Jewelry Design
#อัญมณีที่รัก
ผมออกแบบแหวนแต่งงานให้คนอื่นมามากมาย
คงมีแค่คนเดียวที่ผมจะไม่ได้ออกแบบแหวนแต่งงานให้
คนๆ นั้นก็คือตัวผมเอง…
- นพจินดา วรโชติเมธี –
CH. 13
Kynanite
“พวกมึงเลิกซื้อขนมมาให้กูสักทีได้ไหม”
ทิมมองบรรดากองขนมที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าแล้วถอนหายใจ ถ้าเป็นเวลาปกติเขาก็คงดีใจอยู่หรอกเวลาที่ได้กินขนมอร่อยๆ แต่ตอนนี้ทั้งร่างกายและจิตใจเขายังไม่โอเท่าไหร่แถมแก๊งลูกเพื่อนแม่ทั้งสามคนก็ซื้อขนมเหมือนเหมามาทุกร้านขนาดนี้ กินสามวันยังไม่หมด ที่จริงก็ไม่เรียกว่าดีขึ้นหรอกแต่ก็ไม่อยากให้ คิน เบน และรามิลต้องมานั่งคอยเป็นห่วงนี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วจากเหตุการณ์ในวันนั้น
“มึงซึมอะทิมกูไม่ชิน”
“ตอนมึงเลิกกับฝ้ายมึงเหมือนผีดิบเลยนะ”
“กูจำได้แดกเหล้าเป็นน้ำเปล่าเสียเงินค่าเหล้าแพงกว่ากำไรบริษัท”
“มึงก็พอกันเบนกอดไวโอลินร้องไห้น้ำตาแตกสภาพดูไม่ได้”
“ไอ้ทิม มึงพูดเรื่องเก่าๆ ช่วยดูสถานที่ด้วย ไม้หึงไอ้มิลขึ้นมาต้นกระบองเพชรย้ายมาอยู่บนหัวมันแน่”
“พวกมึงตามกูมาเอง”
“นี่ร้านแฟนกู!”
“ไม้ไล่มึงออกจากร้านเพื่อกูได้นะมิล”
“สัด ตำแหน่งหัวหน้าแก๊งกูไม่เคยมีความหมายเลย”
ต้นไม้หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินเข้ามาวางกระถางดอกไม้ไว้กลางโต๊ะที่ตั้งอยู่กลางโรงเรือนกระบองเพชร ตอนที่ทิมโทรมาหาก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกันแต่ก็พอรู้เรื่องมาจากรามิลบ้างแล้ว นี่ก็นึกว่าจะโทรมาขอคำปรึกษาแต่ทิมก็บอกแค่ว่าขอไปอยู่ที่ร้านหน่อย อยากอยู่กับธรรมชาติไม่อยากอยู่บ้าน
ต้นไม้ก็ไม่เข้าใจโรงเรือนต้นกระบองเพชรที่ร้านก็ไม่ได้ร่มรื่นอะไรเท่าไหร่ แต่คิดว่าทิมน่าจะแค่ต้องการที่พักใจมากกว่า แต่ก็ไม่คิดว่าจะยกโขยงกันมาทั้งแก๊งลูกเพื่อนแม่แบบนี้ ต้นไม้กลัวว่าต้นกระบองเพชรมันจะน่าเบื่อเกินไปเลยเอาดอกไม้สีน่ารักๆ มาวางให้ทิมรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง ตอนนี้มันเลยกลายเป็นภาพที่ตลกดีผู้ชายสี่คนนั่งเท้าคางมองกระถางดอกไม้ท่าเดียวกันเป๊ะๆ
สมกับเป็นแก๊งลูกเพื่อนแม่ที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ
“พี่ทิมน่ะผมเข้าใจนะแต่ที่เหลือเขาเป็นอะไรกัน”
