โรงเรียน ในห้องซ้อมดนตรีของวงดนตรีโรงเรียนที่ปกติไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาใช้งาน ผมเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าห้องแล้วกวาดตามองไปรอบๆ
“เราเข้าไปได้จริงๆ เหรอ”
“ได้ดิ มากับเราซะอย่าง”
“ครูเขาจะไม่ว่าเอาใช่ไหม”
“ปิงขี้กลัวว่ะ เข้ามา” ช็อกดึงมือผมเข้าไปในห้องนั่น ก่อนจะหันไปปิดประตูห้อง ในนี้เงียบมากและค่อนข้างมืด มีแค่ไฟหลอดยาวกลางห้องดวงเดียว ผมนั่งลงที่เก้าอี้ตรงมุมห้อง
“ปิงอยากเล่นอะไร”
“อะไรก็ได้ง่ายๆ”
“ตอนม.สี่เรียนกีตาร์ใช่ปะ แปลว่ามีพื้นฐานแล้ว งั้นเอากีตาร์ดีกว่า” ช็อกว่าแล้วหยิบกีตาร์โปร่งตัวหนึ่งมานั่งข้างๆ ผม
“อย่าเรียกว่ามีพื้นฐานเลย เราลืมหมดแล้ว จำคอร์ดไม่ได้ด้วย”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวสอนให้ใหม่ อะ” ผมรับกีตาร์มาจากช็อกแล้วกอดเอาไว้แบบงงๆ จนคนข้างๆ หัวเราะออกมา
“กีตาร์ยังตัวใหญ่กว่าปิงอีก”
“เราสายพันธุ์แคระไง” ตอนแรกก็ต่อต้านตอนที่พี่อิสบอกว่าเป็นคนแคระ แต่ตอนหลังเริ่มรู้ตัวเพราะอยู่ใกล้ใครก็ตัวเตี้ยไปหมดก็เลยต้องยอมรับความจริง
“มาเริ่มเลยดีกว่า เอาคอร์ดพื้นฐานก่อนนะ” ช็อกเลื่อนตัวเองจากเก้าอี้ลงไปคุกเข่าตรงหน้าผม แล้วยกมือมาจับมือผมให้ขยับไปจับสายกีตาร์ตามสายตามช่องที่เขาบอก
“ลองดีดดู”
ผมเลื่อนมือขวาขึ้นมาดีดสายกีตาร์
“บอด เอาใหม่”
อีกที
“บอด”
อีกที
“บอดมาก”
อีกที
“บอดที่สุด”
“งื้อ! ไม่เล่นแล้ว โยนทิ้ง!” ผมพูดอย่างหงุดหงิด ผมรู้ตัวตั้งแต่ตอนม.สี่แล้วว่าไม่ได้เกิดมาเพื่อเล่นกีตาร์ ไม่อยากพยายามทำอะไรที่มันรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่เอาแล้ว!
“โอ๋ๆ หงุดหงิดง่ายจังเลย ก็ปิงดูไม่มีแรงอะ ดูมือเนี่ย นิ่มเป็นฟองน้ำเลย” ช็อกว่าแล้วบีบมือผมเบาๆ ตอนถูกจับมือทำเอาผมเคอะเขินเล็กน้อยเพราะความใกล้ชิดเกินไป ผมจึงดึงมือตัวเองกลับมาช้าๆ ขณะที่ช็อกเปลี่ยนเรื่องพูด
“เราว่าปิงเล่นคีย์บอร์ดดีกว่า” แล้วลุกไปที่คีย์บอร์ด ผมเดินตามไปด้วย
“อันนี้ง่ายกว่าเหรอ”
“ไม่รู้ว่าง่ายกว่าไหมแต่ไม่เจ็บมือแน่ๆ สงสารมือนิ่มๆ ไม่เหมาะจะจับสายกีตาร์” ช็อกจับมือผมไปวางบนคีย์บอร์ด ชี้ให้กดจนเกิดเป็นเสียง ผมพยักหน้าเบาๆ ตอนที่เขากำลังสอนถึงตัวโน้ตพื้นฐาน พูดถึงคีย์ขาว คีย์ดำ คอร์ดนั่นนี่โน่นแบบดูมีหลักการ ผมไม่ค่อยเข้าใจแต่พยายามกดมือลงไปตามที่เขาบอก
