ตอนที่ 6
“ว้าวๆ เค้กล่ะ”
ปฐวีที่วิ่งเข้ามาถึงห้องอบขนมเป็นคนแรกตะโกนออกมาอย่างดีใจ ทำให้อีกสองคนที่กำลังตามมารีบเร่งฝีเท้าด้วยว่าตื่นเต้นกับขนมเค้กเหมือนกัน
“ไปล้างมือกันก่อนเถอะครับ”
ปารมีบอกเด็กๆเมื่อดูแล้วคิดว่าเด็กๆคงเอาของไปเก็บบนห้องกันแล้วจึงลงมาที่นี่
ขนมเค้กที่พวกเด็กๆว่าเป็นขนมเค้กที่เพิ่งอบเสร็จ ยังไม่ได้แต่งหน้าเค้ก ปารมีกะเวลาที่พวกเด็กๆจะกลับมาบ้านแล้วจึงเริ่มอบขนมเพราะตั้งใจให้เด็กๆมาช่วยกันแต่งหน้าเค้ก
หลังจากที่ล้างมือกันเรียบร้อย ปารมีก็ส่งอุปกรณ์แต่งหน้าเค้กให้ เด็กทั้งสามจึงเริ่มลงมือทำกันอย่างสนุกสนาน โดยมีปารมีคอยช่วยเล็กๆน้อยๆ
วสุธาที่เพิ่งกลับมาจากที่ทำงานยืนดูทั้งสี่ช่วยกันแต่งหน้าขนมแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เขาเดินเอากระเป๋าและเอกสารที่นำกลับมาด้วยไปเก็บไว้ที่ห้องทำงานก่อนจะไปอุ้มตาหวานที่เพิ่งตื่น แล้วจึงกลับไปที่ห้องทำขนมอีกครั้ง
“เละหมดเลย”
ธรณินเงยหน้าขึ้นพูดกับพี่ชายทั้งสองคน ในดวงตามีน้ำตาคลอ เมื่อขนมเค้กที่ตั้งใจทำกันนั้นมันไม่ได้ออกมาสวยงามอย่างที่ตั้งใจเลยสักนิด
ปฐพีกับปฐวีเองก็หน้าเสียไม่ต่างกัน ปารมีเห็นอย่างนั้นก็อมยิ้มกับท่าทางของเด็กๆ
“ไม่เละหรอกครับ”
เอ่ยปลอบใจ ก่อนจะลงมือแต่งหน้าเค้กนั้นเพิ่มอีกนิดหน่อย ขนมเค้กที่ธรณินบอกว่าเละไปแล้วก็กลับกลายเป็นขนมเค้กที่ดูเหมือนแต่งหน้าแนวแฟนตาซีในทันที
“คุณปามเก่งจัง เก่งกว่าพวกผมตั้งเยอะ”
ปฐพีเอ่ยชมอย่างจริงจัง เด็กๆอีกสองคนที่เหลือพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ปารมีกลับส่ายหน้า
“ที่คุณปามทำได้ไม่ใช่เพราะเก่งนะครับ แต่เพราะคุณปามเคยไปเรียนที่โรงเรียนมาต่างหาก”
“ทำขนมนี่ต้องไปโรงเรียนด้วยหรือครับ”
ปฐวีถามเพราะเด็กชายคิดว่าการทำอาหารหรือขนมนั้นกางตำราหรือไม่ก็ให้ใครสักคนสอนที่บ้านก็น่าจะพอแล้ว
ปารมีจึงพยักหน้า
“คุณปามชอบทำอาหาร ชอบทำขนม เลยไปเรียนที่โรงเรียน เหมือนที่พวกคุณวีที่โตแล้วก็ต้องไปเรียนในทางที่ชอบไงครับ”
ทุกคนทำสีหน้าคิดตาม วสุธาที่ยืนฟังอยู่ข้างหน้าห้องยิ้มๆกับท่าทางของเด็กๆ ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะเล็กๆเมื่อธรณินเอ่ยถามปารมีว่า
