วิวาห์อามันต์
ตอนที่ 4
“วีว่ามาแล้วเหรอคะ” เด็กหญิงหวันยิหวาพูดงัวเงีย เปลือกตาหนักอึ้งแทบลืมไม่ขึ้น มองเห็นวีว่าเข้ามาอุ้มเธอขึ้นก็ยกมือโอบรอบคอของวีว่าอัตโนมัติ “ง่วงจังค่ะ”
“เล่นจนหมดแรง” วิวาห์พูด แตะริมฝีปากเข้าที่ข้างแก้มของลูกสาวอย่างทะนุถนอม
“เจ้าสามตัวนั้นก็สลบเหมือดไปแล้วเหมือนกัน” แป้งพูดกลั้วหัวเราะ พยักเพยิดไปทางเบาะหลังที่มีลูกชายของเธอนอนก่ายกันอยู่ “พาเด็ก ๆ ไปกินข้าวเย็นแล้วเรียบร้อย เธอล่ะว่านกินหรือยัง”
“ฉันกินแล้ว” วิวาห์ตอบ ตัดสินใจว่าจะไม่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ให้เพื่อนฟังก็แล้วกัน แป้งยิ่งเป็นพวกชอบโวยวายอยู่ เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา “กลับบ้านดีกว่า แม่คงเป็นห่วงแล้วล่ะ”
แป้งขับรถไปส่งเขากับลูกที่บ้าน หญิงสาวกำชับเรื่องโปรเจ็กใหม่ของค่ายเพลงสามีของเธออีกรอบ ว่านเลยแบ่งรับแบ่งสู้แล้วรีบตัดบท ขี้เกียจถกกับแป้งเรื่องอาชีพของตัวเองอีก
อุ้มหวันยิหวาเดินเข้าไปในบ้าน เด็กหญิงนอนหลับคอพับคออ่อนไปแล้วคงเหนื่อยเต็มที พ่อกับแม่ขึ้นห้องนอนกันไปเรียบร้อย ว่านปลุกลูกสาวขึ้นมาอาบน้ำแล้วพาเข้านอนเหมือนทุกวัน ชีวิตประจำวันของเขาดู ๆ ไปก็น่าเบื่อ เมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่เต็มไปด้วยสีสัน
แต่ว่านก็พอใจกับชีวิตในตอนนี้แล้ว ไม่นึกโหยหาอดีตเลยสักนิดเดียว
วันรุ่งขึ้นว่านติดรถพี่ชายไปส่งลูกสาวที่โรงเรียนก่อนแล้วค่อยเลยไปทำงานตามปกติ หน้าที่ของเขาไม่มีอะไรยุ่งยาก ทว่าก็ใช้เวลาอยู่เกือบเดือนกว่าจะคล่องแคล่ว ว่านชงกาแฟไปเสิร์ฟให้พี่ ๆ ในกองบรรณาธิการรวมถึงห้องของผู้บริหาร ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็แวะเข้าไปเสิร์ฟให้คุณธาดาด้วย
เขารู้สึกอึดอัดกับสายตาของธาดา
“หายดีแล้วใช่มั้ยครับ”
“ครับ”
“เย็นนี้คุณว่านว่างไหมครับ” ธาดาถามเบา ๆ
“มีธุระครับ” ว่านตอบ คนฟังมีท่าทางเสียดายเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้น คุณว่านพอจะมีเวลาบ้างไหมครับ วันไหนก็ได้”
“คุณฟอร์ดมีงานจะให้ผมทำเหรอครับ”
“เปล่า ...ผมอยากชวนคุณว่านไปทานข้าวด้วยกัน ชวนน้องยี่หวาไปด้วยกันด้วย”
“ผมไม่สะดวกจริง ๆ ครับ” วิวาห์ปฏิเสธ “ขอโทษด้วยนะครับ” เขารีบกลับออกมาจากห้องทำงานของธาดาอย่างไม่สบายใจนัก อีกฝ่ายรู้ชื่อเล่นของลูกสาวเขาด้วยเหรอ จำได้ว่าเขาไม่เคยบอกมาก่อน หรือจะแอบฟังตอนที่ว่านคุยโทรศัพท์ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เบอร์ของคุณครูที่โรงเรียนโชว์อยู่บนหน้าจอ วิวาห์รีบกดรับสาย