คีตากลับมาจากส่งดอกไม้กับเต้ได้แต่ยืนมองแก๊งลูกเพื่อนแม่ทำท่าทางประหลาดๆ ก่อนที่ต้นไม้จะบอกให้คีตาเข้าไปหาเบนจามิน เขารู้ว่าทุกคนเป็นห่วงทิมแต่บางทีทิมก็อาจจะอยากอยู่คนเดียวเพื่อคิดอะไรบ้างเอาแต่ตามติดกันแบบนี้ทิมก็ไม่มีเวลาได้คิดอะไรพอดี คีตาพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปในโรงเรือนกระบองเพชร พอเบนเห็นแฟนตัวเองก็เลิกสนใจดอกไม้ตรงหน้าแล้วคว้าเอวคีตาให้นั่งลงบนตักก่อนที่คีตาจะกระซิบบอกบางอย่าง เบนเลยเตะขาคินที่อยู่ใต้โต๊ะอีกทีจังหวะเดียวกับที่ต้นไม้เดินเข้ามา
“กูพาเจ้าหนูไปกินข้าวก่อนเป็นนักดนตรีอยู่ดีๆ วันนี้อยากจะไปส่งดอกไม้ซนจริงๆ ทิมมึงเอาอะไรไหม”
“ที่มึงซื้อมากูกินได้อาทิตย์หนึ่งเลยนะ คินมึงจะไปดูร้านที่จะเปิดก็ไปเถอะกูอยู่ได้ไอ้มิลต้นไม้กับเต้ก็อยู่”
ต้นไม้พยักหน้าให้ทุกคนออกไปก่อนเพราะตัวเองก็มีเรื่องจะคุยกับทิมเหมือนกัน พอทุกคนออกจากโรงเรือนกระบองเพชรแล้วใบหน้าของทิมจากที่ตอนแรกที่ยังพอยิ้มได้ก็กลับมานิ่งเฉยตามเดิม นี่ก็ดีขึ้นกว่าวันแรกๆ ด้วยซ้ำ วันแรกที่ทิมมาที่ร้านแค่เห็นหน้าต้นไม้ก็ใจไม่ดีแล้ว ใบหน้าน่ารักเศร้าหมองจนเขาเองยังสัมผัสได้ดวงตากลมโตบวมช้ำจนน่าสงสาร
“ดีขึ้นบ้างหรือยัง”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกไอ้สามคนนั้นก็เวอร์”
“ทิมจำได้ไหมรามิลเองก็มีช่วงเวลาที่สับสนแล้วก็หายไปจากเราเหมือนกัน”
“จำได้ตอนนั้นไม้เป็นยังไงบ้าง”
“ตอนนั้นเราคิดว่ารามิลคงหายไปจากชีวิตเราแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่..”
“มิลมันรักไม้ไงแค่ต้องการเวลาให้แน่ใจกับความรู้สึกตัวเองหน่อย”
“ใช่ไหม..บางทีเวลาก็พิสูจน์บางอย่าง”“…………………………………………………….”
เขารู้ว่าต้นไม้หมายถึงอะไรแต่สำหรับเขากับพอร์ชมันต่างกัน เราสองคนไม่ได้เริ่มต้นจากความรักมันมีแค่เกมและความอยากเอาชนะล้วนๆ พอเห็นทิมเงียบไปต้นไม้ก็ยิ้มให้ก่อนจะเดินไปหยิบสมุดระบายสีพร้อมกับสีไม้มาวางไว้ตรงหน้าทิม
“ตั้มซื้อให้ลูกแต่มันลืมไว้มันคงขี้เกียจมาเอาแล้ว กลัวทิมนั่งเฉยๆ แล้วเบื่อ”
“เราโตแล้วไม้”
“โตแล้วก็ระบายสีได้เขาก็ไม่ได้กำหนดอายุไว้นิ”
ทิมลองเปิดสมุดระบายสีตรงหน้ามันก็เป็นสมุดระบายสีตัวการ์ตูนผู้หญิงใส่ชุดกระโปรงฟูฟ่อง มีตุ๊กตาของเล่นให้ระบายสีเต็มไปหมด จะว่าไปก็ไม่ได้ทำแบบนี้มานานเหมือนกันเหมือนกลับไปสมัยประถมถึงตอนนั้นจะระบายสีหุ่นยนต์ไม่ใช่ตัวการ์ตูนแบบนี้ ทิมหยิบสีขึ้นมาระบายรูปภาพก่อนจะเงยหน้ามายิ้มให้ต้นไม้ที่ลุกขึ้นยืนเพราะเต้เข้ามาบอกว่ามีลูกค้ามาสั่งดอกไม้