“งั้นนินชอบตาหวาน ชอบคุณพ่อ คุณปาม ชอบพี่พีพี่วี ชอบอาๆ นินต้องเรียนโรงเรียนอะไรฮับ”
ปารมีทำหน้าลำบากใจกับคำถามของเด็กชาย แล้วก็หันไปค้อนคนหัวเราะ วสุธากลั้นยิ้มไว้แล้วเดินเข้าไปเมื่อรู้ตัวว่าโดนเห็นเสียแล้ว
“ผมเห็นตาหวานตื่นแล้วเลยพามาเดินเที่ยวน่ะ”
ปารมีพยักหน้ารับ แล้วพอมองไปที่ธรณินก็เห็นเด็กชายยังจ้องปารมีอยู่อย่างรอคำตอบ
“โรงเรียนที่ลูกว่าไม่มีหรอกนะครับ ที่นินว่ามานั่นคือครอบครัว ไม่มีโรงเรียนไหนสอนได้ เราต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้คนในครอบครัวของเราด้วยตัวเองนะครับ ที่ล่ะเล็กล่ะน้อยเดี๋ยวก็เก่งเอง”
วสุธาช่วยตอบเด็กชายให้ และคำตอบนั้นไม่เพียงแต่ทำให้เด็กๆเข้าใจและจดจำว่าต้องเรียนรู้ละทำความเข้าใจคนในครอบครัวเท่านั้น แต่มันทำให้ปารมีอดซาบซึ้งไม่ได้ว่า วสุธาเห็นปารมีและตาหวานเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวด้วย
...................................
“อันนี้ของอาไม้ อันนี้ของอากลอน”
หลังจากปฏิบัติการณ์ตกแต่งหน้าเค้ก ปารมีก็ขอตัวไปทำอาหารสำหรับมื้อเย็นและปล่อยเด็กๆไว้กับวสุธา วันนี้เป็นวันที่ครอบครัวจอมไตรทุกคนจะต้องมารับประทานอาหารร่วมกัน ซึ่งเป็นวันที่คนในครอบครัวจะไม่รับนัดตอนเย็น ไม่ว่าจะเป็นงานที่สำคัญมากแค่ไหนก็ตาม
ปารมีได้อยู่ร่วมด้วยมาสามครั้งแล้ว นับตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่บ้านนี้ในฐานะคนรักของวสุธา
ไม่เพียงแต่ปารมีเท่านั้น กลอนเพื่อนของเขาเองก็โดนไม้ลากมา(ตามที่กลอนบอกปารมี)สองครั้งแล้ว เขาดีใจมากที่กลอนและไม้ดูเหมือนจะไปกันได้ดี ยังจำได้ว่าช่วงที่กลอนโดนปองร้ายจากผู้หญิงที่มาติดพันคุณไม้ ปารมีเองอดไม่ได้ที่จะคิดว่าอยากให้ไม้เลิกยุ่งกับกลอน แต่ช่วงที่กลอนหายไปแล้วคุณไม้เหมือนจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ ปารมีก็เลิกความคิดนั้น
เมื่อไม้เองก็จริงใจกับกลอน และดูเหมือนเพื่อนตนเองก็มีใจให้อีกฝ่าย ปารมีก็ไม่เห็นว่าสมควรจะทัดทานความสุขของเพื่อน
“อร่อยเหมือนเดิมเลย”
กลอนหันมาคุยกับปารมี หลังจากที่เด็กๆแจกจ่ายเค้กให้จนครบ และทุกคนลงมือกินเค้ก
“ดีจัง ปามไม่ค่อยได้ทำยังคิดอยู่เลยว่ามันอาจจะแย่ลง”
ปารมีตอบเพื่อนอย่างดีใจ ด้วยรู้ว่ากลอนพูดจริง ไม่ได้ชมตามมารยาท