“คุณพ่อน้องหวันยิหวาใช่มั้ยคะ คุณครูเตยนะคะ ครูประจำชั้นน้องยี่หวา” เสียงใส ๆ ของคุณครูดังมาตามสาย ว่านใจหายวูบ รีบถามต่อ
“ครับ ๆ ผมจำได้ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
“น้องยี่หวาวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ แล้วหกล้มค่ะ มีเลือดกำเดาออกเปื้อนเสื้อน้องนิดหน่อย แล้วก็แผลถลอกที่เข่าเขียวนิดนึงนะคะ คุณครูเลยโทรมาบอกก่อน” เสียงคุณครูมีแววกังวลแฝงอยู่จาง ๆ แต่ว่านก็สัมผัสได้ ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“แล้วยี่หวาเป็นอะไรมากมั้ยครับ”
“ไม่หรอกค่ะ เด็ก ๆ เล่นกัน แต่น้องผิวขาวมากก็เลยช้ำง่ายหน่อย คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ”
“ครับ ๆ เดี๋ยวผมเลิกงานแล้วจะรีบไปนะครับ” ว่านตอบ เหลือบดูนาฬิกาเหลืออีกตั้งเกือบสองชั่วโมง ถ้าเขากลับก่อนจะโดนค่อนไหมนะ “ยี่หวาไม่ได้เป็นอะไรมากใช่มั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณครูทำแผลให้แล้วเรียบร้อย คุณพ่อน้องสบายใจได้ค่ะ”
“ครับผม ขอบคุณครับ” อีกฝ่ายวางสายไป วิวาห์กลับไปทำงานต่อจนถึงเวลาเลิกงานก็รีบพุ่งออกมาจากที่ทำงาน โทรบอกพี่ชายว่าให้ไปเจอกันที่โรงเรียนของหวันยิหวาเลย ไม่ต้องเสียเวลาแวะรับว่านก่อน พอเดินเข้าไปถึงโรงเรียนได้ก็เจอลูกสาวนั่งห้อยขาเล่นชิงช้าอยู่กับเพื่อน ๆ
ความกังวลที่มีก็ค่อยคลายลงไป
“ยี่หวา เป็นไงบ้างลูก ครูเตยโทรหาวีว่าบอกว่าหกล้มเหรอคะ”
“วีว่ามาแล้ว วีว่าดูซิคะ ยี่หวาขาเขียวเลย” เด็กหญิงดึงกระโปรงขึ้นโชว์หัวเข่าทั้งสองข้างให้มารดาดู วิวาห์เห็นเข้าก็ตกใจ ไหนครูเตยบอกแค่รอยถลอกช้ำนิดหน่อยธรรมดาไงล่ะ ทำไมมันถึงได้เขียวม่วงน่ากลัวทั้งสองเข่าแบบนี้
“เจ็บมั้ยคะ” วิวาห์คุกเข่าลงข้างตัวลูก เอื้อมมือไปจับเบา ๆ พลิกหัวเข่าทั้งสองข้างของเธอสำรวจดูอย่างตกใจ “ทำไมมันม่วงแบบนี้ล่ะคะ ล้มแรงมากเลยเหรอ”
“ยี่หวาสะดุดค่ะ” ลูกสาวตอบจ๋อย ๆ พอคนเป็นแม่กดนิ้วลงกับเข่าก็เบ้หน้า “เจ็บค่ะวีว่า”
“เดินไหวมั้ยคะเนี่ย” วิวาห์ขมวดคิ้ว มองคราบเลือดจาง ๆ บนกระโปรงของลูกสาว หวันยิหวารีบบอก
“ยี่หวาเลือดไหลค่ะ ตรงนี้ ๆ แต่ครูเตยเอาน้ำแข็งมาวางแล้วมันก็หยุด ครูเตยซักกระโปรงให้ยี่หวาด้วยค่ะ” เธอชี้ที่รูจมูกของตัวเอง วิวาห์ถอนหายใจเฮือก อุ้มลูกสาวขึ้นทั้งตัว
“เล่นซนจนได้เรื่อง กลับบ้านกันดีกว่าค่ะ จะได้ไปประคบเย็นต่อ เขียวอื๋อขนาดนี้”
“คุณพ่อน้องยี่หวามาพอดี สวัสดีค่ะ คุณครูทำแผลให้แล้ว แต่น้องผิวบางมาก ๆ เลย เขียวหน่อยนะคะ” ครูเตยรีบเดินเข้ามาหา เห็นสีหน้าของผู้ปกครองดูไม่ดีนักก็รีบบอกต่อ “ตอนแรกจะพาไปโรงพยาบาลแล้วค่ะ แต่ยี่หวาไม่ยอม”
