เรื่อง : Feel คนเจ้าอารมณ์
คู่ที่ 4 : #นาคินทร์อนุชา
เขียนโดย : +Memew+
+CHAPTER 12 : อิงแอบแนบชิด
เราสองคนนั่งเงียบกันมาตลอดทั้งเส้นทาง จริง ๆ มันก็ไม่เงียบหรอก เพราะนาคินทร์เปิดเพลงให้ผมฟัง เพลงโปรดของผมนั่นแหละ แต่วันนี้ผมรู้สึกว่ามันไม่เพราะเลย รถวิ่งใกล้บ้านเข้าไปทุกที ผมไม่อยากให้ช่วงเวลาของเราสองคนจบลงแค่นี้จริง ๆ
“ฉันเบื่อกินข้าวที่บ้านแล้ว ไปหาอะไรกินกันนอกบ้านดีกว่า”
นาคินทร์หันมามอง
“คุณหนูอยากไปที่ไหนล่ะครับ”
“ที่ไหนก็ได้ ข้างทางก็ได้ เพราะสภาพนาคินทร์แบบนี้ ขึ้นห้างคงไม่เหมาะ”
นาคินทร์ก้มมองตัวเอง เพราะนอกจากเหงื่อแล้วยังเลอะฝุ่นเลอะโคลน ผมไม่รังเกียจหรอก ชอบด้วยซ้ำ แต่ผมไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะคิดยังไง
“งั้นคุณหนูเลือกนะ นาคินทร์จะขับรถวนไปเรื่อย ๆ”
นาคินทร์เลี้ยวไปยังเส้นทางที่ไม่ใช่ทางไปบ้าน ผมอมยิ้มนิด ๆ เราขับรถไปเรื่อย ๆ กระทั่งไปเจอร้านอาหารน่ากินร้านหนึ่งข้างทาง แต่ดูสะอาดและคนเยอะมาก ร้านไหนคนรุม เดาเอาไว้ก่อนว่ามันต้องอร่อยแน่ ๆ
ข้อเสียของการหาของกินข้างทางคือหาที่จอดรถยากนี่แหละ ร้อนอบอ้าวด้วย กว่าจะได้ที่จอด เราต้องเดินกันไกลร่วมห้าหกร้อยเมตร
“ถ้าไม่อร่อยนี่จะเอาระเบิดมาปาเลย”
ผมบ่น เช็ดเหงื่อตรงหน้าผากเบา ๆ นาคินทร์หัวเราะ
“กินที่บ้านก็จบแล้ว”
“ก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”
ผมหันไปบอก
“ครับ เปลี่ยนแล้วไง เปลี่ยนจากนั่งในห้องแอร์เย็น ๆ มาเดินตากควันรถร้อน ๆ ริมถนน”
เถียงไม่ออกเลย
ผมจะบอกว่าหมายถึงเปลี่ยนบรรยากาศจากกินข้าวกับครอบครัวมาเป็นกินข้าวกับนาคินทร์สองคนต่างหาก ผมปิดปากเงียบ ชวนมาเอง ยังไงก็ห้ามบ่น คนบนทางเท้าเยอะมาก ช่วงกำลังออกหาของกินของพวกทำงานออฟฟิศเลย
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
ผมโดนกระแทกไหล่จากสาวออฟฟิศที่มัวแต่ก้มหน้าจิ้มมือถือเพลิน ๆ ผมยิ้มให้นิดหนึ่งไม่เอาความ ทั้งที่ใจจริงหงุดหงิดแทบตาย
มัวแต่เล่นมือถือไม่มองทาง เดี๋ยวแช่งให้เดินตกท่อหรอก
“ขอโทษนะครับคุณหนู” นาคินทร์พูดขึ้นมาเบา ๆ ขยับมาเดินนำ จับมือผมไว้ “คนเยอะ คุณหนูเดินตามนาคินทร์ดีกว่า” แล้วนาคินทร์ก็เดินดุ่มไปด้านหน้า ทั้งที่มือซ้ายจับมือผมไว้คล้ายกับเด็กสักคนที่มากับผู้ปกครอง
ผมหน้าร้อนผ่าว ไอ้ที่หงุดหงิดร้อนรุ่มเมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมก้มมองมือที่ถูกกุมไว้จากคนตัวสูง อมยิ้มนิด ๆ ผมรู้ว่านาคินทร์ทำไปเพราะต้องการปกป้องและดูแลผม แต่ผมก็แอบคิดลึกมากไปกว่านั้น
ผมกระชับจับมือของนาคินทร์แน่นขึ้น ถ้านาคินทร์จับมือผมไว้แบบนี้ ให้เดินอีกสักสองกิโล ผมก็ทนไหว
เวลาแห่งความสุข มักผ่านไปรวดเร็วเสมอ ไม่นานเราก็เดินมาถึงร้านอาหาร นาคินทร์กำลังจะพาไปนั่งยังโต๊ะที่ว่างพอดี แต่ผมยื้อไว้