“งานเป็นไงบ้างหรือกลอน”
กลอนกรอกตาก่อนจะมุ่ยหน้าไปทางคุณไม้งอนๆ ปารมียิ้มอย่างเห็นใจเพื่อนนิดหน่อย เมื่อรู้มาโดยตลอดว่าเพื่อนตนเองต้องทำงานที่ผูกติดตัวเองอยู่กับไม้ตลอด ก็แน่นอนเมื่อกลอนเป็นเลขาของไม้นี่นา แต่ดูเหมือนไม้จะยังไม่เลิกนิสัยชอบแหย่กลอน ยิ่งเลื่อนฐานะมาเป็นคนรักกันแบบนี้ ไม้ยิ่งแกล้งแบบถึงเนื้อถึงตัวมากขึ้น
“ปามก็อยากทำงานบ้างจัง”
เปรยเบาๆเหมือนพูดกับตัวเอง แล้วจึงหันไปให้ความสนใจกับธรณินที่กำลังละเลงเค้กเล่นจนกระเด็นไปเปื้อนแก้ม
กลอนมองตามเพื่อนที่เช็ดแก้มของเด็กชาย ก่อนจะหันไปมองไม้ที่กำลังคุยกับพี่ๆอย่างสนุกสนาน สุดท้ายก็เหลือบตาไปมองวสุธา คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของเพื่อนตน วสุธาเองแม้จะอยู่ในวงสนทนากับน้องๆ หูเหมือนจะฟังเรื่องราวของคุณลมที่กำลังเล่า แต่สายตากลับมองมาทางปารมีที่กำลังเช็ดแก้มของธรณิน แล้วหากกลอนมองไม่ผิด ในดวงตาของอีกฝ่ายที่กำลังมองเพื่อนตัวเองอยู่นั้น มันเต็มไปด้วยความอ่อนโยน...หากแต่คนโดนมองดูเหมือนจะไม่ได้รู้ตัวเลย
...............................
“คุณไม้”
“หืม กลอน ว่าไงครับ”
กลอนเอ่ยเรียกคนตัวโตที่นอนกอดตัวเองอยู่ เสียงขานรับบ่งบอกว่าแม้อีกฝ่ายจะยังไม่หลับแต่สติก็ใกล้เข้าสู่ห้วงนินทราเข้าไปทุกที
“ผมว่าปามเค้าว่างๆ คุณลองไปคุยกับคุณดินหน่อยสิ”
ไม้เงียบไปจนกลอนคิดว่าเขาคงหลับไปแล้ว แต่แล้วจู่ๆอีกฝ่ายก็ส่งเสียตอบกลับมา
“พี่ดินก็คิดเรื่องนี้อยู่นะ บอกว่าคุณปามไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่เวลาที่พี่ดินเอาเงินให้ ขนาดการ์ดที่พี่ดินไปทำมาให้ คุณปามยังไม่เคยเอาไปใช้เลย พี่ดินก็กลุ้มใจ บอกว่าเป็นค่าดูแลเด็กๆคุณปามก็เหมือนจะโกรธๆ บอกพี่ดินว่างั้นก็ให้กลับไปเป็นลูกจ้างเถอะ เพื่อนกลอน เอาใจยากพอกันกับกลอนเลยนะเนี่ย”
คนโดนว่าเอาใจยากค้อนคนว่าเสียหนึ่งทีในความมืด ส่วนไม้ แม้ไม่เห็นแต่ก็พอจะนึกภาพออกว่าคนรักของตัวเองจะทำหน้าแบบไหนจึงหัวเราะเบาๆในลำคอ
“ผมว่ากลอนไปคุยกับคุณปามหน่อยดีไหมเรื่องนี้”
กลอนพยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนที่ทั้งสองคนจะเข้าสู่ห้วงนินทราไปในอ้อมกอดของกันและกัน
.........................