“ก็เลือดยี่หวาหยุดไหลแล้วนี่คะ ยี่หวาไม่ไปโรงพยาบาลหรอกค่ะ” ลูกสาวจีบปากจีบคอบอก วิวาห์ส่ายหน้า
“ขอบคุณครูเตยมากครับที่ช่วยดูแลยี่หวา เดี๋ยวผมกลับไปประคบต่อ ยี่หวาผิวบางช้ำง่ายมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ”
ฟังคุณครูขอโทษขอโพยอีกหลายประโยค วิวาห์ก็พาลูกสาวกลับมาที่รถ วิรัตน์พอเห็นสภาพหลานสาวเข้าก็ร้องว้าก จะพาไปโรงพยาบาลท่าเดียว ยี่หวาก็เลยร้องไห้จ้าไม่ยอมไปหาหมอ สุดท้ายวิวาห์เลยตัดสินใจพากลับบ้านก่อน
“เด็กหกล้มเฉย ๆ ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ ยี่หวาก็ยังเดินได้อยู่”
“หกล้มอะไรเขียวขนาดนั้น” วิรัตน์พึมพำ “ล้มใส่หินหรือไงน่ะ เราก็นิ่งนอนใจเหลือเกิน ลูกเลือดกำเดาไหลด้วยนะ ไม่ได้ดูข่าวเหรอ มีนักร้องตายเพราะเลือดกำเดาออกน่ะ”
“โธ่ พี่วัตก็.. พูดเหมือนไม่เคยเลือดกำเดาออก” วิวาห์หัวเราะ ปลอบลูกสาวจนหยุดร้อง
วิรัตน์เป็นคนจู้จี้ขี้บ่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถ้าว่านเห็นไปทางซ้าย พี่วัตจะต้องเห็นตรงข้ามทุกทีจนว่านขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว จะว่าไปที่ชีวิตของว่านพลิกผันมาขนาดนี้ก็อาจเป็นเพราะว่าตอนนั้นไม่มีพี่วัตคอยจ้ำจี้จ้ำไชอยู่ก็ได้
..................................................................
“เช้าแล้วครับ” ว่านกระซิบข้างหูของคนที่นอนหลับสนิท พี่อาร์มเอียงหน้าหนีไปอีกทาง ว่านเลยยกมือขึ้นบีบปลายจมูกโด่ง ๆ นั้นเล่น “วันนี้มีงานเช้านะครับ ตื่นเร็ว” คนหลับยังไม่ยอมลืมตาขึ้น ขนตายาวหนาเป็นแพทาบอยู่บนผิวแก้ม ว่านใช้ปลายนิ้วกรีดเล่น สุดท้ายดวงตาคมกริบคู่นั้นก็ลืมตาขึ้นมาเขาอย่างดุ ๆ
“เล่นอะไรว่าน”
“ตื่นเร็วครับพี่อาร์ม เดี๋ยวไปงานสายนะ” ว่านพูดพร้อมกับชะโงกเข้าไปจูบที่ริมฝีปากสีสดนั้นแรง ๆ “ลุกขึ้นเร็ว”
“ว่านต้องลุกจากตัวพี่ก่อน” อีกฝ่ายพูดเสียงแหบกว่าปกติ มือใหญ่คลึงอยู่ที่แผ่นหลังและสะโพกของว่าน “ไม่งั้นพี่รุกนะ”
คนฟังหน้าแดงจัด
“เมื่อคืนยังไม่พออีกหรือไง ว่านปวดไปทั้งตัวเลยนะ”
“ถ้าเป็นว่าน ไม่มีคำว่าพอ” คำพูดของพี่อาร์มทำให้ว่านเกือบหมดแรงไปทำงาน
เกือบสองอาทิตย์ที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาเปลี่ยนไป ว่านมีความสุขมาก ว่านหลงรักทุกอย่างที่เป็นพี่อาร์ม จะใบหน้ารูปร่างน้ำเสียงแววตา หรือแม้แต่ลีลาบนเตียงของพี่อาร์มก็ล้วนทำให้ว่านรู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น พี่อาร์มทั้งอ่อนโยนและดุดันในคราวเดียวกัน ว่านชอบความรู้สึกตอนที่เรานอนกอดกันจนหลับไปทุกคืน ตอนเช้าตื่นขึ้นมามองเห็นพี่อาร์มเป็นคนแรก อ้อมกอดของพี่อาร์มอบอุ่นจนว่านไม่อยากลุกไปไหนอีกเลย
