★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 24 |||★ [30/11/58] ลุงอ้าย-มิน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 24 |||★ [30/11/58] ลุงอ้าย-มิน  (อ่าน 24396 ครั้ง)

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
คิมรู้ก็ดีนะ จะได้ไม่ทำข่มลุงอ้าย ทำเหมือนตัวเองรู้จักมินดีที่สุด

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
คิมรู้ก็ดีนะ จะได้ไม่ทำข่มลุงอ้าย ทำเหมือนตัวเองรู้จักมินดีที่สุด
นางรักของนางค่ะ รอดูตอนหน้าว่าคิมจะทำอะไร

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.

๒๑

อินทัชนิ่งอยู่อย่างนั้นราวถูกสาป ชีวิตของเขาคงจบแล้ว หมดแล้วชีวิตนี้...

ในที่สุด ความลับก็ไม่มีในโลกจริงๆ

ในขณะที่ร่างกายของอินทัชเย็นยะเยือกและแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น เขาเห็นว่าแววตาของคิมหันต์เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธขึ้ง โมโห อยากจะฆ่าเขาให้ตายคามือ แน่ล่ะซี คนที่เขาทำร้ายคือน้องชายที่อีกฝ่ายสุดแสนหวงแหน ไม่โกรธคงแปลก เขาทำได้เพียงสงบสติอารมณ์ตัวเองให้มากที่สุด จากความไม่พอใจที่อศวมินทร์ทำแบบนี้ และจากความอัปยศของสิ่งที่ตัวเองเคยก่อ ชายหนุ่มยืนนิ่งราวรอให้โลกทั้งใบและทุกคนรุมประณามความเลวของตัวเอง

“คุณ กับมิน...” คิมหันต์ลากเสียง มือหนากำไว้แนบแน่นเมื่อนึกถึงสีหน้าของอินทัชที่แล้วมา เสแสร้งว่าตัวเองไม่มีความเกี่ยวข้องกับน้องชายเขาได้อย่างแนบเนียน มิน่าล่ะ อศวมินทร์ถึงได้โกรธและเกลียดมากมายขนาดนั้นในวันที่รู้ความจริง เพราะอย่างนี้นี่เอง

“ไอ้สารเลว!”

ชายหนุ่มพุ่งเข้ากระชากคอเสื้อของคนตรงหน้าไว้แน่น หวังจะเหวี่ยงหมัดซัดให้เต็มแรงสมกับความผิดที่ที่อีกฝ่ายได้ทำ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างที่คาด ข้อมือคนโกรธถูกดึงรั้งไว้ เป็นอศวมินทร์ที่แสดงถึงความไม่พอใจเมื่อเขาคิดจะทำแบบนั้น “ออกไป นี่มันเรื่องของกูกับลุงอ้ายแค่สองคน มึงอย่ามายุ่ง”

“มินทำแบบนี้ได้ไง ปล่อยพี่ พี่จะฆ่ามัน!”

“พอ!” อศวมินทร์ตะโกนเต็มเสียงอย่างสุดทน มือหนาผลักร่างของพี่ชายออกสุดแรง ทำเอาคนถูกปรามถึงกับกำหมัดไว้แน่น “ทำไมต้องปกป้องมันด้วย ถึงมันจะไม่มีอะไรกับแม่แต่มันทำมินขนาดนี้...”

“แล้วยังไง”

“มันสารเลวทั้งที่รู้ว่ามินเป็นใครแต่ยังจะทำ”

“มึงก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาหรอก เพราะมึงไงชีวิตกูถึงต้องเป็นแบบนี้ เลิกยุ่งเรื่องของกูกับลุงอ้ายอีกเข้าใจไหม!”

“ไม่! พี่จะเอามินคืนมา ไหนบอกว่ารักพี่คนเดียวไง!” คิมหันต์กัดฟันกรอดมองน้องชายตัวเอง รับไม่ได้ที่ทุกอย่างพลิกผันไปอย่างไม่น่าเชื่อ ดวงตาสองคู่จับจ้องกันเขม็ง พร้อมลมหายใจรุนแรงของทั้งสองฝ่ายกับอารมณ์ที่ประทุขึ้นอย่างดุเดือด

“กูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่ามันจบไปแล้ว” ฝ่ายน้องชายตอบและย้อนถามไปในประโยคเดียวกัน ซึ่งนั่นได้สร้างความไม่พอใจแก่คิมหันต์ ชายหนุ่มปรายตามองอินทัชอย่างไม่เก็บซ่อนความรู้สึกอีกต่อไป ทั้งโกรธและแค้นอย่างไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยืนมอง

“แล้วสำหรับมันล่ะ จบหรือยัง...”

ในขณะที่กล่าวกับอศวมินทร์ ดวงตาของคิมหันต์ยังไม่ละจากคู่กรณี ชายหนุ่มได้เห็นว่าสีหน้าของอินทัชเปลี่ยนไปเมื่อน้องชายเขาถูกย้อนถามเช่นนั้น

แน่แล้ว อินทัชไม่เข้าใจทุกอย่างที่สองคนตรงหน้าได้โต้ตอบกัน ชายหนุ่มนิ่งมองสลับไปมาระหว่างอศวมินทร์และคิมหันต์ ก่อนจะชะงักเมื่อมือหนาของลูกเลี้ยงคนเล็กเลือกที่จะคว้าหมับข้อมือเขา อศวมินทร์พาอินทัชเดินละออกมาแทนการตอบคำถาม ชายหนุ่มงุนงง จากที่ตกใจ โมโห และอารมณ์อีกหลายอย่างในสมองนั้นต่างผสมปนเปกันไปหมด กลายเป็นว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออกนอกจากสาวเท้าเดินตามเด็กหนุ่มตรงหน้า

“หมายความว่ายังไง เธอกับคิมหันต์...” อินทัชยื้อแขนในขณะสาวเท้าตามหลัง เห็นว่าเด็กที่เป็นฝ่ายชักจูงกำลังกระแทกเท้าตามอารมณ์ ตอนนี้เหมือนเขาเป็นฝ่ายถูกโมโหเองเสียนี่ เขาตามไม่ทัน อินทัชค่อนข้างไม่เข้าใจอารมณ์เด็กสมัยนี้เสียเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาแค่กังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคิมหันต์ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาอศวมินทร์แล้ว หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร

แต่สิ่งที่คิมหันต์กล่าวมันไม่จางหายไปจากหัวเลยสักนิด “นี่ ที่พี่ชายเธอพูดน่ะ”

“ผมไม่อยากพูดเรื่องนี้ เงียบไปซะ”

“ได้ งั้นปล่อยแขนฉัน เราแยกกันตรงนี้แหละ” อินทัชดึงแขน ทั้งคู่หยุดอยู่หน้าประตูห้องหนึ่งภายในชั้นสองของบ้าน เมื่อได้รับอิสระแล้ว อินทัชตั้งใจจะเดินออกไปที่ไหนสักแห่งอย่างที่ได้พูด แต่ในขณะที่จะเดินไปนั้น ชายหนุ่มจำต้องชะงักขาตัวเอง ดวงตางุดลงมองมือหนาที่กุมกันไว้แน่นบนหน้าท้อง ใจเต้นระทึกยามอีกฝ่ายมอบกอดให้แก่เขาจากด้านหลัง อินทัชนิ่ง ปรับสีหน้าอยู่ครู่เพื่อมิให้อศวมินทร์เห็น

“ทำแบบนี้ทำไม”

ชายหนุ่มแกะมือนั้นออก แต่ดูเหมือนเด็กน้อยด้านหลังจะไม่ค่อยยินยอมเท่าไรนัก เขาพยายามที่จะแก้มัดแรงมนุษย์สุดกำลัง ครั้นมันหลุดออก อินทัชหันไปสบตาคนเอาแต่ใจด้านหลังอย่างนึกพาลกับความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย ทำให้เขาเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างเต็มตาว่ามัวหมองถึงเพียงไหน

แต่เขาเองก็ต้องทำ ต้องปกป้องความรู้สึกตัวเองให้มากกว่านี้ ชายหนุ่มส่ายหน้า “อย่าทำแบบนี้อีกเลยนะมิน เธอก็รู้ว่าฉันจะไม่มีทางหลงไปกับวิธีอะไรต่างๆ นานา ของเธออีกต่อไปแล้ว มันไม่ได้ผลหรอก ฉันไม่โง่ซ้ำสอง ฉันไม่เชื่อเธออีกต่อไปแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเบา จ้องตาอศวมินทร์เพื่ออธิบายความจริงที่รู้สึกตอนนี้

“อย่าพยายามคิดทำให้ฉันเจ็บปวดอีกเลย พอ...” เขาเหนื่อย เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะเจออะไรอีกต่อไปในอนาคต ในตอนนี้ชายหนุ่มมีแต่ความหวาดกลัว หวาดระแวง อีกฝ่ายอาจทำด้วยใจจริงหรือทำด้วยเล่ห์ก็ต่างมีโอกาสทั้งสองทาง เขาไม่อยากหลงเชื่อกับการกระทำของอศวมินทร์ เพราะคนที่จะต้องเจ็บปวดก็คือตัวเอง ชายหนุ่มมองสีหน้าของผู้รับฟังซึ่งเปลี่ยนไปหลังได้ยินประโยคนี้

อศวมินทร์นิ่ง จ้องตาเขาอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังประหลาดใจ ตกใจ สิ้นหวัง หรืออะไรเทือกนั้น

แต่เขาก่อกำแพงได้สำเร็จแล้ว การไม่ตอบรับคือสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้

“ลุงอ้าย คุณ...ร้องไห้ทำไม”

อินทัชชะงัก ความร้อนวูบวิ่งพล่านบนใบหน้าแทบทันที ชายหนุ่มปรับสีหน้าเมื่อคนบอกจ้องเขาตาไม่กะพริบ ยืนตัวแข็งมองอยู่อย่างนั้นไม่วางตา เขาจะบอกอย่างไรว่าตัวเองไม่ได้ร้องไห้ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ชายหนุ่มแตะสิ่งเย็นเยียบที่ปลายคางตนเอง เป็นหยดน้ำที่รินไหลอาบลงมาจากดวงตา วินาทีที่เห็นหลักฐานบนปลายนิ้วมือเขาอึกอัก แน่นิ่งไปครู่หนึ่ง พูดไม่ออกว่ารู้สึกยังไง รู้เพียงแค่อยากอธิบายให้อศวมินทร์เข้าใจว่าเขาไม่ได้เจ็บปวด เขาไม่ได้กลัว เขาไม่ได้กำลังจะระเบิดหรือคลั่งอย่างคนบ้า แต่เพราะความจริงมันถูกทั้งหมด นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาพูดออกไปไม่ได้ยังไงเล่า

“ฉัน...”

ไม่อาจบอกใครได้ว่าภายในก้นบึ้งของหัวใจเขานั้น ไม่อยากพูดประโยคใดๆ ทำร้ายจิตใจใคร ไม่อยากเป็นผู้ร้าย ไม่อยากเป็นคนไร้ความรู้สึก ตั้งแต่วันที่ถูกคนรักทรยศหักหลัง การที่เขาเป็นดีและอ่อนแอก็ไม่มีความหมาย เขาเปลี่ยนตัวเอง เป็นคนเงียบขรึมและพูดจริงทำจริง เป็นคนที่มีเมตตาและเด็ดเดี่ยวในเวลาเดียวกัน รับรู้เสมอว่าการทำแบบนี้มันยาก แต่หากจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมันก็ช่วยไม่ได้

เขาจำต้องทำเป็นว่าเข้มแข็ง ทำเป็นไม่เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากรับรู้ว่าคนรักและเพื่อนรักของเขามีลูกด้วยกันทั้งๆ ที่ยังไม่ทันเลิกกับเขา และลูกคนนั้นที่เติบโตมาได้ยืนอยู่ตรงหน้า เอื้อมมือมาปาดน้ำตาให้เขาตอนนี้

อินทัชรักปรางคณาง รักมากที่สุด เขาตอบความจริงในวันที่อศวมินทร์เค้นถาม อินทัชรักหล่อน ปรางคณางคือผู้หญิงคนเดียวที่เขาเคยรัก เขาจึงไม่สามารถปฏิเสธที่จะช่วยเธอได้ เพราะว่ารักยังไงเล่า...เขารัก และห่วงใยความรู้สึกของเธอ ถึงยอมให้อศวมินทร์ทำอะไรกับตัวเขาก็ได้

ชายหนุ่มไม่อยากเจ็บปวดซ้ำสอง อศวมินทร์ในวัยสองขวบเรียกเขาว่าลุงอ้ายด้วยเสียงน่ารัก อดีตคนรักและเพื่อนรักอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ชายหนุ่มเหมือนถูกมีดแทงกลางอกซ้ำๆ ยามเห็นแววตาไร้เดียงสาของเด็กน้อย เลือกบินหนีความจริงไปเรียนต่อเมืองนอก หายไปจากชีวิตปรางคณางอยู่หลายปี จนทำใจได้ และมีรักครั้งใหม่ แต่ดูเหมือนจะไปได้ไม่ดีพอเท่าที่ควรนัก เขาจึงเลือกหนีปัญหาด้วยการกลับมาที่นี่อีกครั้ง และไม่รักใครอีกเลย...

จนได้พบเด็กคนนี้ คนที่เขาคิดว่าไม่น่าเลย

อินทัชสูดลมหายใจเอาพลังคืนสู่ร่าง ปัดเอาภาพในอดีตของตัวเองออกไป มองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่มองเขาด้วยแววใดแววหนึ่ง ตลก หรือสะใจ ชายหนุ่มระบายหัวเราะขำตัวเองเช่นกัน มองสีหน้าประหลาดใจของคนตรงหน้าก่อนจะถอยร่างออกห่าง “...ฉันแค่กลัวและตกใจ ในที่สุดก็มีคนรู้เรื่องฉันกับเธอ”

“ลุงอ้าย” เด็กตรงหน้ามุ่นคิ้วเอื้อมมือมาจับแขนเขา ชายหนุ่มหันกายมาผ่อนปรนลมหายใจที่จู่ๆ ก็ติดขัดขึ้นมา ไม่ให้อศวมินทร์เห็นสีหน้ายามนี้เด็ดขาด เขามาไกลเกินกว่าจะถอยกลับ

“คุณกลัวคนเขารู้เรื่องเรามากขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไม! คุณอายเหรอ!”

อินทัชรู้สึกมึนหัวขึ้นมา ชายหนุ่มหันหลังให้คนที่กำลังกุมแขนเขาไว้แน่นจนเจ็บปลาบ มือหนาของอศวมินทร์เขย่าร่างเขาให้หันไปตอบ ชายหนุ่มไม่อาจหันไปบอกความรู้สึกจริงๆ อันเป็นการเบิกทางให้อีกฝ่ายโจมตีโดยง่าย เขาพอแล้ว...“เลิกยุ่งกับฉัน ถ้ารู้อย่างนั้นแล้วก็เลิกยุ่งกับฉัน ออกไป!”

“ลุงอ้าย เป็นอะไรอีกวะ!”

อินทัชเข่าทรุด ผลักมือของอีกฝ่ายออกจากร่างกายตนเอง ภาพเบื้องหน้าเกิดพร่าเลือนไปในฉับพลันหลังจากเข่าทั้งสองข้างกระทบกับพื้น ร่างกายล้มลงนอนนิ่งอย่างไม่สามารถบังคับได้ สมองเขาราวถูกคนบีบไว้แน่น หยุดอยู่เพียงแค่นั้น แค่ภาพของอศวมินทร์ที่กำลังกุมใบหน้า ร้องเรียกสติให้เขาลุกขึ้นตื่นยังฉายอยู่ แต่ไม่เลย อินทัชควบคุมร่างกายไม่ได้ ทุกอย่างเริ่มเลือนราง ทั้งภาพใบหน้าหล่อเหลา และน้ำเสียงตื่นตระหนกนั้นจางหายไปอย่างเนิบช้า...

มีเพียงความมืดมิดโอบล้อม
 

เสียงหยาดน้ำไหลตกจากผืนผ้าสีขาวสะอ้านยามถูกบิดตกกระทบลงอ่างดังเปาะแปะ ครู่ใหญ่แล้วที่คนเฝ้าพยายามหันรีหันขวางหยิบโน่นหยิบนี่มาทำ ขณะนี้มือหนากำลังง่วนแก่การบิดผ้าให้หมาด ก่อนจะหยิบขึ้นไปวางบนหน้าผากผู้ป่วยด้วยหวังให้หายดี อินทัชเป็นลมไปครู่ใหญ่แล้ว อศวมินทร์มุ่นคิ้ว ตอนนี้ไม่ใช่ว่าไม่สบายเสียหน่อย ไม่จำเป็นต้องลดอุณหภูมิร่างกายลงสักนิด แต่อศวมินทร์ทำอะไรให้ใครไม่เป็นสักอย่าง นอกจากนั่งมอง

“นี่ยาดมค่ะ น้องมินช่วยคุณอ้ายหน่อย เดี๋ยวป้าจะไปต้มข้าวต้มร้อนๆ มาไว้ให้ พักนี้เธอไม่ได้เจริญอาหารก็เลยดูเพลียหน่อย” พินยื่นให้พร้อมแจง ซึ่งผู้รับมาถือก็เพียงเงียบฟังและเอื้อมไปขยับใกล้จมูกไปมาอย่างรู้อยู่บ้าง

“หลังจากนี้ก็อย่าดื้อให้มากนักนะคะ เห็นใจคุณอ้ายเธอหน่อย”

“ผมเปล่านะ เขาไม่จำเป็นต้องมาเดือดร้อนอะไรกับผมนี่” เด็กหนุ่มหันไปย้อน

“เฮ้อ ป้าไม่อยากจะเถียงกับน้องมินหรอก แต่คุณอ้ายเธออุตส่าห์ประคับประคองทั้งหมดมาให้ ป้าเห็นเธอเครียดทุกวันกับงานก็มาก ไหนจะเรื่องอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายทำให้ถึงกับทานข้าวไม่ลง พักผ่อนไม่ได้ โดยเฉพาะช่วงนี้หนักเหลือเกิน เธอไม่ใช่หุ่นยนต์นะคะที่จะทนได้ทุกสถานการณ์” พินอดที่จะบอกไม่ได้ นางจำได้ว่าตนมองอินทัชอยู่หลายครั้งกับสีหน้าแห่งความทุกข์ระทมนั้น

หุ่นยนต์หรือ...