“เมื่อกี้ฉันเห็นแวบ ๆ ว่ามีอีกร้านน่ากินตรงนู่น เดินไปดูก่อนไหม”
“มีด้วยเหรอ ขับรถมานาคินทร์ยังไม่เห็นเลย”
“นาคินทร์ขับรถ จะเห็นได้ยังไง”
นาคินทร์ขมวดคิ้ว แต่ก็พยักหน้าเห็นด้วย
“นำไปสิ”
ผมบอกเสียงเรียบ ทั้งที่ภายในกำลังยิ้มกริ่ม นาคินทร์ก้าวนำไปก่อนผมก้าวตามไปติด ๆ กระทั่งเดินมาถึงปลายทางซึ่งติดสี่แยกไฟแดงพอดี ไม่มีร้านอาหารที่ผมว่ามาสักร้าน
แน่นอน ก็มันไม่มีตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
ผมยิ้มแหะ ๆ
“สงสัยฉันหิวจนตาลาย”
นาคินทร์ส่ายหัว
“กลับไปร้านเดิมดีกว่าครับ เลยเวลาอาหารมามากแล้ว เดี๋ยวโรคกระเพาะถามหา”
ผมพยักหน้า นาคินทร์เดินนำเหมือนเดิม โดยมีผมเดินตาม
ผมอมยิ้ม ไม่ได้อยากหลอกลวงนาคินทร์แบบนี้ แต่มันรู้สึกดีจริง ๆ ที่ได้ใช้เวลาร่วมกันแบบนี้
ยังดีที่โต๊ะที่เราเล็งไว้ตัวนั้นยังว่างอยู่ เรารีบไปจับจองทันที ผมเป็นคนสั่งเหมือนเดิม นาคินทร์เป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย ไม่ค่อยเรื่องมากเรื่องอาหารการกินหรอก ผมเล่าเรื่องที่ออกไซต์งานให้คนตัวสูงฟังระหว่างรออาหาร นาคินทร์เป็นผู้รับฟังที่ดีสำหรับผมเสมอ ไม่นานอาหารก็มา
“อร่อย”
ผมใช้ตะเกียบคีบผัดผักกระเฉดน้ำมันหอยใส่ปาก ติดกลีบกระเทียมโขลกมาด้วยชิ้นหนึ่ง หอมกรุ่นเชียว
“หือ นี่ก็อร่อย”
ผมชิมจานต่อไป ตามธรรมเนียมเดิมผมแหละครับ มาร้านอาหารไหนครั้งแรก ผมจะสั่งแหลกเพื่อชิมรสชาติ ครั้งต่อไปจะได้รู้ว่าร้านนี้เมนูไหนเด็ด ซึ่งนาคินทร์ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะดูจะเป็นคนที่กินทิ้งกินขว้างไปสักหน่อย ด้วยความเสียดาย เจ้าตัวก็ฟาดเรียบจนพุงยื่น(นิด ๆ) ส่วนผมกินเท่าที่อิ่มครับ ราคาสบายกระเป๋าพอควร
“ขืนกินข้าวนอกบ้านบ่อย ๆ นาคินทร์คงอ้วนเป็นหมูแน่ ๆ”
“แล้วใครใช้ให้กินจนหมดล่ะ ฉันแค่สั่งมาเยอะเพราะต้องการเทสว่าจานไหนอร่อย”
“กินไม่หมดก็ทิ้ง เสียของเปล่า ๆ”
ผมส่ายหน้า
“เราเสียเงินซื้อมาแล้ว ทิ้งก็จะเป็นอะไรไป”
“นาคินทร์ถือครับ คนบ้านนอก กินอะไรก็ต้องกินให้หมด กินทิ้งกินขว้างเกิดมาชาติหน้าจะไม่มีให้กิน นาคินทร์ว่าครั้งหน้า คุณหนูทดลองแค่เมนูสองเมนูก็พอ มาครั้งต่อไปค่อยสั่งที่เราไม่เคยสั่ง อาจไม่รู้ในเวลาเดียว แต่ดีกว่าต้องเสียของ ถึงคุณหนูจะมีเงินจ่าย แต่มันเป็นนิสัยที่ไม่น่ารักนัก ผมว่าแทนที่จะเอาเงินมาจ่ายเพื่อทดสอบเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ สู้เอาไปบริจาคให้เด็กที่แทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อกินจะดีกว่า”
ผมหน้าชาไปกับสิ่งที่นาคินทร์พูด นาคินทร์นิ่งไป
“ขออภัยครับที่นาคินทร์พูดจามากไป นาคินทร์จะไม่พูดอีก”