ถ้าเป็นไปได้ ว่านก็อยากอยู่ในอ้อมกอดของพี่อาร์มแบบนี้ชั่วชีวิต
“จะขึ้นเวทีแล้ว ขอกำลังใจหน่อยสิ” ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาคุกเข่าตรงหน้าวิวาห์ เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาที่ทำให้คนถูกมองรู้สึกอ่อนยวบเหมือนขี้ผึ้งถูกไฟลน
“ได้ไปทั้งคืนแล้วไง” ว่านงึมงำ เขินจนไม่กล้ามองหน้าพี่ ๆ ร่วมวงคนอื่นที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ
“นะครับว่าน” พี่อาร์มกระซิบ ว่านเลยก้มลงไปหอมแก้มพี่อาร์มสองข้างแล้วเอียงแก้มให้พี่อาร์มหอมคืนบ้าง หัวใจของว่านเต้นแรงจนอาจจะเสียงดังกว่าเสียงกรี้ดของแฟนคลับข้างนอกเสียอีก
“เหม็นความรักจังโว้ย” พี่กอล์ฟพูดลอย ๆ แกมหมั่นไส้ “ไม่เห็นใจคนโสดอย่างกูบ้างเลย”
“ก็หาเอาสิวะ” อามันต์ยักคิ้ว กอดว่านแรง ๆ อีกทีหนึ่งก่อนจะพาออกไปข้างนอกห้องแต่งตัว เสียงกรี้ดถล่มทลายดังขึ้นทันที ว่านเคยชินกับเสียงพวกนี้แล้วจนเคยคิดเล่น ๆ ว่าถ้าวันหนึ่งเสียงเหล่านี้หายไปจะเป็นอย่างไร
“เพลงยิ้มหวานนะครับ” พี่อาร์มพูด “เจ้าของเพลงส่งยิ้มหวานหน่อยเร็ว”
ไม่ต้องบอกว่าว่านยิ้มกว้างแค่ไหน วันเวลาหลังจากนั้นผ่านไปเร็วเหมือนติดปีก ใคร ๆ ก็มักจะบอกว่าเวลาแห่งความสุขมันสั้น ว่านไม่เคยเข้าใจ เวลาแห่งความสุขของว่านไม่มีทางจบสิ้นง่าย ๆ หรอก
“พี่ชายว่านมาน่ะ” แทนใจเดินขึ้นมาบอกว่านบนชั้นสามของสตูดิโอที่เป็นชั้นส่วนตัวของพี่อาร์ม ว่านกำลังนอนเล่นอยู่บนเตียงของพี่อาร์มรีบลุกขึ้นนั่งอย่างตกใจ
“พี่วัตมาเหรอครับ”
“ใช่ ไอ้อาร์มอยู่ไหน”
“พี่อาร์มไปธุระครับ” ธุระของพี่อาร์มเป็นสิ่งที่ว่านไม่เคยยุ่งเกี่ยว พี่อาร์มไม่เคยบอกว่าธุระนั้นคืออะไร และว่านก็ไม่เคยถาม เขาไม่ชอบซอกแซกอยากรู้ ถ้าพี่อาร์มอยากบอกก็คงบอกว่านเอง
“อ๋อ” พี่แทนพูดแค่นั้นแล้วก็เดินลงบันไดไปข้างล่าง ว่านรีบลุกขึ้นแต่งตัวใหม่ ว่านย้ายขึ้นมาอยู่กับพี่อาร์มได้เกือบสามเดือนแล้ว ทยอยขนเสื้อผ้าจากที่บ้านมาไว้ในตู้เสื้อผ้าเดียวกับพี่อาร์ม พี่วัตคงเริ่มสังเกตเห็นแล้วกระมังถึงได้มาหา
“เจ้าว่าน ไม่กลับบ้านกลับช่องเลยนะ มหาลัยก็ไม่ไป ไม่กลัวโดนไทร์หรือไง” วิรัตน์เปิดฉากขึ้นทันทีที่เห็นน้องชายเดินลงมา ใบหน้าเรียวเล็กดูสดใสมีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ดวงตากลมโตคู่นั้นวาววับ
“พี่วัต ไม่เจอกันเลย หวัดดีครับ”
“จะเจอได้ยังไงก็แกไม่กลับบ้านน่ะ” ถ้าเท้าสะเอวได้วิรัตน์คงเท้าเอวไปแล้ว “แกเป็นแบบนี้แล้วฉันจะไว้ใจให้อยู่ที่นี่ได้ยังไง เสียคนหมดแล้ว”
