บทที่ 15 Compensate
“รู้สึกดีขึ้นหรือยัง” วินทร์ถามเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างสั่นเทาในอ้อมแขนสงบนิ่งลงได้พักใหญ่ๆ แล้วหากยังไม่หยุดลูบฝ่ามือหนักๆ ลงบนเรือนผม
นรกรพยักหน้าพลางดันตัวออกห่างจากอกกว้าง เขาก้มหน้าจนคางชิดอกเพื่อแอบใช้หลังมือเช็ดน้ำตา แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ถูกมือใหญ่รั้งให้เงยหน้าขึ้นสบตา “พี่วินทร์…"
“อย่าดื้อน่า” เพราะเริ่มหงุดหงิดที่ถูกปัดป้องเขาจึงถือวิสาสะถอดแว่นคนตรงหน้าออกแล้วยึดเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ
“พี่วินทร์จะทำอะไร ผมมองไม่เห็น”
“ตานายแดงหมดแล้ว ถ้ายังไม่เลิกขยี้พรุ่งนี้จะบวมตุ่ยแล้วทุกคนก็จะรู้ว่าเมื่อคืนนายร้องไห้มา” วินทร์บอก “นายอยากให้ทุกคนรู้เหรอ… ถ้ามองไม่เห็นก็จับชายเสื้อฉันไว้สิ” ต่อตอนท้ายเมื่อเห็นคนตรงหน้านิ่งไปราวกับจะยอมฟัง
แต่เปล่าเลย ตอนนี้นรกรแทบไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าวินทร์พูดอะไร เพราะในความพร่ามัวของสายตานั้นมันกลับทำให้เขาเห็นเงาของคนที่เพิ่งจากไปซ้อนทับลงมาบนใบหน้าวินทร์ซึ่งตอนนี้ดูลางเลือนเหมือนเป็นภาพสเกตซ์
มือเรียวกำภาพวาดในมือแน่นขึ้นอีก ใช่ว่าเขาไม่เคยระแคะระคายถึงความคล้ายกันของทั้งสอง แต่เพราะเขาคิด... หรือจะใช้คำว่าหลอกตัวเองเลยก็ได้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ที่คนๆ หนึ่งจะปรากฏตัวให้เห็นสองที่พร้อมๆ กัน
มันคืออะไร… จะเป็นไปได้เหรอ… นี่เขาตาฝาดหรือสมองเลอะเลือนกันแน่ ไม่มีทางที่อทิฏฐ์กับพี่วินทร์จะเป็นคนๆ เดียวกันได้… ไม่มีทาง เขาไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด
หรือต่อให้มีความเป็นไปได้สัก 1 ในล้าน วินทร์ก็ไม่ใช่อทิฏฐ์ของเขา
ความคิดนั้นดึงให้ได้สติและสะบัดตัวเองหลุดจากความอบอุ่นของอ้อมแขนอีกฝ่าย “พอได้แล้วครับพี่วินทร์” นรกรพูดเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยเพื่อยืนยันในเจตนาของตน “ผมไม่เป็นอะไรแล้ว ขอแว่นคืนด้วยครับ”
“ไม่คืน” วินทร์พูดอย่างไม่ยี่หระกับท่าทีที่พยายามจะตีตัวออกห่าง “จนกว่านายจะยอมตกลงให้ฉันไปส่งที่ห้อง”
“งั้นไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองทั้งแบบนี้ก็ได้” นรกรตอบหนักแน่น เขาไม่ต้องการให้ภาพของวินทร์มาทับซ้อนกับสิ่งที่อทิฏฐ์เคยทำ
คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง “แน่ใจนะ”
“ครับ” นรกรตอบพร้อมกับลุกขึ้นยืนซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี
ร่างโปร่งยัดกระดาษใส่กระเป๋า กลับหลังหันจะออกเดิน แต่เพราะสายตาที่สั้นถึง 500 ทำให้ภาพตรงหน้าเป็นแค่จุดสีพร่ามัวจนพาให้ตาลาย เขาผงะถอยหลังไปครึ่งก้าวเพราะสมองเริ่มเบลอ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ขายาวก้าวออกไปข้างหน้าอย่างไม่มั่นคง เขาขยับไปช้าๆ ราวกับคนตาบอดคลำทางจนขาข้างหนึ่งไปสะดุดกับเก้าอี้ยาวที่วางอยู่ชิดกำแพงอีกฝั่ง พยายามกัดปากแน่นเพื่อกั้นเสียงร้อง แต่ความเจ็บปวดก็แอบเล็ดลอดออกมาจนได้
“โอ๊ย!”
