ฟงอวิ๋นหน้าบูดไปตลอดบ่าย น้ำแกงก็ดันไม่ทันสังเกต เขายังคงอ่านหนังสือในมืออย่างมีสมาธิ จนกระทั่งฟงอวิ๋นเหนื่อยไปเอง หลังจากทำหน้าไม่สบอารมณ์ใส่คนสวยที่นั่งเรียบร้อย เข่าชิดกัน อ่านหนังสือบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่จนเมื่อย ในที่สุดเขาก็ต้องยอมแพ้ นิสัยลูกคนเล็กใช้ไม่ได้กับลูกคนเดียวอย่างน้ำแกง
"แกง ไม่เบื่อเหรอ ?" ฟงอวิ๋นยกธงขาว น้ำแกงช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย... ขนาดโกรธใส่ยังทำหน้าสวย เงยหน้าขึ้นมองอย่างงงๆ ผมที่เริ่มยาวปรกหน้าปรกตา หน้ามันย่อง แต่ก็ยังสวยคมคาย
"เบื่อ ? ฟงเบื่อเหรอ ? อ๊ะ แกงอ่านเพลินไปหน่อย ขอโทษนะ" เด็กน้อยรีบกระวีกระวาดเก็บหนังสือ มือเล็กกรีดหน้าปกที่ยับย่นให้เรียบ ฟงอวิ๋นจึงถอนหายใจ
"ไม่เป็นไร อ่านไปเถอะ แต่ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยก็ดีนะ"
น้ำแกงหน้าแดง ลูบจมูกมันแผล่บแล้วยิ้มเขิน "จริงด้วย"
ฟงอวิ๋นพาน้ำแกงเข้าห้องน้ำใกล้ๆ ห้องสมุด น้ำแกงเริ่มชินกับความหรูหราที่ตนเองไม่เคยเห็นแล้ว จึงไม่ได้อ้าปากค้างกับห้องน้ำปูหินอ่อนขัดมัน ตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกและอ่างล้างหน้าที่ทำจากเครื่องลายคราม แต่ด้วยส่วนสูงของสมาชิกในครอบครัวนี้ที่สูงใหญ่กันทุกคนไม่เว้นกระทั่งอากงอาม่า ทำให้อ่างล้างหน้าวางค่อนข้างสูง น้ำแกงต้องเขย่งเท้าเพื่อโน้มตัวลงเปิดก๊อกน้ำสีทองอร่ามล้างหน้า
ฟงอวิ๋นยืนรออยู่หน้าประตูกระจก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าดูผู้ชายด้วยกันเข้าห้องน้ำมันน่าดูตรงไหน แต่ท่าทางเขย่งเก็งกอยจนสุดปลายเท้าของน้ำแกงก็น่ารักเสียจนลืมความขุ่นมัวเมื่อครู่ไปสิ้น
เขาไม่คิดเลยว่าส่วนสูงของตนและครอบครัวจะกลายเป็นปัญหาสำหรับคนอื่น หรือถ้าเป็นคนอื่น... ฟงอวิ๋นคงไม่กระทั่งสังเกตด้วยซ้ำ
"ให้ช่วยไหม ?"
น้ำแกงเงยหน้าจากก๊อกน้ำที่ติดตั้งสูงกว่าปกติ "ช่วย ?"