“พี่วัต” วิวาห์เสียงแข็งขึ้นมาทันที “ว่านไม่ได้เสียคนนะ ว่านแค่เลือกทางเดินของตัวเองต่างหาก เพียงแค่ทางเดินของว่านไม่เหมือนพี่วัต พี่วัตก็เลยรับไม่ได้ซักที”
“ไอ้ว่าน” พี่วัตโกรธ คงเพราะแทงใจดำล่ะซิ...ว่านคิดในใจ “ฉันมาที่นี่เพราะแกหายหัวออกจากบ้านไปหลายเดือนแล้วน่ะสิ การเรียนก็ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ”
“ว่านไม่สน ตอนนี้ว่านหาเงินได้มากกว่าพี่วัตเสียอีก รายได้ของว่านมากกว่าเงินเดือนของพี่วัต หรือพี่วัตจะเถียง”
“แล้วมันจะเป็นแบบนี้ตลอดไปไหมล่ะ อีกหน่อยกระแสแกก็ตกแล้ว แกอยู่ในวงการไม่เห็นตัวอย่างพวกดารานักร้องตกกระป๋องพวกนั้นบ้างเหรอ มันไม่ยั่งยืนรู้มั้ยว่าน” พี่วัตพูดเสียงอ่อนลง คงเปลี่ยนมาใช้ไม้อ่อนแทน “ฉันก็เป็นห่วงแก อาทิตย์หน้าฉันจะไปเรียนต่อแล้ว ไม่มีใครมาตามแกกลับบ้านอีกแล้วนะ”
วิวาห์ใจหายอยู่ลึก ๆ รู้ว่าพี่ชายสอบชิงทุนได้ไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ แต่ไม่นึกว่าจะไปเร็วขนาดนี้
“พี่วัตจะไปแล้วเหรอ” เห็นเสียงของน้องชายอ่อนลง วิรัตน์ก็รีบสำทับ
“ก็ใช่น่ะสิ อย่างน้อยเราก็ควรกลับไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันบ้าง กว่าฉันจะกลับมาตั้งสองปี ...เอาแฟนแกไปด้วยก็ได้ ไอ้วินมันก็ชอบเขาอยู่หรอก” ประโยคหลังว่านไม่แน่ใจว่าพี่วัตกัดฟันพูดหรือเปล่า
“ก็ได้ ว่านจะลองถามพี่อาร์มดูก่อนว่าว่างมั้ย”
พี่วัตดูโล่งอกขึ้นเล็กน้อย นัดหมายเวลากันเสร็จว่านก็พาพี่วัตเดินสำรวจดูรอบ ๆ สตูดิโอรอบหนึ่งแต่ไม่ได้พาขึ้นไปชั้นบน ว่านรอพี่อาร์มกลับมาจากข้างนอกจนเริ่มง่วงนอน พี่อาร์มก็กลับมาตอนเกือบตีสอง
“กลับมาแล้วเหรอครับ”
“อ้าว..นึกว่านอนแล้ว” เสียงแหบ ๆ ของพี่อาร์มตอบกลับมา ว่านลุกขึ้นเดินเข้าไปกอดร่างสูงใหญ่เอาไว้ กลิ่นน้ำหอมแปลกจมูกกระทบฆานประสาททันที
“พี่อาร์มไปไหนมาน่ะ”
“ไปธุระ” พี่อาร์มตอบเหมือนทุกครั้ง ไม่มีคำอธิบายมากกว่านั้น ทุกทีว่านก็จะปล่อยให้ความสงสัยเลือนหายไปเองแต่ว่าคราวนี้ว่านมีเรื่องจะต้องพูดกับพี่อาร์มก็เลยถามต่อ
“พี่อาร์มเปลี่ยนน้ำหอมเหรอ”
“...ใช่ ..ชอบหรือเปล่า” พี่อาร์มวางคางลงบนกระหม่อมของว่าน
“กลิ่นมัน...เลี่ยนไปหน่อย”
พี่อาร์มหัวเราะเบา ๆ
“แปลว่าไม่ชอบ” พี่อาร์มก้มลงจูบที่ซอกคอของว่านแรง ๆ “เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ ว่านนอนก่อนได้เลย”
“วันนี้พี่วัตมาหาว่าน” วิวาห์ตัดสินใจรีบพูดไปก่อน “พี่วัตจะไปเรียนเมืองนอกแล้ว จะนัดกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ว่านอยากให้พี่อาร์มไปด้วย”
พี่อาร์มชะงักไป
“จะดีเหรอว่าน น่าจะมีแค่คนในครอบครัวกันมากกว่า พี่ไปเดี๋ยวจะอึดอัดเอา”