พินเดินจากไปแล้วหลังจากกล่าวจบ หลงเหลือเพียงแค่ความจริงที่นางบอกไว้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ในสิ่งที่เขาคิด อินทัชไม่ใช่หุ่นยนต์ แล้วอะไรที่ทำให้จิตใจของอินทัชด้านชาถึงเพียงนั้น อะไร...

เด็กหนุ่มหันไปสบมองคนป่วยที่เรียบสนิทไร้การแต่งแต้มสีหน้า เคลื่อนอีกมือไปสัมผัสเส้นผมและผิวแก้มอย่างเชื่องช้า ไม่ทราบว่านานเท่าใดที่อศวมินทร์ใช้สายตาละเลียดมองความผิดแปลกของชายตรงหน้า แม้จะยังดูหล่อเหลา แม้จะยังดูสมบูรณ์แบบราวรูปปั้นที่จิตกรตั้งใจสร้างที่สุด แต่ขาดอยู่สิ่งหนึ่งคือความมีชีวิตชีวาที่เขาเคยเห็น เด็กหนุ่มเพิ่งหวนมานึกได้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่มันหายไป บนสีหน้าของชายคนนี้ไม่มีสิ่งนั้นหลงเหลืออยู่เลย

อศวมินทร์ถอนหายใจเต็มปอดที่มี หันไปกุมหน้าและทุบศีรษะตัวเองให้เลิกครุ่นคิดเกี่ยวกับอินทัชสักที ร่างกายสูงใหญ่ลุกขึ้นไปเดินวนรอบเตียงนอนภายในห้องพักผู้ป่วยเรียกสมาธิ สั่งการตัวเองให้เดินออกจากที่นี่ไปเสีย หากไม่กวาดตาไปพบกับสิ่งหนึ่งซึ่งวางอยู่บนโต๊ะโคมไฟ อศวมินทร์ดิ่งไปหยิบขึ้นมาพิศ ไล่อ่านตามหลอดยาอะไรสักอย่างเพื่อดูสรรพคุณ

ความรู้สึกต่างๆ นานา วิ่งเข้าสมองของเขาราวกับค้อนปอนด์ทุบลงย้ำซ้ำหลายครั้ง เมื่อทราบในที่สุดว่ามันคือยาทาสำหรับคนที่แพ้ฝุ่น ดวงตาเขาเหลือบไปมองร่างบนเตียงอีกครั้งและอีกครั้ง ทานความต้องการของตัวเองที่อยากขยับเข้าไปใกล้ไม่ไหว ท้ายสุดจำต้องเดินไปทรุดนั่งร่วมเตียงกับคนไร้สติที่เดิมอีกครั้ง จ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายนิ่ง

“บ้าเอ๊ย...” อดที่จะสบถไม่ได้

บริสุทธิ์ใจจริงๆ ใช่ไหมลุงอ้าย เด็กหนุ่มเพียรถามอย่างนั้นกับตัวเองอย่างซ้ำๆ ราวต้องการให้อีกฝ่ายตื่นมาพยักหน้ารับ อศวมินทร์ทราบดีอยู่แล้วว่าคงเป็นไปได้ยาก แต่ยามนี้ดีแล้วที่ปล่อยให้อินทัชได้พักผ่อน แม้มือไม้ตัวเองเทียวรบกวนด้วยการแตะตรงนั้นทีตรงนี้ทีบนร่างกายอีกฝ่าย เขาห้ามตัวเองไม่ได้ เด็กหนุ่มครุ่นคิดทั้งเคลื่อนมือไปสัมผัสปลายจมูกคนป่วย ขยับไล้ขนคิ้วดกดำตรงหน้า และโน้มลงไปแนบจูบกับริมฝีปากแห้งผากนั้นอย่างอ่อนแผ่ว

เด็กหนุ่มซึมซาบรสจูบนั้นอยู่นานด้วยคิดว่าจะรบกวนเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจะปล่อยให้พักผ่อน เพียงแต่จะเอาให้หนำใจกับการขอครั้งที่แล้วและคนตรงหน้าไม่ยอมเท่านั้น ซึ่งหลังจากผละมาสบมองใบหน้าชวนหลงใหลในระยะที่พึงพอใจ แน่นอนว่าเขาเลือกที่จะฝังริมฝีปากลงไปซ้ำอีกครั้ง บดคลึงเค้นเอาความหอมหวานมาให้ตัวเองอย่างเอาแต่ใจ เนิ่นนานเสียจนอิ่มเอม อศวมินทร์ผละมาค้ำมือกับพื้นเตียงพิศมองอยู่เช่นนั้นหลายนาที

หากเขาไม่ไปจากที่นี่ตั้งแต่ตอนนี้ คงอดใจไม่ไหวแน่

อศวมินทร์ส่ายหน้า สัมผัสที่ริมฝีปากคุณลุงด้วยปลายนิ้วหัวแม่มืออย่างอ่อนแผ่ว มันนุ่ม อินทัชเป็นคนที่มีรูปปากสวย หลอกล่อให้ใครต่อใครอยากจะจุมพิตลิ้มลองกับความงามตรงหน้า คงมีหลายคนที่ได้พูดคุยด้วยแต่มักมองคนๆ นี้ที่ริมฝีปากแทนที่จะเป็นดวงตา อย่างเขา

คนมองก้มลงไปแนบปากอีกครั้ง จาบจ้วงเอาความพึงพอใจอย่างร้อนแรงเอาแต่ใจราวกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่นมาขัดขืน แต่เมื่อคิดว่าไม่มีทาง ความรุนแรงก็ลดลง หลงเหลือเพียงความอ่อนโยนที่เจ้าตัวไม่อาจได้รับในยามมีสติ มือหนาเคลื่อนไล้เรือนผมคนตรงหน้าหลังจากผละมาสบมอง กี่ครั้งแล้วที่จูบอินทัชไป เขาไม่สนใจ เด็กหนุ่มกลั้นใจลุกขึ้นยืน หมุนกายย่างเท้าไปยังประตูเพื่อให้อินทัชได้พักผ่อนสักที

ในขณะที่กำลังเปิดประตูจะออกไปด้านนอกแล้วแท้ๆ ในหัวของอศวมินทร์กลับอื้ออึงไปด้วยประโยคที่ว่า ‘ขอครั้งสุดท้ายเถอะน่า แล้วจะไปจริงๆ’ เด็กหนุ่มยกมือกุมขมับ หันไปมองคนนอนหลับตาทั้งถอนใจ พ่ายแพ้กับความต้องการอีกที

“ครั้งสุดท้ายจริงๆ”

ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาย้ำตัวเองเช่นนั้น แต่เด็กหนุ่มมุ่งหน้าไปทรุดกายบนเตียงข้างคนป่วยอย่างรู้จุดหมายตัวเองแน่วแน่ ช่างเป็นจุดหมายที่ชวนอับอายเสียยิ่งกว่าอะไร เกินกว่าใครจะเห็นได้ อศวมินทร์เพ่งมองใบหน้าเรียบนิ่งอยู่ครู่ ซึมซับความอยากของตัวเองก้มลงจูบอีกฝ่ายอีกครั้ง...

มันทำให้เด็กหนุ่มรู้อะไรหลายๆ อย่าง หากเขาอยากเห็นอินทัชแสดงความรู้สึกอีกครั้ง อศวมินทร์ไม่จำเป็นต้องพูดจารุนแรง ข่มขู่ หรือทำร้ายอีกฝ่ายให้เจ็บปวด ยังมีหนทางอื่นอีกมากมาย เพราะนอกจากความสะใจแล้วเขาก็ไม่ได้อะไรตอบกลับมาเลย

เพียงเล็กน้อย เขากลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังโตขึ้นมากับความเจ็บปวด เขาจะทำลายชีวิตตัวเองเพียงเพราะโกรธแค้นใครไปทำไม เพราะคนที่จะไม่มีที่ไป ถูกใครต่อใครเหยียบย่ำศักดิ์ศรีในท้ายที่สุดก็คือ ‘เขาเอง...’

เด็กหนุ่มเข้าไปในห้องพักตัวเองหลังจากคิดได้ มือหนาเอื้อมไปเปิดผ้าม่านที่ปิดสนิทมานานนับปีให้แสงสว่างสาดถึง ภาพครอบครัวที่ถูกคว่ำทิ้งไว้ถูกยกขึ้นตั้ง ปรากฏรอยยิ้มของบิดามารดาที่ส่งให้ราวกับพวกเขารับรู้ ว่าตอนนี้ลูกชายคนนี้กำลังจะเดินไปในทิศทางใด อศวมินทร์ส่งยิ้มให้ทั้งสองอยู่ครู่ด้วยความเต็มตื้นในอก รอยยิ้มที่นานมาแล้วที่มันเหือดหายไป ยิ้มที่ไร้ความฝืน เด็กหนุ่มเดินออกไปยังหน้าต่าง เปิดรับลมและนิ่งมองภาพเบื้องหน้าตนเองอยู่อย่างนั้น

เขานึกถึงความผิดพลาดที่ตัวเองก่อ และควรคิดว่าโตพอที่จะเลิกทำแบบนั้นกับอินทัชสักที ควรเปลี่ยนได้แล้ว...


******************************

นุ้งมิน หนูยังไหวอยู่รึเปล่าคะลูก ชักจะสับสนมาก

แต่ความหื่นไม่ลดลงเลยนะคะลูก ไม่ว่าจะปกติรึไม่ก็ตาม 5555 นางสูบลุงอ้ายไปเยอะ

นอกจากตอนนี้ไป ตอนหน้าก็จะไม่มีความเครียดแล้ว โมเม้นอะไรสักอย่างก็เพิ่มขึ้น พร้อมกับความก้าวหน้าของน้องตอนตัดสินใจ มาก้าวเดินไปพร้อมกันนะคะ มาดูความสำเร็จของนางกับความสำเร็จของหนูนาด้วย อิอิ

เรื่องคิมหันต์ก็อาจจะมีมาบางตอนให้ปวดตับบ้าง แต่ไม่มาก หลังๆ จะผ่อนคลายเสียส่วนใหญ่ค่ะ
 
 

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
มินทร์เลิกดื้อซะทีก็ดี สงสารลุงอ้าย ส่วนคิมหันต์เอานางไปทิ้งทะเลเลยได้มั้ย  :pig4:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
จะว่าอะไรมั้ยถ้าเราบอกว่าเราสงสารคิมหันต์แต่ก็อย่างว่าแหล่ะทำตัวเองนี่ก็ต้องรับกรรมไปเพราะความขี้ขลาดของตัวเองที่ไม่ยอมรับตั้งแต่ตอนแรกเลยทำให้เรื่องเป็นแบบนี้

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
หลงมาอ่านเล่นเอาดราม่าปวดตับปวดไตกันไปทีเดียว แต่เลิกอ่านไม่ได้อยากรู้ต่อไปเรื่อยๆ
คนแต่งวางยาเราแน่ๆ ปกติเราไม่ชอบดราม่าเท่าไหร่ โฮฮฮฮฮฮฮฮ
รออ่านต่อไปจ้าอยากรู้บทสรุปของเรื่องราว

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
จะว่าอะไรมั้ยถ้าเราบอกว่าเราสงสารคิมหันต์แต่ก็อย่างว่าแหล่ะทำตัวเองนี่ก็ต้องรับกรรมไปเพราะความขี้ขลาดของตัวเองที่ไม่ยอมรับตั้งแต่ตอนแรกเลยทำให้เรื่องเป็นแบบนี้
ถ้าทำความเข้าใจ ตัวละครทุกตัวมีที่มาและมีหลายมิตินะคะ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
หลงมาอ่านเล่นเอาดราม่าปวดตับปวดไตกันไปทีเดียว แต่เลิกอ่านไม่ได้อยากรู้ต่อไปเรื่อยๆ
คนแต่งวางยาเราแน่ๆ ปกติเราไม่ชอบดราม่าเท่าไหร่ โฮฮฮฮฮฮฮฮ
รออ่านต่อไปจ้าอยากรู้บทสรุปของเรื่องราว
ดราม่าก็จริง แต่ไม่ bad end เน้อออ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๒๒

แสงจากดวงอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้าสาดผ่านหน้าต่างเป็นสีส้มแสดชวนให้แสบตา ภายในห้องพักของผู้ป่วยอยู่ในโทนขาวสะอ้านบัดนี้ร้อนระอุแปรเปลี่ยนมาเป็นสีแดงส้ม เจ้าของนัยน์ตาซึ่งหลับสนิทเบี่ยงกายนอนตะแคงยามรู้สึกตัว ความรู้สึกแรกคือปวดเมื่อยตามสรรพางค์จากการนอนอยู่ท่าเดียว ชายหนุ่มมุ่นคิ้วยกลำแขนมาพาดหน้าผากราวกับความคิดในตอนนี้หนักอึ้งเมื่อได้สติ

เรื่องก่อนหน้ามันเกิดขึ้นเร็วมาก ทั้งเรื่องที่คิมหันต์รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอศวมินทร์ ทั้งเรื่องที่ตัวเองอ่อนแอต่อหน้าเด็กคนนั้น ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังกับตนเองเสียจริง

เขาได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง เสียงนาฬิกาเดิน เสียงเครื่องปรับอากาศกำลังทำงานของมัน นอกจากนั้นก็เป็นเสียงคนเคาะแล้วเปิดประตู อินทัชหันไปมองด้วยใคร่ทราบว่าเป็นใครทั้งๆ ที่ยังนอนติดเตียงเช่นนั้น และรู้สึกอุ่นใจที่เห็นว่าเป็นพิน

“โอ้ ดีใจจริงคุณฟื้นขึ้นมาแล้ว หลับไปนานเลยค่ะ” พินยกยิ้มพลางเดินเข้ามา “อิฉันทำข้าวต้มร้อนๆ มาให้ทาน จะได้มีแรง ทานสักหน่อยนะคะคุณอ้าย”

นางไม่ได้เล่าว่าใครเป็นคนพาอินทัชเข้าไปมาในห้องพัก ไม่ได้บอกว่าอศวมินทร์เป็นคนคอยช่วยนางดูแลคนป่วยขณะไม่มีสติสัมปชัญญะ เจ้าตัวก็ไม่ได้ตั้งหน้าจะถามไถ่ บางทีอินทัชทราบแล้วอยู่ในใจแต่ไม่อยากกล่าวถึงก็อาจเป็นได้ ใครก็ไม่สามารถเดาใจของเจ้านายคนนี้ได้ทั้งนั้น

ดูเหมือนอินทัชจะเป็นคนจำพวกปากแข็งแต่ใจอ่อน พูดจริงทำจริง และเป็นคนที่ค่อนข้างคิดอยู่ในใจมากกว่าการพูดออกมาอย่างซื่อตรงกับความรู้สึก คงคิดว่าไม่จำเป็นที่จะพูดมากกว่ากระมัง พินทอดถอนใจขณะมองเจ้านายทานเมื้อเย็น สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เอร็ดอร่อยอย่างที่ควร นางจะทำอย่างไรดีกับอาการเบื่ออาหารของเจ้านายตอนนี้ จะมีวิธีแก้อย่างไร

พินปิดประตูหลังจากเดินออกมา ส่ายหน้าอย่างไม่ไหว ในขณะนั้นหางตาเหลือบไปพบเข้ากับอศวมินทร์พอดี เด็กหนุ่มเห็นสีหน้าของแม่บ้านเก่าแก่ที่ดูกังวลและไม่ค่อยสู้ดีนัก “มีอะไรหรือเปล่าป้าพิน ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” คนเห็นสอบถาม ทั้งดวงตาชำเลืองไปยังประตูแม้รู้ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถมองทะลุเข้าไปข้างในได้

“ก็คุณอ้ายน่ะสิคะไม่ยอมทานอีกแล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคงแย่แน่” พินก้มลงมองชามข้าวต้มในมืออย่างหนักใจกับสิ่งที่ครุ่นคิด นึกเป็นห่วงเจ้านาย ไม่ทันได้เห็นสีหน้าของคนรับฟังในขณะนั้นยามหันไปมองประตูห้องของคนถูกกล่าวถึง สีหน้าที่ยากนักที่จะแสดงออกมา
 