“คุณดินส่งขวดนมให้ผมหน่อยสิ”
อีกฝากหนึ่ง คนที่โดนกล่าวถึงกำลังอุ้มหลานตัวน้อยขึ้นจากเปล พลางส่งเสียงไหว้วานคนที่เดินตามเข้ามาเหมือนทุกครั้ง
วสุธาเดินไปหยิบขวดนมที่ชงไว้และแช่น้ำจนอุ่มพอที่จะป้อนให้เด็กชายตัวน้อยดื่มมายื่นให้ปารมีตามคำขอ
“แอ๊ะ แอ๊ะ”
เด็กชายส่งเสียงเมื่อเห็นใบหน้าคุ้นเคย เป็นธรรมดาไปเสียแล้วที่หลังจากส่งเด็กทั้งสามเข้านอน ทั้งสองคนจะต้องมาพาตาหวานเข้านอนด้วยกัน เด็กชายตัวน้อยอายุหกเดือนแล้ว และเริ่มใช้เวลาตื่นมากขึ้น วสุธาบอกให้ปารมีเอานมให้เด็กชายดื่มก่อนนอน โดยให้ดึกขึ้นอีกนิดจากที่เคยเพื่อไม่ให้ตาหวานตื่นขึ้นมาร้องไห้หิวนมตอนกลางดึก ซึ่งจะทำให้ปารมีนอนไม่พอ
“นายลมแกล้งคนอีกแล้ว วันนี้น่ะ ทำเอาอีกฝ่ายหนีกลับบ้านแทบไม่ทัน”
วสุธาเล่ารายละเอียดให้ปารมีฟังเบาๆ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องธรรมดาของทั้งคู่ที่จะคุยกันเบาๆระหว่างปารมีป้อนนมตาหวาน เด็กชายจะดูดนมไปด้วยพร้อมกับมองหน้าปารมีที วสุธาที ราวกับกำลังจดจำใบหน้าของคนทั้งคู่ แล้วจะยิ่งจ้องมากขึ้นหากว่ามีใครพูดคุยอยู่
“ที่ให้คุณลมคุมงานโรงแรมนี่เพราะอย่างนี้หรือเปล่าครับ”
ปารมีถามยิ้มๆ งานโรงแรมที่ปารมีพูดถึงนี้นอกจากจะหมายถึงโรงแรมแล้ว ยังหมายถึงธุรกิจเกี่ยวกับที่พักอื่นๆและการท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจที่จอมไตรมีมากที่สุด
“ก็ต้องเจ้าลมนี่ล่ะนะ ถ้าเป็นน้ำก็คงไม่ไหว หมอนั่นใจอ่อนขี้สงสารเกินไป ไปคุมงานด้านโรงพยาบาลก็ดีแล้ว งานด้านนั้นมีเอเขาช่วยอยู่ก็เลยยิ่งคล่อง ถึงเอจะไม่ยอมมานั่งทำงานบริหารแบบเต็มตัวก็เถอะ ส่วนนายไฟ รายนั้นเค้าห้าว เด็ดขาด แถมยังเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ นายลมแซวบ่อยๆว่าเขาเป็นหัวหน้าแก็งค์เหมาะที่สุด ก็เลยคุมพวกกิจการกลางคืนได้ดี เจ้าตัวเองถึงไม่ชอบแต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร เรียกว่าเฉยๆ แต่นายไฟทำได้ดีมากเชียวล่ะ ส่วนไม้ เขาชอบพวกประดิษฐ์โน่นนี่นั่น แถมยังมีความคิดสร้างสรรค์มาตั้งแต่เด็กๆ ตอนที่แบ่งงานกันถึงไม้จะยังไม่ค่อยรู้อะไร แต่พวกเราก็กันงานพวกนี้ไว้ให้เขาแหละ แล้วนายลม ก็อย่างที่คุณปามว่า เขาเหมาะกับงานโรงแรมจริงๆ เพราะเป็นพวกเก็บอารมณ์เก่ง อะไรๆก็ยิ้มไว้ก่อน เสียที่ชอบแกล้งคนไปนิด แต่ก็นั่นแหละ ยิ่งเรามีเครือเยอะก็ยิ่งมีคนที่คิดจะใช้เส้นใช้สายเยอะ คนดีๆลมมันก็สนับสนุนนะ มันว่าไม่เรียกใช้เส้น เรียกให้โอกาส แต่พวกที่ไม่ไหวๆนี่ลมก็ไม่เอาเลย เลยโดนแกล้งกลับไป...อ้าว แล้วเราทำไมไม่หลับครับตาหวาน”