“ไม่หรอกครับ ไปเถอะนะ” วิวาห์แนบแก้มเข้ากับต้นแขนของพี่อาร์ม เงยหน้าขึ้นพูดเสียงอ่อน “ไปเป็นเพื่อนว่านหน่อยนะ”
พี่อาร์มนิ่งไปครู่แล้วก็พยักหน้า
“โอเค ถ้าวันนั้นพี่ว่างก็จะไปด้วย”
พี่อาร์มไม่ว่างวันนั้น...ว่านน่าจะรู้ก่อนตั้งแต่วันที่พี่อาร์มพูด วิวาห์คิดในใจอย่างหงอย ๆ เดินเข้าบ้านไปหาพ่อกับแม่คนเดียวไร้เงาของคนรัก พี่อาร์มบอกว่าติดธุระด่วนกะทันหัน พี่กอล์ฟบอกว่าพี่อาร์มคงแอบรับงานเดี่ยวซ้อนอีกแน่ ๆ
พี่วัตไม่ถามถึงพี่อาร์มซักคำ ทำเหมือนรู้อยู่แล้วงั้นแหละว่าพี่อาร์มจะไม่มา พ่อกับแม่คิดถึงว่านมากทำเอาว่านรู้สึกผิดไม่น้อยที่ไม่ได้กลับบ้านมาเยี่ยมเลย วินก็เป็นเฟรชชีแพทยศาสตร์แล้วเลยเทียวไปกลับหอพักมหาวิทยาลัยกับที่บ้าน ชีวิตของทุกคนดูไปได้ดีตามทางของตัวเอง
ว่านเองก็เหมือนกัน...วิวาห์หยิบเงินขึ้นมานับส่งให้พ่อกับแม่อย่างภูมิใจ
“ว่านให้พ่อกับแม่เก็บเอาไว้ใช้ ว่านหาเองทุกบาททุกสตางค์เลยนะ”
“โอ๊ย ไม่ต้องหรอกว่าน เก็บเอาไว้ใช้เถอะลูก เงินตั้งเยอะแยะ พ่อแม่อยู่บ้านเฉย ๆ ก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร” แม่ของเขาพูด
“วันนั้นเห็นว่านในโฆษณาลูกอมด้วย เจ้าวินเรียกพ่อมาดู น่ารักดีนี่” พ่อของเขาพูดขึ้น ว่านยิ้มกริ่ม
“อาทิตย์หน้าพ่อรอดูว่านขึ้นปกนิตยสารนะครับ” ว่านบอกชื่อนิตยสารชื่อดังอย่างภาคภูมิใจ “ว่านได้ขึ้นปกคู่กับพี่อาร์มด้วย”
“เห็นเจ้าวัตบอกตอนแรกว่าว่านจะพาพี่อาร์มมาด้วยไม่ใช่เหรอลูก”
“ครับ พอดีพี่อาร์มไม่ว่าง...งานเขายุ่งน่ะครับ”
“ก็น่าจะยุ่งอยู่ ดังขนาดนั้น” แม่พยักหน้าเข้าใจ “เอาไว้พามาสิ วินเขาอยากเจอ” ลูกชายคนเล็กหัวเราะ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
“แล้วพี่เขาเป็นไงบ้าง คบกันแล้วใช่มั้ยพี่ว่าน” วินถามขึ้นมาบ้าง
“อืม..ก็ดีนะ” ว่านตอบอมภูมิ น้องชายหรี่ตาลง
“แน่ะ ไม่ยอมเล่าอีก วินจะได้ไปขิงกับเพื่อนเสียหน่อยว่าวงในมา ใคร ๆ เขาก็เดากันว่าพวกพี่ต้องคบกันจริงแน่ ๆ บนเวทีหวานขนาดนั้น นอกเวทีจะขนาดไหน”
วิวาห์ชักเขินสายตาน้อง
“ไม่เท่าไหร่หรอกน่ะ พี่อาร์มไม่ใช่คนหวาน”
“อะไร แต่งเพลงให้พี่ซะหวานเจี๊ยบขนาดนั้น”
“จริงเหรอลูก เพลงอะไรน่ะ” แม่สนใจขึ้นมาบ้าง
“เดี๋ยววินเปิดให้ฟังครับ อัลบั้มใหม่ของเขาน่ะ มีแต่เพลงรักหวาน ๆ ไม่รู้พี่อาร์มเลิกทำเพลงอกหักแล้วหรือยังไง คอเพลงอกหักเซ็งเลย”
“เอ้า นักร้องเขาแฮปปี้เขาก็ต้องอยากทำเพลงที่มีความสุขสิ” พ่อพูดขึ้น
ว่านอมยิ้ม ไม่อยากบอกว่าเพลงในอัลบั้มใหม่น่ะ พี่อาร์มบอกเองว่าแต่งให้ว่านทุกเพลง แถมบางเพลงยังคิดออกตอนที่เรากำลัง...