อินทัชนอนลืมตาอยู่อย่างนั้นหลังจากทานอาหารเข้าไปได้เพียงน้อยนิด นัยน์ตาคมว่างเปล่า ไม่มีจุดเพ่งมองเป็นพิเศษไปที่ใดสักที่รอบห้องพัก ภายในหัวของชายหนุ่มอื้ออึงไปด้วยประโยควนซ้ำของใครสักคนอยู่อย่างนั้น ขณะที่นาฬิกาตัวเดิมกำลังเดิน เสียงของมันยังแทรกเข้ามาได้ในความคิด บอกให้ชายหนุ่มทราบดีว่าแม้ตนกำลังจมอยู่กับอะไรสักอย่างนั้น เวลามันไม่เคยคอยท่าเขาเลยสักนิด อินทัชพ่นลมหายใจแหงนมองเจ้านาฬิกาตัวนั้นซึ่งแขวนอยู่บนผนังอย่างนึกขอบคุณ

ขอบคุณที่สอนสั่งเขา เรียกให้เขาได้กลับมาที่ตนเองอีกครั้ง

ระหว่างที่กำลังนอนก่ายหน้าผากจมกับความคิดสักอย่าง เสียงประตูเปิดโดยไร้การเคาะก็ดังขึ้นมา แม้เขาจะย้ำเตือนแม่บ้านอยู่เสมอว่าควรทำอย่างไร ชายหนุ่มมุ่นคิ้วกะจะต่อว่าเสียให้หลาบจำ แต่ตนกลับต้องเบิกตาเพราะมิใช่อย่างที่คิดไว้

“ตื่นแล้วเหรอ” คนถามย่างเท้าเดินเข้ามาเรื่อยพร้อมสีหน้าเรียบปกติ อินทัชรีบลุกขึ้นนั่ง ค่อนข้างไม่เข้าใจ เมื่อชายคนนั้นทรุดกายนั่งบนเตียงเดียวกันพร้อมวางถาดอาหารเมื่อครู่ลงอยู่ใกล้ “ป้าพินบอกว่าคุณดื้อมาก อย่างกับเด็กสองสามขวบไม่ยอมกินข้าวแหนะ”

อีกฝ่ายเปรยพลางจับช้อนคนอาหารในชามข้าวซึ่งมีไออุ่นลอยขึ้นส่งกลิ่นหอม แต่อินทัชยังไม่รู้สึกอยากอยู่ดี ชายหนุ่มก้มลงมองมือหนาบัดนี้มีร่องรอยถลอกจากการกระแทก กำลังตักข้าวต้มขึ้นแล้วเป่าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมาให้อย่างไม่บอกไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น อินทัชนิ่ง มองหน้าอศวมินทร์ด้วยความไม่เข้าใจนัยยะของอีกฝ่าย ต้องการอะไรจึงทำอย่างนี้ต่อเขากัน ชายหนุ่มครุ่นคิด

“เอ้านี่ กินสิ” เด็กหนุ่มบอกพลางทิ่มปลายช้อนแนบไปกับริมฝีปากผู้ป่วยต้องการเย้า ดูเหมือนจะขึ้นเสียด้วย อินทัชมุ่นคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ สนเท่ห์และแสดงความไม่ชอบใจอยู่ในที ช่วงวินาทีหนึ่งรอยยิ้มได้ปรากฏบนใบหน้าคนแกล้งอย่างอดไม่ไหว คนป่วยส่ายหน้าน้อยๆ ดันมือของอศวมินทร์ออกห่าง “ฉันกินแล้ว ตอนนี้อยากจะพัก”

“ไม่ได้ ต้องกินให้หมดชามนี้ผมถึงจะอนุญาตให้นอนได้”

“พอเถอะน่ามิน” อินทัชส่ายศีรษะอีกครั้งราวกับเหน็ดเหนื่อยที่จะโต้เถียงหรือรบราด้วย ชายหนุ่มทอดถอนใจหันหน้าหนี ซึ่งในขณะนั้นอีกฝ่ายราวกับไม่สนสักนิดว่าเขาจะรู้สึกยังไง จับใบหน้าชายหนุ่มไว้แน่นและจ่อช้อนที่ริมฝีปากบอกว่า “ผมไม่ได้พูดเล่นนะ อ้าปาก...”

“ฉันไม่...” ยามจะพูดโต้กลับกลับเป็นช้อนที่ยัดเข้ามาแทนที่ อินทัชผงะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทั้งผะอืดผะอมอยู่ในที เมื่อเห็นสีหน้าของคนทำราวต้องการขู่บังคับให้ยอมรับสิ่งนี้ ชายหนุ่มถอนใจจำต้องยอมแต่โดยดี บาดแผลการสู้รบครั้งนี้จบด้วยรอยยิ้มพอใจของคนป้อน ยามมองเขาเคี้ยวอาหารในปากด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก

เด็กหนุ่มต้องการอะไรจากเขากัน “ฉันก็อยากจะพูดจริงๆ เหมือนกันนะว่าไม่ พอแล้วมิน...”

“เงียบแล้วกินไปเลย คุณก็อายุจนป่านนี้แล้วทำไมถึงยังพูดไม่รู้เรื่องกัน” คนบอกยื่นมือมาป้อนอีกครั้ง อินทัชทำได้เพียงมองสีหน้าของคนกล่าวในยามกระทำ หรือก้มหน้าก้มตากำลังบ่นเขาอย่างจริงจัง อศวมินทร์ดูเหมือนจะอายุมากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำในเวลานี้ ราวกับคนแก่กำลังสอนลูกชายตัวเองที่กำลังดื้อ อินทัชทำได้เพียงอ้าปากรับอย่างเงียบเชียบ

อศวมินทร์ดูแปลกไป

“ผมจะไม่กวนคุณเลยถ้ากินอย่างนี้ไปเงียบๆ ไม่ดื้อหรือเรื่องมาก กินจนหมดแล้วผมจะให้นอนต่อ”

“ฉันรู้น่า” อินทัชตอบ เอื้อมมือไปหยิบช้อนในมืออีกฝ่ายทั้งมุ่นคิ้ว ทำราวกับตัวเองเป็นเด็กสาวเอาแต่ใจคนหนึ่ง อศวมินทร์มองทั้งเบี่ยงหลบไม่ให้อีกฝ่ายทำตามความต้องการ ซึ่งแน่นอนว่าอินทัชจะไม่พอใจ ชายหนุ่มจิปากอย่างนึกรำคาญ “ทำอะไรน่ะมิน ก็เอาช้อนมาซีฉันจะได้ตักกิน ฉันไม่ใช่เด็กแล้ว กินเองได้ไม่ต้องการให้ใครป้อน”

“ถ้าผมไม่ป้อน คุณคงกินแบบไม่อร่อยให้ผมเห็น” เด็กหนุ่มย้อน

“แบบไหนมันก็เหมือนกัน แค่กินให้หมดไม่ใช่หรือไง”

“คุณนิสัยเด็กกว่าที่ผมคิดนะลุงอ้าย” คนกล่าวระบายยิ้มหลังจากเอ่ยประโยคนั้นออกมา ทำราวชอบใจกับสิ่งที่กำลังได้พบ ได้เห็นอินทัชที่กำลังเอาแต่ใจ เด็กหนุ่มไม่ทราบว่าเหตุใดมันจึงดูไม่น่ารำคาญ ไม่น่าเบื่อ กลับทำให้รู้สึกอยากที่จะก่อกวนและสนุกมากกว่าเมื่อก่อน คงเพราะเขาพบเห็นอินทัชที่เป็นหุ่นยนต์มานาน ปล่อยให้ความรู้สึกต่างๆ ครอบงำดวงตาจนมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดที่เป็นความจริง

มือหนาเคลื่อนไปปาดมุมปากซึ่งเปรอะไปด้วยร่องรอยการกลั่นแกล้งของตัวเอง มองดวงตาที่แสดงถึงความแปลกใจอย่างเห็นได้ชัดของอินทัชแล้วนิ่งเงียบ ไม่เฉลยใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งนั่นสร้างความประหลาดแก่ใจอินทัชมากยิ่งขึ้นไปอีก ชายหนุ่มหลุบตาลงมองพื้นเตียง ยอมอ้าปากรับสิ่งที่อีกฝ่ายหมั่นตักมาให้ทานอย่างไม่ปริปากบ่น แม้จะรู้สึกอึดอัดและไม่เข้าใจกับการกระทำของอีกฝ่ายก็ตาม

“ต่อไปผมจะมาป้อนคุณทุกเวลา”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันจะกินให้หมดเอง” ชายหนุ่มรีบตอบ ยกมือดันมือที่ถือช้อนหลังจากทนไม่ไหว “พอแล้ว ฉันไม่ได้พูดเข้าใจยากหรอกนะ แต่กระเพาะมันเต็มจนรับไม่ไหวจริงๆ” ชายหนุ่มเบี่ยงใบหน้าหลบทั้งแจงในคราเดียวกัน ซึ่งประโยคแสนร้อนตัวนั้นทำเอาอศวมินทร์ต้องกลั้นยิ้ม ตีหน้าเข้มวางช้อนลงในชามแล้วเอื้อมไปเก็บบนโต๊ะโคมไฟ

ในขณะนั้นเหลือบไปเห็นอ่างน้ำและผ้าขนหนูพาดบนขอบอ่างก็นึกอะไรออก เด็กหนุ่มตีหน้าเข้มหันไปกล่าวอีก “ทีนี้ก็เช็ดตัวก่อน ค่อยนอน จะได้รู้สึกสบายตัวขึ้น”

อินทัชถอนใจลากเสียงย้อน “อะไรของเธออีกเล่ามิน ไม่เอาน่า...”

“เร็วสิ ปลดประดุมเสื้อ” เด็กหนุ่มเอ่ยขัดแกมบังคับแม้น้ำเสียงและสีหน้าของคุณลุงจะชวนยิ้มถึงเพียงไหน แสร้งทำหน้าขรึมเอื้อมไปปลดให้ราวต้องการบอกเป็นนัยว่าควรเร่งรีบกว่านี้ ซึ่งเจ้าตัวเห็นแล้วก็ถึงกับถลึงตาใส่ ผลักมืออศวมินทร์ออกให้ห่างจากเสื้อของเขายามนี้ เด็กหนุ่มรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะเว้นระยะห่างอย่างเป็นไปเอง เพราะจากที่เขาเคยก่อ และจากที่อินทัชบอกทั้งน้ำตาเมื่อครู่ใหญ่ว่าไม่มีทางยอมหลงกลอีกแล้ว

“ฉันกะว่าจะลุกไปอาบน้ำเอง ไม่ต้องเช็ดตัวหรอก” คนป่วยบอก

“ได้ยังไงกันล่ะ เกิดหน้ามืดเป็นลมหัวฟาดพื้นขึ้นมาจะทำยังไง อยากตายนักเหรอหา”

“ฉันโอเคขึ้นแล้วน่า”

“ลุงอ้าย คุณนี่มันยังไง ปากก็บอกว่าผมมันรั้นมันดื้อแต่ตัวดูตัวเองทำตัวสิ คิดว่าตัวเองอายุกี่ขวบกัน หืม...” คนตรงหน้าบ่นอีกครั้ง มือก็เอื้อมไปชุบหน้าขึ้นมาบิดด้วยสีหน้าจริงจังนั้น อินทัชถึงกับนิ่งไปเมื่อถูกย้อนมาเช่นนี้ ชายหนุ่มทำได้เพียงกลืนน้ำลายเมื่อท้ายที่สุดแล้วตนไม่สามารถถกเถียงเด็กตรงหน้าชนะได้ คงเพราะเขายังมึนงงกับอาการป่วยของตัวเองกระมัง ชายหนุ่มจึงผละความคิดที่จะต่อต้านอีกฝ่ายออกในที่สุด

ความเงียบปกคลุมคนทั้งคู่ขึ้นมาทันที ในระหว่างที่อศวมินทร์เอื้อมมาช่วยเช็ดตามร่างกายให้ มีเพียงความคิดที่ทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกัน เขาควรจะทำอย่างไรเมื่อศวมินทร์ใช้วิธีนี้เข้าหาเขา ไม่ใช่การข่มขู่รุนแรงอะไร แทนที่จะวางใจ เขากลับรู้สึกหวาดระแวงแทนเสียอย่างนั้น

แต่ก็ภาวนาว่าสิ่งที่อศวมินทร์ทำจะบริสุทธิ์ใจจริงๆ ไม่เหมือนที่แล้วมา เขาเองก็เหนื่อยเกินที่จะพบเจอแล้ว

หลังจากวันนั้น อินทัชหายป่วยได้เร็วกว่าที่คิด แต่อศวมินทร์ก็ยังไม่กลับไปเป็นคนก่อนหน้าและเจ้าตัวก็ไม่แจงอะไรให้ใครฟังถึงเหตุผล แม้จะไม่ได้แตกต่างจากเดิมมาร่าเริงแจ่มใสอย่างเมื่อก่อน ยามไม่ได้พูดกับใครก็ยังคงมีสีหน้าเข้มขรึมอย่างเก่า แต่ยามมาพบเขา ชายหนุ่มไม่ได้คิดเองว่าตนเห็นรอยยิ้มของเด็กคนนั้นมากขึ้น กลับเป็นตัวอินทัชเองที่รู้สึกกังวลและจิตตก

เวลาเลยผ่านไปกี่วันแล้วไม่ทราบ อินทัชทำตามสัญญาที่ให้ไว้ต่ออศวมินทร์ก่อนหน้าอย่างไม่ย่อท้อ เดินทางไปหาโรงเรียนที่รับเด็กหนุ่มเข้าเรียนได้ ดูเหมือนจะง่ายหากเป็นโรงเรียนอาชีวะ อินทัชได้โรงเรียนที่เป็นทางผ่านบริษัทซึ่งยอมเปิดรับนักเรียนและให้โอกาสสำหรับคนพลาด ซึ่งภาคเรียนใหม่จะเริ่มในอีกเดือนข้างหน้า

หลังจากนั้นชายหนุ่มพาลูกเลี้ยงเดินทางไปสมัครอย่างเป็นทางการ ซึ่งดูจากสีหน้าแล้วอศวมินทร์จะชอบที่นี่อยู่ไม่น้อย แม้เขาจะไม่ชอบพวกนักเรียนช่างเกเรตามนิสัยคนเจ้าระเบียบบ้าง แต่เห็นว่าอศวมินทร์พอใจก็ดีแล้ว หวังว่าอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับเด็กคนนี้

อศวมินทร์เลือกเรียนสายบริหารอย่างที่ตั้งใจไว้ แม้จะต้องซ้ำชั้นหรือเรียนกับคนอายุน้อยกว่าก็ไม่มีปัญหา วันแรกที่ได้ชุดนักเรียนมา เขาดูเห่อไม่น้อยที่ต้องสวมชุดนักศึกษาเร็วกว่าที่ควร ด้วยเพราะเป็นคนตัวสูงจึงดูหน้าแก่ไปในบัดดล อศวมินทร์สวมชุดนั้นถ่ายรูปและส่งไปให้เพื่อนๆ ในกลุ่มแชทได้ดู ข้อความตอบกลับมามีอยู่หลากหลายแง่ และฉายาใหม่ที่มาของคำว่า ‘ไอ้แก่’ ก็บังเกิด

เด็กหนุ่มนอนแผ่หลาบนเตียง คลี่ยิ้มยามมองหน้าจอทัชสกรีนตรงหน้ากับคำแซวของเพื่อน ก่อนจะละลงไปเมื่อเห็นชื่อของมาวินแสดงความคิดเห็นว่า ‘ก็ดูดีนี่ เท่ดีออก’

‘เออ กูลืมบอกไปว่ามีผู้หญิงมายืนรอมึงอยู่หน้าโรงเรียนเป็นอาทิตย์แล้ว โคตรน่ารักเลยว่ะ’ เพื่อนในกลุ่มบอก

‘ใช่ ตอนแรกมาถามถึงคนชื่ออศวมินทร์ กูไม่คิดว่าเป็นมึงว่ะ เพราะมึงคงไม่ได้ม่อเขาแน่ ใช่ไหมวะ’

‘พอบอกว่าอศวมินทร์ที่มีเรื่องกับเด็กโรงเรียนเดียวกัน พวกกูถึงกับร้องอ้อเลยทีเดียว’

‘มันเกิดอะไรขึ้นวะมิน มึงพูดได้นะกับพวกกู’ คนสุดท้ายเป็นมาวินที่ถามด้วยประโยคคล้ายห่วงใย ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ติดใจอะไรกับเรื่องเมื่อก่อน กลับเป็นตัวอศวมินทร์เองที่ไม่อาจทนมองอยู่ได้ เด็กหนุ่มคิดว่าดีแล้วที่ไม่กลับไปพูดคุยกับอีกฝ่าย เพราะอย่างน้อยเรื่องของอินทัชก็หนักหนา อย่างไรเสียเขาไม่มีทางฝืนยิ้มให้มาวินได้อยู่แล้ว จึงเลือกที่จะไม่ยิ้มให้เลยจะดีกว่า

‘ไม่มีอะไรหรอก กูยังไม่รู้เลยว่าใคร ช่างมันเถอะ’