ผมก้มหน้า ตอนแรกก็รู้สึกแย่อยู่หรอก แต่มันก็จริงของนาคินทร์ ผมเป็นลูกคนรวย เกิดมาก็มีให้กินจนครบสามมื้อ ไม่เคยเกิดมาอดอยากหรือลำบากมาก่อน ถ้านาคินทร์ไม่พูด ผมก็ไม่คิด
“ไม่หรอก นาคินทร์พูดถูก มันเป็นนิสัยที่เกิดจากความเคยชินน่ะ”
“ขอโทษที่นาคินทร์อาจแสดงความคิดเห็นอะไรที่เป็นส่วนตัวมากไป นาคินทร์แค่เสนอแนะในมุมของนาคินทร์ คุณหนูจะไม่เห็นด้วย หรือไม่ทำตามก็ได้ นั่นเป็นสิทธิ์ของคุณหนู”
ผมยิ้ม
“นาคินทร์เป็นคนดี ความคิดของนาคินทร์ มันมาจากแก่นลึกของความรู้สึก ฉันไม่ใช่เด็กสอนยากนะ พูดได้สอนได้ เพราะไงนาคินทร์ก็อายุเยอะกว่าฉัน”
“แต่คุณหนูเป็นเจ้านาย”
“เจ้านายที่ไม่ฟังคำพูดของลูกน้องเลย ไม่ใช่เจ้านายที่ดีหรอกนะ”
นาคินทร์มองหน้า ยิ้มในดวงตา
“คุณหนูน่ารักสำหรับนาคินทร์เสมอ”
ผมหน้าร้อนผ่าว ผมรู้ว่านาคินทร์พูดไปแบบไม่คิดอะไร คำว่าน่ารักสำหรับนาคินทร์ มันก็เหมือนคำพูดที่ผู้ใหญ่เอาไว้พูดกับเด็กห้าขวบ เวลาที่เด็กทำอะไรถูกใจแล้วได้รับคำชม
แต่ผมอยากให้คำว่าน่ารักของนาคินทร์ มีความหมายมากไปกว่านั้น
ฟ้าแลบนิด ๆ ผมกับนาคินทร์เงยหน้ามอง
“ฝนทำท่าจะตกแล้ว เรารีบกลับกันดีกว่า”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย เรียกเช็กบิล เรารีบพากันเดินกึ่งวิ่งไปที่รถ แต่เดินไปได้แค่ครึ่งทางฝนก็พากันโปรยลงมาเบา ๆ
“คุณหนูครับ”
ผมหันไปมองคนเรียก เห็นนาคินทร์ในสภาพเปลือยเปล่าท่อนบนขยับเข้ามาชิด ยกเสื้อที่ผมไม่รู้ว่านาคินทร์ถอดออกตั้งแต่เมื่อไหร่มากางขึ้นเหนือหัวผมเพื่อกันฝนให้ ผมหน้าร้อนผ่าว แผงอกกว้างอยู่ไม่ห่างจากแผ่นหลังผม มันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เข้าใจอารมณ์พวกนางเอกเอ็มวีเลย เราพากันก้าวเร็ว ๆ ไปที่รถ
ฝนตกแรงขึ้นเรื่อย ๆ นาคินทร์เปิดประตูให้ผมขึ้นไปก่อน แล้วตัวเองก็อ้อมไปเปิดฝั่งคนขับ หัวกับหน้าผมแทบจะไม่ถูกเม็ดฝน ในขณะที่นาคินทร์เปียกไปหมด คงเพราะเอาเสื้อและตัวตัวเองมาปกป้องผมเป็นหลัก นาคินทร์สตาร์ทเครื่อง เปิดแอร์ให้เบาที่สุด
“หนาว”
ผมสยิวกายเบา ๆ เพราะความหนาว
“อดทนเอาหน่อยนะครับ”
ผมพยักหน้า ฝนตกแรงมากจนแทบมองไม่เห็นเส้นทาง รถติดมากด้วย ผมนั่งตัวสั่นในขณะที่นาคินทร์ยังนั่งชิลล์
“พายุคงเข้า”
นาคินทร์เปรยเบา ๆ เคาะนิ้วกับพวงมาลัย ขยับหรี่แอร์ลงอีก
“นาคินทร์ไม่หนาวบ้างรึไง”
“หนาวครับ แต่ทนได้”
ผมพยักหน้าเข้าใจ
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน นาคินทร์จอดรถ วิ่งอ้อมมาเปิดประตูให้
“อาบน้ำสระผม อย่าลืมทานยาดักไว้ด้วยนะครับ ไม่งั้นหวัดกินแน่ ๆ”
ผมพยักหน้ารับคำอีกที
“นายเองก็เหมือนกัน”
“ครับ”
นาคินทร์รับปาก ผมเดินเข้าบ้านไป บรรดาแม่ ๆ นั่งดูทีวีกันหน้าสลอน
“เพิ่งกลับเหรอลูก ตัวเปียกมาเชียว”
“ครับ เจอฝนระหว่างทาง”
“ไป รีบไปอาบน้ำ อาบเสร็จลงมากินยาดักไว้ก่อนนะ เดี๋ยวหวัดกิน”