“ต้นไม้นี่สมกับชื่อต้นไม้รู้สึกเย็นสบายเวลาที่อยู่ด้วย คิดไม่ผิดเลยที่มาที่นี่”
“บางทีทุกอย่างก็อาจจะต้องใช้เวลานะทิม”
“นานไหม”
“เรายังรักรามิลมาสิบปีเลย”
“นานมาก”
“ไม่รู้ว่าทิมรู้ตัวหรือเปล่าแต่ตอนที่ทิมมีความรักทิมน่ารักมากนะ”
ต้นไม้ออกจากโรงเรือนกระบองเพชรไปแล้วและประโยคที่ต้นไม้บอกไว้มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยิน พี่พลอย..ก็พูดแบบนี้เหมือนกัน วันนั้นวันที่เกิดเรื่องคินไม่ได้พากลับบ้านเพราะมันดึกมากแล้วและก็กลัวว่าคนในครอบครัวเขาจะตกใจด้วย คินเลยพามาที่ร้านของคินที่กำลังจะเปิดมันเป็นสตูดิโอถ่ายภาพดีที่ข้างบนคินทำเป็นที่พักไว้ด้วย
เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหลังจากที่กอดคินแล้วร้องไห้ต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีก ก็น่าจะร้องไห้จนหลับไป พอกลับมาที่บ้านพี่พลอยก็เข้ามาคุยด้วยเพราะสนิทกับพี่สาวคนโตมาตั้งแต่เด็กเลยร้องไห้โฮอีกรอบพร้อมกับเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟัง พี่พลอยไม่ได้เอ่ยอะไรเพียงแค่ยกมือลูบผมเขาเบาๆ
“พี่ว่าเกมครั้งนี้ก็ไม่ได้แย่ไปซะหมด”
“…………………………………………….”
“มันทำให้พี่รู้นะว่าเวลาที่ทิมมีความรักทิมเป็นแบบไหนและมันก็ดีมากจริงๆ”
“…………………………………………….”
“เพราะทิมโตมามีแต่คนคอยเอาใจทั้งครอบครัวทั้งแก๊งลูกเพื่อนแม่ ไม่ว่าอยากได้อะไรก็ต้องได้เราน่ะเลยรู้สึกว่าทุกคนต้องยอมเราไปซะหมด ต้องชนะแพ้ไม่เป็น พี่ยังเคยสงสัยเลยนะว่าจะมีใครที่ทำให้ทิมยอมได้”
“…………………………………………….”
“จนมาเจอคุณพอร์ช ทิมยิ้มบ่อยขึ้น หัวเราะเยอะขึ้น รู้จักดูแล เป็นห่วง เอาใจใส่ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนทิมไม่คิดจะทำแบบนี้ให้ใครเลยด้วยซ้ำ”
“…………………………………………….”
“มันทำให้พี่ได้รู้ว่า ทับทิม นพจินดาน้องชายของพี่ก็มุมแบบนี้เหมือนกัน”
“เมื่อก่อนผมเย็นชาขนาดนั้นเลย”
“เจ้าชายน้ำแข็งเรียกพี่เลยเราน่ะ นพจินดา วรโชติเมธีจอมหยิ่ง เอาแต่ใจ ไม่ยอมใคร ไม่สนใคร ไม่แคร์ความรู้สึกใครทั้งนั้น ไม่รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปบ้างเหรอไง”
“ลูกค้าเคยทัก”
“ทักเรื่องนี้เหรอ”
“ครับ เขาถามว่าผมมีแฟนแล้วเหรอท่าทางผมมีความสุข เขาบอกว่าผมยิ้มตลอดเลย”
“พี่ว่าพี่มองคนไม่ผิดนะคุณพอร์ชเอง..”
“อาจจะแค่หลงก็ได้ไม่ใช่รักหรอก”
“ถ้าหลงเดี๋ยวเขาก็ลืมแต่ถ้ารัก..”