นอกจากนั้นอศวมินทร์ยังเลือกที่จะเดินทางตามอินทัชไปที่บริษัทเพื่อศึกษางาน อีกฝ่ายมีสีหน้าตกใจเอาเสียมากเมื่อได้ยินว่าเขาอยากจะไปด้วย อศวมินทร์คิดไว้ว่าไม่อยากให้อีกสองปีที่เหลือมันสูญเปล่า หากอินทัชไม่ได้อยู่ด้วยแล้วเขาควรดูแลตัวเองได้อย่างที่ปรางคณางหวัง ก่อนนอนทุกคืนเขามองที่รูปข้างหัวนอนทุกครั้ง มองรอยยิ้มแห่งความสุขของหล่อนพร้อมให้คำสัตย์ว่าจะพยายามให้ถึงที่สุด

เพียงรอยยิ้มบนรูปนั้น ก็ผลักดันให้อศวมินทร์ก้าวหน้าต่อไป ทุกวันดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วอย่างที่หวัง ดูเหมือนไม่นานที่เด็กหนุ่มเข้าใจการบริหารจากคำแนะนำของอินทัชได้ดี และทัศนคติที่ดีของผู้บริหารที่ตนได้รับรู้จากหนังสือซึ่งเปิดอ่านก่อนได้เรียนจริง

เขาเป็นคนมุ่งมั่น ไม่มีอะไรหยุดอศวมินทร์ได้ ยิ่งได้อ่านหนังสือยิ่งทำให้เขาได้ค้นพบแล้วว่าการบริหารที่ตัวเองได้เผชิญนั้น มันมีมากกว่าการนั่งอยู่บนเก้าอี้ อ่านเอกสารและเซ็นอะไรสักอย่างบนแฟ้มที่เลขานำมาให้ เขาต้องเรียนรู้และค้นคว้าอะไรอีกตั้งหลายอย่าง ซึ่งทำให้เด็กหนุ่มตื่นเต้นเมื่อวันเปิดภาคเรียนมาถึง

เพราะเอกเพื่อนคนสนิทของอินทัชได้ออกจากงานไปแล้ว อินทัชจึงต้องเดินทางพร้อมไปอศวมินทร์ทุกเช้าและเดินทางกลับพร้อมกันทุกเย็นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งในวันนี้ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มอึดอัดอีกต่อไปแล้ว มีเพียงความอุ่นใจที่ได้เห็นท่าทีกระตือรือร้นของอีกฝ่าย ยามมองออกไปนอกรถ ตอนนี้อศวมินทร์เหมือนเด็กอายุสิบแปดจริงๆ เสียที ไม่มีความโกรธขึ้ง ไม่มีสีหน้าระทมอมทุกข์ใดๆ

ชวนให้คนมองสดใสตามไปด้วย ยามเห็นแววตามุ่งมั่นนั้น
 

เสียงเหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวพูดคุยทักทายกันดังอยู่รอบกายคนที่ยังยืนบนบาทวิถีตรงนี้ นานมาแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสถึงความรู้สึกของโรงเรียน มือหนาถือสายเป้ซึ่งพาดไว้บนบ่ากระชับขึ้น มองเด็กคนอื่นต่างกำลังแสดงถึงความตื่นเต้นที่จะได้กลับมาพบเพื่อน มองเหล่าผู้ปกครองคนอื่นกำลังแย้มยิ้มยามโบกมือลาบุตรหลาน แสงอาทิตย์ยามเช้าอุ่นกว่าที่อศวมินทร์คิด เขาทำได้เพียงหยุดยืนมองและเก็บภาพบรรยากาศนี้ไว้

มันสวยงาม ภาพเบื้องหน้าเขามันสวยงามกว่าที่คิด เด็กหนุ่มทำได้เพียงหยุดมองพร้อมระบายรอยยิ้มออกมาอย่างพอใจ

หลังจากนั้นเสียงเพลงประจำโรงเรียนก็ดังขึ้นเป็นการบอกใบ้ให้รู้ว่ากำลังจะต้องเข้าแถว อศวมินทร์คล้ายจะขาแข็งเพราะไม่ทราบว่าตนจะต้องไปยืนตรงไหน ผู้คนหลายพันคนภายในโรงเรียนกำลังเริ่มกรูไป ระหว่างกำลังคิดว่าจะก้าวหรือไม่ก้าวดี จู่ๆ ลำแขนหนักอึ้งของใครก็ไม่ทราบถูกทิ้งลงมากอดคอเขาเต็มแรงจนเด็กหนุ่มทรุดตัวลงต่ำ “เฮ้ย เด็กใหม่ห้องเราว่ะ ไปๆ เดี่ยวเข้าไม่ทันคนอื่นจะโดนทำโทษทั้งแถว ลำบากพวกกูอีก”

นัยน์ตาคมหันขวับไปมองด้วยความประหลาดใจ เป็นเด็กหนุ่มตัวสูงระดับคอของเขา ใบหน้าค่อนข้างจะเป็นมิตรและฉีกยิ้มอยู่ตลอดเวลา กำลังอ่านชื่อบนป้ายที่มีรหัสห้องรวมอยู่ด้วย ที่นี่เขาเข้าหาคนแบบนี้หรอกหรือ

อศวมินทร์กวาดตามองโดยรอบ เป็นกลุ่มชายสวมชุดนักศึกษาแบบเดียวกันกับเขาอยู่สิบกว่าคนเดินมาพร้อมกัน ทุกคนไม่ได้สะพายกระเป๋า แต่ใช้มือถือหนังสือแล้วเหน็บอุปกรณ์เครื่องเขียนไว้ในกระเป๋าเสื้อ การแต่งตัวบางส่วนไม่ตรงตามที่โรงเรียนกำหนด คล้ายนักศึกษาในวัยมหาวิทยาลัย บ้างก็สวมเสื้อยีนส์ทับ บ้างก็ใส่กางเกงขาเดฟรัดติ้ว ไม่ใส่ร้องเท้าคัชชูแต่สวมผ้าไบตามเทรนด์ เสื้อนักศึกษาเลือกได้ว่าจะแขนสั้นหรือยาว เด็กหนุ่มดูจืดขึ้นไปถนัดตากับชุดนี้

“นี่ ปีสามอยู่ทางนี้ สาวๆ ห้องเราสวยนะโว้ย แต่แค่สวยไม่เท่าห้องอื่นเท่านั้นเอง” คนกอดคอยักคิ้วเหล่โดยรอบ “ถึงแม้ว่าสาวบริหารจะน้อยก็เหอะ แต่ก็ดีว่าไปยืนกับพวกช่างเป็นไหนๆ”

อศวมินทร์เริ่มจะรำคาญไอ้เด็กคนนี้เสียแล้วซี เด็กหนุ่มลอบถอนใจเข้าไปในแถวไม่พูดหรือเสวนากับใครนอกจากเงียบมองรอบกาย แม้รู้สึกแปลกไปบ้างที่หลายสายตาหันมาจับมอง เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ตัวสูงโดดเด่น ด้วยเป็นคนที่มีหน้าตาไม่ตกสมัยนิยม มีผิวพรรณขาวสะอ้านและเกลี้ยงเกลา จึงเรียกให้ใครสะดุดตาจนต้องชะงักมองได้ในชั่ววินาทีที่พบเจอ อศวมินทร์คงไม่รู้ตัวสักนิดว่าตนเองรูปหล่อเป็นที่สนใจของสาวๆ ขนาดไหน คงเพราะโรงเรียนเก่าเป็นโรงเรียนชั้นสูงและหรูหรา เด็กหน้าตาดีมีอยู่เกลื่อนกลาดจนไม่มีใครสนใจกระมัง

แต่เมื่อก่อนเรื่องหน้าตาเขาก็อยู่ระดับต้นๆ ของโรงเรียน หากไม่ติดที่ว่าเจ้าตัวไม่เคยสนใจ และเป็นคนใจร้อนก็คงฮอตในหมู่สาวๆ ได้ไม่ยากเย็นนัก ดังนั้นที่นี่อศวมินทร์จะโดดเด่นกว่าใครก็คงไม่แปลก

“ว่าแต่มึงชื่ออะไร กูชื่อซันนะ พ่อกูเป็นเจ้าของบริษัทส่งออกผลไม้สดกับแห้งที่จันทบุรี กูมาอยู่นี่กับเพื่อนสองคน” ว่าพลางมองไปยังด้านหลัง อศวมินทร์พยักหน้ารับเมื่อเห็นเด็กหนุ่มอีกสองคนในแถวส่งยิ้มให้ “นั่นไอ้กอล์ฟกับไอ้บอล มันมีพ่อคนเดียวกันแต่คนละแม่ว่ะ เสือกเกิดปีเดียวกันอีก”

อศวมินทร์มุ่นคิ้วหันไปมองคนเล่าที่ใช้น้ำเสียงขบขันกล่าวให้เขาฟัง โดยไม่นึกถึงความรู้สึกของเพื่อนทั้งสองคนว่าจะเป็นอย่างไร เด็กหนุ่มเสตาไปมองสองคนด้านหลัง แม้เจ้าตัวจะไม่ได้เอ่ยอะไรมาแทรก แต่เขาทราบถึงความรู้สึกของคนที่ถูกล้อปมดีว่าเป็นอย่างไร สังคมปัจจุบันนี้เสื่อมทรามและสกปรกกว่าที่อศวมินทร์คิด “กู...ชื่อมิน”

“บ้านมึงอยู่แถวไหนเหรอ”

“แถวนี้แหละ” เด็กหนุ่มลอบถอนใจแล้วหันใบหน้ากลับมา หากเป็นช่วงวินาทีหนึ่งเขากวาดไปเห็นไปใบหน้าของใครสักคน กำลังจับมองเขาอยู่ อศวมินทร์ชะงักเพราะจำได้ ใบหน้ากลมที่มีดวงตาโตเป็นเอกลักษณ์นั้น

“แล้ว เด็กผู้หญิงคนนั้นใครน่ะ” อศวมินทร์หันไปถามซันซึ่งอยู่ด้านหลัง พยักเพยิดไปทางเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งหันกลับไปมองหน้าเสาธงแล้ว เห็นเช่นนั้นเพื่อนใหม่ก็ร้อง “อ้อ มึงนี่ตาแหลมไม่หยอกเลยนะ นั่นน่ะแรร์ไอเทมของห้องเราที่สามารถสู้ได้กับห้องอื่นเชียวนะ ชื่อไอ้นัท น่ารัก นมใหญ่ มึงชอบมันเหรอ”

“เปล่า เคยเจอกันครั้งหนึ่ง”

“น่า เจอกันอะไรยังไง ได้กันยังวะ มันไม่เคยมีข่าวคบใครเลยนะตั้งแต่มาเรียนที่นี่ โคตรอยากรู้เลยว่ายังซิงอยู่ไหม บอกกูมาเหอะน่า” เพื่อนใหม่หน้าทะเล้นชี้นิ้วเย้า นั่นไม่ได้สร้างรอยยิ้มให้เขาเลยสักนิด อศวมินทร์ส่ายหน้า “กูไม่รู้จักเขา แค่เคยเห็นหน้า เขาจะเอากับใครจะสดจะซิงกูไม่รู้ด้วย”

“อันแน่ แต่มึงก็สนใจใช่ไหมล่า”

“พวกมึงหยุดพูดกันซิ...” เพื่อนที่ยืนอยู่ก่อนหน้าอศวมินทร์หันมากระซาบราวกับเกรงอาจารย์เดินมาดุ นั่นได้สร้างความสนใจให้แก่อศวมินทร์และซันมากขึ้นไปอีก ทั้งคู่เห็นสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีของเพื่อนร่วมแถวยามหันมาพร้อมใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยเหงื่อ หน้าเซียวเล็กน้อยพร้อมกับชำเลืองตาไปยังคนที่ยืนถัดไปจากเจ้าตัว ซันและกลุ่มเพื่อนผงะ เห็นเป็นชายหนุ่มหน้าบูดบึ้งคนหนึ่งในแถวกำลังหันมาขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์มองพวกเขาอยู่

“จะหยุดพูดถึงน้องกูได้รึยัง” เด็กหนุ่มซึ่งใบหน้ายังมีรอยแผลให้เห็นกล่าวขึ้น เป็นคนที่มีเรื่องได้ทุกวัน ต่อยตีกับใครก็ได้เมื่อต้องการจนคนในโรงเรียนขยาด

“ฉิบหาย...ไอ้นิคมันมาด้วยเหรอวะวันนี้”

ในระหว่างที่เพื่อนคนอื่นเงียบเชียบกับสายตาขึ้งโกรธเด็กหนุ่มคนนี้ กลับเป็นอศวมินทร์คนเดียวที่ไม่ได้หลบสายตาไป ท่ามกลางความวุ่นวายในยามเช้าของภาคเรียนแรก ดวงตาคมเข้มทั้งสองคู่สบมองกันนิ่งเงียบราวกับกำลังส่งอะไรไปให้กัน ซึ่งดูเหมือนกลับเป็นจอมหาเรื่องอีกคนที่รู้สึกเย็นเยียบที่ปลายเท้าแทนเสีย เมื่อเห็นว่าโจทย์คนเก่ามายืนอยู่ตรงหน้า

ด้วยสายตาที่ตนไม่อาจทราบว่ากำลังคิดอะไร เด็กหนุ่มแปลกหน้าที่เดินเข้ามาช่วยเขากับน้องสาวในวันนั้น!


***************************************

ง่อววววว ได้เจอนิคกับนัทแล้วเย้!

แล้วต่อๆ ไป ความสัมพันธ์ระหว่างมินกับลุงอ้ายก็จะเพิ่มขึ้น แน่นขึ้น

และเรื่องราวของสองพี่น้องนี่ก็เริ่มเข้ามาในเรื่อง แต่ช่วงนี้เป็นเวลาดีหน่อย สองคนเริ่มจะหันหน้าเข้าหากัน

พูดคุยกันมากขึ้นแล้ว ยิ่งตอนหน้ายิ่งจะเห็นได้ชัด อาจเรียกได้ว่าฟินเพราะน้องมินคนแสบคนเดิมกลับมาแล้ว เจอกันตอนหน้าจ้า

อย่าลืมคอมเม้นเป็นกำลังใจนะ จุ๊บ
 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ได้เจอนิคกับนัทแล้ว หวังว่าคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะน้องมิน ส่วนลุงอ้ายคงต้องใช้เวลาในการเชื่อมสัมพันธ์ให้ดีขึ้น

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
ได้เจอนิคกับนัทแล้ว หวังว่าคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะน้องมิน ส่วนลุงอ้ายคงต้องใช้เวลาในการเชื่อมสัมพันธ์ให้ดีขึ้น
บอกได้แค่ว่าต้องรอดูต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
นัทจะชอบมินรึเปล่าอ่ะ ไม่ให้ชอบนะเพราะมินเป็นของลุงอ้าย

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
นัทจะชอบมินรึเปล่าอ่ะ ไม่ให้ชอบนะเพราะมินเป็นของลุงอ้าย

ชอบค่ะ แต่มินไม่ได้ชอบผู้หญิง

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๒๓

หลังจากได้เข้าเรียนจนถึงเวลากลับบ้าน ดูเหมือนอศวมินทร์จะได้พบเจอเรื่องใหม่ๆ ได้เรียนรู้อยู่เสมอ เขาได้พบพี่น้องสองคนนั้นซึ่งบังเอิญได้อยู่ห้องเดียวกัน หลังจากแนะนำตัวกับเพื่อนร่วมห้อง การต้อนรับจากทุกคนดูเหมือนจะอบอุ่นกว่าที่เดิม ทุกคนเห็นตัวตนของเขา แม้ตัวอศวมินทร์เองจะดูประหม่าไปบ้าง

อินทัชเองก็รู้สึกอุ่นใจ เมื่อไปรับวันแรกเขาเห็นเพื่อนกลุ่มใหญ่ยืนรุมล้อมอศวมินทร์บนบาทวิถี ชายหนุ่มลงจากรถเดินเข้าไปทักทายเด็กๆ ซึ่งกำลังพูดคุยกันฮาเฮโหวกเหวกตามประสาวัยรุ่น บอกว่ากำลังจะรับลูกชายในนามกลับบ้านแล้ว

“โห มิน บ้านมึงมีคนขับรถมารับมาส่งด้วยเหรอ เท่ว่ะ!” ซันตาโต

“พวกมึง นี่...ลุงอ้าย พ่อเลี้ยงกู...” มินลากเสียงเอ่ยแนะนำอย่างไม่ค่อยเต็มปากเป็นคำเท่าใดนัก สีหน้าดูเรียบนิ่งลำบากใจขณะเดินไปยืนขนาบคุณลุง ซึ่งกำลังยกมือทักทายกลุ่มเพื่อนของตน ลิงๆ ทั้งหลายยกมื้อไหว้ไม่พอ ยังมีคำแซวตบท้ายมาด้วยว่า “คุณลุงยังหล่ออยู่เลยนะครับ เหมือนดาราแหน่ะ ว่างๆ ผมไปเที่ยวที่บ้านได้ไหมครับ”

“ไม่ได้...” อศวมินทร์แย้งทันที

“อะไรว้า นี่กูขอพ่อมึงอยู่นะ”

