บทที่ 27
เพราะเป็นครรภ์แฝดการดูแลเลยต้องพิถีพิถันมากเป็นพิเศษ นอกจากอาหารการกินแล้ว การออกกำลังกายเบาก็เป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตประจำวันของซินเธีย ยิ่งนับเวลาที่จะได้พบหน้าสองแฝดใกล้มามากเท่าใดการเตรียมพร้อมก็ยิ่งต้องมีมากขึ้น
เช้าวันนี้หลังจัดการอาหารมื้อใหญ่จบลงก็ใช้เวลาย่อยอีกราวครึ่งชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติสำหรับโอเมก้าได้เดินทางมาเปิดคลาสเรียนเล็กๆ สำหรับคุณแม่ลูกแฝดถึงคฤหาสน์คิม
เจน คือผู้เชี่ยวชาญทางด้านโอเมก้าซึ่งแอชลีย์จ้างมาเป็นพิเศษผ่านแพทย์ประจำตัวของซินเธียอีกทอดหนึ่ง เธอจะมาที่นี่สัปดาห์ละหนึ่งครั้งเพื่อให้คำแนะนำสำหรับเตรียมตัวคลอด อย่างระยะนี้ซินเธียกำลังฝึกเรื่องการหายใจสำหรับคลอดด้วยตนเองอยู่
สำหรับเด็กแฝดแล้ว โอกาสในการคลอดก่อนกำหนดจะสูงกว่าครรภ์ปกติที่มีเด็กเพียงคนเดียว ตอนนี้เหลือเวลาอีกราวหนึ่งเดือนครึ่งก็จะได้พบหน้าลูกแล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็อดตื่นเต้นนับวันรอไม่ได้
ฝ่ายแอชลีย์ คิม ก็ดูท่าจะเตรียมตัวไม่น้อย เพื่ออยู่เป็นเพื่อนภรรยาของเขา พออายุครรภ์มากขึ้นขนาดหน้าท้องก็ยิ่งขยายใหญ่จนแม้แต่การนั่งอยู่เฉยๆ ยังอึดอัด จะลุกจะเดินทำอะไรดูลำบากไปเสียหมด จะปล่อยให้อยู่คนเดียวก็ไม่วางใจ พักหลังมานี้ชายหนุ่มเลยหยุดงานค่อนข้างบ่อย บางสัปดาห์แทบจะขลุกตัวอยู่ในคฤหาสน์เสียด้วยซ้ำ
ขนาดตอนนั้นได้ยินว่าทางครอบครัวตระกูลไลได้ให้กำเนิดคุณหนูตัวน้อยออกมาแล้ว เจ้าตัวยังไม่คิดจะไปเยี่ยมตามมารยาทเลย ได้แต่บอกว่าเรื่องเยี่ยมนั้นค่อยไปครั้งหน้าก็ยังไม่สาย วินเทอร์ฟอลหรือก็ไม่ได้กว้างใหญ่อะไร แถมยังมีการบ่นว่าสำหรับลูกคนที่สองน่ะ มีอะไรน่าตื่นเต้นมากกัน ประโยคนี้ชายหนุ่มรำพึงคล้ายไม่ใส่ใจแต่กลับดูสวนทางกับพฤติกรรมของตนเองอยู่เนืองๆ
สัปดาห์หน้าคุณผู้นำตระกูลคนเก่งจำเป็นจะต้องเดินทางไปยังอีสเทิร์นพอร์ตอีกครั้งเพื่อตรวจสอบเรื่องของการขนส่ง หลังทำการตกลงเรื่องเช่าท่าเรือจากทางตระกูลแลมเบิร์ตธุรกิจอัญมณีของชายหนุ่มก็กำลังไปได้สวย เงินเข้ามากว่าเงินออก เติบโตไปตามเป้าหมายสร้างความพอใจกันทั้งสองฝ่าย แต่จะปล่อยให้งานดำเนินไปโดยที่นายใหญ่ไม่ไปดูแลสักครั้งก็ไม่ถูกต้องนักต่อให้มีคนดูแลแทนอยู่ก็ตาม อย่างน้อยก็ต้องเดินทางไปตรวจสอบเพื่อรับทราบความเคลื่อนไหวถึงหน้างานอย่างน้อยสามเดือนครั้ง
แอชลีย์กำลังคิดหนักว่าควรจะเลื่อนการเดินทางไปตรวจสอบออกไปก่อนดีหรือไม่ จะให้ไปคนเดียวโดยทิ้งภรรยาท้องแก่เอาไว้ลำพังดูไม่ใช่เรื่องดี จะพาติดตามไปด้วยก็ต้องคิดให้รอบคอบ เรื่องนี้จึงกำลังอยู่ในช่วงพิจารณาอย่างหนัก และชายหนุ่มก็ยังคิดไม่ตก