ประโยคสุดท้ายวสุธาเอ่ยกับเด็กชายเพราะแทนที่จะนอนหลับไปอย่างทุกทีกลับจ้องวสุธาตาแป๋วราวกับกำลังตั้งใจฟังด้วยยังไงยังงั้น
“สงสัยแกจะชอบนะครับ เพราะพูดถึงพวกคุณๆทีไร แกตาแป๋วฟังทุกที คุณนินเลยชอบเล่าเรื่องคุณอาให้ฟังเวลาที่อยากเล่นกับน้อง ไม่อยากให้น้องนอน”
วสุธาส่ายหัวยิ้มๆกับลูกชายคนเล็กที่ไม่อยากเป็นน้องคนเล็ก ก่อนจะกวาดสายตามองเด็กชายที่ตอนนี้ดูดนมจนหมดขวดและกำลังดูดน้ำเพื่อล้างปากอยู่
“นายนินเขาอยากมีน้อง”
ปารมีพยักหน้า ก่อนจะเอาขวดน้ำวางไว้เมื่อตาหวานเริ่มไม่ดูดน้ำแล้ว ก่อนจะอุ้มเด็กชายพาดบ่าพร้อมลูบหลังเบาๆ
“จะพูดให้ถูกแกอยากได้ตาหวานเป็นน้อง”
ปารมีวางเด็กชายลงบนที่นอนเมื่อได้ยินเสียงเรอเบาๆ ก่อนจะค่อยๆตบก้นน้อยๆเพื่อกล่อมให้ตาหวานนอนหลับ และมันก็ใช้เวลาไม่นานเลย
“ผมคุยกับพวกน้องๆแล้ว”
วสุธายังคงพูดต่อ เมื่อทั้งสองก้าวขึ้นเตียงไป
“คุณว่าไง”
ปารมีมองวสุธานิดๆ ก่อนจะทำตาโตเพราะไม่คิดว่าวสุธาจะย้อนมาถามตัวเองแบบนี้
“ว่าอะไรนะคุณ”
ปารมีคิดว่าวสุธากำลังเล่าเรื่องลูกๆหรือน้องๆอยู่ เอาจริงๆคือ ปารมีไม่ได้ฟังที่วสุธาพูดมาเลย
“คุณปาม เอาอีกแล้วนะ เฮ้อ.... เอาเถอะ นอนเถอะ”
วสุธาตัดบทเพราะจากที่อยู่ด้วยกันมา หากปารมีไม่ฟังอะไรแบบนี้ถึงฝืนคุยไปก็ใช่ว่าจะรู้เรื่อง และตอนนี้ปารมีเองก็ท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“คุณมีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
“มีอะไรก็บอกผมนะ”
วสุธาบอกแล้วดึงปารมีมากอดเอาไว้ หลังจากที่ตกลงกันในคืนนั้น วสุธาก็นอนกอดปารมีไว้อย่างนี้ทุกวัน จนจากที่เคยเกร็งกลายเป็นความเคยชินของปารมีไปเสียแล้ว
แถมหมู่นี้ถ้าวสุธากลับดึก ปารมีต้องนอนไม่หลับพลิกไปพลิกมา จนวสุธากลับมาแล้วมานอนด้วยอย่างเคยนั่นแหละถึงจะหลับตาลงได้
เจ้าตัวเองก็ไม่อยากยอมรับหรอก ว่าตัวเองติดและเคยชินกับอ้อมกอดของผู้ชายตัวโตคนนี้จริงๆ
..................................
TBC
ตอนต่อไปวันพุธนะค่า