“บ้านกู ไม่ใช่บ้านเขานี่หว่า” อศวมินทร์ตอบไม่เชิงจริงจังเท่าไรนัก ก่อนจะถอนใจเอ่ยตัดคำราญเพื่อนๆ ไปว่า “งั้นกูไปล่ะ เจอกันพรุ่งนี้แล้วกัน”

“หวัดดีครับลุงอ้าย” เด็กๆ ยกมือไหว้อีกครั้งทั้งยกมือโบกลาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม อินทัชทำได้เพียงยิ้มรับอย่างรู้สึกอุ่นใจหากอศวมินทร์จะมีเพื่อนให้คลายอารมณ์เศร้าแบบนี้ แต่ก่อนเขาเอาแต่ฟังคำเล่าของเด็กหนุ่มเพียงอย่างเดียว ไม่เคยได้สัมผัสจริงๆ ว่าการที่เจ้าตัวมีเพื่อนในวัยเดียวกันแล้วเป็นอย่างไร นี่คือครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้เห็นมัน ได้เห็นยามกลุ่มเพื่อนรุมล้อมเด็กคนนี้

ตลอดทาง อศวมินทร์มีเรื่องเล่าให้อินทัชฟังมากมายเกี่ยวกับประสบการณ์ใหม่ที่เจ้าตัวไม่เคยได้พบที่โรงเรียนเดิม อินทัชทำได้อย่างเดียวคือครางในคอบอกว่ากำลังรับฟัง และมองสีหน้าของคนเล่าที่เริ่มจะฉายความรู้สึกจริงๆ ออกมาทางดวงตาเสียที และจากนั้นทุกวัน หน้าที่ของชายหนุ่มก็เพิ่มขึ้นมาอย่างหนึ่งคือคอยรับฟังเรื่องที่เด็กหนุ่มจะเล่า ออกความเห็นบ้างตามความเหมาะสม

อศวมินทร์เล่าให้ฟังว่านักเรียนมีอยู่หลายกลุ่ม ทั้งเด็กที่รักการเรียนจนเคร่งเครียด เด็กไม่เรียนและเกเรเลยก็มี หรือมีทั้งเด็กเกเรแต่การเรียนดี หรือเด็กที่ตั้งใจเรียนมากแต่การเรียนย่ำแย่ หนำซ้ำเจ้าตัวยังจัดหมวดตนเองไว้อย่างเสร็จสรรพว่าตั้งใจและการเรียนดีอีกด้วย

ทุกวันเสาร์ แทนการไปเที่ยวเตร่กับเพื่อนนั้นอศวมินทร์กลับเลือกตามอินทัชไปที่บริษัท ศึกษางาน ผู้ใหญ่ในนั้นดูรักและเอ็นดูเด็กหนุ่มจนอินทัชรู้สึกไว้วางใจที่จะให้เขาช่วยตัดสินใจงานใหญ่ หรือตามไปพบปะกับคู่ค้ารายใหญ่ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อความคุ้นชิน อศวมินทร์เป็นเด็กที่มีศิลปะการพูดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรจึงสามารถทำมันไปได้ดี อีกไม่นานเด็กคนนี้จะกลายเป็นม้ามืดในวงการธุรกิจไทย

อินทัชไม่อยากจินตนาการถึงอีกสองปีข้างหน้า นั่นคงมีผู้บริหารหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงคนหนึ่งที่น่าจับตามองแห่งวงการ ภาพอศวมินทร์พูดคุยทักทายกับผู้คนในบริษัทอย่างเป็นมิตร สีหน้าตึงเคร่งดูผ่อนปรน แต่ในยามทำงานก็จริงจังเข้มงวด มีลูกล้อลูกชนยามพูดคุยกับหุ้นส่วนคนอื่นอย่างแพรวพราว เล่ห์เหลี่ยมและชั้นเชิงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็เก่งกาจ ใครกันจะสู้เด็กคนนี้ได้!

เขาได้แต่ยืนกอดอกมองความสำเร็จตัวเองอีกขั้นหนึ่ง บอกกับปรางคณางว่าไม่ต้องห่วงเด็กคนนี้อีกต่อไปแล้ว ถึงแม้เขาไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม ตัวของเด็กคนนั้นเป็นคนเริ่มเองโดยทั้งหมด อินทัชรู้...เด็กคนนี้เก่งโดยสายเลือด พ่อแม่ต่างแต่งงานกันตั้งแต่วัยรุ่น ทั้งสองอาศัยประสบการณ์และความตั้งใจดูแลบริษัทจนเติบใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าแม้ปรางคณางจะห่วงว่ามันจะล่มหากทิ้งเพียงสมบัติให้ให้ลูกชาย

แต่หล่อนคงไม่ทราบเลย ว่าลูกชายได้สายเลือดนักสู้จากตัวเองมาเต็มๆ

วันอาทิตย์เป็นวันหยุดวันเดียวที่อศวมินทร์มี แต่เพราะได้อ่านหนังสือก่อนเปิดเทอมอยู่เป็นเดือนๆ แล้ว ทำให้เขาเข้าใจบทเรียนเร็วกว่าคนอื่น งานที่อาจารย์สั่งมาเขาก็ทำได้สำเร็จเร็วกว่าใครจนได้รับขนานนามว่าเป็นเด็กเรียน และรับหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องพ่วงมาอีกตำแหน่ง เขาไม่อยากเชื่อตัวเอง จากเด็กเกเรไม่อยากไปโรงเรียน เพราะมีหน้าที่และบทบาทที่นั่นทำให้เด็กหนุ่มกระตือรือร้นจากจะไปทุกวัน

อินทัชทิ้งกายนั่งพิงโซฟาผ่อนปรนอารมณ์หลังจากทานมื้อเช้า หากทว่าเสียงประตูเปิดเรียกให้เขาต้องหันขวับไปมอง เป็นเด็กหนุ่มถือหนังสือเดินเข้ามาหาเขา ในขณะที่ชายหนุ่มกะว่าจะเอนกายพักผ่อนสักครู่

“ลุงอ้าย...” คนขานชื่อเขาทรุดกายนั่งข้างจนเบาะยวบลง อินทัชเพิ่งสังเกตว่าอศวมินทร์ดูตัวโตขึ้น เจ้าตัวมักออกไปแตะบอลที่สนามกับเพื่อนทุกเย็น ตอนนี้ก็เริ่มสูงกว่าเขาแล้ว และเพราะเรียนสายอาชีวะ ต้องสวมชุดนักศึกษา ไม่ได้สวมชุดนักเรียนมัธยมปลายเหมือนเมื่อก่อนแล้วจึงดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมมากทีเดียว

“ผมมีอะไรจะให้”

“หืม...” ชายหนุ่มย้อนด้วยความแปลกใจ อินทัชคิดว่าเจ้าตัวจะเดินมาขอคำชี้แนะเรื่องบทเรียนเสียอีก นัยน์ตาคมงุดลงมองมือเด็กข้างกายที่กำลังควานหาอะไรสักอย่างในกระเป๋า เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเป็นกล่องของขวัญขนาดเหมาะมือชูขึ้น

“อะไรน่ะ” อินทัชนิ่งมอง ย้อนด้วยความฉงน

“เอ้า ก็ของขวัญไง พอดีเมื่อวานผมไปเที่ยวกับเพื่อนมา เห็นว่าอันนี้มันสวยดีก็เลยซื้อมาให้เป็นของขวัญ” อศวมินทร์อธิบายพร้อมยื่นให้ ในยามเห็นแววประหลาดใจของคุณลุง เด็กหนุ่มหลุดยิ้มเมื่อนึกออก “อ้อ นี่อย่าบอกนะว่าคุณลืมวันเกิดตัวเองน่ะลุงอ้าย ไม่อยากจะเชื่อเลย”

“เปล่า แต่วันเกิดฉันมันอาทิตย์หน้าไม่ใช่เหรอ” อินทัชรับมาถือทั้งบอก ดวงตามองของในมือทั้งแกะมันออกมาดู ชายหนุ่มนิ่ง มองเนคไทสีเงินลายคลื่นน้ำแปลกตาอยู่ในนั้น ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มข้างกายอธิบายให้ฟังว่า “ผมว่าคุณควรคิดได้ว่านี่เป็นของขวัญวันเกิดตัวเองตั้งแต่เห็นมันแล้วนะ เป็นผม ผมจำได้ตั้งแต่เข้าเดือนเกิดตัวเองหรือเดือนเกิดของคนที่ผมรักแล้วแหละ และจะจดจ่อรอให้ถึงวันนั้นเร็วๆ เพราะวันพิเศษของเขา ก็เหมือนวันพิเศษของผม...”

อินทัชนิ่งไป ก่อนจะงุดตาลงพยักหน้ารับ “แต่มันยังไม่ถึงเลยนะ”

“อาทิตย์หน้านี้โรงเรียนเขาจัดออกค่าย ผมต้องไปทำกิจกรรมด้วยก็เลยให้ไว้ตั้งแต่ตอนนี้ไง ชอบไหมครับ...”

“สีเงิน” อินทัชลากเสียง ผละสายตาไปสบอีกคนแววฉงน

“ใช่ ผมรู้ว่าคุณชอบใส่เนคไทสีนี้ สังเกตว่าคุณใส่แต่สีนี้ทุกวัน ก็เลยเลือกลายแปลกๆ มาให้ ถ้าชอบก็ขอบคุณผมด้วยนะ” เจ้าตัวระบายยิ้มมีเลศนัย เรียกความร้อนแล่นเข้าสู่ใบหน้าคนฟังได้ไม่ยาก

“ผมอุตส่าห์จำวันเกิดคุณได้ คุณไม่ให้รางวัลเป็นการขอบคุณหน่อยเหรอ”

“อะไร...” อินทัชย้อน ชายหนุ่มเบิกตากึ่งตกใจกึ่งระแวงเมื่อเห็นคนถามขยับตัวเข้ามานั่งเบียดและสบตา เจ้าตัวก็ทราบดีว่าเขาพยายามจะเว้นระยะห่างเพื่อตัวเอง แต่ก็ชอบทำแบบนี้ให้เขาลำบากใจและวางตนไม่ถูกอยู่ร่ำไป ที่จริงเขาดีใจ ตกใจที่อศวมินทร์ทำแบบนี้ให้เขา ไม่อยากเชื่อว่ายังนึกถึงเขาอยู่เสมอ ในที่สุดเด็กคนนี้กลับมาเป็นคนน่ารักอย่างเต็มตัวแล้วสินะ

“กอดผมสิ ขอกอดหน่อยได้ไหม”

อินทัชนิ่งไปชั่วครู่ มองใบหน้าคนกล่าวเองก็จ้องตาเขาส่งแววบอกว่าต้องการสิ่งที่ขอนั้นอย่างจริงจัง อินทัชคล้ายมีประจุไฟแล่นปราดไปทั่วร่างกาย เขาขยับไม่ได้ หลายเดือนมาแล้วที่ไม่ได้แตะต้องตัวใครนอกจากทำงาน ในยามที่เด็กน้อยตรงหน้าขยับเข้ามากอด ซุกใบหน้าลงในอ้อมอกราวกับกำลังผ่อนปรนอยู่ในนี้ อินทัชคล้ายตัวเองได้ถูกเปลวเพลิงหลอมละลายน้ำแข็งในอก

มือหนาเคลื่อนขยับสัมผัสอ่อนแผ่วที่ปลายผมเด็กน้อยอย่างเชื่องช้า ฟังเสียงลมหายใจตนเองและอีกฝ่ายนิ่ง ปลอบโยนคนอ่อนแอในอก ด้วยจุมพิตที่ฝังลงบนเรือนผมอศวมินทร์ซ้ำอยู่อย่างนั้น

“ขอบใจนะ มิน”

อศวมินทร์กอดตัวเขาไว้ด้วยทั้งสองแขน แนบใบหน้าฝังลงบนอกของคุณลุงอยู่นาน ก่อนจะเงยขึ้นไปสบมองอีกฝ่ายในระยะใกล้ คุณลุงเห็นแววเจ้าเล่ห์ในนัยน์ตาระยับนั้น เจ้าตัวคลี่ยิ้มหวานหยดขณะสบตา เคลื่อนขึ้นมาขโมยจูบคางอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว วินาทีนั้นอินทัชถลึงตาใส่ต่อว่าอยู่ในท่าทีนั้น แต่ก็อ่อนใจเมื่อเห็นคนตรงหน้าหลุดหัวเราะราวกับบอกเป็นนัยว่าชนะ ทิ้งกายนอนลงเต็มตัวบนโซฟาและพาดศีรษะไว้บนตักเขาอย่างไม่ขออนุญาตเสียก่อน

เด็กหนุ่มระบายยิ้มยามเงยขึ้นมาสบตาอีกครั้ง และอีกครั้ง เคลื่อนมือไปประสานนิ้วกับเจ้าของตักที่ตนถือวิสาสะหนุนนอน “ขอนอนตรงนี้ครู่หนึ่งนะลุงอ้าย ผมอ่านหนังสือมานานแล้วรู้สึกปวดตา”

“ตรงนั้นมีเตียง”

“ตรงนี้สบายกว่า” เจ้าตัวเงยมาเถียง เขยิบนอนให้อยู่ในท่าสบายทั้งเงยขึ้นมาสบตาอยู่เรื่อย ทั้งที่บอกว่าจะพักผ่อนสายตา ยามนี้คนถูกยึดตักไม่อาจตีหน้าเข้มขรึมให้เด็กเอาแต่ใจตรงหน้าเห็นได้อีกแล้ว ชายหนุ่มหลุดยิ้มในที่สุด ฉุดให้คนมองเผลอไผลจับจ้องอยู่นานกับภาพนี้

นี่คืออินทัช...อินทัชคนนั้น เขาทำให้อินทัชคนนั้นกลับมาสำเร็จแล้ว อศวมินทร์รู้สึกราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนชั่วขณะยามได้เห็น

“ลุงอ้าย วันเกิดผมคุณต้องซื้อรถมอเตอร์ไซต์...”

“ไม่ล่ะ มันอันตราย” เจ้าตัวเอ่ยขัด

“นะ ผมอยากได้ ผมอุตส่าห์จำวันเกิดแล้วก็ซื้อของขวัญให้ เงินเดือนผมก็แค่สองหมื่นห้าเองนะ” เด็กน้อยเงยขึ้นมาสบตา มือดึงมือหนาของคุณลุงขึ้นไปกุมออดอ้อน เรียกให้อินทัชงุดลงมองทั้งส่ายหน้า “นี่ตกลงวางแผนซื้อของขวัญให้ฉันเพราะอยากได้ของขวัญตัวเองใช่ไหม”

“ก็ได้ ถ้าคุณไม่ซื้อรถให้ผม งั้นผมขอของขวัญวันเกิดเป็นตัวคุณก็แล้วกัน” อศวมินทร์เอ่ยทั้งพริ้มตาหลับหลังกล่าวจบ อินทัชนิ่งไปอยู่ครู่หนึ่งกับประโยคนี้ หมายความว่ายังไงกัน เด็กคนนี้ยิ่งชอบใช้คำพูดแบบสองแง่สองง่ามกับเขาอยู่ด้วย ชายหนุ่มทอดถอนใจทั้งส่ายหน้าแต่เจ้าตัวแทรกขึ้นมาก่อนว่า “ห้ามปฏิเสธนะ คุณต้องทำตามที่เคยสัญญากับผมไว้เมื่อก่อนว่าจะพาไปเที่ยวสวนผลไม้ที่เมืองจันท์ บ้านเพื่อนผมอยู่นั่นพอดี คุณต้องพาผมกับเพื่อนๆ ไปเที่ยว เข้าใจไหม”

คนหลับตาบ่นอู้อี้ขณะนอนกุมมือเขาไว้เช่นนั้น เฉลยอยู่เป็นนัยว่าไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่าที่บอกจริงๆ อินทัชนิ่ง มองใบหน้าของผู้หลับ มองนิ้วมือเรียวยาวนั้นยามประสานไว้กับเขาแนบแน่น ภายในห้องจากที่มีเสียงคนโต้ตอบกันไปมากลับเงียบลง ชายหนุ่มเอนหลังพ่นลมหายใจอยากผ่อนคลาย มือหนึ่งไล้เส้นผมคนนอน ดวงตาทอดมองออกไปยังนอกหน้าต่างอย่างรู้สึกปล่อยวางและอุ่นใจมากขึ้น

“ก็ได้ ถ้าฉันว่างนะ”

“ต้องว่างสิ ทำเพื่อผมไม่ได้เหรอ หืม...” คนหลับตาครางบอก คล้ายเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องที่ผ่านมาจนล้าเกินทน สุ้มเสียงแหบพร่า ทิ้งกายนอนหลับบนตักของเขาราวกับต้องการขอกำลังใจ ขอพลังเพิ่มขึ้นอีก อินทัชนิ่งไป ทำได้แค่มอบพลังให้เด็กน้อยตรงหน้าอย่างไม่ปริปากบ่น