อันที่จริงซินเธียไม่คิดมากว่าตนจะต้องไปด้วยหรือต้องรออยู่ที่นี่คนเดียว แต่ถ้าเป็นอย่างหลังก็แอบวูบโหวงอยู่ในใจเช่นกัน พูดตามตรงตั้งแต่เดินทางมายังแดนเหนือแห่งนี้มันก็เกือบจะครบหนึ่งปีแล้ว เราอาจจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่ก็ยังไม่เคยห่างกันข้ามวันข้ามคืนเลยสักครั้ง ต่อให้อยู่ในช่วงงานยุ่งมากแค่ไหนแอชลีย์ก็มักจะกลับมานอนที่คฤหาสน์ทุกครั้งไม่ว่าดึกแค่ไหนชายหนุ่มไม่เคยค้างคืนที่อื่นเลยสักครั้ง
ซินเธียยกมือขึ้นลูบหน้าท้องนูนใหญ่ของตัวเองพลางประคองไปด้วยขณะเดินไปยังสวนด้านหลังของตัวคฤหาสน์ ตอนนี้วินเทอร์ฟอลเข้าสู่ช่วงฤดูกาลแห่งชีวิตแล้ว สีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า สีสันสดใสของดอกไม้บานสะพรั่งเต็มสวนด้านหลังกลายเป็นภาพแปลกตา หิมะเลือนหายไปแทนที่ด้วยความสดชื่น กลิ่นหอมและเหล่าผีเสื้อโบยบิน
เมื่อมองไปมุมหนึ่งของสวนจะพบเรือนเพาะชำเล็กๆ มันพึ่งถูกสร้างเสร็จเมื่อไม่นานมานี้ ด้านในปลูกต้นมะเขือเทศเชอร์รี่เอาไว้มากมาย พอคิดถึงตรงนี้ซินเธียอดจะยิ้มน้อยๆ ให้กับเจ้าของความคิดไม่ได้
‘ปลูกในเรือนเพาะชำ จะได้ทานตลอดทั้งปี’
เจ้าตัวเขาว่าเอาไว้อย่างนั้น แต่ให้มองในด้านเหตุผลก็น่าเชื่อถือ วินเทอร์ฟอลมีสภาพอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี ยิ่งช่วงครึ่งปีหลังจะอากาศหนาวมากเป็นพิเศษ นอกจากหิมะสีขาวปกคลุมไปทั่วแล้วทั้งต้นไม้ใบหญ้าก็แทบจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้คล้ายถูกแช่แข็งเอาไว้ใต้ผืนเกล็ดน้ำแข็ง ส่วนเจ้าต้นมะเขือเทศเหล่านี้เองก็คงจะแข็งตายก่อนได้เก็บเกี่ยว
“มองอะไรอยู่”
เหม่อมองนู่นมองนี่ไปเรื่อยคนที่กำลังอยู่ในความคิดก็เดินเข้ามาหา ร่างกายสูงใหญ่ขยับมาชิดกันด้านหลัง สองแขนแข็งแรงโอบประคองหน้าท้องนูนซ้อนทับมือของเด็กหนุ่มเอาไว้อีกทอดหนึ่ง จรดปลายจมูกลงบนขมับสูดรับกลิ่นหอมจากกายบาง
“เปล่าครับ” เขาตอบทั้งที่สายตายังคงทอดมองออกไปแสนไกลไร้จุดพัก
“ไปเดินเล่นกัน” เอ่ยชิดใบหู สองมือเริ่มขยับเปลี่ยนมาลูบไล้เนินหน้าท้องอย่างเพลิดเพลิน คนฟังเลยชักไม่แน่ใจว่าประโยคนี้เจ้าตัวเขาตั้งใจเอ่ยกับใครกันแน่
“บอกใครครับ”
“ทั้งสามคนนั่นแหละ”
ที่ถามน่ะเพราะต้องการหยอกเย้าส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งเพราะสงสัยจริง ก็คุณพ่อเขาเดี๋ยวนี้เริ่มพูดคุยกับลูกเก่งขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว ถึงบางครั้งจะเหมือนคุยกับซินเธียมากกว่า แต่เขารู้ว่าคนตัวโตที่กำลังกอดกันอยู่นี้ตั้งใจเล่าให้เด็กๆ ฟังต่างหากล่ะ
จากเรื่องงานที่ปกติไม่นำมาคุยกันก็เริ่มเล่ามากขึ้น วันนี้ไปทำอะไรมาบ้าง พรุ่งนี้จะออกไปไหน ทำอะไร เป็นเรื่องราวธรรมดา ง่ายๆ แต่ก็ค่อนข้างได้ผลดี เดี๋ยวนี้ทั้งฟรานซิสกับเฟย์ลินน์ก็คุ้นเคยกับคุณพ่อเขามากขึ้น แค่ได้ยินเสียงดังอยู่ใกล้ถ้ายังตื่นอยู่เด็กๆ ก็มักจะแสดงปฏิกิริยาออกมาแล้ว
ส่วนเรื่องหนังสือนิทานนั้น... ลืมไปชั่วคราวก่อนเถอะ เอาไว้ลูกรู้ความกว่านี้ค่อยลองให้แอชลีย์พยายามอีกครั้ง ถึงตอนนั้นทักษะการเล่านิทานของคุณพ่อคงจะพัฒนาขึ้นบ้าง
บางครั้งซินเธียก็เล่าเรื่องในดินแดนทางใต้เหมือนกัน เล่าให้พวกเขารู้ว่าที่ทางใต้น่ะ มีท่านตาอยู่ ท่านใจดีแล้วก็อ่อนโยนมาก นอกจากนั้นก็ยังมีท่านลุงอีกหนึ่งคน ถึงตอนอยู่ในธอร์นความสัมพันธ์ระหว่างซินเธียกับท่านอาจะไม่นับว่าดีอะไรมาก เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ค่อยอยากจะมายุ่งเกี่ยวกับหลานที่เป็นโอเมก้าอย่างเขาเสียเท่าไหร่ แต่ว่าท่านก็ไม่เคยพูดจาว่าร้ายหรือทำตัวแย่อะไร เราเหมือนต่างคนต่างอยู่กันมากกว่า
ตอนบ่ายของวสันต์ฤดู สายลมโชยอ่อนพัดพากลีบดอกไม้สีม่วงให้ปลิวไสวไปตามแนวระเบียงทางเดิน ซินเธียเงยหน้าขึ้นมาเหล่ามวลไม้สีสดนั้นด้วยดวงตาประกายระยิบระยับ
สถานที่ที่ชายหนุ่มพาเขามาในวันนี้คือฮิลตัน แอชลีย์เล่าว่าเด็กๆ ในวินเทอร์ฟอลจะถูกพามาศึกษาร่วมกันในสถานที่แห่งนี้ มีผู้ดูแลคือตระกูลฮิลตันซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง ด้านบทเรียนมีให้เลือกศึกษามากมายไม่ว่าจะเป็นการแพทย์ การต่อสู้ หรือความรู้แขนงต่างๆ ตามความสนใจของผู้ศึกษา
บรรยากาศของที่นี่ดีมาก ตัวอาคารถูกตั้งอยู่ในระยะห่างที่สามารถเดินไปมาหาสู่กันได้โดยสะดวก ไม่ได้กว้างใหญ่จนดูเว่อวังแต่ก็ไม่ได้คับแคบจนอึดอัด มีต้นไม้ร่มรื่นและสวนสำหรับพักผ่อนขนาดเล็ก นอกจากตึกเรียกกับสนามฝึกซ้อมอันกว้างขวางแล้วก็ยังมีหอพักสำหรับทุกคนด้วย
“ในอนาคตฟรานกับเฟรย์ก็ต้องเข้ามาอยู่อาศัยที่นี่หรือครับ” เขาเงยหน้าถามคนข้างกาย พอคิดว่าลูกๆ จะต้องห่างจากบ้านมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่อายุสิบห้ามันก็อดจะวูบโหวงไม่ได้เช่นกัน พวกเขายังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ
“สามารถกลับมานอนที่บ้านได้” แอชลีย์อธิบาย “อันที่จริงก็ไม่ได้บังคับหรอก แต่คนส่วนใหญ่หากไม่ได้มาจากตระกูลชั้นสูงการมาพักอาศัยอยู่ในฮิลตันย่อมสะดวกสบายกว่า บางครั้งคนจากจัตุรัสไวท์สแควร์ก็เดินทางมาร่วมเรียนด้วยเช่นกัน”
ตอนแอชลีย์ยังอยู่ในฮิลตัน ชายหนุ่มเองก็เดินทางกลับไปพักผ่อนที่คฤหาสน์สัปดาห์ละครั้งสองครั้งเช่นกัน คนหลายคนอยู่ในช่วงวัยที่ต้องการอิสระและการสร้างความสัมพันธ์ หาเพื่อน หาคนรัก พอได้มาอยู่ในรั้วแห่งนี้แล้วเรื่องที่บ้านก็กลายเป็นสิ่งน่าเบื่อเพราะในฮิลตัลมีกิจกรรมให้ทำมากมายนอกเหนือจากตารางเรียนปกติ
ต่อให้เป็นคนอย่างคุณชายคาร์ลิน ไล ก็ยังลอบแอบไปขลุกอยู่ในป่าด้านหลังฮิลตันบ่อยครั้ง เขาก็ไม่รู้หรอกว่าสถานที่แห่งนั้นมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่หรือไม่ มันก็เป็นแค่ป่า ทะเลสาบ ถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกพิกซี่ สำหรับเขาแล้วไม่นับว่าน่าสนใจอะไร โดยเฉพาะเจ้าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เหล่านั้น เพียงแค่เดินเข้าไปใกล้อาณาเขตของพวกมันก็พากันแตกกระเจิงหนีหายไปหมด แอชลีย์ยังไม่เคยเจอในระยะประชิดเลยสักครั้ง
“คงสนุกน่าดู” ซินเธียลองจินตนาการภาพตามคำบอกเล่าของสามี ในแดนใต้น่ะไม่มีอะไรแบบนี้หรอก “แล้วที่เรากำลังจะไปกันคือที่ไหนหรือครับ”
“ใกล้แล้วล่ะ” คนตัวสูงว่า สองแขนก็คอยประคองร่างเจ้าเนื้อของคนเป็นภรรยาไปตามระเบียงทางเดินอย่างไม่รีบร้อน
จุดหมายของพวกเขาคล้ายเป็นสวนอะไรสักอย่าง พอเดินเข้าไปแล้วรอบกายเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่อายุหลายร้อยปี คาดว่าหนึ่งต้นคงต้องใช้คนจำนวนสองถึงสามคนถึงจะสามารถโอบได้มิด
แต่ทั้งอายุหรือขนาดของมันก็ไม่ได้ทำให้ซินเธียตื่นตาตื่นใจเท่ารวงไม้สีม่วงเหล่านั้นเลยสักนิด วิสทีเรียเหล่านี้ขนาดของมันสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านจนบดบังแสงอาทิตย์ยามบ่ายไปจนหมดสิ้น ส่งผลให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความชุ่มชื้น รวงไม้สีม่วงทั้งหนาทั้งยาวเรียงร้อยกันเป็นช่อมากมายยิ่งทำให้มันดูงดงามและแปลกตาจนไม่สามารถจะละสายตาไปไหนได้
ปลายผมปลิวตามสายลมเอื่อยที่ยังคงพัดวูบเป็นระยะ กลีบดอกไม้ลอยละลิ่วอยู่บนอากาศโชยเอากลิ่นหอมแตะปลายจมูกเบาบาง มือใหญ่เอื้อมขึ้นมาช่วยปัดกลีบดอกที่ปลิวมาติดเส้นผมออกให้ก่อนจะทัดปอยผมไปยังหลังใบหู การกระทำแสนอ่อนโยนเหล่านี้ไม่ว่าจะเมื่อไหร่จิตใจของเด็กหนุ่มก็ไม่เคยชินชาเลยสักครั้ง
“ที่เคยบอกเอาไว้ ชอบหรือไม่”
มันก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วจนแม้แต่ซินเธียเองก็ยังหลงลืมไปในบางครา ทว่าชายหนุ่มกลับจดจำและทำตามคำกล่าวนั้นโดยไม่บิดพลิ้ว เคยบอกว่าจะพามา ก็พามาจริง
เหมือนวันนั้นจะเป็นวันที่หิมะสีขาวปกคลุมไปทั่วทั้งวินเทอร์ฟอล ซินเธียแค่บ่นออกมาเรื่อยเปื่อยว่าต้นไม้ในคฤหาสน์นั้นแห้งเหี่ยวไปจนสิ้นไม่มีสิ่งไหนให้ชื่นชม อีกคนเลยกล่าวว่าจะพามายังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งก็คงหมายถึงสวนวิสทีเรียแห่งนี้
ถ้อยคำนั้นจะบอกว่าเป็นคำสัญญายังพูดไม่ได้เต็มปากเลยด้วยซ้ำ ก็แค่บทสนทนาไร้ที่มาที่ไปของเราทั้งสอง ไม่ยึดถือเป็นเรื่องจริงจังอะไร ต่อให้แอชลีย์ทำเป็นลืมเลือนก็ไม่ใช่เรื่องน่าโกรธเคืองอันใด
ซินเธียนั่งลงบริเวณม้านั่งแถวนั้น สูดลมหายใจรับเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด นานครั้งได้ออกมาเดินเล่นข้างนอกบ้างก็ดีเหมือนกัน เขารู้สึกผ่อนคลายไม่น้อยทั้งร่างกายและจิตใจ
“ถึงมันอาจจะเหงาไปบ้าง แต่ถ้าลูกๆ ได้มาอยู่ในสถานที่ดีๆ แบบนี้เราก็วางใจ” เด็กหนุ่มกล่าวเลื่อนลอยใบหน้าเปื้อนยิ้ม สายตาทอดมองรวงไม้สีม่วงด้วยท่าทางหย่อนอารมณ์ ได้ยินเสียงคนข้างกายตอบรับมาคำหนึ่ง
“อืม”
สองคนพูดเรื่องราวไร้สาระไปเรื่อย ถึงแม้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นซินเธียเสียมากกว่า บทสนทนาส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องราวในอนาคตของลูกๆ ต่อให้มันจะเป็นอนาคตอันยาวไกล แต่ก็รู้สึกมีความสุขยามได้เอ่ยถึง
ชีวิตอันแสนเรียบง่าย หากเป็นแบบนี้ตลอดไปคงดีไม่น้อย
วันถัดมาซินเธียได้รับจดหมายหนึ่งฉบับ ครั้งแรกที่คุณพ่อบ้านนำมาแจ้งเด็กหนุ่มยังแสดงสีหน้างุนงง ทว่า เมื่อพลิกดูตราประทับของตระกูลแล้วริมฝีปากอิ่มก็คลี่ยิ้มทันที เขาให้คุณพ่อบ้านช่วยนำชาและของว่างมาให้ส่วนตัวเองก็เดินออกไปทรุดตัวนั่งตรงโต๊ะเหล็กดัดสีขาวในสวน
บ่ายวันนี้อากาศดีมาก ไม่หนาวเย็นจนเกินไป ท้องฟ้าแจ่มใสเช่นเดียวกับอารมณ์ของเด็กหนุ่มในวันนี้
มือเรียวสวยบรรจงเปิดซองจดหมายออกแผ่วเบา ในบรรดาจดหมายหลายสิบฉบับที่เขาเขียนไปนับว่านี่เป็นจดหมายตอบกลับฉบับแรกจากท่านพ่อหากไม่นับวันแต่งงานครั้งนั้น
ในเนื้อความไม่ได้เขียนอะไรยืดยาว เริ่มต้นด้วยการทักทายตามปกติแต่เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ รอยยิ้มบนใบหน้าหวานก็ค่อยๆ จางลงทีละน้อย
‘ซินเธีย ขอโทษที่พ่อไม่ค่อยได้เขียนจดหมายตอบกลับมา ด้วยปัญหาสุขภาพในขณะนี้ซึ่งมันแย่ลง จากตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพียงโรควัยชราธรรมดาทั่วไป ตอนนี้พ่อคิดว่าตัวเองคงไม่ค่อยไหวเท่าไหร่นัก ได้แต่นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน ทั้งเหนื่อยและอ่อนล้า...’
‘พอได้ยินว่าลูกกำลังมีข่าวดี หัวใจคนชราคนนี้ก็เริ่มมีกำลังขึ้น พ่ออยากเจอลูกกับหลานนะ ความจริงแล้วก็ไม่ได้อยากให้ลูกต้องลำบากเดินทางไกลในช่วงเวลาแบบนี้ มันคงยุ่งยากน่าดู แต่อย่างน้อยก็อยากเห็นหน้าทั้งสองคนเผื่อว่าวันข้างหน้าอาจจะไม่มีโอกาสได้พบกัน’
ท่านพ่อกำลังป่วยหรือ
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ใบหน้าปรากฏแววกังวลใจออกมาเด่นชัด เดิมสุขภาพของท่านก็ไม่นับว่าแข็งแรงนัก หรือจะพูดให้ถูก สุขภาพกายก็เป็นผลกระทบมาจากสภาพทางใจ เพราะสูญเสียท่านแม่ไปทำให้ราชาแห่งธอร์นคนปัจจุบันไม่อาจปกครองดินแดนทางใต้ได้อย่างมั่นคงอีกต่อไป
หรือว่าช่วงหลายเดือนมานี้อาการของท่านจะทรุดลงกันนะ
ขณะกำลังครุ่นคิดกับตัวเองระหว่างตั้งใจพับจดหมายกลับลงไปในซองดังเดิมซินเธียก็พบว่าในซองจดหมายไม่ได้มีกระดาษเพียงแผ่นเดียว แต่ด้วยความตื่นเต้นเต็มไปด้วยความคิดถึงผู้เป็นบิดาและกระดาษทั้งสองแผ่นนั้นบางมากจนแทบจะติดกันเป็นเนื้อเดียวทำให้ครั้งแรกไม่ได้สังเกตว่ากระดาษในมือตนนั้นแท้จริงแล้วมันซ้อนกันมาสองแผ่น
เมื่อคลี่กระดาษแผ่นที่สองออกมา หัวคิ้วก็ยิ่งขมวดยิ่งขึ้น ในจดหมายไม่ได้ลงชื่อผู้เขียนหรือเกริ่นข้อความใดมาก เป็นข้อความสั้นๆ ไม่กี่บรรทัด ใจความโดยรวมพูดถึงเบื้องหลังการแต่งงานครั้งนี้ว่าแท้จริงแล้วทางฝั่งคนแดนเหนือได้ประโยชน์ใดจากทางแดนใต้บ้าง
‘แอชลีย์ คิม เพียงต้องการครอบครองเหมืองแร่บริสุทธิ์อันเป็นสมบัติตกทอดของทางตระกูลวาเลนเท่านั้น’
น้ำหนักของหมึกยามจรดปลายปากกาเพื่อเขียนข้อความเหล่านี้ดูเข้มเป็นพิเศษคล้ายว่าต้องการเน้นย้ำให้เป็นใจความสำคัญ
เหมืองแร่ของตระกูลวาเลนเป็นเหมืองที่มีอัญมณีล้ำค่าอยู่มากทั้งยังไม่ได้รับการขุดเจาะ มูลค่าของมันไม่อาจประเมินออกมาได้ หากผู้ใดได้ครอบครองก็คงอยู่อย่างสุขสบายไปชั่วชีวิตเผื่อแผ่ไปถึงลูกหลานหลายต่อหลายรุ่น
เรื่องสมบัติตระกูลซินเธียรับทราบ หากแต่ข้อแลกเปลี่ยนในส่วนนี้เด็กหนุ่มไม่ได้รับรู้ด้วย นัยน์ตาสีเงินกวาดอ่านทุกตัวอักษรอย่างเงียบงัน ใบหน้าเรียบนิ่งไร้ซึ่งความรู้สึก
นอกเหนือจากข้อแลกเปลี่ยนนั้น ในจดหมายยังบอกเล่าไปในเชิงว่าร้าย ชักนำให้เกลียดชังผู้นำตระกูลคิมถึงความกระหายอำนาจ ความเห็นแก่ตัว และอีกหลายถ้อยคำ โดยรวมแล้วสรุปได้ว่าการแต่งงานในครั้งนี้ นอกจากทางตระกูลคิมจะได้อำนาจครึ่งหนึ่งของทางแดนใต้ และอำนาจนั้นคงมีมากขึ้นเมื่อซินเธียคลอดอัลฟ่าชายออกมาให้พวกเขาสักคน นอกจากนั้น เหมืองแร่...
นับเป็นการแต่งงานที่มีแต่ได้ไม่มีเสีย คนที่เสียเปรียบกลับกลายเป็นซินเธียเสียเองที่มองดูแล้วเขาได้อะไรจากการแต่งงานครั้งนี้บ้าง?
นั่นสินะ
เด็กหนุ่มพับจดหมายทั้งสองฉบับกลับลงซองดังเดิมก่อนจะยกแก้วชาขึ้นมาจิบ ดวงตาสีเงินส่องประกายราวคริสตัลทอดมองไปยังผืนฟ้าแสนกว้างไกลไร้จุดพัก มือข้างหนึ่งก็คอยลูบหน้าท้องนูนใหญ่ของตัวเองไปด้วยในตอนที่กำลังใช้ความคิด
ถามว่าเขาได้ประโยชน์ใดจากการแต่งงานครั้งนี้ ก็คงจะไม่มีจริง ถูกต้องแล้ว
แต่ทุกวันนี้ชีวิตของเด็กหนุ่มมีความสุขดี ไม่มีสิ่งใดขาดเหลือ ได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังโต ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามี และล่าสุด พวกเขากำลังจะมีทายาทอันเกิดมาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของเราทั้งสองคน
สิ่งเหล่านี้ซินเธียไม่นับว่ามันคือประโยชน์ที่ตนเองควรได้รับ แต่มันมากกว่าคำว่าผลประโยชน์ หากเป็นสิ่งที่มากกว่านั้น มีค่ามากยิ่งกว่านั้น
ส่วนเรื่องที่ว่าแอชลีย์ คิม ได้อะไรจากทางวาเลนไปบ้าง เรื่องจำพวกนี้ซินเธียทำใจยอมรับมานานแล้ว ในเมื่อการแต่งงานครั้งนี้มันก็มาจากคำว่าผลประโยชน์ตั้งแต่ต้น ทันทีที่เขาตกปากรับคำกับท่านพ่อ ยอมพาตัวเองขึ้นรถม้าเดินทางไกลมาถึงแดนเหนือนั่นหมายถึงว่าเขาได้คิดไตร่ตรองและยอมรับทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และจะไม่เสียใจภายหลัง
เพราะแบบนั้นจึงไม่ได้คิดคาดหวังสิ่งใดตั้งแต่แรก แม้แต่ความรักจากชายหนุ่ม
อำนาจทางแดนใต้คงไม่ใช่สิ่งมีค่าอะไรในสายตาคนแดนเหนืออย่างแอชลีย์อยู่แล้ว ถึงซินเธียจะไม่ค่อยเข้าใจความคิดของชายหนุ่ม ทั้งไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้อีกฝ่ายตกลงยอมแต่งงานกับตนเองและรับเข้าตระกูลมาอาศัยอยู่ร่วมกันในตอนแรก
ตอนนี้เขากระจ่างแล้วจากความจริงในจดหมาย อืม ข้อเสนอนี้ก็นับว่าใครปฏิเสธไปก็คงโง่งมเต็มที เพราะเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่านะ แอชลีย์ถึงสามารถขยายเขตการค้าของตัวเองและตกลงทำสัญญากับฮิลล์ แลมเบิร์ต โดยไม่เกรงกลัวว่าคู่ค้าในครั้งนี้จะได้สมญานามว่าเป็นพ่อค้าหน้าเลือดเพียงใด
ทว่า เรื่องไหนก็ไม่สำคัญเท่าอาการป่วยของท่านพ่ออีกแล้ว ซินเธียกังวลใจเรื่องนี้มากกว่า เขาอยากจะรีบกลับไปดูท่านให้เร็วที่สุด จากเนื้อความในจดหมายทำเอาเขาร้อนใจไม่น้อย อาการของท่านน่าเป็นห่วงมาก ดูแล้วกำหนดการกลับไปยังทางใต้คงจะต้องเลื่อนจากเดือนหน้ามาเป็นภายในสัปดาห์นี้แทน
ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี
ตกลงกับตัวเองได้แล้วก็รอจนกระทั่งคนเป็นสามีกลับมา ซินเธียนำเรื่องราวที่ได้รับรู้ผ่านจดหมายฉบับแรกไปถ่ายทอดให้อีกคนฟังรวมถึงแผนการเดินทางของตัวเองด้วย
แอชลีย์ขมวดคิ้วหน้าตึงไปทันทีหลังได้ยินคำกล่าวนั้น “จะไปเลยหรือ”
เรื่องการกลับไปคลอดยังบ้านเกิดหรือบ้านเดิมภรรยาของคนแดนใต้นั้นชายหนุ่มก็พอทราบมาบ้าง จะไปน่ะไปได้ ถึงอย่างไรก็คิดตามไปด้วยอยู่แล้ว เข้าใจว่าธรรมเนียมการปฏิบัติของแต่ละดินแดนย่อมมีความแตกต่างกัน จะให้ตนทำตัวเป็นคนใจแคบสั่งให้อีกคนต้องขัดหลักปฏิบัติที่ยึดถือกันมาช้านานมันก็ไม่ใช่เรื่อง แต่ช่วงเวลานี้เขาเองก็ต้องไปจัดการธุระสำคัญที่อีสเทิร์นพอร์ต จะเลื่อนก็ไม่ได้ ซ้ำจะปล่อยอีกคนไปลำพังก็นึกกังวล
จะให้ยืดเวลาออกไป ซินเธียคงไม่ยอมแน่ จากที่ฟังดูเหมือนปัญหาสุขภาพของลิมเบิร์ก วาเลนจะหนักมากจริง ช่างเป็นการตัดสินใจแสนยากเย็น
“ครับ อย่างน้อยก็อยากรีบกลับไปดูแลท่านสักหน่อย” ซินเธียกล่าว
“ถ้าอย่างนั้นเธอล่วงหน้าไปก่อน แล้วฉันจะรีบตามไปก็แล้วกัน”
การเดินทางจากวินเทอร์ฟอลไปยังธอร์น คำนวณจากตอนส่งตัวเจ้าสาวคราวนั้นใช้เวลา 5 วัน แต่ครั้งนี้ถึงจะเป็นธุระเร่งด่วนแต่การเดินทางจะเร่งรีบมากไม่ได้ รถม้าไม่เหมือนรถยนต์ หากใช้ความเร็วมากเกินไปซินเธียคงนั่งไม่สบายตัวนัก
หลังจากใช้ความคิดอยู่นานจนความเคร่งเครียดปรากฏออกมาให้เห็นทางสีหน้า แอชลีย์ก็ถอนหายใจ ยอมรับออกมาในที่สุด
วันมะรืนเขาจะขับรถไปส่งซินเธียจนถึงเขตชายแดนด้วยตนเองก่อน พยายามย่นระยะเวลาในการเดินทางให้มากที่สุดจนถึงเส้นทางที่ไม่สามารถใช้รถยนต์ได้จริงๆ ค่อยให้อีกคนขึ้นรถม้าต่อไป เดินทางอีกราว 3 – 4 วัน ส่วนตัวเองก็รีบไปสะสางธุระให้เสร็จแล้วค่อยตามไปทีหลัง ตอนนั้นอีกคนคงใกล้จะเข้าอาณาเขตของธอร์นพอดี
“อย่ากังวลเลยนะครับ” เด็กหนุ่มยืดตัวขึ้นจรดกลีบปากลงบนมุมปากของคนตัวสูงแผ่วเบา มือก็ช่วยนวดหัวคิ้วคลายความเครียดขึงจากการใช้ความคิดให้ “เราจะดูแลตัวเองให้ดี คุณเสร็จจากทางนั้นแล้วค่อยตามมานะ”
อัลฟ่าหนุ่มพรูลมหายใจ ภรรยาเขาพูดออกมาขนาดนี้แล้วยังจะต้องทำอะไรได้อีก สุดท้ายก็ได้แต่รวบร่างนุ่มนิ่มนั้นเข้ามาในวงแขน แนบผิวแก้มลงกับศีรษะของเด็กหนุ่มพร้อมปิดดวงตาลง
“เอาตามที่เธอว่าก็แล้วกัน”
TBC