“ดื้อจริง” วินทร์ส่งเสียงในลำคอคล้ายจะดุหากไปแฝงไปด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับรีบพุ่งเข้าไปประคองหลัง “เจ็บไหม”
“ไม่เป็นไรครับ” นรกรตอบทั้งที่ไม่ยอมหันมามองหน้าซ้ำยังขืนตัวออกห่าง
วินทร์พ่นลมออกจมูกพลางดึงแว่นออกมาจากกระเป๋าเสื้อและเอื้อมข้ามไหล่ไปสวมคืนให้ “ฉันยอมแพ้นายแล้ว กลับห้องดีๆ นะแล้วพรุ่งนี้เจอกัน” พร้อมกับก้าวถอยหลังออกมา
นรกรนึกโล่งอก แต่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำหนักๆ ไปอีกทางก็รู้สึกแปลกใจจนอดร้องถามออกไปไม่ได้ “แล้วนั่นพี่วินทร์จะไปไหนครับ”
“ไปนอนที่ห้องพักแพทย์” วินทร์ตอบตามตรง “เราอยู่หอเดียวกัน นายจะให้ฉันทำเป็นไม่สนใจระหว่างที่เดินตามหลังนายไปได้ยังไง”
นรกรพูดไม่ออก ในขณะที่เฝ้ามองแผ่นหลังนั้นเคลื่อนห่างออกไปช้าๆ นัยน์ตาสีอ่อนหลุบลงมองปลายเท้า มือทั้งสองกำเป็นหมัดแน่นก่อนจะตัดสินใจออกเดิน
แต่ทันทีที่ยกขาขึ้นจากพื้น ความรู้สึกเจ็บแปลบก็แล่นขึ้นมาจากหน้าแข้งถึงโคนขาจนต้องทรุดตัวลงบนม้านั่งตัวที่เป็นสาเหตุนั่นเอง
นรกรกำลังจะก้มตัวลงถกขากางเกงขึ้นดูบริเวณที่เจ็บ เมื่อเป็นอีกครั้งที่มือของอีกคนไวกว่า
“เป็นอะไร” วินทร์ถาม เขาหันกลับมาเห็นตอนที่ทรุดตัวลงนั่งพอดีจึงรีบวิ่งกลับมาดู
“ไม่มีอะไรครับ” นรกรตอบ
แต่ร่างสูงไม่ฟังซ้ำยังนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า มือใหญ่ยกขาข้างที่เจ็บขึ้นพาดบนหัวเข่าตัวเอง “ขอฉันดูหน่อย”
“พี่วินทร์ ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับ” นรกรพยายามดึงขากลับแต่ก็ไม่อาจสู้แรงไหว ซ้ำยิ่งยื้อยิ่งเจ็บ เขาจึงจำใจยอม
วินทร์บรรจงถอดรองเท้าออกอย่างเบามือแล้วเริ่มต้นตรวจดูอาการ มันดูปกติดีจนกระทั่งเขาร่นขากางเกงขึ้นไปเห็นรอยแดงเป็นปื้นยาวจากการกระแทกตรงตำแหน่งหน้าแข้งไปจนถึงหัวเข่า
“แค่ช้ำๆ เองครับ” นรกรรีบบอก เมื่อวินทร์ใช้ปลายนิ้วสัมผัสไปรอบๆ เพื่อตรวจดูอาการบวมและหารอยแผลอื่นๆ เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บเพียงแต่มันร้อนวาบไปทั่วตรงจุดที่นิ้วซึ่งทั้งใหญ่และสากนั่นสัมผัส ไม่เคยมีใครมาโดนเนื้อตัวเขามากขนาดนี้มาก่อนนั่นจึงทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก
“เดินไหวไหม”
“ไหวครับ” นรกรรีบดึงขามาวางลงบนพื้นและคว้ารองเท้ามาสวม เมื่อมือใหญ่แย่งเชือกรองเท้าไปผูกเสียเองพร้อมทั้งช่วยจัดขากางเกงเข้าที่
“ฮาร์ฟ” วินทร์เรียกเบาๆ ทั้งที่มือยังดึงโบของเชือกรองเท้าให้เท่ากันทั้งที่ไม่จำเป็น “ให้ฉันไปส่งเถอะนะ… ไม่สิ ก็แค่เดินไปด้วยกันเฉยๆ เหมือนที่เราเคยทำมาตลอดห้าปีไง”
นรกรสบตาสายคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอึดใจ ก่อนจะพยักหน้า เขารอให้วินทร์ลุกขึ้นก่อนจึงลุกตาม
แวบหนึ่งที่เขาเห็นวินทร์เหมือนจะยื่นมือออกมาข้างหน้าคล้ายจะช่วยประคองก่อนจะดึงกลับไปกำแน่นไว้ข้างตัว และวินทร์ก็ไม่พูดอะไรอีกเลยในระหว่างที่เดินคู่กันไปจนกระทั่งถึงหน้าห้อง
“ขอบคุณครับ” นรกรหันไปบอกกับคนที่ไม่ทีท่าว่าจะยอมขยับไปไหน เขาดึงประตูปิดก่อนจะแนบศีรษะลงกับบานประตูซึ่งทั้งแข็งและเย็นเฉียบ หากก็ไม่อาจกั้นน้ำเสียงอ่อนโยนที่กระซิบขึ้นด้านหลังนั้นได้
“ฝันดีนะฮาร์ฟ”
มือเรียวกำลูกบิดแน่น หากก็ยังไม่เข้าใจหัวใจตัวเองว่าอยากทำอะไร สุดท้ายเขาก็ได้แต่ยืนฟังเสียงฝีเท้าของวินทร์ที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปจนเงียบลงในที่สุด
นรกรหันหลังพิงประตูแล้วล้วงเอาภาพในกระเป๋าขึ้นมาเปิดออกดูอีกครั้งก่อนจะดึงมากอดแนบอกพร้อมๆ กับที่ร่างโปร่งทรุดตัวลงนั่งบนพื้น
หรือนี่คือสาเหตุว่าทำไมอทิฏฐ์ถึงไม่ยอมเล่าความจริงให้เขาฟัง เพราะรู้ใช่ไหมว่าเขาไม่เคยรักวินทร์
oooooo
“พี่วินทร์มาทำอะไรแต่เช้าครับ” นรกรซึ่งยังอยู่ในชุดนอนถามคนที่มายืนยิ้มหน้าแป้นแล้นอยู่หน้าประตูตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่
“ฉันกลัวนายจะไปสะดุดอะไรล้มอีกน่ะสิ วันนี้วันจันทร์คนไข้ที่มาตรวจ OPD ยิ่งเยอะๆ อยู่ แถมมีผ่าตัดอีกตั้ง 4 เคส”
นรกรเหลือบตามองนาฬิกาติดผนังอีกครั้ง และมันเพิ่งจะหกโมงตรง เมื่อคืนเขาเอาแต่คิดเรื่องของอทิฏฐ์กับวินทร์จนเพิ่งจะหลับได้เมื่อตอนใกล้รุ่งนี่เอง โดยสรุปกับตัวเองง่ายๆ ว่าแค่คนหน้าคล้ายและเขาจะไม่มามัวคิดไร้สาระว่าทั้งสองคนเป็นเดียวกันอีก ถ้าพี่วินทร์เป็นอทิฏฐ์จริงๆ เขาก็คงจะเดินเข้ามาบอกกันดีๆ แล้ว จะมามัวทำไขสือให้เสียเวลาทำไม ถึงก่อนที่อทิฏฐ์จะหายไปจะพยายามบอกว่าชื่อวินทร์ แต่คนชื่อวินทร์ก็ไม่มีคนเดียวในโลกสักหน่อย หรือบางทีเขาอาจจะอ่านปากผิดก็ได้ และความคิดนี้ก็ช่วยให้เขาทำตัวเป็นปกติกับวินทร์ได้ง่ายขึ้น “แต่นี่ก็เช้าไปหรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอกเพราะเราต้องกินข้าวเช้าด้วยกันก่อน”
นี่ไงล่ะ ความแตกต่างชัดๆ ข้อที่หนึ่ง อทิฏฐ์ใจดีไม่เคยขัดใจเขา ในขณะที่พี่วินทร์ชอบจู้จี้แกมบังคับแถมยังดุอีกต่างหาก “ผมไม่…”
“มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดของวัน” วินทร์ชิงพูดขึ้นก่อน “นายอยากเข้าห้องเย็นไปพบอาจารย์ธนบดีอีกรอบเหรอ”
นรกรกวาดตามองคนตัวโตที่คงจะไม่ยอมถอยง่ายๆ “ถ้าพี่วินทร์ยืนยันแบบนั้นก็ต้องรอก่อนนะครับเพราะผมเพิ่งตื่นยังไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันเลย”