ที่ผ่านมาเขาคงตั้งแง่กับเด็กคนนี้มากเกินไปกระมัง
 

การย้ายมาเรียนคนละสายจากเดิมทำให้ชั้นปีสุดท้ายของอศวมินทร์ต้องเรียนสามเทอม คือช่วงฤดูร้อนจะต้องมาซัมเมอร์ทุกวันเพื่อเพิ่มวิชาที่ยังไม่ได้เรียน เขาเป็นเด็กกิจกรรมจนได้รับฉายาต่างๆ นานา เด็กหนุ่มไม่ได้พูดคุยกับใครมากนักนอกจากเพื่อนร่วมกลุ่ม ไม่มีใครรู้ว่าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง และเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ร้อนรนที่จะบอกใครเป็นพิเศษ แม้ว่าจะมีสาวๆ เทียวไล้เทียวขื่อ วนเวียนเข้ามาในชีวิตก็ตาม

จนหนึ่งเทอมผ่านไป

อศวมินทร์ไม่ได้พูดคุยกับเด็กหนุ่มสาวสองคนนั้นเลยสักครั้ง เพราะเจ้าตัวดูเหมือนจะอยู่ในกลุ่มเด็กเกเรไม่สนใจการเรียน ส่วนคนเป็นน้องสาวก็ออกเป็นคนเงียบ ไม่เข้าหาใคร คนเป็นพี่ชายน้อยครั้งนักจะเห็นเข้ามานั่งอยู่ในห้องเรียน ซันเล่าว่าเด็กหนุ่มคนนั้นชื่อนิค หรือณัชชา เรียนซ้ำชั้นมาสองปีแล้ว พูดตามตรงคืออายุมากกว่าพวกเขาอยู่สองปี อายุย่างยี่สิบเอ็ดแต่ยังเรียนอยู่ชั้นปีสุดท้ายเพราะคอยตามดูแลน้องสาว ซึ่งคือเด็กคนที่ชื่อนัทคนนั้น

เพื่อนๆ เองก็ทราบว่าอศวมินทร์อายุมากกว่าหนึ่งปี แต่เพราะชาชินกับเพื่อนนักเรียนคนอื่นซึ่งยังมีผสมอยู่บ้าง และไม่ได้ถามไถ่เรื่องส่วนตัวว่าเหตุใดจึงต้องเรียนช้า อศวมินทร์จึงรู้สึกสบายใจ
 

ในระหว่างเดินทางกลับบ้าน ช่วงเย็นเป็นเวลารถติด อศวมินทร์แก้เซ็งด้วยการก้มหน้าก้มตาเล่นเกมในมือถือไปพลาง ก่อนจะชะงัก เมื่อได้ยินเสียงลุงคนขับรถบ่นอย่างอารมณ์เสีย “แค่รถติดก็พอแรงอยู่แล้ว ไอ้เด็กพวกนี้นี่ก็ปัญหาสังคมจริงๆ เอาแต่หาเรื่องตีฝ่ายตรงข้ามไม่รู้จักร่ำเรียน”

ภาพตรงหน้าเป็นเด็กนักเรียนช่างกำลังถือมีดดาบ ไม้ไล่ฟาดฟันอย่างกลางถนนหลายสอบชีวิต ไม่กี่นาทีต่างฝ่ายต่างตะลุมบอนกัน ท้ายที่สุดดูเหมือนจะมีตำรวจไล่กวาดต้อน ทุกอย่างแตกกระเจิง เด็กนักเรียนเหล่านั้นต่างวิ่งแยกย้ายไปคนละทาง อศวมินทร์ได้แต่กวาดตามองตามแต่ละคน จนสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคนวิ่งชนกับกระจกจนเจ้าตัวฟุบลงกองกับพื้น คล้ายจะบาดเจ็บหนัก อศวมินทร์เห็นอินทัชผวาขยับไปมอง รู้ว่าคุณลุงรู้สึกอย่างไร

เด็กหนุ่มรั้งคุณลุงไม่อยากให้ยุ่ง แต่ดูเหมือนอินทัชจะเป็นคนใจดีเกินไป เพราะเคยเห็นอศวมินทร์นอนอยู่ในตารางมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาไม่อยากให้ผู้ปกครองของเด็กคนนี้ต้องรู้สึกเช่นเดียวกันกับเขาตอนนั้น มือหนาเปิดประตู ดึงเด็กหนุ่มที่นอนฟุบกับพื้นขึ้นมานั่งข้างกัน “เป็นอะไรรึเปล่า”

“อย่ามายุ่ง!” คนเจ็บหอบสุดแรงทั้งสะบัดมือของชายหนุ่มออก ทำท่าหันรีหันขวางจะออกจากรถ “มันไม่ดีหรอกที่จะมาช่วย ปล่อยผมออกไป คุณจะลำบากเพราะผมเปล่าๆ!”

“ไปโรงพยาบาล”

“บอกว่าอย่ามายุ่ง...”

“คนเขาช่วยก็หัดสำนึกบุญคุณซะบ้าง!” อศวมินทร์แทรกขึ้นอย่างสุดทนกับท่าทีของเด็กหนุ่มตรงหน้า คนแสนจองหองทั้งที่ถูกช่วยไว้ถึงสองครั้งสองครา แต่กลับทำท่ายโสเหมือนตัวเก่งกาจทั้งที่ยังไม่สามารถเอาตัวเองรอดได้เลย เด็กหนุ่มเห็นแล้วรู้สึกทั้งโมโหถึงเรื่องเก่าเรื่องใหม่ผสมกัน “เห็นไหมว่าตำรวจกำลังวิ่งตามจับอยู่ อยากโดนจับเหรอ เคยไปนอนในตารางไหม!”

ดูเหมือนเจ้าตัวจะตกใจ เมื่อเห็นว่าเป็นรถที่อศวมินทร์อยู่ในนี้ด้วย แต่ไม่นานเท่านั้น อินทัชก็รีบพยุงคนเจ็บให้นั่งและกล่าวขึ้นมาเสียงดังว่า “ไปโรงพยาบาลเร็วเข้า เลือดไหลเยอะแล้ว เธอถูกแทงรึเปล่า ลุงมิ่งขับเร็วกว่านี้ได้ไหม”

“รีบที่สุดแล้วครับคุณอ้าย”

ณัชชานอนนิ่งหอบหายใจ ก้มมองมือหนาของชายผู้แปลกหน้าเอื้อมมากดแผลห้ามเลือดให้ แม้ตนกำลังสวมชุดสูทหรูหราราคาแพง ชายหนุ่มไม่อยากคิดว่าเขาคนนี้จะเป็นคนดีเด่อะไร นอกเสียจากต้องการสร้างภาพให้ตัวเองดูดี เขาเจอมาจนชินแล้ว! ณัชชาคิดเช่นนั้น แม้ดวงตาไม่อาจละไปจากมือหน้าของชายผู้ประคองร่างตน มือที่แปดเปื้อนแต่อีกฝ่ายไม่รู้สึกรังเกียจให้เขาเห็นแม้แต่น้อย

อศวมินทร์ทำได้เพียงนั่งนิ่งแม้ตนเองจะโมโหโทโสถึงเพียงไหนกับความใจดีไม่เข้าเรื่องของคุณลุง แต่ด้วยเพราะรู้ว่าอินทัชเป็นคนอย่างนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไร ใจอ่อนเห็นใจคนอื่นไปทั่ว ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลยก็เท่านั้น ไม่ขัดใจให้สุขภาพจิตตัวเองเสียเปล่าๆ ยอมตามไปนั่งรอเป็นเพื่อนอินทัชที่โรงพยาบาลอย่างไม่บ่นอะไรทั้งสิ้น ในระหว่างที่เด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือไม่สนโลก หูเขาได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่วิ่งกรูมาหยุดหน้าห้อง เด็กหนุ่มจึงเงยขึ้นไปมองด้วยความใคร่ทราบ

เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้งอศวมินทร์ ให้ต้องกลับมาประสบพบเจอกับเจ้ากรรมนายเวรอีกครั้งอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ คุณนายชไมพร คู่กรณีเก่าที่เขาเกือบจะซัดหน้าหงายไปคราวนั้นยืนอยู่ตรงหน้าเขา วินาทีแรกที่เงยไปสบตา นางดูเหมือนจะตกใจ แต่แววตาเปลี่ยนมาเคืองโกรธอย่างทนไม่ได้ เดินดิ่งมาหยุดตรงหน้าเขา

“เธออีกแล้วเหรอ!”

เสียงดังเพียะสะท้อนก้องหูของผู้กระทำยามฝ่ามือนั้นฟาดลงบนใบหน้า ทำเอาผู้ที่ยืนมองถึงกับต้องตกใจกันเป็นแถบ อินทัชถลาไปกอดบ่าเด็กหนุ่ม ต้องการปลอบให้อารมณ์เย็นลงอยู่ในทีเพราะเกรงว่าอศวมินทร์จะเลือดร้อน อศวมินทร์ยกมือกุมใบหน้าที่เจ็บแปลบตนเอง มึนงง เมื่อสายตากวาดไปเห็นเด็กสาวชื่อนัทคนนั้น และเด็กสาวที่เคยมีเรื่องมีราวกับเขายืนอยู่ด้นหลัง

ไม่อยากจะเชื่อ ณัชชา ไอ้คนมีปัญหาไม่เว้นแต่ละวันเป็นลูกชายของคุณนายลมบ้าหมูคนนี้!

******************************************

เอาล่ะซี่ เอาละซี่ 555555 ในขณะที่ความสัมพันธ์อันดีของลุงอ้ายกับน้องกำลังเริ่มต้น

อิคุณป้ามหาภัยมาอีกแล้ว ซึ่งต่อไปก็จะได้เจอนางอีก

แต่เรื่องใกล้จะถึงบทสรุปแล้ว จะมีก็แต่ปัญหาของคิมหันต์กับสองพี่น้องนี่รออยู่ มาร่วมเดินทางไปพร้อมกันนะคะ ว่าบทสรุปความรักและชีวิตของมินจะจบยังไง

เจอกันตอนหน้าจ้า
 

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เฮ้อออ :เฮ้อ:  รู้สึกถึงความยุ่งยากขึ้นมาทันทีที่เจอยัยป้านี่

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เฮ้อออ :เฮ้อ:  รู้สึกถึงความยุ่งยากขึ้นมาทันทีที่เจอยัยป้านี่
ก็จริงนะคะ แต่ตอนหน้าอาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ค่ะ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
ถ้าอีป้านี่รู้ว่าลุงอ้ายกับมินช่วยพาลูกตัวเองมาส่งโรงพยาบาล ไอ้ที่ตบไปแล้วป้าจะขอโทษมั้ย แก่กระโหลกกะลาจริงๆ

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
ป้า ทำร้ายร่างกายนี่โทษเป็นอาญานะป้า ไม่ได้เป็นทะเลาะวิวาท

ปรับหมื่นนึงนะป้า

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
ป้า ทำร้ายร่างกายนี่โทษเป็นอาญานะป้า ไม่ได้เป็นทะเลาะวิวาท

ปรับหมื่นนึงนะป้า
ฮ่าๆๆๆ แลดูทุกคนโกรธแค้นนางนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
คุณป้าคะ ช่วยดูให้ดีเถอะค่ะ คู่กรณีที่ไหนจะพาคนเจ็บมาส่งโรงบาลรอตำรวจ
อยากจะมุดคอมไปตบแทนน้องมิน

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
คุณป้าคะ ช่วยดูให้ดีเถอะค่ะ คู่กรณีที่ไหนจะพาคนเจ็บมาส่งโรงบาลรอตำรวจ
อยากจะมุดคอมไปตบแทนน้องมิน

คุณชไมพรรู้สึกจะโจทย์เยอะ 55555

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
มีคนเลี้ยงแบบนี้นี่เองเด็กถึงได้มีปัญหา

สมควรเอาเรื่องให้ถึงที่สุด  ที่ทำร้ายร่างกายคนอื่นแบบนี้
แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน จริงๆเลยกรณีนี้

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๒๔

ราวกับโชคชะตาต้องการลองใจเด็กหนุ่ม ให้เขาหวนกลับมาพบเจอกับปัญหาใหญ่เพื่อแก้อีกครั้ง

หลังจากเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าของอศวมินทร์ดังขึ้น ทุกอย่างในบริเวณโดยรอบราวหยุดชะงักและหลุดเข้าไปในห้วงของสนามรบอีกครั้ง แม้อ้อมกอดของอินทัชจะแนบแน่นปรามไว้เพียงไหน แต่แววตาร้อนระอุยามสบมองผู้กระทำต่ออศวมินทร์นั้นไม่ได้ลดทอนลง อินทัชเห็นท่าไม่ดี จึงหันไปหาคุณนายอีกฝั่งชี้แจงถึงความจริง “คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา”

“ฉันไม่เชื่อ คุณก็ทำทุกอย่างได้เพื่อเข้าข้างเขานั่นแหละ” คุณนายชไมพรยกนิ้วชี้ชี้หน้าของคนอายุอ่อนกว่าอย่างไม่สงวนท่าที แม้ลูกสาวทั้งสองจะเกาะแขนห้ามด้วยความขายหน้าถึงเพียงไหน หล่อนยังไม่ยอมเลิกที่จะกล่าวโทษเด็กหนุ่มตรงหน้า “เด็กนี่มันตัวปัญหา! โดนไล่ออกแล้วยังไม่สำนึก”

“นี่คุณ!”

“แม่คะ ใจเย็นๆ ก่อน” นัท หรือณิชชาเอื้อมมือกุมต้นแขนมารดากล่าวเมื่อเห็นว่าอศวมินทร์เริ่มเคือง เรียกให้คนถูกปรามเพิ่มดีกรีความร้อนมากขึ้นไปอีก “เขาจะฆ่าพี่ชายแกแกยังใจเย็นอยู่ได้อีกเหรอ ไอ้เด็กคนนี้มันฆาตกร คนที่แล้วก็ทำเขาเข้าห้องไอซียูจนตัวเองต้องระเห็ดออกจากโรงเรียนนี่ไง ฉันไม่ยอมเหมือนผู้ปกครองคนนั้นเพียงเพราะคุณเอาเงินไปฟาดหัวเขาหรอกนะ” ประโยคสุดท้ายนางหันไปว่ากับอินทัช

“ครั้งนั้นเขาทำเพราะช่วยพี่นิคไงคะ!”

คล้ายทุกอย่างถูกรีโมทคอนโทรล ทุกอย่างชะงักเงียบกริบในบัดดล ด้วยในระหว่างที่มารดาชี้หน้าเอาเรื่องอินทัชอย่างไม่ฟังใครอยู่นั้น เด็กสาวผู้เก็บงำความรู้สึกผิดไว้กับตัวเองก็โพล่งขึ้นอย่างสุดทน แต่ขณะเดียวกัน กลับเป็นอศวมินทร์ที่หันมองอินทัชอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ว่าอินทัชใช้น้ำเงินรับผิดชอบกับครอบครัวของเด็กคนนั้น แต่ทำได้เพียงมองคุณลุงอย่างนึกเคืองใจเท่านั้น เพราะแปลกใจยิ่งกว่าเมื่อเด็กสาวชี้นิ้วมายังเขากล่าวต่อว่า

“แม่ยังไม่รู้ใช่ไหม ก็เพราะพี่นิคไงถึงทำให้เขาหมดอนาคต ต้องไม่ได้เรียนต่อที่เก่า แม่เลิกโทษว่าเป็นความผิดคนอื่นสักที เพราะแม่นั่นแหละ!”

ชไมพรนิ่ง “แกว่าอะไรนะ...”

“วันนั้นหนูถูกนักเรียนคนนั้นลวนลาม แล้วพี่นิคก็ถูกพวกมันซ้อมเพราะไปทำร้ายคนของมัน แม่ต้องขอบคุณเขาสิถึงจะถูก ถ้าไม่ได้เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหนูบ้าง พี่นิคอาจตาย หรือหนูอาจโดนลากไปข่มขืนก็ได้” เธอระบายความรู้สึกทั้งจ้องตามารดา นี่ไม่ใช่การก้าวร้าวหรือกำลังเถียงผู้ใหญ่ เธอแค่อยากจะบอกว่าเธอรู้สึกผิดกับอศวมินทร์เหลือเกินที่ทิ้งเขาไว้แบบนั้น

เธอเห็นชื่อเขาบนเสื้อนักเรียน ท่องจำมันจนขึ้นใจ ตัดสินใจไปรอพบอีกฝ่ายเป็นอาทิตย์ มันแย่มากเมื่อได้รับรู้จากเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกันนั้นบอกว่าอศวมินทร์ถูกไล่ออกไปแล้ว เธอเสียใจเหลือเกินที่เป็นต้นเหตุทั้งหมด

“แม่เลิกมองข้ามความผิดตัวเองแล้วเอาแต่โทษคนอื่นได้ไหม เพราะแม่ไง แม่สนแต่สายตาคนอื่นไม่เอาใจใส่พวกหนูเลย...” หางเสียงของเด็กสาวเครือไหวจนไม่สามารถกล่าวต่อได้ ดวงตากลบไปด้วยน้ำมองมารดา เธออยากรีบเอ่ยในขณะที่ตนเองยังพอมีเวลา ให้มารดาได้ฟังในสิ่งที่เธอต้องการสื่อ “แม่คะ ช่วยฟังในสิ่งที่คนอื่นจะพูดกับแม่หน่อยได้ไหม วินาทีเดียวก็ได้...”