“เกมจบแล้วพี่พลอย”
ทิมขยับตัวล้มตัวลงนอนบนตักพี่สาวที่ยกมือลูบผมเบาๆ เพิ่งเห็นว่าทิมไม่ได้มัดจุกเหมือนเคย ปกตินี่เห็นมัดตลอดพอถามก็บอกว่าต่อจากนี้จะไม่มัดจุกแล้ว น้องชายที่เธอเลี้ยงมากับมือตอนนี้เหมือนกลับไปตอนอายุห้าขวบแก๊งลูกเพื่อนแม่ก็โอ๋กันไม่เลิกทั้งๆที่อายุอานามก็สามสิบกันแล้ว ทิมขยับตัวเข้ามากอดเอวพี่สาวไว้แน่นเมื่อได้ยินในสิ่งที่พี่พลอยบอก
“เกมมันจบแล้วต่อจากนี้ต่างหากที่เป็นความรู้สึกจริงๆ ไม่ใช่เกมเหมือนที่ผ่านมา”
ทิมหยุดระบายสีเมื่อนึกถึงเรื่องที่คุยกับพี่พลอยเมื่อวันก่อน เขาเองก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าก่อนหน้านี้เขาทำตัวแบบไหน แต่ก็คงมีความสุขอย่างที่ทุกคนทัก ไม่งั้นคนรอบข้างคงไม่บอกเป็นเสียงเดียวกันขนาดนี้ จะว่าไปสมุดระบายสีนี่ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นเหมือนกัน ทิมเปิดหน้าต่อไปแล้วก็ต้องหยุดนิ่งเมื่อมันเป็นรูปเครื่องประดับต่างๆ รูปแหวนตรงหน้าทำให้ทิมหยิบสีไม้สีแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่ระบายเสร็จทิมก็ยิ้มออกมา
“ผมจะออกแบบแหวนแต่งงานของคุณพอร์ชอย่างสุดฝีมือถือว่าเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายจาก ทัมทิบ นพจินดาก็แล้วกัน”ทิมวางดินสอสีลงก่อนจะหยิบสมุดเล่มสีน้ำตาลขึ้นมา พร้อมกับเปิดหน้าแบบแหวนที่วาดค้างไว้ก่อนจะค่อยๆ ร่างแหวนให้เป็นรูปเป็นร่าง แหวนแต่งงานสองเริ่มสำเร็จเป็นแบบที่ทิมคิดไว้ก่อนที่ทิมจะเขียนบางอย่างไว้ที่ข้างล่างกระดาษ
T&PJewelry Design
“มีนขอแปลนห้องเสื้อคุณแพรเขาจะปรับปรุงเพิ่ม เดี๋ยวมึงหาให้กูเลยนะ”
“เออเดี๋ยวกูหาให้คุณแพรเขาเร่งเหรอวะ งานอีกตั้งนาน”
“บ้านเดี่ยวคุณชัยพัฒน์เดี๋ยวกูไปคุยเอง”
“กูว่ากูเลื่อนงานนี้ไปแล้วนะ”
“ทาวน์โฮมตรงพระรามเก้าแก้แบบยังเดี๋ยวกูจัดการคืนนี้เลย”
“พอร์ช”
“ร้านทองแถวรัชดาเหมือนแบบมีปัญหากูว่า..”
“หยุดก่อนพชร”
มีนถอนหายใจเมื่อเพื่อนตัวเองทำท่าจะกล่าวรายงานยาวจนถึงหน้ากระดาษเอสี่ นี่งานของสองเดือนข้างหน้าก็เลื่อนเอามาทำในเดือนเดียว เขาจัดตารางนัดลูกค้าจน งง ไปหมดแล้ว พอร์ชเหมือนเป็นใครก็ไม่รู้ที่มีนเองไม่รู้จัก ตั้งแต่วันนั้น..มีนไม่รู้ว่าพอร์ชกับคุณทิมคุยอะไรกันแต่คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ พอเขาจัดการเรื่องพิมกับกรณ์เรียบร้อยแล้วเลยเดินออกมาหาพอร์ชที่ยืนกำกุญแจบ้านในมือไว้แน่น แต่เรียกเท่าไหร่พอร์ชก็เหมือนไม่รู้สึกตัวทันทีที่มีนแตะลงบนไหล่ พอร์ชก็ล้มลงไปกับพื้นแล้วไม่รู้สึกตัวอีก มีนจำได้ว่าเขาร้องลั่นจนพิมถึงกับวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากร้าน
ดีที่ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง หมอบอกว่าร่างกายพอร์ชอ่อนแอเพราะทำงานหนักเกินไปเลยให้น้ำเกลือและนอนพักสองสามวัน
แต่มีนรู้ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องงานอย่างเดียว..