"เห็นแกงเขย่ง..." ตลก... แต่ก็น่ารัก
คนฟังหน้าแดงอีกแล้ว ทั้งๆ ที่น้ำแกงไม่ใช่เด็กขี้อาย แต่พออยู่สองต่อสองกับคนตัวสูงทีไร... หน้าแดงง่ายๆ ทุกที
"มะ... ไม่เป็น... อ๊าาา!" เสียงหวานอุทานลั่น เจ้าของบ้านไม่สนใจคำปฏิเสธ เขาโอบกระชับเอวบางจากด้านหลังด้วยมือข้างเดียวแล้วยกขึ้นอย่างง่ายดาย
อุ้มด้วยท่าทางราวกับอุ้มเด็ก.... น้ำแกงหน้าแดงไปถึงหู เท้าลอยจากพื้นจนรู้สึกโหวงๆ
ทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายด้วยกันแท้ๆ
"สะดวกขึ้นไหม ?" เสียงถามจากด้านหลัง เพราะถูกอุ้ม ระยะห่างจากความต่างของขนาดตัวจึงสั้นลง น้ำแกงรีบตอบ
"อื้ม" มือเปิดก๊อก วักน้ำล้างหน้าอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่โตมาก็ไม่เคยมีใครอุ้มน้ำแกงมาก่อนเลย... แล้วยัง... ใกล้ชิดขนาดนี้ ฟงอวิ๋นไม่รู้จะเมื่อยไหม จึงรีบทำธุระให้เสร็จ แล้วถามคนอุ้มอย่างเกรงใจ
"ฟง เมื่อยไหม เสร็จแล้ว"
ฟงอวิ๋นกลั้นยิ้ม เอวน้ำแกงบางมาก... จนเหมือนเด็กผู้หญิง ตัวก็เบาหวิว เหมือนบรรดาหลานๆ ตัวแสบของเขาจะหนักกว่าเสียอีก ไม่รู้กินแล้วเอาไปไว้ไหนหมด
เด็กหนุ่มวางคนในมือลง เห็นท่าทางโล่งอกโล่งใจแล้วชวนให้แกล้งนัก
เขาหยิบผ้าขนหนูพับเรียบร้อยจากตู้อีกด้านให้ "เช็ดหน้าหน่อย"
"ขอบคุณนะ" เสียงหวานแผ่ว แก้มยังแต้มสีหวาน ฟงอวิ๋นหัวใจพองลม ต้องสะกดอารมณ์ที่อยากจะโอบคนตรงหน้าเข้าแนบอกแล้วพรมจูบแก้มกลมๆ หวานๆ ให้ช้ำ
"มะ... ไม่เป็นไร"
น้ำแกงยังคงกลับไปอ่านหนังสือต่อที่ห้องสมุด ส่วนฟงอวิ๋นก็ให้สาวใช้ยกขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ ตัวเขาเองก็นั่งใกล้ๆ น้ำแกง ในมือมีเกมกดราคาแพง
ห้องสมุดอันกว้างขวางเงียบลง มีเพียงเสียงพลิกเปิดหน้าหนังสือ เสียงปุ่มกดจากเกมกดเท่านั้น ฟงอวิ๋นไม่เคยชินกับความเงียบนัก เพราะเมื่ออยู่ที่คอนโด มักจะมีลูกไล่เดินเข้าออกเสมอ เพลงที่เปิดลั่นห้องก็เป็นเพลงเน้นบีทส์ สาวๆ พากันเต้นยั่วยวน พร้อมกลิ่นบุหรี่ เหล้าและไอซ์คละคลุ้ง
แต่ตอนนี้... กับคนตัวบางที่นั่งสบายๆ บนกองหมอนรองนั่ง ในมือมีหนังสือ ไม่ใช่แก้วเหล้าชั้นดี ทั้งเขาและน้ำแกงหันหลังให้กันก็จริง แต่มีกองขนมและแก้วน้ำส้มเย็นเจี๊ยบอยู่ตรงกลาง ดังนั้น... บางครั้งที่เอื้อมมือมาหยิบขนมหรือน้ำส้ม มือก็สัมผัสกันโดยไม่ตั้งใจ ทั้งๆ ที่เป็นสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ในความเงียบสงบนั้น... ฟงอวิ๋นกลับใจเต้นระรัว หน้าแดงไปถึงหู หัวใจเหมือนถูกฉีดลมจนพองฟูล่องลอยไปถึงยอดหลังคาบ้าน
รู้สึกดี... สงบและสบายใจเหลือเกิน ฟงอวิ๋นพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ วางเกมกดในมือลง
ในห้องเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจอย่างตื่นเต้นของน้ำแกงที่จดจ่อกับหนังสือ ฟงอวิ๋นยิ้ม ทั้งๆ ที่เงียบเช่นนี้ ไม่มีบทสนทนาใดๆ แต่กลับไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย
เขาหาว เครื่องปรับอากาศทำหน้าที่ของมันอย่างเงียบกริบ มื้อเที่ยงก็กินจนอิ่มแปล้ ยามบ่ายเช่นนี้ชวนง่วงไม่น้อย ฟงอวิ๋นมองคนตัวเล็กแล้วเอื้อมมือไปดึงหนังสือในมือออกช้าๆ
"อ๊ะ!" น้ำแกงร้อง มองคนที่แย่งหนังสือไปตาเขียว แต่ฟงอวิ๋นกลับระบายยิ้ม บอกคนรักหนังสือเอื่อยๆ
"ฟงง่วง"
"ง่วงก็ไปนอนสิ" เสียงหวานหงุดหงิด จ้องหนังสือในมือคนตัวสูงเขม็ง
"เอางั้นก็ได้" ตอบแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนตักน้ำแกง เล่นเอาน้ำแกงเบิกตากว้าง อุทานอีกครั้ง
"ทำอะไรน่ะ!"