“คงรอไม่ได้แล้วล่ะ” วินทร์ว่าพร้อมกับยกถุงใส่แก้วกาแฟ 2 แก้วขึ้นตรงหน้า “เดี๋ยวน้ำแข็งละลายจะไม่อร่อยนะ”
นรกรหน้ามุ่ย “เชิญครับ” เขายกมือขึ้นจะดันประตูห้องเปิดกว้างขึ้นเพื่อให้เข้ามาเมื่ออีกฝ่ายร้องขึ้น
“เดี๋ยวก่อน” วินทร์ถอยหลังไปสองก้าวและเหลียวมองซ้ายขวา “เอาล่ะ เปิดได้”
นรกรมองคนตรงหน้างงๆ ก่อนจะผลักประตูเปิดออกไปจนสุด “ตามสบายนะครับ อยากนั่งตรงไหนก็ได้ ขอผมไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะ” แล้วเขาก็รีบผลุบเข้าห้องน้ำไป
“พรุ่งนี้ให้ฉันโทรปลุกไหมเราจะได้ไม่เสียเวลาแบบวันนี้อีก” วินทร์ร้องถามตามหลัง
“ไม่เป็นไรครับ โทรศัพท์ผมตั้งปลุกได้” นรกรตะโกนตอบออกมา
“งั้นพรุ่งนี้หกโมงตรงฉันมารับเหมือนเดิมนะ”
คิ้วเรียวย่นเข้าหากันเริ่มไม่แน่ใจว่าเผลอไปตอบตกลงตอนไหน
แต่วินทร์ก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาได้มีเวลาทักท้วง “ตกลงตามนี้นะ”
นรกรคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดน้ำที่เกาะพราวเต็มหน้า และรีบเปิดประตูออกมา ตั้งใจจะมาเคลียร์ให้รู้เรื่อง แต่เขาก็ลืมทุกถ้อยคำไปเสียสนิทเมื่อเห็นร่างสูงยืนเท้าแขนมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงอาทิตย์ยามเช้าที่ส่องผ่านผ้าม่านสีชมพูที่ปลิวไหวเบาๆ ตามแรงลมกระทบร่างของเขาให้ดูสว่างและออกสีทองอ่อนๆ
“อทิฏฐ์?”
“อะไรเหรอ” ร่างสูงหันหน้ามา นรกรจึงได้สำนึกอีกครั้งว่าตนดูผิดไป เพราะมันช่างเหมือนกันเหลือเกินกับเช้าวันสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน
“ปะ เปล่า” นรกรส่ายหน้า “ผมแค่จะบอกว่าแสงอาทิตย์มันส่องพี่วินทร์ไม่ร้อนเหรอครับ”
“ยังเช้าอยู่ไม่ร้อนหรอก” วินทร์ตอบ “ขอยืมใช้ไมโครเวฟหน่อยนะ” พลางเปิดกระเป๋าและหยิบอะไรสักอย่างไปอุ่นในไมโครเวฟก่อนจะเดินไปที่ตู้เย็นแล้วหยิบเครื่องดื่มที่แช่รอไว้ออกมาวางบนโต๊ะ
นรกรมองตามคนที่เดินไปเดินมาในห้องของตนอย่างคุ้นเคยทั้งที่เพิ่งจะเคยเข้ามาเป็นครั้งแรก อยากจะเอ่ยปากถาม แต่ลึกๆ ในใจก็กลัวคำตอบจึงได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้และเดินตามไปนั่งลงตรงข้ามบนโต๊ะอาหาร
“พี่วินทร์ทำอะไรเหรอครับ”
“นายไม่ชอบที่ๆ คนเยอะๆ ใช่ไหมล่ะ แถมข้าวเช้าก็ไม่ชอบกินฉันก็เลยเอาแซนด์วิชมา จริงๆ จะกินเลยก็ได้นะ แต่ฉันว่าอุ่นให้ชีสมันละลายหน่อยอร่อยกว่า”
หน้าที่ตึงอยู่ของนรกรค่อยคลายออกเมื่อได้ยินชื่อของโปรด และเขาก็ลืมเรื่องที่หงุดหงิดเพราะโดนกวนแต่เช้าไปเสียสนิทเมื่อวินทร์วางจานใส่แซนด์วิชหอมฉุยลงตรงหน้า
“พี่วินทร์ชอบกินไข่กับชีสเหรอครับเห็นซื้อมาแต่ไส้นี้”
“แล้วนายชอบหรือเปล่าล่ะ”
“ครับ”
“ฉันก็ชอบเหมือนกัน”