แต่พอถอดสายน้ำเกลือออกก็กลายเป็นอย่างที่เห็น มันบ้างานมากกว่าเดิมคำพูดของหมอที่เตือนเรื่องสุขภาพนี่ไม่เข้าหูมันเลยด้วยซ้ำ และที่สำคัญพอร์ชเหมือนกลายเป็นหุ่นยนต์ ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ บางครั้งก็เหม่อ ท่าทางไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่พอถามถึงคุณทิมก็จะเฉไฉไปเรื่องอื่น วันก่อนไอ้บินโทรมาหาเขาตอนตีสองบอกเจอไอ้พอร์ชเมาอยู่ที่ผับให้มารับด้วย
อาการหนักเข้าไปทุกวัน
“งานวันนี้จบแล้วมึงมีนัดกินข้าวกับเพื่อนนิ ไปได้แล้วไป”
“กูแก้แบบคุณลูกหว้าก่อนได้ป่ะวะ”
“ออกไป กูไล่มึงออกจากบริษัทแล้ว! ออกไปเดี๋ยวนี้!”
มีนดันตัวให้พอร์ชลุกออกจากโต๊ะดราฟก่อนที่พอร์ชจะยกมือยอมแพ้แล้วเดินไปที่รถ วันนี้มีนัดกินข้าวกับเพื่อนมัธยมก็ไม่มีอะไรมากก็เลี้ยงฉลองก่อนแต่งงาน พอร์ชเปิดประตูรถแล้วฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย ตั้งแต่วันนั้น..ทับทิม นพจินดาเหมือนหายไปจากชีวิตของพอร์ช พชร ตอนที่ฟื้นขึ้นมาแล้วเจอเพดานห้องเขาก็อยากจะถามเหมือนในละครว่าที่นี่ที่ไหน และมาได้ยังไงเพราะความจำสุดท้ายคือภาพที่คุณทิมยื่นกุญแจบ้านคืนให้ และหลังจากนั้นเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย
มาคิดดูแล้วก็ไม่นึกว่าตัวเองจะเป็นแบบนี้เหมือนกัน
พอร์ชหันมามองเบาะข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มันเป็นที่ประจำของคุณทิมไปแล้ว หมอนใบโปรด ผ้าห่มสีแดง มือของคุณทิมที่เขาชอบจับไว้ตอนรถติด ตอนนี้มันไม่มีอะไรสักอย่างมันว่างเปล่าจนเขาใจหายไม่เคยรู้เลยว่าการขับรถคนเดียวมันเหงาได้ถึงขนาดนี้ พอร์ชลูบหน้าลูบตาตัวเองก่อนจะขับรถไปยังร้านอาหารที่เพื่อนนัดไว้ พอมาถึงทุกคนก็ยังเฮฮาเหมือนเดิมและแน่นอนว่าทุกคนถามเรื่องเจ้าสาวของเขาแต่พอร์ชก็แค่ยิ้มๆ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะตอบเพื่อนแบบติดตลกว่ากำลังหาอยู่…
“ทอยไปไหนต่อวะ”
“เดี๋ยวกูกับเฟิร์นรอดูแบบแหวนแต่งงานว่ะ”
“ที่นี่?”
“เขานัดกูไว้ตรงร้านกาแฟข้างล่างนี่ มึงจอดรถไหนข้างหน้าป่ะเดินไปพร้อมกันกูว่าจะคุยเรื่องบ้านกับมึงด้วย ต้องการไอเดียสถาปนิกหนุ่มโสดในฝัน”
ตั้งใจว่าจะคุยแป๊บเดียวแต่พอเข้าเรื่องบ้านก็เลยคุยกันยาว เฟิร์นแฟนทอยเป็นผู้หญิงหวานๆ ไม่คิดเหมือนกันว่าไอ้ทอยเพื่อนที่สุดแสนจะเจ้าชู้จะมาตกม้าตายผู้หญิงที่ไม่คิดว่าจะอยู่ในสเป็คมันเลย
“แบบแหวนสวยมากค่ะพอร์ช เฟิร์นบอกทอยแล้วว่าของเพียวจิวเวลรี่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง”
“ทอยแหวนแต่งงานมึงนี่ของ..”