แม่ผมบอก ผมรับคำ วิ่งขึ้นห้องไป ได้น้ำอุ่น ๆ ทำให้ความหนาวที่มีมาก่อนหน้าเบาบางลง พออาบน้ำเสร็จผมก็ลงไปข้างล่าง แม่ผมรีบเอายามาให้กิน
ผมอยู่กับครอบครัวจนถึงเวลาเข้านอน ฝนด้านนอกก็ยังไม่หยุดตก พายุยังโหมแรง ทุกคนแยกย้ายกันเข้าห้องใครห้องมัน ผมขึ้นห้องตัวเองไปเหมือนกัน เดินขึ้นเตียง
คิดถึงนาคินทร์แฮะ ทั้ง ๆ ที่ก็เพิ่งแยกย้ายกันไปเมื่อตอนเย็น
ความรักมักทำให้คนเป็นทุกข์ ผมเคยได้ยินคำนี้มาก่อน แต่การรักคนที่ไม่ได้รักเรา มันเป็นทุกข์ยิ่งกว่า
ผมนอนหงายจ้องมองเพดานประดับดวงไฟที่ถูกปิดสนิท เสียงฝนยังดังกระทบหน้าต่างไม่หยุด พอ ๆ กับเสียงฟ้าคำราม แสงไฟที่แลบแปลบปลาบเข้ามา
ผมขยับพลิกหันข้าง ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ผมรู้สึกว่าเตียงผมมันกว้างเกินไป กว้างจนดูเคว้งคว้าง ผมชักรู้สึกชื่นชอบฟูกนอนแคบ ๆ เก่า ๆ ของนาคินทร์มากกว่า มันเล็กจนคนที่นอนอยู่ด้วยกันต้องเบียดชิดกัน ผมกระชับกอดผ้าห่มแน่น มันไม่รู้สึกอบอุ่นไปถึงหัวใจเหมือนผ้าห่มสีมอ ๆ ของนาคินทร์เลย ผมขยับดึงมันขึ้นมาดม มันไม่มีกลิ่นสาบสางของนาคินทร์ด้วย กลิ่นมันสะอาด
สะอาดจนเกินไป
ผมพยายามข่มตาให้หลับ แต่ทำยังไงมันก็ไม่หลับสักที เสียงฟ้ายังคงดังกระหึ่ม อยากให้คืนนี้ นาคินทร์กอดผมไว้จัง
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นอีกรอบ ผมเม้มปากแน่น ขยับลุกนั่ง ยกเข่าขึ้นมากอด กัดเล็บ มองไปทางหน้าต่างบานนั้น
“นาคินทร์”
ผมเรียก หวังให้เสียงผมทะลุผ่านหน้าต่างส่งไปถึงคนตัวโต ป่านนี้นาคินทร์คงหลับไปแล้ว ผมหันมองไปทางมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ หยิบมันมาดู กดอันล็อก จะมีใครรู้ว่าบ้าง ว่าผมเปลี่ยนหน้าจอจากรูปตัวเองมาเป็นรูปของนาคินทร์ตอนทำงานแล้ว
ผมจ้องมองมัน ราวกับภาพในมือถือนั้นจะมีชีวิตเดินออกมาหาผม เลื่อนไปมองเบอร์ที่ผมจำได้ขึ้นใจ เบอร์ที่โชว์ภาพใบหน้านาคินทร์ตอนยิ้มร่าให้ผม
ไม่รู้ว่าจะเป็นการรบกวนเกินไปไหม แต่ผมอยากได้ยินเสียงเขา ไม่ได้เห็นหน้า ได้ยินเสียงก็ยังดี
ผมตัดสินใจ กดโทรออก จะโทรแค่รอบเดียวเท่านั้น ถ้านาคินทร์ไม่รับเพราะนอนไปแล้วหรือเสียงฝนดังจนไม่ได้ยินเสียงก็แล้วไป ผมจะไม่รบกวนเขาอีก
เสียงรอสายผมดังอยู่สักพัก ผมเม้มปากแน่น เสียงสัญญาณสุดท้ายสิ้นสุดลงพร้อมกับความเงียบ ไม่มีเสียง’ครับ คุณหนู’ตอบรับเหมือนที่เคยได้ยินทุกครั้งที่ผมโทรหา
นาคินทร์คงหลับไปแล้ว
ผมจ้องมองใบหน้ายิ้มแย้มนั้น ก่อนสะดุ้งเฮือก เพราะอยู่ ๆ มือถือผมก็แผดจ้าขึ้น สายที่เรียกเข้าเป็นใบหน้าของคนที่ผมจ้องมองเมื่อกี้
หัวใจผมไหวแรง มองมันราวกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เสียงเรียกเข้ายังดังอยู่ไม่หยุด แต่ผมทำอะไรไม่ถูกกระทั่งมันเงียบเสียงไป
“ไอ้บ้าอนุชา ทำไมไม่รับวะ!”