“พี่ว่านคิดอะไรน่ะ นั่งหน้าแดงแข่งกับมะเขือเทศแล้ว” น้องชายแซว พี่ชายคนโตพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ
“เพ้อฝัน ไอ้ว่านรีบกินข้าวเร็ว ๆ เถอะ ฉันอยากกินของหวานแล้ว”
พี่วัตก็เป็นแบบนี้ทุกที ชอบขัดคอว่านประจำ วิวาห์โมโหจนเลิกโมโหแล้ว วันที่ไปส่งพี่วัตที่สนามบินก็อดใจหายขึ้นมาไม่ได้ ต่อไปนี้คงไม่มีใครมาคอยตามว่านกลับบ้านแล้วล่ะสิ
“ฉันไม่อยู่แกก็ต้องดูแลตัวเองนะไอ้ว่าน โตแล้วต้องเอาตัวรอดให้ได้”
“รู้แล้วน่า พี่วัตพูดอยู่นั่นแหละ ไปนู่นก็ดูแลตัวเองด้วยนะ อย่าไปบ่นมากล่ะเดี๋ยวโดนฝรั่งทุบเอา”
พี่วัตจุ๊ปากจิ๊กจั๊กคงหงุดหงิดว่านเต็มทีแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะพ่อกับแม่ยืนอยู่ใกล้ ๆ พอพี่วัตไปแล้วว่านก็รู้สึกโหวง ๆ หน่อย ๆ ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมาว่านก็คงต้องแก้เองเพราะไม่มีพี่ชายมาจัดการให้แล้ว
แต่ว่านก็โตแล้ว มีงานมีเงินมีคนรัก โตเป็นผู้ใหญ่แล้วล่ะ
“น้องว่านกลับบ้านกับคุณพ่อคุณแม่มั้ยคะ” ป้าเอิบเดินเข้ามาถามเขา น้ำตายังคลออยู่เต็มหน้า ป้าเอิบรักพี่วัตมากที่สุดในบรรดาพี่น้องสามคน คงเพราะพี่วัตเป็นลูกคนแรกแถมหน้าตาดีด้วยล่ะมั้ง ทั้งบ้านเลยทั้งรักทั้งหลง พอมาถึงตาว่านที่หน้าขาว ๆ ชืด ๆ ไม่คมเข้มแบบพี่วัตแถมยังป่วยกระเสาะกระแสะประจำ หุ่นผอมแห้งไม่จ้ำม่ำอ้วนท้วนเหมือนเด็กสมบูรณ์แบบวิน ทุกคนก็เลยไม่ค่อยรักเอ็นดูว่านเท่ากับพี่น้องคนอื่น
“ไม่ครับ ว่านต้องกลับไปทำงานต่อ” ว่านตอบผ่านหน้ากากอนามัยที่สวมเอาไว้กันคนจำได้ แม้จะรู้สึกว่าเริ่มมีคนเมียงมองมาแล้วก็ตาม ว่านรู้สึกภูมิใจอยู่นิด ๆ “เดี๋ยวไว้ว่านมาเยี่ยมที่บ้านบ่อย ๆ ดีไหมครับ”
“ดีสิคะ ป้าเอิบจะรอนะ”
จากคนที่ดูเหมือนจะอ่อนด้อยที่สุดในบรรดาพี่น้อง ตอนนี้ว่านกลายเป็นดาวดวงเด่นแล้วนะ ...ดูสิ ใคร ๆ ก็พากันมองมาทางว่านกันทั้งนั้น พอมีคนจำว่านได้ก็เริ่มมีคนวิ่งตาม พอว่านออกวิ่ง ก็กลายเป็นคนยิ่งวิ่งตามว่านไปกันใหญ่ ตอนแรกว่านก็สนุกอยู่หรอก มีคนชอบมากมายขนาดนี้ แต่บางทีมันก็มากเกินไป
“พี่ว่าน ...กรี้ด พี่ว่านจริง ๆ ด้วย ขอลายเซ็นหน่อยค่ะ”
“ขอถ่ายรูปด้วยได้มั้ยครับ”
เพราะว่านมาคนเดียว พ่อกับแม่ก็ขึ้นรถกลับบ้านกันไปหมดแล้ว ว่านเลยถูกรุมล้อมด้วยบรรดาแฟนคลับในพริบตา ทุกคนพยายามยื่นโทรศัพท์เข้ามาถ่ายรูปว่านใกล้ ๆ บ้างก็ส่งปากกากับกระดาษมาให้ว่าน ว่านถูกเบียดไปเบียดมาอยู่ใจกลางวงล้อมนั้น
“โอ๊ย! ” อะไรสักอย่างแข็ง ๆ เฉี่ยวเข้าที่โหนกแก้มของว่านเต็ม ๆ ว่านผงะถอยหลังไปโดนคนเบียดมาจากด้านหลัง รู้สึกเหมือนมีมือของใครยื่นมาบีบที่บั้นท้ายของว่านลามมาด้านหน้า ว่านตกใจรีบหมุนตัวหลบ “อะไรน่ะ ถอยไปนะ” มีอีกมืออาศัยจังหวะนั้นจับเข้าที่เป้ากางเกงของเขา ว่านสะดุ้งสุดตัวยกมือขึ้นปัด ข้อศอกพลาดไปโดนหน้าเด็กสาวคนหนึ่งด้วยความตกใจ “ขอโทษครับ เป็นไรมั้ย” จะถามเด็กคนนั้นก็ถูกคนอื่นเบียดรุมเข้ามาแทน