"นอนไง"
"นอน... นอนตักแกงเนี่ยนะ!"
"อืม ง่วงแล้ว" ฟงอวิ๋นเกเร เอามือขยี้ตา พลิกตัวมองใบหน้าสวยคมจากด้านล่าง แม้กระทั่งจากมุมนี้... คางยังได้รูป จมูกแคบโด่ง ลูกกระเดือกเล็กๆ ติดบนลำคอเพรียว ผิวสีเข้มดูราวกับจะส่งกลิ่นเย้ายวน หวานอร่อยยิ่งกว่าชอกโกแลตจากเบลเยี่ยมที่อาม่าชอบพกติดตัวเสียอีก
น้ำแกงพยายามทั้งผลักและดันคนเกเร แต่ตัวผอมๆ อย่างเขาน่ะหรือจะทำได้ ในที่สุดก็ยอมแพ้ ถอนหายใจเบาๆ แล้วหยิบหนังสือมาอ่านต่อ ปล่อยคนนิสัยไม่ดีนอนบนตักสบายอารมณ์
จริงๆ แล้วฟงอวิ๋นแค่จะแกล้งคนสวยเท่านั้น แต่ไปๆ มาๆ ไม่รู้ทำไม... ทั้งๆ ที่ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นผู้ชายแท้ๆ ควรจะเหม็นเหงื่อหรือน่ารังเกียจ แต่กลับมีกลิ่นหอมหวานที่อธิบายไม่ถูก ชวนให้รู้สึกสงบ บรรยากาศรอบข้างก็เงียบ ตักที่ควรจะแข็งก็อ่อนนุ่ม บางครั้งน้ำแกงลืมตัว ลูบไล้หน้าผากและเส้นผมอย่างอ่อนโยน ยิ่งทำให้รู้สึกง่วงขึ้นมาจริงจัง ความคิดสุดท้ายของเด็กหนุ่มคือ
...แย่แล้ว... หลงเกินไปแล้วแล้วเขาก็ค่อยๆ เข้าสู่นิทรา...
"ฟง ตี๋เอ๊ย!" เสียงปลุกแว้ดๆ ดังข้างหู เสียงน้ำแกงไม่แหลมขนาดนี้นี่นา...
ฟงอวิ๋นขมวดคิ้ว พลิกตัวบนที่แคบๆ เหมือนหมอนจะเปลี่ยนไป
หมอนก็ไม่ได้หอมขนาดนี้นี่...
"โถ แกง หนักไหมลูก ?"
"อา... ก็เริ่มชาๆ น่ะครับ"
"โซ้ยตี๋นี่ไม่ได้เรื่องจริงๆ มานอนตักน้องได้ยังไง" เสียงนั้นดังลั่น ฟงอวิ๋นรำคาญจนต้องปัดมือเชิงไล่ แต่แล้วความเจ็บก็แล่นปลาบเข้าที่ใบหู
"โอ๊ย!" คราวนี้ลืมตาได้เสียที ตาตี่ๆ ของพี่สาวลอยอยู่ตรงหน้า ท่าทางขึงขัง
"ลุกย่ะ!" ย้งยี้แผดเสียง ฟงอวิ๋นจึงรีบเด้งลุกขึ้น จึงพบว่าตัวเองนอนตักน้ำแกงไปจริงๆ
"หนอย นอนทับน้องจนน้องแบน! ยังมีหน้ามาทำหน้าบูดอีก!" พี่สาวเท้าสะเอวบ่น ช่วยน้ำแกงตะเกียกตะกายลุกขึ้น
ฟงอวิ๋นมองคนสวยตัวบางที่ชาไปทั้งเอว คิ้วเรียวสวยที่ขมวดมุ่นชวนให้เจ็บปวดไปด้วย
"เจ็บไหมแกง ?"