ผมตำหนิตัวเอง จ้องมือถือนิ่ง รอสักพัก ถ้านาคินทร์โทรกลับมาอีก ผมจะรีบกดรับทันที
แต่ทุกอย่างนิ่งสนิท ผมเม้มปากแน่น ตัดสินใจกดโทรออกอีกครั้ง สัญญาณดังขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก่อนจะได้ยินเสียงฝนดังแทรกเข้ามา เป็นการบอกให้ผมรู้ว่าฝั่งตรงข้ามกดรับแล้วเรียบร้อย แต่ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาให้ได้ยินเลย
“นาคินทร์” ผมเรียก
“ครับ คุณหนู”
.........50%........ผมยิ้มทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น
“นอนรึยัง”
“หลับไปแล้วครับ แต่ตื่นเพราะได้ยินเสียงมือถือของคุณหนู เสียงฝนมันดังกลบ นาคินทร์เลยรับไม่ทัน ขอโทษด้วยจริง ๆ คุณหนูมีอะไรให้นาคินทร์รับใช้หรือเปล่าครับ เมื่อกี้นาคินทร์โทรกลับไปรอบหนึ่ง คุณหนูไม่รับ นาคินทร์เลยเดาเอาว่าบางทีคุณหนูอาจเผลอกดโทรออก”
ผมยิ้ม ไม่ได้บอกเหตุผลที่แท้จริงว่ามัวแต่มองหน้านาคินทร์เพลินเลยไม่ได้กดรับ
“ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่นอนไม่หลับเพราะเสียงฝนกับเสียงฟ้ามันดัง”
ผมค่อย ๆ ทิ้งตัวลงนอนหงาย จ้องมองเพดาน “ฉันไม่รู้ว่าจะคุยกับใครดี ตอนนี้นึกได้แค่นาคินทร์คนเดียว” พูดไปแล้วก็เม้มปากแน่น ผมอยากให้นาคินทร์รู้ความรู้สึกลึก ๆ ของผม แต่อีกใจก็ไม่อยากให้รู้ เพราะถ้านาคินทร์รู้ นาคินทร์อาจไม่ชอบ และอาจนึกตำหนิผมก็ได้
“กลัวหรือครับ”
“เปล่า แต่แค่นอนไม่หลับ”
“ผมว่าเสียงฝนตกเป็นเสียงที่เพราะนะ ฟังเพลิน ๆ แล้วชวนง่วงดีออก”
เสียงพูดนั้นฟังดูสบาย ๆ จนผมพลอยรู้สึกสบายใจไปด้วย
“ปกติฉันก็ชอบฟังเสียงมันนะ ฟังแล้วหลับสบายดี แต่วันนี้ไม่รู้เป็นไง เสียงมันทำให้ฉันนอนไม่หลับเฉยเลย”
“มีอะไรให้คิดหรือเปล่าครับ”
ผมชะงักไปกับคำถามนั้น แน่นอน ผมมีคำตอบในใจอยู่แล้ว
“ก็พอมี” ผมตอบแผ่ว
“อยากเล่าให้นาคินทร์ฟังไหม”
ผมเม้มปากแน่น
ก็คิดถึงนายไงล่ะ
“อย่าเลย ดึกแล้ว ไม่อยากหาเรื่องปวดหัวมาให้นาคินทร์ด้วย เอาเป็นว่าแค่ได้ยินเสียงของนาคินทร์ ฉันก็รู้สึกสบายใจแล้ว หลังจากวางสายคงนอนหลับฝันดี”
ได้ยินเสียงหัวเราะจากปลายทาง
“คุณหนูครับ”
“หือ”
ผมครางรับ เขี่ยมือกับที่นอนไปมา ใจจริงอยากให้มันเป็นแผงอกกว้าง ๆ ของนาคินทร์มากกว่า
“นาคินทร์อยากให้คุณหนูนอนหลับฝันดีนะครับ”
ผมอมยิ้ม กลิ้งไปจนสุดเตียงอีกด้าน
“ที่นอนฉันมันกว้างเกินไปนาคินทร์”
ปลายทางเงียบ