“ปิงอยากเล่นเพลงอะไรอะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน ปกติเราไม่ฟังเพลง”
“เฮ้ย ไม่ฟังเพลงเหรอ”
“ไม่ค่อย...ไม่เลย” ถ้าไม่นับเพลงที่ได้ยินผ่านๆ ในร้านกาแฟ ผมก็ไม่เคยเปิดเพลงเองเพื่อฟังเลย ผมไม่ได้แปลกเกินไปใช่ไหม
“รู้จักยูทูบปะเนี่ย”
“รู้จักดิ แต่ไม่ฟังเพลงไง”
“ปิงเอ๊ย งั้นเดี๋ยวเราเลือกเพลงให้นะ”
ผมพยักหน้ารับ ให้ช็อกเป็นคนเลือกต้องดีกว่าอยู่แล้ว
“แต่วันนี้เอาพื้นฐานให้คล่องก่อน จำให้ได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนก็พอแล้ว”
“โอเค”
ชั่วโมงกว่าๆ ที่ช็อกสอนให้ผมกดทั้งโน้ต ทั้งคอร์ด นอกจากเขาจะเล่นกีตาร์เก่งแล้ว ยังเล่นคีย์บอร์ดได้ดีมากอีกด้วย จนผมสงสัยว่าช็อกนี่ทำมาจากอะไรเหรอ ทำไมถึงดีไปหมดทุกอย่างแบบนี้ เกิดเป็นช็อกนี่ดีจัง ถูกแล้วที่คำว่าเพอร์เฟกต์อธิบายความเป็นเขาเอาไว้ได้ครอบคลุมที่สุด
“ปิง...”
“...”
“ปิง!”
“ฮะ!?” ผมหลุดจากความคิดตอนที่ช็อกยื่นหน้าเข้ามาเรียกเสียงดังข้างๆ หู
“เหม่ออะไร”
“เปล่า”
“เปล่าอะไร เรียกไม่ตอบ เหนื่อยแล้วเหรอ”
“เปล่าๆ”
“ใกล้ได้เวลาทำงานของปิงแล้วอะ วันนี้แค่นี้ก่อนละกัน”
“โอเค”
“พรุ่งนี้มีคาบดนตรีใช่ปะ อย่าลืมไปซ้อมที่เราสอนไปนะ”
“โอเค”
“วันเสาร์เจอกันที่ร้านยาพ่อนะ เดี๋ยวเราไปรับ พาไปที่บ้าน”
“โอเค”
“จะพูดแต่คำว่าโอเคหรือไง”
“โอ...” ผมชะงักกึกก่อนจะเผลอหลุดคำว่าโอเคออกไป ช็อกหลุดหัวเราะเบาๆ
“ปิงแม่งตลกว่ะ”
“เราเหรอ”
“อื้อ อยู่ด้วยทั้งวันคงขำตาย”
“ไม่ใช่แล้ว จริงๆ เราเป็นคนเงียบนะ อยู่ด้วยทั้งวันอาจจะเบื่อก็ได้ เรายังเบื่อตัวเองเลย”
“งั้นก็พูดเยอะๆ สิ”
ผมเงยหน้าไปหาช็อกที่บอกอย่างนั้น
“พูดเยอะๆ แล้วก็ยิ้มเยอะๆ ปิงจะน่ารักมากเลยนะ” เขาว่าแล้วยกมือดึงแก้มผมสองข้าง ผมอยากรู้ว่ากับคนอื่นเขาก็ทำแบบนี้ด้วยหรือเปล่า คงเพราะเขาเป็นคนใจดีและดูเข้ากับทุกคนได้ง่ายๆ บางการกระทำของเขามันทำให้ความรู้สึกผมวูบไหวไปด้วย...ไม่รู้จะเรียกความรู้สึกนั้นว่าอะไรดี
“อ้าว ไอ้ช็อก”
ทั้งผมและช็อกผละออกจากกันเมื่อมีคนเปิดประตู ก่อนหันไปเห็นว่าเป็นผู้ชายสามคนที่เดินเข้ามา ทั้งหมดหันมามองผมพร้อมกันแล้วหันไปหาช็อก
“มึงมาตั้งแต่เมื่อไรวะ”
“นานละ”
“แล้วนี่ใคร”
“นี่ปิง เพื่อนกู”