“น้องว่านขอถ่ายรูปด้วยหน่อยค่ะ”
“ว่านยิ้มหน่อยครับ”
“เดี๋ยวนะครับ ๆ ขอทางว่านก่อนได้มั้ย” วิวาห์เริ่มตื่นตระหนกมาก ๆ ทุกคนทำเหมือนรุมทึ้งเขางั้นแหละ มือไม้ยื่นมายุ่งกับร่างกายของเขายุบยับเหมือนปลาหมึก ว่านทนไม่ไหว สะบัดตัวเต็มแรง “โอ๊ย หยุดนะครับ พูดไม่เข้าใจเหรอ ถอยออกไป ว่านหายใจไม่ออก”
คนเหล่านั้นชะงักตกใจกับเสียงตวาดของว่าน มันคงดังมาก ๆ เลยแหละเพราะทุกคนดูอึ้งอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่านไม่มีอารมณ์มาขอโทษหรือพูดอะไรมากกว่านั้น เขาตัดสินใจเดินฝ่าออกมาเลย เดินแกมวิ่งออกมาข้างนอกสนามบินแล้วก็โบกมือเรียกแท็กซี่ไปส่งที่สตูดิโอ
ไม่เอาแล้วกับการออกไปไหนข้างนอกคนเดียวแบบวันนี้ ว่านกลัวมาก ๆ กลัวจริง ๆ
“พี่อาร์ม” พอกลับถึงสตูดิโอได้ ว่านก็วิ่งขึ้นไปหาพี่อาร์ม พี่อาร์มเห็นหน้าว่านก็ตกใจใหญ่ รีบถามว่าไปทำอะไรมา
“ทำไมหน้าเขียวเป็นปื้นแบบนี้ล่ะ”
“ว่านไปส่งพี่วัตแล้ว..แล้ว” พูดแล้วยังตัวสั่น นึกถึงมือใครก็ไม่รู้ที่เข้ามาลวนลามว่าน พอว่านเล่าให้ฟังพี่อาร์มก็โกรธมาก บอกจะไปเอาเรื่องคนที่ทำร้ายว่าน
“ไปดูกล้องวงจรปิดเลย มันต้องมีกล้องสิ พี่จะฟ้องไอ้พวกนั้นให้หมด”
“ไม่ต้องหรอกครับพี่อาร์ม เดี๋ยวกลายเป็นเรื่องใหญ่” ว่านรีบบอก “ว่านไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“วันหลังห้ามไปไหนคนเดียวอีกนะ” พี่อาร์มพูดเสียงเข้ม ลุกขึ้นเดินไปหยิบน้ำแข็งมาประคบรอยช้ำบนโหนกแก้มให้อย่างเบามือ ว่านน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจ “ถ้าจะไปไหนต้องบอกพี่ทุกครั้งนะ เข้าใจหรือเปล่า”
“ครับพี่อาร์ม” ว่านตอบ จับมือพี่อาร์มเอาไว้แน่น เรียกขวัญกำลังใจที่หายไปเมื่อกี้กลับคืนมา
ว่านนึกว่าเรื่องจะจบทว่ากลับกลายเป็นข่าวดังในวันรุ่งขึ้นว่านักร้องดาวรุ่งเหวี่ยงแฟนคลับกระเจิงกลางสนามบิน พี่แทนเข้ามาคุยกับพี่อาร์มท่าทางเคร่งเครียด ว่านแอบยืนฟังอยู่ข้างนอกได้ยินแว่ว ๆ ว่ามีคลิปเสียงด้วย
“เสียงว่านตะโกนจริง ๆ ใช่มั้ย” พี่อาร์มมาถามว่านคืนนั้น
“จริงครับ ก็ว่านทนไม่ไหวจริง ๆ นี่” ว่านก้มหน้าลง “พี่อาร์มลองนึกภาพโดนคนรุมทึ้งดูนะ”
“แต่ว่านไม่ควรขึ้นเสียงใส่แฟนคลับแบบนั้นเลยนะ”
“ว่านไม่ตั้งใจ ว่านไม่ได้ขึ้นเสียงด้วย แค่พูดเสียงดังขึ้นเอง”
“มีคนบอกว่าว่านผลักเขาด้วย”
“มันเบียดมาก ๆ พี่อาร์ม ว่านไม่ได้ตั้งใจ” ว่านเริ่มรู้สึกกดดัน พี่อาร์มมองเหมือนว่านทำความผิดร้ายแรงทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ความผิดของว่านเลยสักนิด “คนที่ผิดไม่ใช่ว่านนะพี่ แต่พวกเขารุมว่าน ลวนลามว่าน ไม่ยอมให้ว่านเดิน”
“พี่รู้ ๆ ขอโทษที” พี่อาร์มเปลี่ยนท่าที ดึงว่านเข้าไปกอด “เราต้องแก้ข่าวนี้นะ ไม่งั้นจะยิ่งไปกันใหญ่”
“ครับพี่อาร์ม”