“หมายถึงไส้นี้น่ะเหรอครับ”
วินทร์เท้าแขนลงบนโต๊ะ “เปล่า ฉันหมายถึงตอนที่นายกินน่ะ” รอยยิ้มกว้างกระจายเต็มหน้าเมื่อเห็นคนตรงหน้าอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง และดูท่าจะไม่โกรธเขาแล้วเพราะเจ้าตัวหยิบแซนด์วิชไปกัดคำโตจนไส้ทะลัก “มันดูมีความสุข ดูน่าอร่อยจนฉันรู้สึกอยากกินตามไปด้วย”
“หุ่นผอมๆ อย่างผอมเนี่ยนะครับ ถ้าตัวโตๆ อย่างพี่วินทร์ล่ะยังว่าไปอย่าง”
“ไม่หรอก ต้องแบบนายน่ะแหละ”
“ทำไมล่ะครับ”
“นั่นน่ะสิ ทำไมกันนะ” วินทร์อมยิ้มมีเลสนัยน์พลางเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปใช้หัวแม่โป้งเช็ดเศษขนมปังที่ติดตรงมุมปากให้
นรกรนิ่งไปเล็กน้อยด้วยความเขินจะขยับหนีก็ไม่กล้าจึงเป็นเหตุให้คนตรงหน้าได้ทีแกล้งจิ้มแก้มเล่นไปอีกทีโดยทำทีเป็นใช้หลังมือช่วยเช็ดน้ำที่หยดลงมาจากเรือนผมสีอ่อน นาทีนี้วินทร์นึกอยากจะกระโดดข้ามโต๊ะแล้วรวบตัวมากอดให้รู้แล้วรู้รอด หากก็ทำได้แค่ใช้ปลายนิ้วขยี้ปอยผมเปียกชื้นแล้วช่วยจัดให้เข้าที่ก่อนจะปล่อยมืออย่างแสนเสียดาย
“ฉันใส่ชีสเป็นพิเศษมาให้สองแผ่นเลยนะ แบบโลว์แฟตด้วยรับรองไขมันไม่ขึ้นแน่” เขาชวนคุยต่อเพื่อซ่อนความคิดฟุ้งซ่านในหัว
“เดี๋ยวนี้เซเว่นมีให้เลือกได้แบบนี้ด้วยเหรอครับ ดีจัง"
วินทร์ไม่ตอบคำถามนั้น ได้แต่อมยิ้มมุมปาก กำลังจะหยิบกาแฟออกจากถุงเมื่ออีกคนมือไวกว่าและฉวยเอาแก้วที่เขาตั้งใจซื้อมากินเองไปเสียแล้ว “อันนั้นเอสเปรสโซ ขมนะ นายกินได้เหรอ ฉันว่านายกินนมไปเถอะมีประโยชน์ด้วยจะได้โตเร็วๆ” เอื้อมมือออกไปจะเอาคืนแต่มือเรียวที่กุมแก้วไว้กลับขยับยกหนี
“ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับ”
“เตือนแล้วนะ” วินทร์หัวเราะในลำคอ เมื่อเห็นคนตรงหน้าย่นปากหลังจากดูดเข้าไปอึกใหญ่ “เพราะฉันสั่งพิเศษเพิ่มกาแฟสองช็อต ปกติฉันเห็นนายสั่งแต่ลาเต้นี่”
“ผมกินได้ครับ”
วินทร์ยิ้มขันกับคนที่ยังไม่เลิกดื้อพลางดึงแก้วกาแฟไปจากมือ “เอามานี่สิ แล้วทำแบบนี้นะ” เขายกแก้วนมขึ้นซดกะให้พร่องไปสัก 1 ใน 3 แล้วเทกาแฟลงไปผสม ก่อนจะเทกลับมา ทำสลับกันไปมาอยู่สามสี่ครั้งจนคิดว่าน่าจะเข้ากันดีจึงส่งคืน “ลองชิมสิว่าโอเคไหม”
“อร่อยครับ”
“แค่เอานมผสมกับกาแฟ ไม่ต้องทำหน้าตื่นตาตื่นใจขนาดนั้นก็ได้มั้ง” วินทร์หลุดขำออกมาในที่สุดกับคนที่ทำตาเป็นประกายราวกับเขากำลังเล่นแร่แปรธาตุ
“ก็ผมไม่คิดนี่นาว่าแค่เทๆ รวมกันจากที่ขมๆ มันจะออกมากลมกล่อมพอดี” นรกรยิ้มเขิน “ให้ผมทำเองก็ไม่ได้หรอกนะ หกหมด แล้วของแบบนี้ต้องใช้พรสวรรค์ด้วยนะ พี่วินทร์ต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่ามีคนที่แค่ทอดไข่ดาวยังไหม้ด้วย”
“ใคร?”