ผมยิ้มนิดๆ เป็นเชิงทักทาย จำได้ว่าพวกเขาคือสมาชิกวงดนตรีเดียวกันกับช็อก คงมาที่นี่เพื่อจะซ้อมดนตรีอย่างที่ช็อกบอก
“อ๋อ คนที่มึงไปกินไอติมด้วยอะนะ”
“เออ บ้านอยู่ใกล้ๆ กันไง”
“น่ารักนะเพื่อนมึงเนี่ย จีบได้เปล่า”
ผมหันขวับไปมองผู้ชายหัวสกินเฮดที่โพล่งถามขึ้นมาแบบขำๆ
“เพื่อนกู อย่ายุ่ง ขอร้อง” ช็อกดึงเพื่อนเขากลับไป
“ทำเป็นหวงนะ”
“งั้นเราไปก่อนนะ” ผมหาจังหวะพูดแทรกก่อนจะเดินไปหยิบเป้ขึ้นสะพาย
“ให้เราไปส่งเปล่า”
“ไม่เป็นไร”
“ตอนเช้ารอที่เดิมนะ”
ผมพยักหน้ารับ ก่อนบอกลาอีกครั้งด้วยการยกมือขึ้นโบก ช็อกยืนส่งผมที่หน้าประตูด้วยรอยยิ้มกว้างๆ เหมือนเคย...ช็อกใจดีกับผมเสมอเลย
...
หลังเลิกงาน ผมเดินกลับบ้านอย่างคนหิวโหย คงเพราะวันนี้ใช้แรงงานมากไปหน่อย ไม่รู้ว่าพี่อิสกินข้าวหรือยังก็เลยแวะซื้อบะหมี่ร้านเดิมไปสองถุง เดินออกมาจากร้านบะหมี่ได้ไม่กี่ก้าวฝนก็ตกลงมาไม่บอกไม่กล่าว ผมวิ่งเข้าไปหลบที่ป้ายรถเมล์ ก่อนฝนจะลงเม็ดหนาเทลงมาไม่หยุด ไม่รู้แล้วว่านี่มันฤดูอะไรกันแน่ เหมือนรวมทุกฤดูเอาไว้ในวันเดียวเลย เห็นว่าฝนไม่มีทีท่าจะหยุดตกง่ายๆ ผมเลยตัดสินใจดึงหมวกฮู้ดขึ้นมาสวมหัวแล้ววิ่งฝ่าฝนไปอย่างเคย ผมไม่ชอบเวลาที่ฝนตกแล้วต้องติดแหง็กอยู่ที่ไหนสักที่ อย่างน้อยต้องกลับให้ถึงบ้านก่อน เปียกฝนก็ช่างมัน
วิ่งกลับมาถึงบ้าน แปลกใจนิดหน่อยที่บ้านปิดเงียบ พี่อิสยังไม่กลับมา ผมล้วงกุญแจบ้านในรองเท้าผ้าใบแล้วไขเข้าไป เช็ดมือที่เปียกก่อนจะควักมือถือขึ้นมาส่องทางที่มืดสนิท ควานหาสวิตช์ไฟแล้วเปิด เดินเลี่ยงๆ พื้นที่กลางบ้านที่เต็มไปด้วยงานของพวกพี่ๆ เพราะกลัวน้ำจากตัวผมจะไปเปียกงานของพวกเขา รีบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแล้วออกมาเช็ดน้ำที่เปียกเป็นทาง
เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เสียงฟ้าผ่าทำเอาผมสะดุ้งเฮือกหลายที มองออกไปข้างนอกเห็นลมพัดแรงและฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ราวกับพายุ
เพล้ง!
ผมหันขวับไปมองเสียงกระจกแตกที่ดังมาจากในครัว รีบวิ่งเข้าไปดูเห็นหน้าต่างครัวที่ไม่ได้ปิดบานหนึ่งถูกลมกระแทกเข้ามาจนแตก ผมรีบวิ่งเข้าไปปิดบานที่เหลือ ฝนที่ตกแรงขึ้นทำให้สาดเข้ามาทางบานหน้าต่างที่แตก สติผมแตกไปพร้อมกับกระจก หันซ้ายหันขวาไม่รู้ว่าต้องทำยังไงดี
พรึบ!
ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อไฟดับพรึบลง มองออกไปข้างนอกก็มืดสนิทไปหมด ยิ่งร้อนรนทำอะไรไม่ถูก ผมก้าวเท้ากลับไปในห้องครัว หยิบของที่วางอยู่ใกล้หน้าต่างบานที่แตกหลบเข้ามาเพื่อไม่ให้ฝนสาดถึง ใช้แสงไฟจากมือถือส่องหาผ้าขี้ริ้วที่หลังครัวแล้วกวาดเศษกระจกนั่นหลบมุมไปก่อนจะได้ไม่เหยียบเข้า เก็บของส่วนที่ฝนจะสาดถึงที่เหลือเข้ามาวางบนโต๊ะกินข้าวแบบรีบๆ พักหนึ่งฝนก็เริ่มซาเม็ดลงจนไม่สาดเข้ามาข้างในอีก ผมได้แต่เอาผ้าขี้ริ้วซับน้ำที่ไหลเข้ามาแบบลวกๆ ไปก่อน เพราะมองอะไรไม่ค่อยเห็นเลยยังไม่เก็บกวาด ทิ้งเอาไว้อย่างนั้นก่อนแล้วเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวที่อยู่ในมุมทำงานพี่อิส แล้วถอนใจออกมาเบาๆ พี่อิสไปไหนอะ...
“เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...”
หยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเขาแต่ได้ยินปลายสายบอกมาแบบนั้น ขมวดหัวคิ้วแน่นแล้วกดโทรหาเขาอีกที
“เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...”
พี่อิสอยู่ไหน พี่อิสทำไมยังไม่มา ผมคงเริ่มชินกับการมีพี่อิสคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ เวลาที่กำลังเดือดร้อนหรือลำบาก ผมมักจะร้องหาเขาเป็นคนแรก โดยที่ลืมไปว่าพี่อิสไม่ได้อยู่คอยช่วยเหลือผมตลอดเวลา...มันไม่ใช่หน้าที่ของเขา
“ปิง”
“...”
“หลินปิง”
ผมรู้สึกตัวเพราะเสียงเรียกของพี่อิส ยกมือขยี้ตาอย่างงงๆ ก่อนลืมตาขึ้นมองจึงเห็นพี่อิสอยู่ตรงหน้า
“มานอนอะไรตรงนี้”
ผมยกมือขยี้ตาอีกทีเพราะยังง่วงอยู่เลย
“เอา มึนอีก ถามว่าทำไมมานอนตรงนี้”
ไม่ได้ให้คำตอบในทันที เพราะผมยังงงอยู่เหมือนกันว่าทำไมมานอนที่โซฟา ก่อนจะตั้งสติได้จึงหันขวับไปหาเขา
“เมื่อคืนฝนตกหนักมากเลยครับ แล้วก็ลมแรงด้วย ในครัวเละเลย พี่อิสไปดู...” ผมลุกขึ้นแล้วดึงมือเขา ตั้งใจจะพาเข้าไปดูในครัว แต่มือนั้นดึงผมให้กลับไปที่เดิม
“กูเห็นแล้วๆ”
“กระจกแตกเลยด้วย ผมยังไม่ได้เก็บ เมื่อคืนไฟดับ แล้วก็...” พี่อิสยกมือแตะปากผมที่กำลังพูดรัวๆ เพื่อรายงานสถานการณ์
“เออ เห็นแล้ว กูเก็บแล้ว”
ผมพยักหน้าเบาๆ แล้วนั่งลงที่เดิม ก่อนที่พี่อิสจะนั่งลงข้างๆ
“กูลืมปิดหน้าต่างครัวเองแหละ แล้วมึงเป็นอะไรเปล่า ตกใจเลยดิ”
ผมพยักหน้ารับ
“แล้วมานอนตรงนี้รอกูเหรอ”
ผมพยักหน้ารับอีกที เมื่อคืนคิดว่าเขาจะกลับมาแต่ก็หลับไปตอนไหนไม่รู้ ไฟกลับมาติดตอนไหนยังไม่รู้เลย
“โทษที กูไม่ได้บอกก่อนว่าจะไม่กลับ แบตมือถือกูหมดด้วย”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ไปอาบน้ำไป จะได้ไปโรงเรียน”