“ขอโทษครับพอดีหาที่จอดไม่ได้เลยช้..”ทิมหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าในร้านกาแฟมีใครนั่งอยู่ที่โต๊ะด้วย เวลาสองอาทิตย์ที่ไม่ได้เจอหน้ากันทำให้ทั้งสองคนได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเพราะไม่คิดว่าจะบังเอิญมาเจอกันในเหตุการณ์แบบนี้ บรรยากาศที่ดูอึมครึมทำให้ทอยต้องเป็นฝ่ายที่เอ่ยถามว่ารู้จักกันหรือเปล่าเพราะเห็นยืนมองหน้ากันอยู่นาน ทิมส่ายหน้าเบาๆ แล้วหยิบเอาแบบแหวนขึ้นมาให้ทั้งคู่ดู
พอร์ชไม่ได้เอ่ยทักอะไรทั้งนั้นแต่ตอนนี้เขายอมรับว่าเขาละสายตาจากใบหน้าของคุณทิมไม่ได้เลยสักนิด ใบหน้าน่ารักไม่หันมามองเขาเลยด้วยซ้ำ ดวงตากลมโตที่เขาบอกว่ามันสวยดูหม่นหมอง ท่าทางทุกอย่างในตอนนี้ไม่เหมือนทับทิม นพจินดาที่เขารู้จัก
“คุณทิมออกแบบแหวนเก่งจังเลยค่ะ อย่างนี้แบบแหวนแต่งงานของคุณทิมต้องสวยมากแน่ๆ”
ปลายดินสอที่กำลังจดรายละเอียดแหวนหยุดนิ่งก่อนที่ทิมจะเงยหน้าขึ้นมามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พอเห็นสายตาที่พอร์ชมองอยู่ทำให้ทิมต้องก้มหน้ามาสนใจแบบแหวนตามเดิม
“ผมไม่เคยออกแบบแหวนแต่งงานของตัวเองหรอกครับ ผมยังไม่มีแฟนเลย..”
“แล้วเคยคิดแบบไว้ไหมคะ”
“ไม่มีคนให้แต่งด้วยก็เลยไม่ได้คิดไว้เลยครับ”
“น่ารักอย่างคุณทิมต้องมีคนอยากแต่งด้วยเยอะแน่ๆ”
“บางทีผมอาจจะเกิดมาเพื่อออกแบบแหวนแต่งงานให้คนอื่นยกเว้นของตัวเองก็ได้ครับ”
“แล้วคุณทิมอยากให้แหวนแต่งงานตัวเองเป็นแบบไหนคะ”
“แหวนทั….”
“แหวนทับทิม”
ไม่ใช่เสียงของทิมเป็นคนตอบแต่กลับเป็นพอร์ชที่นั่งอยู่ ทิมหยุดร่างแบบแล้วเงยหน้าขึ้นมามองไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่สายตาของคุณทิมกับพอร์ชทำให้ทอยกับเฟิร์นเลือกที่จะเงียบไม่กล้าจะพูดอะไรออกไป
“แต่สำหรับคุณ..แหวนแต่งงานก็ไม่ได้อยากให้เป็นแหวนทับทิมไม่ใช่เหรอครับคุณพชร”ทิมเอ่ยขอตัวกลับก่อนอ้างว่าอยากรีบกลับไปแก้แบบที่เหลือพอเอ่ยลาพร้อมกับนัดวันกันอีกครั้งเรียบร้อย พอร์ชเองก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินตามทิมออกไป ทิ้งทอยกับเฟิร์นมองหน้ากันงงๆ เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนั้นทั้งๆ ที่ตอนแรกทำท่าเหมือนไม่รู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ เสียงฝีเท้าที่เดินตามหลังมาตรงที่จอดรถทำให้ทิมต้องหยุดเดิน
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“………………………………………”
“ถ้าจะคุยเรื่องเครื่องประดับของเจริญกิจธาราผมบอกคุณแล้วว่าให้ติดต่อพี่พลอยไม่ก็พี่ต่าย”
“………………………………………”
“ตอนนี้ผมรับงานอื่นแล้วคงไม่ได้ดูงานของเจริญกิจธาราอีก”
“………………………………………”
“แต่ถ้าจะถามเรื่องแบบแหวนแต่งงานของคุณผมว่าคุณควรจะพาเจ้าของแหว..”
“เหนื่อยมากไหมครับคุณทิมรับงานเยอะอีกแล้วใช่ไหม”
ทิมเงียบลงเมื่อได้ยินประโยคที่พอร์ชถาม เขาควรจะบอกอีกฝ่ายหรือเปล่าว่าเขาทำงานจนแทบเป็นบ้านอนวันละสองสามชั่วโมงเท่านั้น ไม่อยากให้มีเวลาว่างเลยสักนิดเขาไม่อยากให้มีเวลาคิดเรื่องของพอร์ช แต่เหมือนทุกอย่างที่ทำมาไม่มีค่าเลยเมื่อได้มาเจอพอร์ชยืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้ พอร์ชเองก็ดูผอมลงไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่สบายหรือเปล่าเขารู้จากมีนว่าพอร์ชเข้าโรงพยาบาลยอมรับว่าเขาเป็นห่วงมากแต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะห่วงในฐานะอะไร
ไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์มากน้อยแค่ไหน
“ทับทิม”
พอร์ชยกมือขึ้นมาไล้ไปตามแก้มขาวเบาๆ คุณทิมผอมอยู่แล้วแต่วันนี้พอร์ชรู้สึกว่าคนที่ยืนมองเขาอยู่ตอนนี้แทบจะปลิวลมได้ตัวก็เล็กจนกอดทีแทบจะหายไปกับอกเขา หยดน้ำตาที่เอ่อคลออยู่ตรงดวงตากลมโตทำให้พอร์ชจะขยับเข้าไปหาแต่ทิมกลับเบี่ยงตัวออกพร้อมกับยกมือขึ้นมาปากมันออกเร็วๆ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็น
“ผมมีนัดลูกค้าต่อขอตัวก่อน”
“………………………………………”
“ครั้งหน้าถ้าบังเอิญเจอกันอีกกรุณาเรียกผมว่าทิมก็พอนะครับ”
ท้ายรถยนต์สีขาวพ้นสายตาของพอร์ชไปแล้ว ไม่มีคำพูดหวานๆ ไม่มีสัมผัสอ่อนโยนที่เคยได้รับ ไม่มีอ้อมกอดอุ่นๆ ไม่มีอะไรเลยมีแค่แววตาที่เจ็บปวด และประโยคที่ดูห่างเหินเหมือนเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน พอร์ชรู้สึกว่าหัวสมองเขาคิดอะไรไม่ออกเลยสักนิด ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนพนักงานของร้านอาหารถึงกับเดินเข้ามาถามว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า แต่แทนที่จะกลับบ้านพอร์ชกลับเลือกที่จะไปที่อื่น
เยาวราช..ร้านเดิมๆ ที่เคยมากินพร้อมกับคุณทิมยังคงอยู่เหมือนเดิมแต่พอร์ชก็ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้เขาไม่รับรู้รสชาติอาหารสักเท่าไหร่ ถ้าถามว่าสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตแบบไหนเขาเองก็ตอบไม่ได้ว่าที่ทำอยู่มันเรียกว่าอะไร ตื่นมาในตอนเช้าในชุดทำงานที่ใส่เมื่อคืน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อคืนหลับไปตอนไหน กินกาแฟดำพร้อมกับทำงานไปด้วย มาม่ากระป๋องกลับมาเป็นอาหารหลักในการดำรงชีวิต
หลังจากนั้นก็ทำงาน ทำงาน… และทำงาน
พอไม่มีนัดกับลูกค้าก็ไปซูเปอร์มาร์เก็ต ก็เหมือนซื้อของเข้าบ้านปกติแต่ของในรถเข็นมันกลับเป็นของชอบของคุณทิมทั้งหมด เพิ่งรู้ตัวก็ตอนที่หยิบนมรสจืดกับเลย์รสบาร์บีคิวจนเต็มรถเข็น แต่ถ้ามีเวลาว่างก็จะกลับไปรดน้ำต้นไม้ที่บ้านถ้าเป็นเมื่อก่อนคนที่รดน้ำให้คงยืนบ่นจนหูชาแล้วแน่ๆ เพราะตอนนี้ต้นไม้แทบจะตายกันหมดทั้งบ้านแล้ว
....................
............................................