“นัท...” คุณนายชไมพรนิ่งมองลูกสาวตนอยู่เช่นนั้น เพียงไม่กี่ประโยคที่ลูกสาวกล่าวราวสาปให้หล่อนหยุดดิ้นเหยงๆ ไปในตอนนั้น เพราะนางรู้ดีว่าว่าณิชชาเป็นคนนิสัยยังไง ลูกสาวคนนี้พูดน้อยราวกับกลัวดอกพิกุลร่วง นางบอกให้ทำอะไรก็เชื่อฟัง พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายทุกครั้ง

“แม่ก็รู้ว่าพี่นิคเกเรเพราะอะไร ทั้งที่รู้เหตุผล แต่แม่กลับแก้ที่ปลายเหตุ”

นางคงปล่อยให้ณิชชาอยู่กับพี่ชายมากจนเกินไป “แกมันจะไปรู้อะไร เดี๋ยวนี้ชักก้าวร้าวเหมือนนิคไปทุกที!”

“แล้วถ้าลูกชายคุณตายขึ้นมาจะว่ายังไง ถึงตอนนั้นแล้วคุณค่อยคิดได้ใช่ไหม ผมไม่ได้ว่าคุณเป็นฝ่ายผิดหรอกนะครับเพราะตัวผมเองก็ไม่ได้เก่งไปกว่าคุณ ผมเองก็ยังสั่งสอนใครไม่ได้ แต่...ผมเข้าใจทั้งคุณและลูกชายคุณ เขาอาจแค่อยากถูกตำรวจจับ แล้วพบคุณที่สถานีตำรวจเท่านั้นก็ได้ เขาเอาตัวรอดเก่งกว่าที่คุณคิด” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ยามเห็นแววฉงนของผู้ฟังทั้งหลายฉายออกมาในดวงตานั้น

แต่อินทัชคงไม่อาจอธิบายอะไรได้ให้พวกเขาฟัง

เขารู้สึกไปเอง ที่เด็กคนนั้นไม่ยอมให้เขาช่วยคงเพราะอยากถูกตำรวจจับบ้าง ไม่อยากหนีอีกแล้ว เพราะรู้ว่ามารดาเป็นคนแคร์สายตาสังคมมากกว่าสิ่งไหน หากลูกชายโดนจับ นางจะได้รู้สึกอับอายและนึกถึงความรู้สึกลูกๆ เสียบ้าง

คุณนายชไมพรเป็นคนรวยประเภทขึ้นชื่อด้านภาพลักษณ์ที่ดูดีในสายตาสังคมมาตลอด แม้ไม่ได้ร่ำรวยหรูหราเท่าไฮโซโบว์ใหญ่หลายคน แต่เมื่อมีงานกุศลหรืองานเพื่อสาธารณะต่างๆ ก็มักจะมีชื่อของหล่อนอยู่อันดับต้นๆ เสมอ นั่นกระมัง คือปมที่เด็กหนุ่มคนนั้นเกลียด เกลียดการสร้างภาพ

“เขาแค่อยากให้คุณมองเขาบ้าง วันนี้ผมกับมินทำเขาผิดแผนที่ต้องการ ดันช่วยเพราะเห็นเขาเจ็บมาก”

“ที่จริงก็ไม่ได้อยากช่วยเท่าไร” อศวมินทร์แทรกขึ้นทั้งกอดอก เลือกที่จะเก็บข้าวข้องบนเก้าอี้ตั้งท่าว่าจะกลับบ้าน เด็กหนุ่มหยุดหันไปสบมองคุณนายอยู่ครู่ แม้รู้สึกได้ถึงสายตาคมแววเอ็ดเป็นนัยของคุณลุงส่งให้ ช่างมัน เด็กหนุ่มแสร้งเมินมองไม่เห็น กล่าวกับนางชไมพรว่า “ไม่ต้องบอกว่าจะไม่ขอโทษผมหรอก เพราะผมไม่ต้องการอยู่แล้ว ผมรู้ว่าคุณไม่เคยรู้ตัวเองเลยว่ากำลังทำอะไร ไม่งั้นลูกชายคงไม่เป็นแบบนี้หรอก”

“มิน...” อินทัชปรามเสียงระอา

เด็กหนุ่มสะบัดมือหนาคุณลุงออกจากบ่า ยังไม่หายเคืองเรื่องใหม่ที่ตนเองได้รู้ ไม่ฟังว่าคนอื่นเขากำลังพูดคุยอะไรกันให้เสียเวลา หากผู้ปกครองของณัชชามาแล้วก็ควรจะกลับเสียที แม้จะหงุดหงิดเสียอารมณ์ที่อีกฝ่ายจะงี่เง่าคิดเองเออเองว่าเขาเป็นฝ่ายผิดก็ตาม อศวมินทร์เปิดประตูเข้าไประงับอารมณ์ภายในรถยนต์ที่ติดเครื่องรอ แม้แอร์จะเย็นฉ่ำถึงเพียงไหนกลับเป็นใจของเขาที่ร้อนรุมไปเอง เมื่อเห็นว่าอินทัชไม่ได้เร่งรีบเดินตามมาอธิบายอย่างที่คิด

โธ่...นายณัชชานั่นสมควรจะเป็นเด็กมีปัญหาอยู่หรอก มีแม่แบบนั้น คิดแล้วเด็กหนุ่มก็ทิ้งกายนอนลงบนเบาะอย่างนึกปล่อยวาง จะมุ่งเข้าไปทำร้ายคืนทำไม แค่นี้ยายคุณนายนั่นก็หน้าเหวออับอายพออยู่แล้ว เด็กหนุ่มถอนใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าคนอื่นน่าสงสารกว่าตัวเอง

หวนมาคิดดูแล้ว เขาผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไรนะ เพราะอินทัช อินทัชคือเสาหลักของบ้านที่ดี ไม่แปลกใจที่หลานชายอย่างมาวินจะเทิดทูน ดูเหมือนการที่อินทัชเป็นเกย์จะไม่ส่งผลอะไรต่อมาวินเท่าไร แค่รู้สึกตกใจ แต่มาวินกลับรักลุงตัวเองมากขึ้นไปอีก

เพราะมาวินเป็นเด็กดี เพราะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดีจึงทำให้เป็นเช่นนั้น

“คนยังไงบ้างครับน้องมิน” ลุงมิ่ง คนขับรถเอ่ยถามความคืบหน้า แม้จะเห็นว่าเด็กหนุ่มดูอารมณ์หงุดหงิดกว่าทุกวันก็ไม่สน ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าอศวมินททร์เป็นคนอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร แม้พักนี้จะดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากก็ตาม เสียงเบาะขยับดังเอี๊ยดอ๊าดตามเสียงคนขยับตัวด้านหลังยามหันมาบอกอธิบายได้อย่างดี ว่าอศวมินทร์ไม่ได้โกรธจนไม่สนโลก

“ผมออกมาซะก่อน เพราะแม่ของมันไม่ค่อยถูกกับผมเท่าไร”

“หืม...”

ยังไม่ทันได้ถาม เสียงประตูยานพาหนะเปิดก็ดังขึ้นขัดจังหวะทั้งคู่เสียก่อน อศวมินทร์แหงนมอง เห็นเป็นร่างสูงของคุณลุงที่ยืนอยู่หน้าประตู มือหนึ่งถือเสื้อสูท บนเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอ้านภายในเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดแดงฉาน ทรุดกายมาจับศีรษะเขายกขึ้นและนั่งลง ไม่พูดจาหรือร้อนรนจะปรับความเข้าใจกับเด็กหนุ่ม แต่ที่ไม่ทำให้อศวมินทร์ใจร้อนมากขึ้นไปอีก คงเป็นเพราะอินทัชที่วางศีรษะเขาลงบนตักเจ้าตัวแทนการบอกให้ลุกขึ้นไปนั่งดีๆ นั้น

เด็กหนุ่มพลิกกายนอนตะแคงบนตักอุ่นนั้น ไม่ได้เริ่มหาเรื่องในทันที แม้จะรู้ว่าคุณลุงเองก็รู้สึกตัวว่าเขากำลังเคืองโกรธ อีกฝ่ายก็เว้นระยะห่างไม่เซ้าซี้ให้รำคาญใจ

อศวมินทร์ไม่เข้าใจสักนิด ว่าทำไมอินทัชต้องตามเก็บกวาดสิ่งที่เขาทำทิ้งไว้ด้วยอำนาจน้ำเงิน เด็กหนุ่มเคยฟังมาหลายแง่จนนับไม่ถ้วนแล้ว สิ่งที่เขาได้ก่อไว้นั้นทำให้ใครต่างดูถูกครอบครัวว่าร่ำรวยและสามารถใช้เงินลบความผิดได้ เขาอยากรู้สึกผิดด้วยตัวเอง อศวมินทร์แค่อยากให้อินทัชมาพูดกับเขาเช่นนั้นบ้าง ปรับความเข้าใจ มาอธิบายเพื่อให้เขาเข้าใจด้วยตัวเอง มิใช่ใช้เงินลบล้างทุกอย่างให้หายไปโดยง่าย

แบบนั้นเขาคงทำอะไรไปโดยไม่รู้สึกผิดตลอดชีวิต

เมื่อเดินทางถึงคฤหาสน์อันเป็นที่พักพิงอาศัยของทั้งคู่ อศวมินทร์เดินตามหลังผู้อาวุโสกว่าอย่างเงียบเชียบ ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนไปของเขาจะได้สร้างความประหลาดใจแก่อินทัชน่าดู แน่ล่ะ เขาเลิกแล้วไอ้นิสัยเห็นอะไรแล้วจับฟาดทำลายทิ้ง เลิกแล้วนิสัยพาลเวลาโมโห เด็กหนุ่มแค่อยากจะถามเจ้าตัวให้เข้าใจเป็นอันดับแรก เพราะเขาทราบแล้วว่านอกจากสะใจก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยหากทำอย่างข้างต้น

“ลุงอ้าย ผมมีเรื่องจะถาม”

เด็กหนุ่มเริ่ม มือหนากุมต้นแขนคนเดินนำให้หยุดชะงักอยู่หน้าประตูห้องพักของผู้เป็นลุง วินาทีที่อินทัชหันมาเลิกคิ้วย้อนนั้น แม้จะเห็นว่าคนตรงหน้าแลดูเหนื่อยหรืออิดโรยเพียงไหน อศวมินทร์ก็อยากจะถาม เพราะไม่อยากคิดเอาเองเพียงคนเดียวอย่างที่ผ่านมา “ผมอยากรู้ ทำไมคุณไม่บอกผมว่าไอ้เด็กคนนั้นมันเข้าห้องไอซียู ทำไมคุณเลือกที่จะใช้เงินมากกว่าจะมาพูดให้ผมเข้าใจ ทำไมคุณไม่มาเรียกให้ผมไปพบครอบครัวเขา ไปขอโทษเขา”

คนฟังนิ่ง เมื่อเห็นอศวมินทร์ถามด้วยสสีหน้าจริงจัง อันดับแรกชายหนุ่มไม่อยากเชื่อว่าเด็กน้อยตรงหน้าจะอ่อนไหวด้วยเรื่องพวกนี้มากขนาดนี้ อินทัชแปลกใจไม่น้อย เขาปรับสีหน้าเดินเข้าไปใกล้อศวมินทร์มากขึ้นและอธิบายว่า “มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะมิน เพราะเมื่อก่อนเธอไม่ใช่แบบนี้ เธอไม่ใจเย็นแบบนี้ เธอไม่พูดเข้าใจง่ายแบบนี้ ฉันเลยคิดว่ามันยากที่จะเข้าไปพูดกับเธอ”

เด็กหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งหลังได้ฟังคำตอบ ก่อนพยักหน้ารับรู้ คงใช่ที่ว่าเมื่อก่อนเขาแย่มาก ไม่สนคำพูดของใครหากต้องการอะไรก็ต้องให้ได้ตามที่ตัวเองหวัง บางทีเขาก็คิดว่าตัวเองนิสัยไม่ต่างจากคุณนายชไมพรอะไรนั่นเสียเท่าไร

“ฉันอยากจะบอกกับเธอ อยากจะคุยกับเธอ แต่ตอนนั้นฉันก็เหนื่อยเหมือนกัน เพราะไม่ว่าจะคุยอะไรกับเธอไป ดูเหมือนฉันจะผิดไปหมดเสียทุกอย่าง” อินทัชเล่า

แววตาที่อศวมินทร์เห็นจากคุณลุงนั้นคล้ายกำลังตัดพ้ออยู่ในที เด็กหนุ่มทำได้เพียงกำหมัดไว้แน่นจนสั่นไหว ความรู้สึกตีรวนขึ้นมาในอก มันสั่นเฉกเช่นเดียวกันกับกำปั้นหนาของเขา นานอยู่ที่ทั้งคู่ต่างเงียบไปเพื่อเว้นระยะห่างแก่ฝ่ายตรงข้าม แต่ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มได้เงยขึ้นสบนัยน์ตาอ่อนล้าของชายตรงหน้า หลังจากได้ขบคิด เขาขบกรามแน่นโกรธและรังเกียจตัวเองที่เอาแต่สร้างปัญหา “ผมแม่งโคตรเหี้ยเลย!”

“มิน...มิน!”

อศวมินทร์หมุนตัวเดินลงไปด้านล่างด้วยความรวดเร็ว แม้ว่าอินทัชจะพยายามร้องเรียกก็ไม่เป็นผล ชายหนุ่มหนุ่มที่ยืนมองตามส่ายใบหน้าไปมาด้วยความไม่เข้าใจว่าเด็กคนนั้นต้องการทำอะไร ในระหว่างที่ยกมือกุมหน้าผาก อินทัชใจหายเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ของบ้านสตาร์ทเครื่อง ชายหนุ่มวิ่งไปเกาะราวระเบียงมองลงด้านล่าง พบลุงมิ่งกำลังวิ่งตามรถคันนั้น ด้วยความสะเพร่าที่วางกุญแจไว้ใกล้มือ ทำให้อศวมินทร์หยิบไปได้อย่างง่าย

ภาพรถยนต์ของบ้านแล่นออกไปด้วยความรวดเร็วนั้นบาดอกคนมองตรงนี้ อินทัชตัวแข็งทื่อ ไหนว่ารู้สึกผิด ไหนว่าตัวเองแย่ที่ทำให้คนอื่นลำบาก เมื่อครู่ยังต่อว่าตนเองที่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอยู่เลย แล้วทำไมต้องทำให้เขาห่วงแบบนี้ด้วยเล่า
 

ไปไหน ไปไหนหนอเด็กดื้อ!

อินทัชเดินวนไปมาที่ระเบียงด้วยสภาพนั้นกว่าชั่วโมงแล้ว ท้องฟ้ามืดลงเรื่อยๆ สุดท้ายแสงสว่างจากหลอดนีออนหน้าบ้านก็สาดมาทดแทน ชายหนุ่มเทียวถอนหายใจเหลียวมองไปยังหน้าบ้านรอให้รถคันเดิมแล่นกลับมา ไม่ไปอาบน้ำอาบท่าให้เสียเวลา ชายหนุ่มอยากรอพูดคุยกับอศวมินทร์ให้เข้าใจ หากเสียเวลาแม้แต่นาที เด็กคนนั้นอาจหนีเข้าห้องพักไม่ยอมคุยด้วยก็ได้ อินทัชถอนหายใจ ทรุดกายลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อนมองหน้าจอโทรศัพท์ ไม่ว่าจะโทรไปกี่ครั้งเจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะกดรับ

ทำไมต้องทำแบบนี้ จะทำให้เขาเป็นโรคประสาทตายหรือไง นัยน์ตาคมแหงนมองท้องฟ้าบัดนี้มืดสนิทจับจ้องอยู่นานโข ดื่มด่ำเอาความเงียบสงัดนั้น นานเท่าไรไม่ทราบที่เขาแหงนมองบรรยากาศเบื้องหน้า มันดูดเข้าเข้าสู่วังวนแห่งความผิดที่ไม่น่าให้อภัย

เสียงครืดๆ ต้นเหตุเกิดจากโทรศัพท์ดังขึ้นเรียกให้อินทัชรีบผละมามอง ด้วยคิดว่าลูกชายในนามจอมแสบจะติดต่อกลับมา ชายหนุ่มกุลีกุจอลุกขึ้นนั่งตัวตรง หยิบเอาเครื่องมือสื่อสารซึ่งหน้าจอกำลังส่งแสงสว่างบอกว่ามีคนติดต่อมาดู แต่ครั้นเห็นเลขหมายปลายทาง อินทัชนิ่งไปยะระหนึ่งราวเห็นผี นัยน์ตาคมทำได้เพียงจับจ้องตัวเลขและชื่อที่ตนบันทึกไว้อย่างเคร่งขรึม

“ฮัลโหล...” หลังจากกดรับและยกมาแนบหู อินทัชทักทายอีกฝ่ายด้วยอย่างไม่เป็นทางการ แววตาอิดโรยเต็มทีมองอดออกยังเบื้องหน้ารับฟังคนในปลายสาย แม้อินทัชจะรู้สึกลำบากใจ

“คุณเป็นยังไงบ้าง”

ประโยคนี้คนฟังราวกับถูกคนถามบีบหัวใจ อินทัชพ่นลมหายใจเล็กน้อยหลังจากได้ยิน น้ำเสียงอีกฝ่ายไม่ไร้ความรู้สึกเหมือนเคย รับรู้ว่าปลายสายไม่ได้กำลังเคร่งเครียดหรือรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างเขา ชายหนุ่มนิ่ง ก่อนจะยอมเอ่ยตอบในที่สุด “ผมสบายดี ก็เหมือนทุกๆ วัน”