“ครับ” ผมตอบรับแล้วเดินเข้าห้องไปอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาหาพี่อิสในครัว ฝ่ายนั้นกำลังเก็บของที่ระเนระนาดกลับเข้าที่
“ทำกับข้าวไม่ทันอะ กินนมไปก่อน” พี่อิสชี้ไปที่นมกล่องรสจืดที่วางอยู่บนโต๊ะ เจาะหลอดให้เรียบร้อย ผมแอบหน้าบูดนิดๆ เมื่อเห็นนม
“กินเข้าไป มันไม่ตายหรอกน่า!” เห็นผมอิดออดที่จะกินเขาก็หันกลับมาแผดเสียงใส่ทันที
“โห่ ก็คนมันไม่ชอบ”
“กินดีๆ หรือจะให้จับกรอกปาก”
“ดุมาก เป็นพี่อิสหรือเป็นหมาพิตบูลเนี่ย”
“หลินปิง เดี๋ยวนี้มีเถียงนะมึง รีบๆ แดกเข้า วันนี้กูไปส่งที่โรงเรียน”
“ฮะ? พี่อิสจะไปส่งเหรอ”
“เออ จะออกไปข้างนอกพอดี”
ผมพยักหน้ารับ หลับหูหลับตากินนมนั่นให้หมดแล้วออกมาสวมรองเท้ารอเขาอยู่ข้างนอก หยิบมือถือขึ้นมาไลน์หาช็อกเพื่อบอกให้เขาไม่ต้องรอ พักหนึ่งเขาก็ตอบกลับมาด้วยข้อความสั้นๆ ที่บอกว่า
“รับทราบ”
กับสติกเกอร์อีกตัวหนึ่งที่ทำให้ผมสะดุ้งเฮือกเพราะมีเสียงออกมาจากสติกเกอร์ตัวนั้น
“โอเค โอเค”
น่ารักจัง มีเสียงด้วย ผมจิ้มเข้าไปที่สติกเกอร์นั่นอีกที เสียงก็ออกมาอีกที เลยยิ้มอย่างชอบใจ
“ยิ้มอะไร”
“พี่อิส อยากได้อะ” ผมโชว์มือถือให้พี่อิสดูสติกเกอร์ตัวนั้น
“ทำให้หน่อยสิครับ”
“ไม่”
“โห่”
“ไม่ต้องมาโห่ มันเปลืองตังค์ ที่มีอยู่ก็เยอะแล้วไง แล้วเดี๋ยวนี้มีไลน์คนอื่นนอกจากกูได้ไง”
“นี่ช็อกไง”
“อยู่โรงเรียนคุยกันไม่พอหรือไง ถึงต้องมาคุยไลน์กันอีก เยอะนะเยอะ”
“อยู่โรงเรียนแทบจะไม่ได้เจอกันเลยเหอะ อยู่คนละห้อง แต่พี่อิส...อยากได้อันนี้จริงๆ อะ ทำให้หน่อย”
“ไม่! ไปขึ้นรถ!”
ผมแอบคว่ำปากใส่เขาด้วยความไม่พอใจแล้วเดินไปขึ้นรถ คิดแค้นอยู่ในใจ อย่าผมให้ทำเป็นนะ จะโหลดแล้วส่งไปแกล้งให้ไลน์ค้างเลย!
พี่อิสขับรถพาผมมาจอดที่ร้านค้าหน้าปากซอย ไล่ลงไปซื้อขนมปัง โดยบอกว่าแค่นมไม่พอ ทั้งๆ ที่ผมเถียงไปแล้วว่าอิ่มมาก แต่เขาก็ใช้อำนาจอิสระและสายตาโหดๆ ไล่ผมลงไปสำเร็จ ก็เลยต้องยอมลงไปซื้อขนมปังมาสองชิ้น เผื่อเขาด้วย ผมแกะชิ้นหนึ่งกินเอง อีกชิ้นให้เขา
“นี่ครับ”
“ขับรถอยู่”
“จะให้ป้อนเหรอ”
เขายักคิ้วแทนคำตอบ
“ไม่อะ โตแล้ว กินเองดิ ขับรถมือเดียวก็ได้” ผมยัดขนมปังใส่มือเขาในจังหวะที่จอดติดไฟแดงพอดี
“มันอันตรายนะโว้ย ป้อนหน่อยก็ไม่ได้”
“เก็บมุกนี้ไปอ้อนแฟนไป...เฮ้ย! ช็อก!” ผมหันไปเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งที่เข้ามาจอดติดไฟแดงข้างๆ พอดี เลยเปิดกระจกลงไปทักทาย
“ช็อก!”