น้ำแกงหน้าเฝื่อน "จะ... เจ็บครับ"
"ฟงตัวมันอย่างกับยักษ์ นอนทับตั้งนาน ไม่เจ็บก็แย่ล่ะ" ย้งยี้ถอนหายใจ จนกระทั่งน้ำแกงลุกขึ้นยืนได้ในที่สุด แล้วค่อยหันขวับมาหาน้องชาย
"ฟง มาช่วยพยุงน้องไปกินข้าว!"
"ครับ!" ฟงอวิ๋นรีบกุลีกุจอไปพยุงเอวบางๆ แขนเรียวค่อยๆ คล้องคอ น้ำแกงบอกเบาๆ
"ไม่เป็นไร... รอแป๊บก็ค่อยยังชั่วแล้ว"
ไม่รู้ทำไม... ฟงอวิ๋นได้ยินแล้วถึงรู้สึกโกรธตัวเองนัก อย่างที่ย้งยี้พูด เขาตัวปานหมีควาย น้ำแกงถึงจะไม่ใช่ไซส์มินิ แต่ก็บางกว่าหลายเท่า ถูกเขานอนตักคงปวดไม่น้อย
"ทำไมไม่ปลุกฟงล่ะ ?"
"ก็... ท่าทางหลับสบายนี่" น้ำแกงตอบง่ายๆ แม้ตัวเองจะเจ็บตัว แต่พอเห็นฟงอวิ๋นหลับปุ๋ยเหมือนเด็กก็อดเอ็นดูไม่ได้ จึงทนเจ็บปล่อยให้คนตัวยักษ์หลับต่อไป
"ใจดีเกินไปแล้ว" ฟงอวิ๋นพูดเบาๆ ช่วยพยุงน้ำแกงเดินตามพี่สาวไปจนถึงห้องอาหาร
ฟงอวิ๋นและน้ำแกงในตอนนั้นไม่มีวันรู้เลย... ว่าน้ำแกงก็ยังเป็นเช่นนี้ ยังคงทำเช่นนี้ มีนิสัยแบบนี้... นิสัยที่แม้ตัวเองจะเจ็บปวด แต่พอเห็นคนรักมีความสุข เขากลับยอมอดทน สิ่งที่ลอดริมฝีปากออกมาไม่ใช่คำพูดทวงบุญคุณ และไม่เคยมีคำบ่นว่า มีเพียงคำพูดเดิมๆ ที่บอกฟงอวิ๋นว่า 'ไม่เป็นไร'
มื้อเย็นผ่านไปอย่างเชื่องช้า น้ำแกงยังปวดไม่น้อย ทั้งปวดจากฝึกว่ายน้ำอยู่แล้ว พอโดนฟงอวิ๋นทับตลอดบ่ายก็ยิ่งทรมาน แต่ใบหน้าสวยยังมีรอยยิ้มสุภาพให้ทุกคน
สมาชิกทุกคนในตระกูลเอ็งมากันครบ กว่าจะแนะนำตัวแต่ละคนจนหมด น้ำแกงก็หัวหมุน พี่สะใภ้ของฟงอวิ๋นมีสองคน สะใภ้ใหญ่เป็นชาวสิงคโปร์ท่าทางปราดเปรียว พูดภาษาไทยไม่ชัด ชื่อเจสซี่ พี่สะใภ้รองเป็นคนไทย หน้าตาธรรมดาๆ พูดน้อยและไม่ค่อยยิ้ม ชื่อพี่วรรณ หลานๆ ของฟงอวิ๋นมีทั้งหมดสามคน น้ำแกงจำไม่ค่อยได้ว่าคนไหนมาจากบ้านไหน มีเด็กผู้ชายหนึ่งคนและเด็กผู้หญิงสองคน เด็กๆ ซุกซนกันมาก มีแค่เด็กผู้ชายที่ค่อนข้างนิ่ง
เพราะทุกคนมารวมตัวกัน มื้อเย็นจึงครึกครื้น อากงอาม่าก็ถูกหลานๆ ชวนคุยจนตอบไม่ทัน ส่วนคนอื่นๆ นั้นดูยินดีและกระตือรือร้นต้อนรับน้ำแกงมากทีเดียว หลานสาวใจกล้าคนหนึ่งของฟงอวิ๋นเงยหน้ามองน้ำแกง จ้องเขม็งจนมารดาต้องดุ เด็กน้อยยิ้มอวดฟันหลอให้น้ำแกงแล้วชี้พลางพูด "ม่าม๊า พี่เค้าเป็นตุ๊ตาเหรอ เหมือนตุ๊ตาบาร์บี้ของหนูเลย"
คนถูกเรียกว่าตุ๊กตาหน้าแดง พอจะเอ่ยปาก เด็กน้อยอีกคนก็ขัด คราวนี้เป็นเด็กชายที่ไม่ได้เจื้อยแจ้วเหมือนพี่น้อง
"ใครบอกเม่ยเม่ย พี่เค้าเป็นแฟนพี่ฟงต่างหาก" คำตอบช่างแก่แดดแก่ลมเสียนี่กระไร
"เฮียเจเจ พี่เค้าจามาเป็นซิ้มเราเหรอ" เด็กหญิงอีกคนถาม ดูท่าทางเด็กชายจะเป็นพี่ใหญ่ เขาตอบน้องสาวทั้งสองอย่างหนักแน่น
"ใช่สิ"
เด็กน้อยที่ฟังทั้งสองกระโดดโลดเต้นบนเก้าอี้ ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าด "เย้! พี่ตุ๊ตาจะมาเป็นซิ้มของเม่ยเม่ยล่ะ"
"พี่ตุ๊กตาของเจ๊อันอันต่างหาก!" สองสาวน้อยรีบจับจองน้าสะใภ้อย่างรวดเร็ว น้ำแกงอ้าปากค้าง หันมองรอบด้าน ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนช่วยเขาเลย
เด็กชายได้ฟังน้องสาวแล้วปราม "ไม่ใช่! พี่ตุ๊กตาเป็นของเจ็กฟงต่างหาก"
ได้ฟังแล้ว อาเจ็กวัยรุ่นก็ยิ้มกริ่ม หัวเราะหึๆ มีเพียงย้งยี้ที่เห็นบทสนทนาของเด็กๆ เริ่มเลอะเทะ "นี่ เด็กๆ พูดอะไรกันน่ะ พี่เค้าเป็นผู้ชายนะ"
คราวนี้พี่สะใภ้ทั้งสองซ่อนรอยยิ้ม ส่วนอากงอาม่าก็หัวเราะฮ่าๆ "เป็นผู้ชายก็เป็นซิ้มให้ได้ จริงไหม ?"
น้ำแกงยิ่งตาเบิกถลน แทบหลุดจากเบ้า
"เหล่ากงเหล่าม่า ผู้ชายเป็นซิ้มได้ด้วยเหรอ ?"
"ได้ซี้" อากงตอบ
"ได้อยู่แล้ว" อาม่าเสริม พลางหลิ่วตาให้ทั้งน้ำแกงและฟงอวิ๋น
"ม๊าก็พูดไปเรื่อย" มารดาฟงอวิ๋นรีบเบรก โบกมือให้เด็กๆ นั่งประจำที่ "น้ำแกงทำหน้าไม่ถูกแล้ว"
พอเย้าหลานเสร็จ สองผู้เฒ่าก็เปลี่ยนไปแกล้งเหลนแทน บ่อกี้ส่ายหน้า บอกน้ำแกงค่อยๆ
"อย่าถือสาเลยนะน้ำแกง อากงอาม่าชอบพูดเล่นน่ะ"
น้ำแกงไปไม่ถูก ได้แต่ตอบรับ "คะ... ครับ"
อาหารยังคงเสิร์ฟเรื่อยๆ จนเต็มโต๊ะ น้ำแกงกินจนอิ่ม รู้สึกสนุกสนานไปกับบทสนทนาบนโต๊ะ สมาชิกทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา ไม่เหมือนที่บ้านน้ำแกงที่เงียบกริบ เพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่ชอบให้พูดทั้งๆ ที่มีข้าวอยู่ในปาก แต่ดูเหมือนที่นี่ไม่ได้เคร่งครัดอะไรเลย เด็กๆ กินหกเลอะเทอะ ผู้ใหญ่เพียงแค่ตักเตือน แล้วก็ปล่อยให้กินเอง สะใภ้ทั้งสองพูดคุยกันเบาๆ มีหันมาคุยกับคนอื่นๆ บ้าง ดุเด็กๆ บ้าง พี่ๆ ของฟงอวิ๋นก็คุยเรื่องงาน ไม่ก็หันมาชวนน้ำแกงและฟงคุยบ้าง ช่างครึกครื้นราวกับงานเทศกาล แล้วยังอาหารจำนวนมหาศาล หลากหลายชนิดอีก มื้อเช้าเรียกว่าเยอะแล้ว มื้อเย็นยิ่งอลังการ ยิ่งเยอะเข้าไปอีก ผู้ใหญ่ต่างชวนน้ำแกงกินโน่นกินนี่ไม่หยุด ทั้งคีบอาหารส่งให้ ทั้งบอกให้เติมข้าว น้ำแกงสังเกตว่า คนที่บ้านนี้คีบอาหารให้กันเป็นเรื่องปกติ แม้กระทั่งเด็กๆ ก็ยังตักเนื้อปลาหิมะนึ่งให้อากงอาม่า โดยไม่ใช้ช้อนกลาง! ทุกคนบนโต๊ะใช้ตะเกียบกันคล่องแคล่วมาก มีแต่น้ำแกงที่ใช้ช้อนอยู่คนเดียว
ระหว่างที่คิดว่าควรตักอาหารให้ผู้ใหญ่ด้วยดีไหม... เพราะน้ำแกงกลัวว่าตัวเองจะเสียมารยาทอะไรไป ฟงอวิ๋นก็ทัก
"แกง เอาส้อมไหม ?"
น้ำแกงดูถ้วยข้าวของตัวเอง หัวเราะแหะๆ รู้สึกไม่ชินเลย ทุกคนใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวกัน น้ำแกงกลับใช้ช้อนตักทีละคำๆ
"ไม่เป็นไรหรอก คงไม่ชินสินะ" คุณนายจูสังเกตเห็นพอดี "ใครก็ได้ เอาจานกับส้อมมาหน่อย"
น้ำแกงกล่าวขอบคุณ รู้สึกได้ว่า... บ้านฟงอวิ๋นนั้น ไม่เพียงแต่ยินดีต้อนรับเขา แต่ยังส่งความห่วงใยมาให้ด้วย...
มื้อนั้นนอกจากอิ่มท้องแล้ว... น้ำแกงยิ่งอิ่มใจ...
รู้สึกดีใจแทนฟงอวิ๋น ที่มีครอบครัวที่อบอุ่นเช่นนี้
และยิ่งดีใจ...
เมื่อตอนฟงอวิ๋นไปส่งที่บ้าน หลังทักทายคุณพ่อคุณแม่แล้ว ฟงอวิ๋นก็คว้าตัวน้ำแกงไว้ยามคุณนายนาถลดาเผลอ ในความมืดนั้น น้ำแกงเห็นแก้มคนตัวสูงแดงน้อยๆ
ใบหน้าตี๋ สุดแสนจืดชืดนั้นโน้มตัวลง กระซิบข้างหู "แกง... ฟง... ชอบแกง..."
พูดเสร็จ เขาก็หันหลังกลับ ขึ้นรถอย่างเงอะงะ ทิ้งไว้แต่คนงามหน้าแดงจนถึงใบหู ลามจนถึงคอ...
จนกระทั่งมารดาเรียกนั่นแหละ ถึงจะได้สติ
"แกง เข้าบ้านสิลูก เดี๋ยวก็ยุงหามหรอก"
น้ำแกงตอบรับอะไรไป... เขาจำไม่ได้แล้ว แม้กระทั่งตัวเองช่วยมารดาเลื่อนประตูมาล็อกหน้าบ้านอย่างไร ก็นึกไม่ออก...
...น้ำแกงเดินล่องลอยขึ้นบ้าน และยังคงล่องลอยไปจนเข้านอน หูได้ยินแต่คำพูดซ้ำๆ
'แกง... ฟง... ชอบแกง...'
'ฟง... ชอบแกง...''ชอบแกง...'.....
// หายไปน๊านนาน ขอโทษค่ะ