“พี่ปอ” ตอบไปแล้วก็เหลือบมองคนตรงหน้าเล็กน้อยเพราะกลัววินทร์จะคิดว่าเขายังตัดใจไม่ได้
“แต่ฉันทอดได้ทุกแบบนะ” วินทร์ยักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง “ไข่แดงสุกไม่สุก นิ่มๆ หรือกรอบๆ นายชอบแบบไหนล่ะ”
“ผมไม่ชอบกินไข่ดาว”
“งั้นเอาไข่ตุ๋นไหมล่ะ วันหลังจะทำให้กินรับรองว่าชิมแล้วจะติดใจ”
“พี่วินทร์ทำอาหารเป็นด้วยเหรอครับ เก่งจัง”
วินทร์ไหวไหล่ “ถ้าจะมีอะไรที่ฉันทำไม่ได้ก็เรื่องจีบนายนี่แหละ”
“พี่วินทร์” นรกรสบตาคนตรงหน้าแต่เขาไม่มีทีท่าว่าจะล้อเล่น
“ไหนๆ ก็พูดขึ้นมาแล้ว ฉันก็ขอทำให้มันชัดเจนไปเลยละกันเพราะตอนที่นายถามว่าที่ฉันทำทั้งหมดนี้ให้นายเพราะอะไรนั่นฉันว่ามันยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่” วินทร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับมองตอบสายตาคนตรงหน้า “ฉันชอบนาย ฮาร์ฟ”
“แต่ผม…”
วินทร์ยกมือขึ้นปิดริมฝีปาก “อย่าเพิ่งตอบได้ไหม ช่วยกลับไปคิดดูอีกที แค่ขอโอกาสให้ฉันได้ดูแลนาย อย่างน้อยก็จนกว่านายจะเจอใครที่อยากให้ดูแล แล้วพอถึงตอนนั้นฉันจะเป็นฝ่ายไปเอง”
“แต่มันเจ็บนะครับ แล้วก็เสียเวลาด้วย ผมว่าพี่วินทร์เอาเวลาที่อยู่กับผมไปมองหาคนอื่นดีกว่า”
“ฉันรู้ว่ามันเจ็บ” วินทร์ยอมรับ “แต่ฉันจะเจ็บกว่านี้ถ้านายทำเป็นไม่สนใจหรือผลักไสฉันไปให้คนอื่น”
นรกรสะอึก มันเหมือนกับคำที่เขาพูดกับอทิฏฐ์ไม่มีผิด เขาหลุบสายตาลงต่ำ มือทั้งสองกุมแก้วกาแฟแน่นไม่รู้จะให้คำตอบว่าอะไร
“ไม่ต้องคิดมากนะฮาร์ฟ ขอแค่นายช่วยรับความหวังดีนี้ไปบ้างฉันก็ดีใจแล้ว” วินทร์ยิ้มบางพลางลุกขึ้นยืน อย่างที่พูดไป เขาไม่ได้อยากคาดคั้น ไม่ได้อยากทำให้ลำบากใจ ก็แค่อยากจะดูแลและเห็นคนตรงหน้ามีความสุขบ้างก็แค่นั้นเอง “อิ่มแล้วก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวสาย”
oooooo
(ต่อด้านล่างค่ะ)