“เฮ้ย! ตกใจหมด!”
ผมหัวเราะกับท่าทางตกใจของช็อกที่หันขวับมาหา
“หวัดดีครับพี่อิส” ช็อกก้มหัวลงมาทักพี่อิส คนถูกทักได้แต่พยักหน้าหน่อยๆ ไม่ตอบอะไรเพราะขนมปังเต็มปาก
“เออปิง เมื่อวานที่สอนไปยังจำได้อยู่ปะเนี่ย ไม่ใช่ลืมหมดแล้วนะ” ช็อกหันกลับมาคุยกับผม
“จำได้ๆ หลับตากดคอร์ดได้เลย”
“ขี้โม้ว่ะปิง วันนี้เรียนดนตรีตอนบ่ายใช่ปะ”
“ใช่ๆ”
“เออ เราว่างพอดี เดี๋ยวไปหาดีกว่า”
“ได้เหรอ ไปสอนเราต่อนะ แล้ว...เย้ย!” ผมแทบหัวทิ่มเพราะพี่อิสออกรถกะทันหัน ยังคุยกับช็อกไม่ทันจบก็เลยหันกลับไปโบกมือให้เขา อีกฝ่ายก็ตะโกนไล่หลังมา
“เจอกันที่โรงเรียน!”
“โอเค!” ผมตอบกลับไปแล้วหันไปหาพี่อิส
“พี่อะ หัวเกือบทิ่มเลย”
“ก็มันไฟเขียวแล้ว มึงจะจอดให้คันหลังด่าหรือไง แล้วเมื่อวานไปทำอะไรกับมันมา มันสอนอะไร”
“สอนเล่นคีย์บอร์ด ที่ผมจะสอบดนตรีไง ก็เลยให้ช็อกสอนให้ ผมเล่นเก่งเลยนะ น่าจะมีพรสวรรค์ด้านนี้เลย”
“เฮอะ!”
ผมหันไปมองเขาที่ทำหน้าเหมือนไม่พอใจ ก่อนจะพูดพึมพำกับตัวเอง
“บอกกูจะไปทำงานเลย ที่ไหนได้ไปกับไอ้นั่น ไว้ใจไม่ได้จริงๆ ไอ้หลินปิงนี่ ต้องตามรับตามส่งทุกวันแล้วมั้ง ฉิบหาย”
บ่นเหมือนไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยเลยนะ...พี่อิสขับรถมาอีกแป๊บก็ถึงหน้าโรงเรียน ผมหยิบเป้แล้วเปิดประตูรถลงมา ก่อนจะหมุนตัวกลับไปหาเขา
“แล้ววันนี้พี่กลับบ้านหรือเปล่า”
“กลับดิ กูไปธุระแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับแล้ว”
“โอเคครับ แต่ถ้าไม่กลับบอกผมด้วยนะ”
“เออ”
“ถ้าการไลน์มาบอกไม่ได้ทำให้พี่ตาย ก็ไลน์มาบอกด้วยนะ”
“เด็กเวร! ย้อนกู มึงอยู่ตรงนั้นเลยนะ! ลงไปเตะแม่ง! ไอ้หลินปิง!”
ผมแลบลิ้นให้พี่อิสอย่างทะเล้น ก่อนจะรีบวิ่งเข้าโรงเรียนพร้อมเสียงด่าที่ดังไล่หลังมา ในความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนใกล้ชิด กลับมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ต้องรักษาระยะห่างเอาไว้ ผมไม่เคยชอบใครเลยไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกตัวเองเท่าไร แต่ผมพอรู้ว่าจะปล่อยให้ความรู้สึกมันเกินเลยไปมากกว่านี้ไม่ได้...มากกว่านี้อีกนิดก็ไม่ได้แล้ว
To be continued.