“ฉันชักติดใจที่นอนแคบ ๆ พื้นแข็ง ๆ ผ้าห่มสีมอ ๆ ที่มีกลิ่นสาบ ๆ ของนาคินทร์แล้ว เข้าไปทีไร หลับไม่ได้สติทุกที”
ปลายทางยังเงียบอยู่ ผมเม้มปาก รอคอยว่าอีกคนจะพูดอะไร
“ขอบคุณที่ให้เกียรติครับ แต่คุณหนูเหมาะกับที่นอนกว้าง ๆ ผ้าสะอาด ๆ กลิ่นหอม ๆ มากกว่า”
ผมเป็นฝ่ายเงียบบ้าง นั่นเป็นคำตอบกราย ๆ ว่านาคินทร์คงไม่ชอบให้ผมไปแย่งที่นอนเท่าไหร่ ยิ่งคนที่เคยมีอะไรกันมา อาจทำให้เขาคิดรังเกียจและไม่อยากให้ผมไปนอนด้วยอีกแล้วก็ได้
เสียงฝนดังสนั่น ผมเดาไม่ออกว่าอันไหนดังกว่ากันระหว่างจากเครื่องของนาคินทร์กับห้องของผม
“คุณหนูครับ”
“หือ”
ผมครางรับในลำคอ
“เห็นเงียบไป คิดว่าหลับไปแล้ว”
“เปล่ายังไม่หลับหรอก คิดอะไรเพลิน ๆ น่ะ”
“นาคินทร์”
ผมเรียกคนตัวสูงอีกรอบ
“ครับ”
“นาคินทร์เป็นคนหวงที่นอนเหรอ”
“เปล่าครับ ทำไมคุณหนูคิดแบบนั้น”
“ก็ขอไปนอนด้วยทีไรปฏิเสธทุกที”
“เหตุผลก็อย่างที่ผมบอกไปแล้ว คุณหนูเหมาะกับเตียงกว้าง ๆ ผ้าสะอาด ๆ มากกว่าฟูกนอนแคบ ๆ เหม็นอับจากดิน”
“ทั้งที่ฉันบอกว่าฉันชอบสิ่งนั้นมากกว่าเตียงกว้าง ๆ น่ะเหรอ”
นาคินทร์นิ่งไป
“ฉันแค่เกิดมาเป็นลูกคนรวยนะนาคินทร์ ไม่ได้หมายความว่าจะชอบสิ่งที่คนไม่รวยเขาชอบกันไม่ได้”
นาคินทร์นิ่งไปพักใหญ่
“คุณหนูติดดินมากกว่าที่ผมคิดอีกนะครับ”
“ถ้าศึกษาดี ๆ จะรู้ว่าบางครั้งฉันก็มนุษย์ตุ่นดี ๆ นี่เอง”
เสียงนาคินทร์หัวเราะดังมาให้ได้ยิน พลอยพาเอาผมรู้สึกเบิกบานในหัวใจไปด้วย ผมชอบให้นาคินทร์ยิ้ม ผมชอบให้นาคินทร์หัวเราะ ผมชอบให้นาคินทร์มีความสุข
“พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้านะครับ”
“ง่วงแล้วเหรอ ถ้าง่วงนาคินทร์วางสายก่อนก็ได้”
“เปล่าครับ แต่นาคินทร์เป็นห่วงคุณหนูนั่นแหละ กลัวจะดึกมากจนโผเผพรุ่งนี้”
ผมอมยิ้ม
“ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ฉันยังไม่ง่วงจริง ๆ”
“ทำยังไงถึงจะทำให้คุณหนูของผมง่วงได้นะ”
ผมไม่รู้ว่าน้ำเสียงนั้นถามมาในลักษณะหยอกเย้าหรือว่าถามเพราะอยากรู้จริง ๆ กันแน่ มันก้ำกึ่งกัน ฟังดูเหมือนจะเย้าแต่ก็ดูจริงจังจนผมคาดเดาไม่ออก
“ถ้าได้นอนบนฟูกเน่า ๆ ของนาคินทร์ ได้ห่มผ้าห่มสีมอ ๆ อาจทำให้หลับเร็วขึ้นก็ได้ แต่รู้ว่านาคินทร์คงไม่ชอบ หรือรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับสถานะของฉัน”
ผมดักคอไว้ก่อน
นาคินทร์นิ่งไปนาน
“ครับ ที่นี่ไม่เหมาะกับคุณหนูหรอก”
คำนั้นยิ่งย้ำให้ผมรู้สึกแย่ กำลังจะอ้าปากบอกลา
“แต่ถ้าคุณหนูชอบ นาคินทร์ก็พร้อมจะยกมันให้คุณหนู ไม่ต่างกับตัวและหัวใจนาคินทร์ตอนนี้เลย”
หัวใจผมเต้นรัว ที่นอนของนาคินทร์ไม่ได้ทำให้ตื่นเต้นได้เท่ากับคำพูดท่อนสุดท้ายนั้น
หัวใจของนาคินทร์ หัวใจแบบไหน
“ถ้าตอนนี้ ฉันจะขอไปนอนด้วยล่ะ”
“นาคินทร์จะไม่ขัดคำสั่งคุณหนูครับ ถ้ามันทำให้คุณหนูมีความสุขและนอนหลับได้ แต่ตอนนี้ฝนตกหนักมาก”
“ฉันจะไป”
ผมตอบกลับอย่างมุ่งมั่น
“ครับ งั้นนาคินทร์จะรอ”
คำพูดนั้นทำให้ผมยิ้มได้
“ฉันอาจเปียก เตรียมชุดไว้ให้หน่อยแล้วกัน”
“งั้นให้นาคินทร์ไปรับดีกว่าครับ”
“อย่าเลย ขืนให้นาคินทร์มาได้พากันเปียกทั้งคู่ ให้ฉันเปียกคนเดียวก็พอ ฝนตกแรงมากด้วย เปียกแน่ ๆ”
“ครับ ระวังตัวด้วย บางส่วนน้ำอาจขังจนเป็นโคลน เดินระวังพวกสัตว์เลื้อยคลานที่จะออกมาเดินป้วนเปี้ยนด้วยนะครับ”
พูดมาซะทำเอาผมไม่อยากไปเลย แต่ก็ทำใจกล้าลุกขึ้นยืน
“ขอบใจที่เตือน งั้นแค่นี้นะ แล้วเจอกัน”
ผมกดตัดสายทันที โยนมือถือลงบนโต๊ะ หันไปรื้อหาร่ม เดินออกจากห้องไป ดีว่าทุกคนเข้านอนกันหมดแล้วเลยไม่มีใครรู้เห็นว่าผมทำตัวได้น่าอายขนาดไหน
ผมเดินเงียบลงไปข้างล่าง กางร่มเมื่อออกไปนอกประตูบ้าน เห็นความแรงของฝนก็อดกลัวไม่ได้ แต่ก็ทำใจกล้า กระชับคันร่มแน่น วิ่งลิ่วฝ่าสายฝนไปทางหลังบ้าน
แค่ออกมาพ้นประตูบ้านแค่สองวา ตัวผมก็เปียกไปแล้วเกือบทั้งตัว ร่มแทบเอาไม่อยู่เพราะความแรงของฝน ผมวิ่งเร็วไปตามทางกระทั่งถึงโรงเลื่อย ผมรีบเคาะประตู นาคินทร์เปิดออก มองผมอึ้ง ๆ รีบดึงมือผมเข้าไปภายใน
“โธ่ เปียกหมดเลย”
ผมลูบหน้าตัวเองเบา ๆ สยิวกายเพราะความหนาว นาคินทร์รีบหยิบผ้าเช็ดตัวของตัวเองมาห่มให้ ลูบหัวไหล่เบา ๆ เช็ดน้ำให้
“นาคินทร์ว่าอาบน้ำดีกว่า เปียกขนาดนี้ แค่เช็ดตัวหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าคงเอาไม่อยู่ น้ำฝนในกรุงเทพไม่ได้สะอาดเหมือนต่างจังหวัดด้วย”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย นาคินทร์ยกผ้าเช็ดตัวผืนนั้นให้พร้อมชุด พาผมไปส่งที่หน้าห้องน้ำ ผมใช้เวลาอาบไม่นานหรอก เพราะแค่ล้างตัว เดินตัวหอมฉุยเข้าไปในห้องนอนต่อ
เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวนี้กลายเป็นชุดเก่งของผมไปแล้ว
“รู้สึกว่าฉันจะใส่เสื้อตัวนี้บ่อยกว่าเจ้าของซะอีก”