“แต่เสียงคุณดูเหนื่อยนะอ้าย” อีกฝ่ายรีบเปรย แม้จะดูไม่อารมณ์เสียหรือโมโหอยู่ก็ถอนใจเสียเสียงดังมาจนถึงทางนี้ “เฮ้อ...อยู่ที่นี่ไม่มีคุณผมเหงามากเลยล่ะ ถึงไม่ได้เห็นหน้าคุณว่ากำลังเหนื่อยขนาดไหน ผมรู้สึกไม่ดีนะที่ได้ยินเสียงแบบนั้นของคุณ”

“คุณมีอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มเอ่ยขัด

“อ้าย...” อินทัชยกมือลูบใบหน้าตนเองขณะฟัง ภาพใบหน้าของคนในสายยามลากเสียงละล้าละลังนั้นคล้ายในยามที่อีกฝ่ายกล่าวตอนนั้น ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายยอมเดินจากมา “ผมขอโทษที่ขอให้เราห่างกัน ผมขอโทษที่เอาแต่ใส่อารมณ์ รำคาญคุณ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมอยู่คนเดียวไม่ได้ ผมต้องการให้คุณกลับมา ผมผิดไปแล้ว คุณอภัยให้ผมได้ไหมกับเรื่องที่ผ่านมา ผมสำนึกแล้วจริงๆ นะ”

“ผมจะไม่ไปที่นั่นแล้วคริส” ภาพของชายในสายยามใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวตะคอกใส่เขา ภาพยามอีกฝ่ายขว้างปาข้าวของเสียหายเมื่ออะไรไม่ได้ดังใจ ภาพยามมือที่เคยมอบกอดให้ผลักเขาออกห่างยามโมโหอะไรสักอย่าง แม้ในยามสดใส แม้ในยามที่ไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจนั้นจะเป็นคนน่ารัก แต่อินทัชไม่อยากกลับไปตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น

คริสตอฟมักแสดงท่าทีรำคาญยามเขาเอาใจใส่ อีกฝ่ายมักจะไม่เห็นค่าเวลาเขาแสดงความห่วงใย นี่เป็นครั้งที่เท่าไรที่เขายอม สุดท้ายเจ้าตัวก็ไม่เคยปรับตัวเพื่อเขา

“ผมรักคุณนะอ้าย ผมคิดถึงคุณ ผมแค่อยากถามว่าพอจะมีโอกาสสักนิดไหม”

“ผมจะไม่กลับไปหาคุณอีกแล้วจริงๆ ขอโทษนะคริส ผมไม่อยากอยู่ในวังวน” อินทัชกดวางสาย คงเป็นเวรกรรมของอินทัชที่ทำให้เขาต้องพบเจอแต่เรื่องร้ายๆ ไม่เคยได้พบรักดีๆ กับตัวเลยสักครั้งในชีวิต ชายหนุ่มพ่นลมหายใจกะพริบตาถี่รัวไล่อารมณ์ แม้จะคิดว่าตนเองเข้มแข็งพอแล้วก็ยังเจ็บหนึบที่อกไม่หาย แค่ได้ยินเสียงของคนที่ตนเคยรัก คนที่เคยทำร้ายจิตใจ แค่นั้นความเข็มแข็งที่ก่อมาเป็นภูมิคุ้มกันก็มลายลงไปในพริบตา

เขาทำบาปทำกรรมอะไรไว้หนอ ทำไมจึงพบแต่คนคอยทำร้าย ชายหนุ่มมองนาฬิกาบ่งบอกเวลาสามทุ่มของวัน ไม่รู้ว่าอศวมินทร์จะกลับมาเมื่อไร ขืนนั่งตากยุงอยู่อย่างนี้มีหวังป่วยแน่ อินทัชพ่นลมหายใจลุกขึ้นยืนคิดว่าจะไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สดชื่นเสียหน่อย แม้จะยังวางใจเรื่องของอศวมินทร์ไม่ได้ แต่หากยังรออยู่อย่างนั้นก็คงไม่ช่วยอะไร

หวังแค่ว่าเด็กคนนั้นจะไม่ทำอะไรพลาดลงไปอีก

เสียงแตรรถหน้าบ้านหยุดฝีเท้าอินทัช นั่นคงเป็นรถที่อศวมินทร์ขับออกไปเมื่อตอนเย็นแน่ อินทัชเปลี่ยนจุดมุ่งหมายเป็นการเดินลงบันไดไปด้านล่างแทน ด้วยอยากสอบถามว่าไปไหนมา หากทว่าลำขายาวชะงักเมื่อคิดได้ หากเขาใจร้อนแล้วเอาแต่บังคับถามอศวมินทร์ คำตอบที่ได้มาคงเป็นความว่างเปล่าอย่างเช่นทุกครั้ง ชายหนุ่มยืนอยู่ครู่ มองออกไปยังประตูว่ามีคนเดินเข้ามาหรือยัง

เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งใกล้เข้ามา ปรากฏร่างกายสูงใหญ่ซึ่งสวมชุดนักศึกษาโผล่เข้ามาภายในประตูบานกว้าง อินทัชโล่งใจเมื่อเห็นว่าคนตรงนั้นไม่มีร่องรอยชกต่อยหรือทะเลาะกับใคร ชายหนุ่มรีบเดินไปหยุดตรงหน้า มองแววตาของอศวมินทร์

“เธอจะทำให้ฉันห่วงไปถึงไหน ไหนบอกว่าโตแล้วไง!” เขาไม่ได้สอบถาม ไม่ได้เค้นหาเอาคำตอบให้ตนเองเข้าใจ กลับพ่นคำที่อัดอั้นในใจออกไปให้อีกฝ่ายรับทราบ “อยากให้ฉันบ้าใช่ไหม!”

อศวมินทร์นิ่ง ก้มลงมองตามร่างกายของคุณลุงเบื้องหน้าอย่างถี่ถ้วน อินทัชยังสวมเสื้อผ้าชุดเดิม หรือจะเป็นห่วงเขาจนไม่เป็นอันทำอะไร เด็กหนุ่มนิ่ง สีหน้าเรียบนั้นยิ่งดูจืดชืดมากขึ้นไปอีกด้วยโกรธตัวเองที่ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด เขาไม่ได้ตรองไว้ล่วงหน้าว่าอินทัชจะเป็นห่วงและวิตกจริตเรื่องเขาได้ขนาดนี้ อศวมินทร์ขยับกายเข้าไปยืนตรงหน้าคุณลุง แม้รู้สึกหนักอึ้งเท่าไรก็ตาม

“ขอโทษครับ”

คนฟังยิ่งได้ยินยิ่งเพิ่มความโมโห “ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะรู้ไหม ฉันเป็นห่วงจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว”

“ขอโทษ ผมขอโทษที่เอาแต่ใจ” อินทัชชะงัก เมื่อร่างตรงหน้าก้าวเข้ามาด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความรู้สึกผิดโดยแท้จริง และร่างกายซึ่งแนบชิด กอดเขาไว้แน่นราวต้องการการอภัยให้อย่างเว้าวอนสำนึกผิด นั่นทำให้คนถูกกระทำตัวแข็งทื่อ ความโมโหฉุนเฉียวเมื่อครู่หล่นวูบหายไป ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของเด็กหนุ่มซึ่งเกยคางอยู่บนบ่า กระซาบกระซิบอธิบายว่า “ผมไปบ้านของเด็กนั่นมา แล้วก็รู้ความจริงทุกอย่างจากแม่เขาหมดแล้ว ผมขอโทษนะ”

อศวมินทร์หลับตาเอ่ยด้วยเสียงพร่าไหว ไม่ยอมปล่อยคนในอ้อมกอดออกห่าง

ที่จู่ๆ เขาวิ่งออกไปเพราะอยากเห็นกับตาว่าคู่กรณีคนนั้นเป็นอย่างไร เด็กหนุ่มติดต่อหาอาจารย์ที่ปรึกษา ขอความเห็นใจจากเธอเพราะต้องการทราบที่อยู่ของเด็กคนนั้น จากนั้นก็เดินทางไปพบครอบครัว เมื่อไปถึงทำให้อศวมินทร์ทราบว่าที่จริงแล้วทางนั้นเป็นฝ่ายไม่ติดใจเอาความเอง เพราะทราบดีว่าฝ่ายลูกของตนมักไปหาเรื่องชกตีกับผู้อื่นบ่อยๆ เป็นเด็กเกเรมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

ผู้ปกครองของเด็กคนนั้นเล่าว่าอินทัชแวะเวียนไปเยี่ยมไข้แทนอศวมินทร์เสมอ อาสารับผิดชอบค่ารักษาพยายาลเท่านั้นเอง ไม่ได้ใช้เงินฟาดหน้ามากมายอย่างที่ใครเขาคิดกัน

ความเงียบกลืนกินทั้งคู่ขณะสาวเท้าขึ้นบันไดไปยังชั้นบนของบ้านพัก เด็กหนุ่มชำเลืองตามองคนข้างกายเล็กน้อยขณะก้าวเดิน เมื่อเห็นว่าถึงหน้าห้องพักของอินทัช คนลอบมองก็รู้สึกร้อนใจจนแทบจะพูดออกมาไม่เป็นภาษา เพียงแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะเอ่ยออกไป

แต่ไม่ได้ คืนนี้เขาจะพูดให้มันชัดเจนสักที

ในระหว่างที่อินทัชกำลังจะเปิดประตู เสียงลูกบิดขยับเล็กน้อยนั้นไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทของชายหนุ่ม ขณะนั้นเขาประหลาดใจ เมื่อรู้สึกถึงมือหนาของคนด้านหลังซึ่งได้เอื้อมมากุมรั้งไว้ อินทัชหันไปมองคนกระทำ ซึ่งมีสีหน้าไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเท่าที่ควร “ผม...ขอคุยด้วยได้ไหม”

หากตอบว่าไม่ก็คงจะไม่ได้อยู่แล้ว หากอศวมินทร์ต้องการ อินทัชจึงเลือกหันมาเต็มกาย “ว่ามาสิ” สบตาคนยืนตรงหน้า

พร้อมกันนั้นมือคนรั้งก็เคลื่อนลงไปประสานนิ้วกัน อินทัชก้มลงมองอย่างไม่อาจเข้าใจ เมื่อได้เห็นว่าอศวมินทร์ดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ในตอนที่เด็กหนุ่มยังไม่เป็นตัวเองนั้นคนมองก็เช่นเดียวกัน รู้สึกประหม่าและหวาดระแวงกับประโยคที่กำลังจะได้ยินจนใจหาย และเมื่ออศวมินทร์เชยตาขึ้นมาสบ ดวงใจของชายหนุ่มก็วูบหายไปเสียเฉยๆ กับแววตานั้น

“คุณอยากลองดูอีกสักครั้งไหมลุงอ้าย”

ลอง อินทัชมุ่นคิ้วฉงนมองคนกล่าวตรงหน้า “หมายความว่าไง”

“ไม่ใช่ฐานะคนรับเลี้ยง แต่ในฐานะคนรัก ผมรักลุงอ้ายมากเลยนะ ถ้ารักแล้วผมจริงจังนะ” อศวมินทร์ขยับเข้ามากุมมือของคนฟังทั้งสองข้าง “ผมจะไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา จะพูดตรงๆ ให้คุณเข้าใจความรู้สึกจริงของตัวเอง แล้วคุณล่ะ คุณรักผมไหม”

รักงั้นหรือ

อินทัชกลืนน้ำลายไม่อาจสบตาของคนตรงหน้าอีกต่อไป ความรู้สึกนั้นตนเองไม่อยากยกให้ใครง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว สิ่งที่ประสบพบเจอมาหลายต่อหลายครั้งทำให้ชายหนุ่มกระด้างเย็นชา โดยเฉพาะต่ออศวมินทร์นั้นยิ่งไปกันใหญ่ เขาไม่อาจบอกความรู้สึกตัวเองได้เหมือนวันนั้น “ฉันจะรักหรือไม่รัก มันก็ไม่เห็นจะสำคัญอะไรตรงไหนเลยนี่ เธอเองก็เคยบอกฉันแบบนั้น”

คนฟังสะท้านไปทั้งกาย เมื่อประโยคที่ตนกล่าวทำร้ายชายตรงหน้าย้อนกลับมาตีกลางแสกหน้า เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายแห้งผากในลำคอ “ผม...ขอโทษ เรามาเริ่มใหม่กันได้ไหมลุงอ้าย ผมจะไม่ทำแบบนั้นกับคุณอีกแล้วสาบานได้”

“มิน...”

“เรากลับเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้ไหม นะลุงอ้าย ผมอยากกอดคุณเมื่อไรก็ได้ อยากจูบคุณเมื่อไรก็ได้ ผมไม่อยากเอาแต่คอยขออนุญาตทั้งที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์ ทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะได้รับมันไหม จะให้ผมทำยังไงผมยอมทุกอย่างแล้ว” ร่างสูงขยับเข้าไปดึงอินทัชมากอด จูบลงบนหลังคอซ้ำเว้าวอนกับคนฟังที่ยังนิ่ง

“มิน นั่นมันไม่ใช่หน้าที่ฉัน”

เด็กหนุ่มกอดอินทัชไว้แนบแน่น ในขณะที่เจ้าตัวเองเลือกที่จะปัดป้องความรู้สึกของตัวเองมากกว่า อินทัชแกะมือของเด็กตรงหน้าออกมาสบตา แววเว้าวอนขอร้องยังไม่จางหายไปจากนัยน์ตาคมเบื้องหน้า เขาอยากยกโทษ อยากปลอบประโลมอศวมินทร์เหลือเกิน แต่อีกด้านของความรู้สึกก็ตระหนักถึงความเจ็บปวดของตัวเองเมื่อก่อน ราวชนักที่ปักหลังไว้ตลอดเวลา มันยากนักที่จะลืม “เธอก็รู้ว่าฉันหักหลังแม่เธอไม่ได้...”

อินทัชผละมือออก มองแววตาเศร้าสร้อยของเด็กหนุ่มตรงหน้ายามได้สบตา เขารู้และเห็นว่าอศวมินทร์กำลังรู้สึกผิดที่ทำร้ายเขามาโดยตลอด แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะลบล้างความรู้สึกของชายหนุ่มออกไปได้ในชั่วโมงนั้น

“ฉันคงทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ”

หลังจากได้ฟัง อศวมินทร์นิ่งอยู่หน้าห้องนั้นราวถูกสาป แม้เจ้าของห้องจะเปิดเข้าไปข้างในนานโขแล้วก็ตาม เขาไม่อยากเชื่อว่าอินทัชจะเจ็บปวดและใจแข็งได้ถึงขนาดนั้น จะทำยังไง ความรู้สึกของคนที่ต้องการขอความรักนั้นเอ่อล้นจนควบคุมไม่ได้ แล้วไม่ได้รับสิ่งนั้นตอบกลับมา

ทำอย่างไร มารู้ตัวอีกที ภายในสมองของเขาก็มีแต่ภาพของอินทัช จะโกรธจะแค้น จะเสียใจ ภาพใบหน้าของอินทัชเท่านั้นที่ลอยว่อนอยู่ในสมอง มารู้ตัวอีกที ความรู้สึกตัวเองที่มีต่ออีกฝ่ายนั้นก็สายเกินกว่าจะมอบให้และได้รับกลับมา อศวมินทร์ยกมือกุมหน้าผากตนเอง ยืนมองประตูนั้นอย่างหาคำตอบให้แก่ตนเองไม่ได้

มันสายไปแล้วใช่ไหมลุงอ้าย ที่จะรัก
 
***********************************************

ทำใจหน่อยลูก ลุงอ้ายเจอมาเยอะเจ็บมาเยอะ นางปฏิเสธทุกคน ตอนจบนางได้กับอู๋ค่ะ 5555 ล้อเล่น

ถ้ารักก็ตามง้อสิคะ จับขึ้นเตียงค่ะ งานมโนก็ต้องมา

แล้วตอนหน้า มาดูค่ะว่าน้องมินจะทำยังไงให้ลุงอ้ายยอมคืนดีด้วย คอมเม้นกันเยอะๆ น้า^^

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
หนูมินถ้าอยากให้ลุงอ้ายกับมาคบด้วย ต้องเป็นเด็กดีให้ลุงอ้ายเห็นนะจ๊ะ

ต้องตั้งใจเรียน อย่ามีเรื่องชกต่อย และที่สำคัญคือต้องง้อลุงอ้ายและต้องขยันตื้อด้วยนะ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก น้องมินสู้สู้

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
หนูมินถ้าอยากให้ลุงอ้ายกับมาคบด้วย ต้องเป็นเด็กดีให้ลุงอ้ายเห็นนะจ๊ะ

ต้องตั้งใจเรียน อย่ามีเรื่องชกต่อย และที่สำคัญคือต้องง้อลุงอ้ายและต้องขยันตื้อด้วยนะ
ใช่แล้ว ลุงอ้ายชอบแบบนั้นค่ะ เขาชอบเด็กดี

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
ความจริงใจจ๊ะน้องมิน และเสมอต้นเสมอปลาย ท่องไว้ลูกตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด