+CHAPTER 15 : สองร่างรวมเป็นหนึ่ง 150%
ผมหลับไปอีกรอบท่ามกลางความอบอุ่นในอ้อมแขนแกร่ง ลองมานึกทบทวนฝันเมื่อคืน สงสัยผมจะฟุ้งซ่านคิดมากไปเอง หรือถ้าเป็นฝันบอกเหตุจริง ผมกับนาคินทร์ก็ถือว่ามีกรรมร่วมกันมาก ขนาดเป็นผู้หญิงผู้ชายยังไม่มีสิทธิ์ได้ครองรักกันเลย มาชาตินี้มันจะอยู่ด้วยกันได้ไหม ฐานะผมสูงกว่านาคินทร์เหมือนเดิม ถึงไม่ขนาดเป็นเจ้าหญิงก็เถอะ แต่ก็เป็นเจ้านาย สูงศักดิ์กว่า ที่สำคัญ ยังเป็นผู้ชายเหมือนกันอีก
พอผมตื่นก็ไม่เห็นนาคินทร์แล้ว ผมลุกเดินออกจากห้อง เห็นแม่นาคินทร์นั่งทำอะไรอยู่ ผมทักทายพอเป็นพิธีเดินไปล้างหน้าแปรงฟัน อย่าหวังว่าผมจะอาบน้ำครับ น้ำเย็นขนาดนี้
นาคินทร์โผล่หน้าเข้ามาพอดี ผมยิ้มอ่อนโยนให้
“ตื่นแล้วเหรอครับ หิวรึยัง”
“นิด ๆ”
“นาคินทร์จะจัดอาหารให้ คอยสักครู่นะครับ”
ผมพยักหน้ารับ นั่งมองแม่นาคินทร์เย็บอะไรอยู่ คงเป็นเสื้อผ้าที่ขาด ตาแกหรี่แสงลงแล้ว แต่ก็ยังคล่องแคล่ว นาคินทร์เข้ามาชวนผมกิน นาคินทร์กินก่อนกับครอบครัวแล้ว อันนี้ต่อว่านาคินทร์ไม่ได้เพราะผมตื่นสายเอง อีกอย่างนาคินทร์มาหาพ่อแม่ ผมไม่ควรงี่เง่าต่อว่าเขาด้วย
บางอย่างนาคินทร์ลงมือทำให้ผมโดยเฉพาะ ทุกคนออกจากบ้านกันหมดแล้ว ก่อนที่เราจะเอาข้าวของที่เตรียมมาไปบริจาค ผมร้องขอให้นาคินทร์พาผมเข้าเมืองไปหาซื้อของเพิ่ม
ใช้เวลาขับรถไม่เกินชั่วโมงครึ่งก็มาถึงห้างใหญ่ในเมือง นาคินทร์เดินไปเอารถเข็นอย่างรู้หน้าที่ ผมเดินไปยังโซนเครื่องใช้ส่วนตัวก่อน หยิบแปรงสีฟันเป็นสิ่งแรก เอาชนิดที่นุ่มที่สุดดีที่สุดสำหรับสุขภาพคนสูงวัย เอามาหลายอันเลย นาคินทร์มองงง ๆ
“เอาไปบริจาคเหรอครับ”
“เปล่า เอาไปฝากพ่อแม่นาคินทร์ ของท่านบานหมดแล้ว”
“ซื้อเอาร้านขายของชำสิบบาทก็พอครับ”
ผมส่ายหน้า “อันนี้แหละดีแล้ว ซื้อเผื่อไว้หลาย ๆ อัน”
“แต่มันแพงเกินไป”
“ฉันรู้ อย่าไปบอกราคาจริงกับพ่อแม่ล่ะ”
“คุณหนู”
“นี่ ให้ฉันได้ใช้เงินตัวเองบ้าง เก็บไว้นานมันจะบูดเอานะ นี่ ฉันทำตามอย่างที่นาคินทร์บอกแล้วไง แทนที่จะเอาไปใช้สุรุ่ยสุร่าย เอามาทำประโยชน์ให้คนอื่นดีกว่า”
พูดจบผมก็กวาดเอาของใช้จำเป็นยกแพ็กลงรถเข็น กะเอาไปบริจาคทั้งหมดนั่นแหละ นาคินทร์ส่ายหน้า แต่ไม่พูดอะไร
พอเงินหมดพอประมาณ นาคินทร์ก็พาผมกลับ เราเอาพวกเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ที่เตรียมมาไปตระเวนแจกให้คนยากคนจนกันก่อนตามบ้านคนยากคนจน ซึ่งพ่อกับแม่นาคินทร์ไปด้วยในฐานะคนพื้นที่และรู้จักผู้คนในหมู่บ้านตัวเองดีว่าใครต้องการอะไรบ้าง โดยทุกคนให้ผมเป็นคนมอบเองหมด พวกนั้นกราบไหว้ผมกันยกใหญ่
“ทานน้ำก่อนครับ”
นาคินทร์ยื่นน้ำเปล่าที่เสียบหลอดเอาไว้ให้เรียบร้อยมาให้ ผมรับมาดูด นาคินทร์เอาพัดมาพัดให้จนผมผมปลิวสะบัด ผมยิ้มให้กับการเอาอกเอาใจแบบนั้น
“เหนื่อยไหม”
ผมถามกลับ นาคินทร์ยิ้ม
“นาคินทร์ต้องถามคุณหนูมากกว่า”
ผมส่ายหัว “ไม่เหนื่อยเลย สนุกดี ไม่น่าเชื่อว่าหลายคนจะยากจนขนาดนี้”
“มุมหนึ่งของชีวิตครับ นาคินทร์ถึงเสียดายทุกครั้งที่คุณหนูใช้จ่ายแบบไม่คิด”
“ตอนนี้ฉันคิดได้แล้วเห็นไหม สมองมีรอยหยักขึ้นมาแล้ว”
นาคินทร์หัวเราะ เรามองตากัน ภาพในความฝันหวนเข้ามา
ความเสียใจที่กรุ่นอยู่ในหัวใจผมลึก ๆ ในฐานะเจ้าหญิงวิ่งวนเข้ามา ผมไม่รู้ว่าฝันนั้นจริงหรือไม่จริง แต่ผมไม่อยากให้เราพรากจากกันอีก ผมใช้หลังมือเกลี่ยแก้มนาคินทร์เบา ๆ นาคินทร์นิ่งไป
“สัญญานะนาคินทร์”
“ครับ ว่า…”
“ห้ามหนีฉันไปไหนเด็ดขาด นาคินทร์ต้องอยู่กับฉันไปตลอดชีวิต แม้กระทั่งความตาย ถ้าฉันไม่อนุญาตก็ห้ามด่วนตายก่อนเป็นอันเด็ดขาด”
“มันขึ้นอยู่กับเวรกับกรรมนะครับ เรื่องแบบนี้ห้ามกันไม่ได้หรอก”
“ได้สิ ถ้านาคินทร์ให้สัจจะมั่น ห้ามตายหนีฉันไปเด็ดขาด”
นาคินทร์มองตา จับมือผมที่แก้มตัวเองไว้ รับปากเสียงแผ่ว
“ครับ นาคินทร์สัญญา”
ผมยิ้ม
พ่อกับแม่นาคินทร์พากันเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น เราเอาของมาแจกเขาก็จริง แต่แต่ละบ้านก็มีน้ำใจแบ่งปันผักบ้างผลหมากรากไม้ จนเหมือนของในรถแทบจะไม่ยุบมีแต่จะเพิ่ม เราก็เอาไปแบ่งให้บ้านอื่นต่อ เป็นวิถีชีวิตที่น่ารักดี
มื้อเที่ยง เรากินกันริมแม่น้ำที่เป็นเส้นทางจะไปบ้านคนยากไร้อีกหลัง ปูเสื่อนั่งจ้วงกันริมน้ำเลย อร่อยเหาะ พ่อแม่นาคินทร์ห่อมาเมื่อเช้า ปกติบ้านผมจะไม่กินอาหารซ้ำซาก แต่คนต่างจังหวัดทำกับข้าวครั้งเดียวกินได้ทั้งวันดีไม่ดีข้ามวันด้วยซ้ำ
ตราบจนข้าวของที่จัดมาสำหรับคนยากไร้หมดสิ้น นาคินทร์ถึงได้พาพ่อกับแม่กลับบ้าน ส่วนพวกอุปกรณ์การเรียนการสอนต้องรอให้วันจันทร์ ซึ่งเราไม่ได้อยู่มอบหรอก ไว้ให้พี่สาวนาคินทร์ช่วยเป็นธุระให้อีกที
“คุณหนูอยากนั่งรถเที่ยวรอบหมูบ้านไหมครับ”
“เอาสิ เมื่อกี้มีหลายจุดอยากแวะลงถ่ายรูป แต่เกรงใจพ่อกับแม่เลยไม่ได้แวะ”
“งั้นสักครู่”
นาคินทร์เข้าไปในบ้านแล้วกลับออกมาอีกครั้ง ไม่รู้เข้าไปเอาอะไร
“ลองไปด้วยไอ้นั่นดีไหม”
ผมชี้ไปยังมอเตอร์ไซค์เก่า ๆ ที่จอดไว้ข้าง ๆ นาคินทร์ส่ายหัว
“มันเสียแล้วครับ ถ้าอยากไปมอเตอร์ไซค์จริง รอสักครู่”
นาคินทร์เดินหายไปพักหนึ่งก็เดินกลับมาพร้อมมอเตอร์ไซค์หน้าตาดีคันหนึ่ง
“รถหลานนาคินทร์เอง เกียร์ออโต้”
ผมพยักหน้า หมวกไม่ต้อง นาคินทร์ขึ้นนั่ง ผมรีบขึ้นไปซ้อนทันที
“กลับมาเมืองไทยก็ไม่มีโอกาสได้ขี่รถแบบนี้อีกเลย”
“ลองขับดูเองไหมครับ”
“ไม่ละ นาคินทร์ขับเถอะ เจ้าของถิ่นรู้เส้นทางดีกว่า ฉันจะถ่ายรูป”
นาคินทร์พยักหน้ารับ ขับช้า ๆ พาผมทัวร์รอบหมู่บ้าน ก่อนแวบพาไปตามถนนที่สองข้างทางเป็นท้องทุ่งนา เส้นทางไหนรถวิ่งได้ก็พากันไป มีห้างน้อยกลางทุ่งนาวิวดีหลังหนึ่งตั้งอยู่บนเนินดิน ลักษณะมันเหมือนที่เขาชอบถ่ายลงในโปสการ์ด ผมบอกให้นาคินทร์จอด เดินหามุมถ่ายรูป อัพลงเฟซครอบครัว ใส่ตัวหนังสือเก๋ ๆ ชิค ๆ ลงไปอีกนิดหน่อย
“คุณหนูถ่ายรูปเก่งจัง”
นาคินทร์ชม ผมยิ้ม เพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่มาด้วยกัน ไม่เคยถ่ายรูปคู่กันเลย
“นาคินทร์มานี่”
ผมเรียก จับนาคินทร์มาใกล้ กดถ่ายภาพแชะ นาคินทร์หน้าเหวอ
“เอาใหม่ ๆ ฉันจะนับหนึ่งถึงสามนะ”
ผมบอกเพื่อให้อีกคนตั้งตัวทัน พอผมนับสามนาคินทร์ก็ฉีกยิ้มตาม ได้ภาพคนสองคนที่มีรอยยิ้มพิมพ์เดียวกันบนหน้าจอ ผมอัพรูปลงเฟซทันที
แน่นอนคนเม้นท์เพียบ ชยันต์เม้นท์มาด้วย
'หน้าตาคล้ายกันจังนะ'
ผมอึ้งไป นึกถึงคำโบราณที่เขาบอกไว้กันว่าเนื้อคู่กันมักหน้าตาเหมือนกัน ผมมองหน้านาคินทร์ ผมไม่รู้หรอกว่าเราเหมือนไม่เหมือน ผมรู้แค่ว่า นาคินทร์หล่อมาก ไม่ใช่หล่อที่ภายนอก แต่เป็นหล่อจากภายใน
หัวใจนาคินทร์หล่อกว่าหน้าตาภายนอกที่เห็นเยอะ ผมไม่ได้สนใจตอบใคร ปิดมือถือลง
“นี่ เราขึ้นไปนั่งกันบนนั้นได้ไหม ของใคร”
“นั่งได้ครับ ที่นี่เขาไม่ได้หวงหรอก อย่ายกไปทั้งหลังก็พอ”
ผมหัวเราะ
“ไปครับ นาคินทร์จะพาไป”
นาคินทร์ยื่นมือมารับ ผมวางมือลงบนมือนั้น ก้าวตาม ต้องปีนเนินกันนิดหน่อยแต่ไม่มาก บนนี้ลมพัดเย็นดีมาก
“เขาเอาไว้พักเวลามาทำไร่ทำนากัน ช่วงนี้ไม่ค่อยมีใครผ่านมาหรอก เพราะเขาปลูกข้าวกันหมดแล้ว นาน ๆ ทีมาดูที”
ผมพยักหน้าเข้าใจ มองนาข้าวเขียวขจี
“นาอื่นปลูกข้าวกันทำไมนานาคินทร์ไม่ปลูก”
“ปีนี้ฝนแล้ง คนที่บ้านเลยตกลงกันว่าจะไม่ทำนา ซึ่งก็ตัดสินใจกันถูกแล้วละครับ เพราะน้ำไม่พอ นาแถวนี้ทำได้เพราะใกล้แหล่งน้ำธรรมชาติ แต่มันก็แห้งมากแล้ว”
นาคินทร์ชี้ให้ดูแนวลำคลองที่เห็นอยู่ไม่ห่าง
“ฝนคงแห่ไปตกกันที่กรุงเทพหมด”
“ถ้าเทียบกับทุกปีแล้ว ปีนี้ถือว่าฝนน้อยครับ กรุงเทพยังน้อยเลย”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย มองทุ่งข้าวขนาดใหญ่ตรงหน้า ผมก็เพิ่งสังเกตเห็นเหมือนกันว่ามันไม่ค่อยเขียวขจีเหมือนในภาพถ่ายที่ผมเห็นเท่าไหร่ แต่ก็ยังสวยงามอยู่
ผมนั่งห้อยขาบนห้างน้อย พื้นมันยกสูงประมาณสะโพกผม นาคินทร์นั่งอยู่ข้าง ๆ ห้อยขาลงมาไม่ต่าง มองตรงไปยังทุ่งนาเดียวกัน ผมขยับเข้าไปชิดนาคินทร์มากขึ้น อิงหัวซบไหล่ นาคินทร์ไม่ได้ขยับเลื่อนตัวหนีหรือทักท้วงอะไร
“ฉันชอบที่นี่นะนาคินทร์”
“ครับ นาคินทร์ก็ชอบ”
นาคินทร์ตอบเสียงเบา หลังมือผมอยู่ชิดหลังมือนาคินทร์ ผมค่อย ๆ เลื่อนไปกอบกุมมันไว้ ไม่มีใครพูดอะไรต่อกัน ผมตื่นเต้นนะที่มาทำอะไรแบบนี้
“หนาวเหรอครับ”
ผมยิ้มบางกับคำถามนั้น นาคินทร์คงเข้าใจว่าทุกครั้งที่ผมจับมือคือผมต้องการหาไออุ่นซินะ ผมพยักหน้านิด ๆ ทั้งที่อากาศตอนนี้กำลังเย็นสบายได้ที่ นาคินทร์กระชับมือผมแน่นขึ้น
“เสียงคุณหนูเพราะ คุณหนูร้องเพลงให้นาคินทร์ฟังสักเพลงได้ไหมครับ”
ผมนิ่งคิด ก่อนขยับปาก ร้องเพลงรักหวานซึ้งเบา ๆ มือที่กุมมือผมไว้กระชับแน่นขึ้นอีก
“เพราะ”
นาคินทร์พูดขึ้นมาคำเดียว
ผมขยับปากร้องเพลงถัดไป มีนกโผบินเข้ามาใกล้ ๆ สายลมพัดผ่านดังซ่า กิ่งก้านไหวเอนเสียดสีกันไปมาเบา ๆ ใบไม้สีเขียวสลับกับเหลืองอ่อนร่วงหล่นลงมาเป็นทางราวกับหิมะหลากสี ผมหลับตาลง ใช้ใจในการร้อง เปล่งเสียงให้ไพเราะที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ความหมายของเนื้อเพลง กินลึกเข้าไปในหัวใจนาคินทร์
ผมค่อย ๆ ลืมตามองเมื่อเสียงเพลงท่อนสุดท้ายจบลง นาคินทร์มองผมอยู่ หน้าผมร้อนผ่าว
“บางครั้งนาคินทร์ก็คิดว่าคุณหนูคือเทพธิดาแปลงกายมา”
นาคินทร์พูดเสียงเบา
“เทวดาสิ เทพธิดามันผู้หญิง”
ผมพูดกลับด้วยน้ำเสียงโทนเดียวกัน ตาจ้องตา นาคินทร์ส่ายหัว
“เทวดาไม่งดงามเท่าเทพธิดาหรอกครับ และคุณหนูของผมงดงามเกินกว่าจะเป็นเทวดา”
“นาคินทร์ ฉันเป็นผู้ชายนะ” ผมกระซิบเตือนเสียงแผ่ว
“นาคินทร์รู้ครับ แต่ก็เป็นผู้ชายที่งดงามและน่าทะนุถนอมที่สุด”
“นาคินทร์คิดแบบนี้กับพี่น้องทุกคนของฉันหรือเปล่า”
ผมเลื่อนสายตาลงไปยังริมฝีปากได้รูปนั้น
“ไม่ครับ เฉพาะคุณหนูอนุชาเท่านั้น”
“ชยันต์ก็สวยนะ”
เราพูดกันด้วยน้ำเสียงที่แทบจะเป็นเสียงกระซิบ
“ครับ คุณหนูชยันต์เป็นผู้ชายที่สวยมาก แต่สำหรับนาคินทร์ คุณหนูอนุชางดงามที่สุด”
นาคินทร์พูดเหมือนคนโดนมนต์สะกด
ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกเหมือนหน้าของเราสองคนจะขยับเข้าหากันมากขึ้น ผมเผยอริมฝีปากนิด ๆ นาคินทร์หลุบตามอง ผมร้อนวูบในหัวใจ ค่อย ๆ หลับตาลงเมื่อริมฝีปากของอีกฝ่ายแนบชิดลงมา สัมผัสแรกแค่แตะแผ่ว ก่อนจะค่อย ๆ แนบแน่นมากขึ้น
“คุณหนู”
นาคินทร์ละปากมากระซิบเรียก ผมไม่พูดอะไร แนบปากเข้าหาอีกครั้ง เผยออ้านิด ๆ ลิ้นร้อนของอีกฝ่ายก็แทรกเข้ามาทันที
เรายังนั่งกันอยู่ท่าเดิม มีเพียงปากเท่านั้นที่กำลังแนบสนิท ผมขยับเอียงหน้าให้ได้องศา นาคินทร์บดขยี้ริมฝีปากผมรุนแรง ลิ้นร้อนภายในก็โหมเร้า หน้าผมแหงนไปตามแรงกดที่ดูเหมือนจะเพิ่มทวีคูณ นาคินทร์ขยับมาคร่อมร่างผมไว้ มือหนึ่งค้ำพื้น อีกมือรองหลังค่อย ๆ ดันผมลงนอน
ขาผมยังห้อยอยู่ สองลิ้นภายในตวัดทักทายกันอย่างแสนคิดถึง ผมเลื่อนมือขึ้นไปโอบรอบลำคอแกร่งไว้ในขณะที่มืออีกฝ่ายล้วงผ่านชายเสื้อเข้ามาลูบไล้หน้าท้องสูงขึ้นมาที่หัวนม ผมครางออกมาเบา ๆ
นาคินทร์ชะงัก ค่อย ๆ ถอนปากออกมอง ก่อนก้มมองมือตัวเองที่อยู่แถว ๆ ยอดอกผม
“นาคินทร์ขออภัย”
นาคินทร์ทำท่าจะชักมือกลับ แต่ผมตะครุบจับไว้ มองตาไม่เคลื่อนไปไหน
“จับอีกสิ” ผมบอกเสียงแผ่ว “บีบแรง ๆ อย่างที่นาคินทร์เคยทำ”
นาคินทร์นิ่งอยู่สักพัก ก่อนมือนั้นจะค่อย ๆ เคลื่อนไหว เกลี่ยไล้ไปมา แล้วบีบยอดอกผมเบา ๆ ผมครางออกมาอย่างรู้สึกดี
“คุณหนูน่ารัก น่ารักเหลือเกิน”
คำพูดพร่า ๆ นั้นทำให้อารมณ์ผมร้อนรุ่มมากขึ้นอีก
“กอดฉันนาคินทร์กอดฉัน”
ผมร้องขอเหมือนที่เคยทำ
“ไม่ได้ครับ เดี๋ยวใครผ่านมาเห็นเข้า”
“ใจร้าย” ผมต่อว่า
“ให้อภัยนาคินทร์ด้วย เดี๋ยวนาคินทร์จะช่วยปลดปล่อยให้”
พูดจบนาคินทร์ก็คล้องเอวผมดึงให้ลุกนั่งท่าเดิม กระซิบข้างหูเบา ๆ
“อยู่นิ่ง ๆ นะครับ”
แล้วมือร้อนก็จัดการเคลื่อนไหวส่วนล่างให้ ผมมุดหน้ากับแผงอกกว้างนั้น เพียงแค่ชั่วเดี๋ยวเดียวมันก็ปลดปล่อย ผมหอบแฮก ก้มมองด้านล่างของนาคินทร์บ้าง มันตื่นเหมือนกัน
“ให้ฉันช่วยไหม”
“ไม่ครับ เดี๋ยวมันก็หลับ เราไปกันเถอะ มีอีกหลายที่ที่นาคินทร์อยากให้คุณหนูดู”
“แต่…”
ผมทำท่าจะจับ แต่นาคินทร์จับมือผมไว้
“ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวมันก็ลงจริง ๆ”
ผมพยักหน้าเข้าใจ นาคินทร์คงกลัวใครมาเห็น เขาเดินไปขึ้นรถ ผมแอบลอบมอง มันยังไม่ลดขนาดลงเลย
ผมเม้มปากแน่น ก้าวขึ้นไปนั่งซ้อน กอดเอวนาคินทร์ไว้ ผมกระซิบบอกเสียงแผ่ว
“นั่งอยู่เฉย ๆ นะ”
นาคินทร์หันมามอง ผมไม่พูดอะไร ขยับล้วงมือเข้าไปในกางเกง
“คุณหนู!!”
“นั่งอยู่เฉย ๆ”
ผมสั่ง นาคินทร์นั่งนิ่ง ผมกอบกุมสิ่งนั้นไว้ดึงออกมานอกกางเกง
“คุณหนูครับ!”
“เงียบ!”
นาคินทร์เงียบตาม ครางออกมาเบา ๆ เมื่อผมเริ่มต้นขยับ
“ไม่ควรเลย”
ผมไม่โต้ตอบอะไร ขยับเบา ๆ ก่อนเร่งจังหวะเร็วมากขึ้น
“คุณหนู…”
นาคินทร์ครางเรียกเมื่อใกล้ไปถึงปลายทาง ผมขยับเร็วขึ้นกระทั่งนาคินทร์ปลดปล่อย มือผมเปียกไปหมด นาคินทร์หอบแฮกก้มมอง ผมเก็บสิ่งนั้นเข้ากางเกง ชักมือกลับ
“คุณหนู มือของคุณหนู”
“อย่าหันมามองนะ”
ผมห้ามเมื่อนาคินทร์ทำท่าจะหันมามอง นาคินทร์ชะงัก ผมมองมือตัวเอง ตวัดเช็ดด้วยปลายลิ้น
“คุณหนูเช็ดมันยังไง”
“สตาร์ทเครื่องได้แล้ว”
“คุณหนู…”
“ไปเถอะ”
ผมโอบเอวคนตัวสูงอีกครั้งเมื่อมือสะอาดดีแล้ว นาคินทร์ไม่พูดอะไรอีก สตาร์ทเครื่อง ขับเคลื่อนออกไปช้า ๆ
“นาคินทร์รังเกียจสิ่งที่ฉันทำไปเมื่อกี้ไหม”
ผมกระซิบถาม
“ไม่ครับ แต่นาคินทร์รู้สึกว่ามันไม่ควร คุณหนูสูงส่งเกินกว่าจะมาทำเรื่องแบบนี้กับคนต่ำต้อยแบบนาคินทร์ นาคินทร์ผิดเองที่ไม่ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดี”
ผมแอบอมยิ้ม แปลว่านาคินทร์มีอารมณ์กับผมจริง ๆ
“มันเป็นความต้องการพื้นฐานของร่างกายนะนาคินทร์ เมื่อถูกกระตุ้นมันย่อมตื่นตัว มันเป็นเรื่องสามัญ”
ผมพูดปลอบใจ
“ครับ”
นาคินทร์รับปากเสียงเบา
นาคินทร์พาผมเที่ยวต่อกระทั่งเย็นถึงกลับบ้าน ผมอยู่พูดคุยกับทุกคนเหมือนเคย วันนี้นาคินทร์เข้าไปช่วยเขาทำอาหารด้วย ผมเข้าไปเลียบ ๆ เคียง ๆ มอง
“คุณหนูครับ”
นาคินทร์หันมาเรียก ผมนั่งมองนาคินทร์สับหมูอยู่ข้าง ๆ ถ่ายรูปอัพเฟซไปแล้ว นาคินทร์ชี้ไปยังกระต่ายขูดมะพร้าว
“ทำไม”
“จะลองขูดดูไหมครับ”
“จะบ้ารึไง”
ผมตบไหล่คนตัวสูงเบา ๆ คนในนั้นหัวเราะ ผมนั่งมอง คนขูดเป็นหลานชายของนาคินทร์เอง
“เพิ่งเคยเห็นผู้ชายทำ คิดว่าเป็นงานของผู้หญิงซะอีก”
“มันเป็นงานใช้แรงครับคุณหนู จริง ๆ ผู้ชายทำจะเหมาะกว่า”
ผมพยักหน้าเข้าใจ นึกสนุกอย่างทำขึ้นมาบ้าง
“งั้นขอลองหน่อยได้ไหม”
“เอาจริงเหรอ”
นาคินทร์หันมาถามใช้มีดรวบตักเนื้อหมูที่สับเรียบร้อยใส่กะละมังสแตนเลส ผมพยักหน้า หลานของนาคินทร์รีบลุกทันที ผมไปนั่งแทนที่เก้ ๆ กัง ๆ ลองจับมะพร้าวครึ่งลูกนั้นแล้วขูดดู
ไม่ใช่งานง่ายเลยครับ ต้องใช้แรง จับจังหวะ แต่ผมก็ทำได้ แต่แค่ไม่กี่ที ให้นาคินทร์ถ่ายรูปให้แล้วลงมานั่งมองเฉย ๆ นาคินทร์หัวเราะ
“ใช้ได้ครับ”
“ไว้มีโอกาสเมื่อไหร่ จะลองหัดทำอาหารด้วยตัวเองดู”
“นาคินทร์อยากกินอาหารฝีมือคุณหนูเหมือนกัน เอาแค่พอกินได้นะครับ อย่าให้ถึงกับต้องท้องเสียหรือเสียชีวิตเสียก่อน”
ผมตีแขนแกร่งไปอีกรอบ
“ดูถูก ถ้าฉันตั้งใจไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้หรอก”
“ครับ นาคินทร์เชื่อ”
นาคินทร์พูดยิ้ม ๆ ผมพยักหน้าไปยังเขียงหมูที่นาคินทร์กำลังสับอยู่
“อยากลองสับบ้าง”
นาคินทร์เลิกคิ้ว “เอาจริงเหรอครับ”
ผมพยักหน้ารับจริงจัง นาคินทร์พยักหน้าให้ผมไปนั่งตำแหน่งตัวเอง ยื่นมีดให้ ทุกคนมองยิ้ม ๆ ผมหน้าร้อนผ่าว ค่อย ๆ สับ
“จับแบบนี้จะดีกว่าครับ”
นาคินทร์จับมือผมปรับ ผมหน้าร้อนอีกรอบ พยายามตีสีหน้านิ่งเฉย เพราะคนอยู่กันเยอะ ผมสับตามคำสอน ตอนแรกจังหวะเปะปะมาก สักพักข้อมือก็พลิ้ว นาคินทร์หยิบมือถือผมมากดถ่ายรูปให้ แล้วยื่นมือมาขอมีดคืน
“พอดีกว่าครับ ให้คุณหนูทำ พรุ่งนี้ก็ไม่ได้กิน”
ผมค้อนไปที นาคินทร์หัวเราะ แต่ผมก็ยอมยื่นมีดให้แล้วนั่งมองแทน น่าจะทำลาบหมูนะ
หลังจากสับหมูเสร็จ นาคินทร์ก็สวมถุงก๊อบแก๊บที่มือ เทข้าวคั่ว พริกป่น น้ำปลา ผงปรุงรส รวมถึงผักต่าง ๆ ลงไป กลิ่นลาบลอยคลุ้ง ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้กินอาหารพื้นบ้านไทย ๆ แบบนี้เท่าไหร่หรอก หรือถ้าจะกินก็จะเป็นแนวขึ้นร้านอาหารมีระดับ การปรุงจะคนละแบบ นาคินทร์ตบท้ายด้วยการบีบมะนาวสด ๆ ลงไปหลายซี่ ใช้ช้อนตักชิม
“อร่อย”
“ขอชิมหน่อย” ผมรีบร้องขอทันที
“รอผมคั่วก่อนครับ ค่อยชิม”
“ทีตัวเองยังชิมได้”
“มันไม่ดีต่อสุขภาพ เอาชัวร์ ๆ ดีกว่า”
ผมพยักหน้าเข้าใจ
นาคินทร์แบ่งลาบออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งไว้คั่วสุก อีกครึ่งไว้ให้คนที่ชอบกินแบบดิบ ๆ กินกัน ยังดีที่บ้านหลังนี้พัฒนามาใช้แก๊สแล้ว นาคินทร์หมุนเปิดไฟ หยิบกระทะมาวาง เทน้ำมันลงไป ปิดฝาขวด รออึดใจเดียวก็เทลาบลงไปทีเดียวหมด ใช้ทัพพีขนาดใหญ่เขี่ยคั่ว ผมยืนอยู่ข้าง ๆ มองตามทุกขั้นตอน
พอคั่วได้ที่ นาคินทร์ก็ตักใส่ช้อน เป่าจนเย็นตักหันมาทางผม ผมอ้าปากรับเข้าปากทันที
“อร่อย”
แบ่งกันทำคนละมือสองมือ สุดท้ายก็ได้อาหารมื้อใหญ่มา ส่วนผมไม่ได้ทำอะไรเลย พอเรียบร้อยผมก็ลงไปนั่งข้าง ๆ นาคินทร์ ตักอาหารกิน อร่อยจริง ๆ มีใครสักคนรินเบียร์ที่กำลังฟองฟอดให้นาคินทร์ รายนั้นก็รับมาดื่ม ผมรู้ว่าถ้าดื่ม นาคินทร์จะดื่มแค่แก้วเดียว เพราะโดยพื้นฐานไม่ใช่คนดื่มคนกิน นอกจากเพื่อสังสรรค์เล็ก ๆ น้อย ๆ พอไม่ให้เสียน้ำใจเท่านั้น
เพราะฟองเบียร์ค่อนข้างเยอะ มันเปื้อนมุมปากนาคินทร์ทั้งสองข้างเหมือนเด็กน้อย นาคินทร์ป้ายเช็ดด้วยหลังมือทีเดียว ทำให้ออกไม่หมด ผมหัวเราะ หยิบทิชชู่ไปเช็ดให้ นาคินทร์ชะงัก ยิ้มในดวงตาให้เป็นการขอบคุณ
“ลุงอินกับคุณหนูเหมือนแฟนกันเลย”
นาคินทร์สำลักอาหารที่กินเข้าไป ผมเองก็เกือบสำลักเหมือนกัน ดีว่ายั้งไว้ทัน นาคินทร์ไอโขลก อาหารคงเข้าหลอดลมเต็ม ๆ ผมรีบลูบหลังให้ด้วยความเป็นห่วง นาคินทร์ไอจนหน้าแดง
“พูดอะไรไม่คิดยัยแสบ”
นาคินทร์ชี้หน้าหลานสาวลูกของน้องสาวคนที่สามทันที
“เอ้า มิ้งแค่บอกว่าเหมือน นี่ถ้าคุณหนูเป็นผู้หญิงนะ มิ้งฟันธงร้อยเปอร์เซ็นเลย”
“เสียมารยาทน่ามิ้ง”
นาคินทร์รีบปราม มิ้งบู้หน้า หันไปตักอาหารกิน ผมหน้าร้อนผ่าว ดีใจอยู่ลึก ๆ ที่ถูกมองแบบนี้
“พูดถึงผู้ชาย จำไอ้ปอได้ไหมนาคินทร์ หลานไอ้สน”
“จำได้” นาคินทร์รับ
“เออ นั่นแหละ สามสี่ปีแรกควงผู้หญิงมาไม่ซ้ำหน้า มาปีนี้มันควงผู้ชายมา ดูท่าจะเป็นผัวด้วย”
นาคินทร์สำลักอาหารอีกรอบ
“คนสมัยนี้นี่เนอะ แต่ก็เห็นว่ามันดูรักกันดี ทางนู้นก็ดูแลมันดี๊ดี ครอบครัวมันก็มีฐานะขึ้นมาเพราะแฟนมันนั่นแหละ พ่อแม่เลยพลอยสุขสบายไปด้วย” เขาพูดแบบไม่คิดอะไร ผมเม้มปากแน่น นาคินทร์มีสีหน้าอึดอัด
“ได้ข่าวว่าเมียตาเนตรท้องนี่”
นาคินทร์เสถามไปเรื่องอื่น เราลอบสบตากันแวบหนึ่งแล้วเสหลบไปคนละทาง
ผมเม้มปาก หัวใจไหวแรง แอบนึกถึงสิ่งที่ตัวเองกับนาคินทร์เพิ่งทำกันมาสด ๆ ร้อน ๆ วันนี้
_______________________ต่อค่ะ_____________________
เรื่องที่พูดคุยในวงสนทนาเปลี่ยนไปไม่ซ้ำตั้งแต่เรื่องในยุ้งยันเรื่องในมุ้ง เรื่องเบสิกพื้นฐานการใช้ชีวิตไปจนถึงเรื่องการเมือง สรรหามาคุยกันได้ไม่รู้เบื่อจริง ๆ
เหมือนเดิมครับ หมดเวลาอาหารนาคินทร์ก็เตรียมเสื่อ เตรียมผ้าห่ม ตะเกียง ผ้ารองพื้น มีแม้กระทั่งหมอน พ่อกับแม่ยังไม่นอนถามว่าจะไปไหนกัน นาคินทร์บอกจะพาผมไปดูดาว พวกท่านเลยพากันเข้านอนก่อน วันนี้นาคินทร์ต้มน้ำให้ผมอาบ ผมเลยอดอยู่ในอ้อมแขนของนาคินทร์เลย
แต่ไม่เป็นไร เพราะวันนี้ได้ไปเยอะแล้วกลางทุ่งนา
ผมทำหน้าที่ถือตะเกียงเจ้าพายุเดินนำนาคินทร์ไป นาคินทร์เดินตาม วันนี้ผมจงใส่เสื้อสุดยั่วของชยันต์มากับกางเกงขาสั้น สั้นแบบสั้นติดสะโพกเลย
ไม่รู้สึกไม่ตื่นตัวก็ให้มันรู้ไปสิ วัวเคยค้าม้าเคยขี่ แถมวันนี้ผมก็ยังพิสูจน์มาแล้วรอบหนึ่ง คืนนี้ก็น่าจะได้บ้างสักเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือไม่ อาจมีอะไรคืบหน้ามากไปกว่านั้นก็ได้
“นาคินทร์ว่าคุณหนูกลับไปใส่กางเกงขายาวดีกว่านะครับ จะได้อุ่น ๆ”
“มีผ้าห่มแล้วนี่”
ผมตอบเหมือนไม่ใส่ใจ
หรือว่านาคินทร์รังเกียจวะ ผมขมวดคิ้วคิด
“นาคินทร์แค่เป็นห่วง คืนนี้หนาวกว่าเมื่อวานด้วย”
ผมหันขวับกลับไปมองนาคินทร์ นาคินทร์เบรกกึกพอกัน สีหน้าดูตกใจนิด ๆ ผมยิ้ม
“นาคินทร์พกไฟแช็กมาด้วยใช่ไหม”
นาคินทร์พยักหน้ารับ
“ฉันมีวิธีทำให้อุ่นขึ้นกว่าเดิมอีก”
นาคินทร์มองงง ๆ
“ก่อกองไฟกันไง สนุกไปอีกแบบ หรือว่าไม่ได้”
“ได้ครับ นาคินทร์ก็ลืมนึกไป ไม่งั้นคงทำไปตั้งแต่เมื่อวาน”
ไม่ทำน่ะดีแล้ว ขืนทำ ผมก็อดอยู่ในอ้อมแขนนาคินทร์น่ะสิ
มีต่อ>>
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54278.msg3496699#msg3496699