ผมพูดไปขยี้ผ้าเช็ดตัวกับเส้นผมไป นาคินทร์หัวเราะ ขยับมาจับผ้าเช็ดตัวไว้
“นาคินทร์เช็ดให้ครับ ถ้าอากาศไม่เย็นก็อยากให้เป่าด้วยพัดลม แต่ตอนนี้มันเย็น ขืนโดนพัดลมคงป่วย”
ผมไม่ว่าอะไร ปล่อยให้คนตัวสูงทำ ปกติผมจะพับแขนเสื้อขึ้นถึงศอกเพราะความใหญ่ของมัน แต่วันนี้ผมปล่อยยาวคลุมแขนเลยเพราะความหนาวเย็นจากฝนที่กำลังตกหนัก
“หนาวจริง ๆ”
ผมกอดอกสั่น ๆ นาคินทร์ขยี้เช็ดหัวผมให้เบามือ กระทั่งมันหมาด หัวผมตอนนี้คงฟูไม่เป็นทรง
“งั้นคุณหนูรีบนอนเถอะครับ ห่มผ้าห่มจะได้อุ่น ๆ”
นาคินทร์ขยับไปปรับที่นอนให้ ผมคลานขึ้นไปนั่งก่อน แล้วทิ้งตัวลงนอน นาคินทร์ห่มผ้าห่มให้
“อย่าคิดนั่งเฝ้าฉันทั้งคืนหรือแยกไปนอนข้างล่างล่ะ เอาตัวอุ่น ๆ ของนายมาเป็นฮีตเตอร์ให้ฉันเลย”
ผมเรียกเมื่ออีกคนทำท่าจะเดินไปเอาผ้าห่มสำรองมาปู นาคินทร์ชะงัก
“แต่ผมว่า…”
“แต่ถ้านาคินทร์รังเกียจก็ไม่เป็นไร”
“นาคินทร์ไม่ได้รังเกียจครับ แต่…”
ผมจ้องตาคนตัวสูง ตบที่นอนด้านข้างเบา ๆ
“ถ้าไม่รังเกียจก็มานอน แต่ถ้ารู้สึกอย่างนั้นจะนอนที่นั่นก็ได้ ฉันไม่ฝืนใจนายหรอก”
นาคินทร์ถอนหายใจแรง เดินกลับขึ้นมาทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ดึงผ้าห่มสีมอ ๆ ที่ผมเรียกขานประจำไปคลุมขา สีหน้าดูวิตก
“ฉันไม่บังคับหรอกนะ ถ้ามันลำบากใจขนาดนั้น”
“นาคินทร์ไม่ได้ลำบากใจครับ แต่…”
“แต่อะไร”
“ไม่มีอะไรครับ นอนเถอะดึกมากแล้ว พรุ่งนี้คุณหนูต้องตื่นแต่เช้า เดี๋ยวได้หน้าหมองไปพบลูกค้าหรอก”
ผมหัวเราะ พยักหน้า ขยับหันหน้าเข้าหานาคินทร์
“ขอโทษนะครับ”
คนตัวสูงเอื้อมมือข้ามผมไปปิดไฟหัวเตียง ความมืดปกคลุมไปทั่ว แต่ไม่ได้มากมายเพราะแสงที่ยังแลบแปลบปลาบอยู่ภายนอก นาคินทร์ขยับดึงผ้าห่มคลุมตัว
“ขอฉันนอนชิดนาคินทร์นิดนะ ตัวนาคินทร์ร้อนดี”
นาคินทร์นิ่งไปนานก่อนตอบรับ
“ครับ”
ผมยิ้ม ขยับกระดืบ ๆ เข้าชิดทั้งที่อีกคนยังนอนหงายอยู่ ผมขยับซุกหน้ากับต้นแขนแกร่ง มันแน่นไปด้วยมัดกล้ามและร้อนผ่าวราวกับเครื่องทำความร้อน
“อุ่นจริง ๆ”
ผมพูดเสียงเบา ผมว่าผมไม่ได้พูดเล่นนะ เพราะผมรู้สึกง่วงจริง ๆ
“คุณหนู”
“หือ…”
ผมครางรับเสียงเบา ขยับไซ้หน้ากับต้นแขนนั้นอีกนิด แล้วสติก็ค่อย ๆ จางหายไป
100%
[ต่อค่ะ]>>
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54278.msg3473629#msg3473629e-book :
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54068.msg3389162#msg3389162