09:45 น. “มีคนสระผมให้มันรู้สึกดีกว่าจริง ๆ ละนะ” ผมพึมพำ ตามองต้นไม้ มองเมฆบนท้องฟ้า
ตอนนี้ผม สมุทร ไอ้เข้มและไอ้เด่นอยู่ที่น้ำตกท้ายไร่ ไหน ๆ ก็เป็นการพักผ่อนวันสุดท้ายแล้วเลยถือโอกาสมา ผมยืมม้าของหงส์มาขี่ ถึงแม้ว่าสมุทรจะดูสนอกสนใจแต่พอผมออกปากชวนให้เขามาของขี่ดู อีกฝ่ายกลับปฏิเสธด้วยท่าทางเกรงใจ หงส์ไปทำธุระกับปู่หาญที่บ้านของคนงานเลยอนุญาตให้สมุทร ไอ้เข้มและไอ้เด่นยืมรถพ่วงของคนงานในไร่ใช้เดินทางมาได้
“สระเองน่าจะถนัดกว่านะครับ” คนด้านหลังพูด ขณะที่มือของเขาก็ยังไม่หยุดทำงาน
“ไม่เต็มใจ ?” ผมถามห้วน ๆ
“เปล่าครับ แค่แสดงความคิดเห็น” สมุทรตอบ เหล่ตามองต่ำลงมายังผมที่นอนหงายอยู่ คำพูดฟังดูกวนโอ๊ยพิกล แต่กลับทำให้ผมรู้สึกจั๊กจี้แปลก ๆ
เราสองคนมองตากันโดยไม่พูดอะไร มือของสมุทรหยุดขยับไปแล้ว
“จะว่ายไปไหนเข้ม ไม่ตามไปนะโว้ย !” เสียงไอ้เด่นตะโกนเรียกพี่ชาย
“ตามมาเร็ว ให้ห้าบาท !” ไอ้เข้มรบเร้าน้องชาย เสียงไอ้เด่นด่ากลับเบา ๆ ตามมาด้วยเสียงกระโดดลงน้ำตามพี่ชายไปอย่างช่วยไม่ได้ พวกมันหัวเราะคิกคัก สมุทรเงยหน้าขึ้นมองไปที่ไอ้เข้มกับไอ้เด่นแล้วก็หลุดยิ้มออกมาเช่นกัน ระหว่างที่สมุทรสระผมให้ผม เขาไม่ได้ชวนคุยอีก บรรยากาศเช่นนี้ผมเองก็อยากอยู่เงียบ ๆ มากกว่า เขามือเบามากทีเดียว ถ้าเปลี่ยนเป็นไอ้เข้มหรือไอ้เด่นละก็ ผมคงนอนนิ่ง ๆ แบบนี้ไม่ได้แน่ ฟองอาจจะเข้าตา น้ำคงเข้าหูหรือไม่หนังหัวผมอาจจะหลุดออกมาแล้ว
“เจ็บไหมครับ” สมุทรถามระหว่างที่เกาหัวให้ผมซึ่งน่าจะเป็นการสระครีมนวดครั้งสุดท้ายแล้ว
“ไม่” ผมตอบ เขาจงใจใช้นิ้วขยี้หัวให้ผมมากกว่าใช้เล็บโดยตรง ทำอย่างกับสระผมให้ทารก ร้านทำผมบางร้านที่ผมเคยไปอุดหนุนมักจะใช้เล็บเกาในการสระสองครั้งแรก เป็นการใช้เล็บที่ค่อนข้างรุนแรงจนหลายครั้งผมอดถามออกไปไม่ได้ว่า
“มีหนังหัวผมหลุดติดเล็บไปไหมครับ”ผมคิดว่าสมุทรคงเกร็ง เขาจึงทำทุกอย่างอย่างระมัดระวัง น้ำที่ใช้ตักทำความสะอาดคือน้ำจากน้ำตก ความเย็นทำให้รู้สึกสดชื่นแบบที่ไม่ได้รู้สึกมานาน กระทั่งใบหูก็ถูกนิ้วมือลูบทำความสะอาดให้ด้วย ผมแหงนหน้าขึ้นมองสมุทร ใบหูถูกทำความสะอาดอย่างเบามือ เป็นการกระทำจากเขาอีกครั้งที่ทำให้ผมแปลกใจ
“นอนดี ๆ สิครับ” สมุทรพูด คิ้วขมวดเข้าหากัน ผมยิ้มกว้าง ยกแขนขวาขึ้นเบี่ยงไปทางด้านหลังแต่อีกฝ่ายเอนตัวหลบได้ทัน
“เดี๋ยวน้ำก็เข้าหูหรอก คุณนี่...”
“เจ็บ ๆ ๆ” ผมประท้วง ใบหูถูกบิดเป็นเลขแปดไปแล้ว
“เดี๋ยวผมจะให้เด่นมาทำแทน”
“ชิ อย่างกับลิง” ผมเบ้ปาก ยอมนอนนิ่งในที่สุด
ครีมนวดผมกำลังถูกล้างออกเป็นไปอย่างเงียบ ๆ
ผีเสื้อบินวนไปมาอยู่ใกล้ ๆ พวกเรามาสักพักหนึ่งแล้ว ผมนอนมองแน่นิ่ง ตัวหนึ่งสีเหลืองปนสีดำบินมาเกาะลงที่นิ้วชี้ที่มือขวาของผม ผมจึงขยับมือที่วางอยู่บนหน้าท้องขึ้นกลางอากาศ แทนที่มันจะบินหนีแต่กลับเกาะนิ้วผมอยู่อย่างนั้น ผมขยับแขนไปทางคนด้านหลังเพื่อให้สมุทรดู เขาช้อนตาขึ้นมองมาที่ผีเสื้อที่อยู่บนนิ้วแล้วผลิยิ้มเล็กน้อย ทั้งใบหน้าและแววตาที่อ่อนโยนนั่นมันเปิดเผยเกินไปจนผมละสายตาไม่ได้
ยังมีคนแบบนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอการขยับตัวที่มากเกินไปทำให้ผีเสื้อบินหนีไปซะแล้ว ศีรษะผมก็ถูกทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน สมุทรสบตาผมครู่เดียว เขาเอื้อมหยิบผ้าขนหนูสีขาวสะอาดผืนใหม่แล้วนำมาปิดลงที่หน้าผมทั้งใบหน้าอย่างจงใจ
“ไม่มีร้านสระผมที่ไหนเขาเอาผ้ามาปิดหน้าลูกค้าหรอกน่า” ผมยังคงนอนนิ่ง
“เพราะคุณยังไม่เคยเจอผมมั้งครับ” สมุทรประชดกลับ ผมอมยิ้ม หยิบผ้าขนหนูออกจากหน้า นอนมองสมุทรที่ลุกขึ้นยืนแล้ว ผมลุกขึ้นนั่ง นำผ้าขนหนูเช็ดผมด้วยตัวเอง
“เชิญตามสบาย” ผมแกล้งผายมือ อนุญาตให้เขามีเวลาเป็นของตัวเอง
“ขอบคุณ” สมุทรเหล่หางตาตอบเสียงเข้ม ผมเท้าแขนไปทางด้านหลัง ผ้าขนหนูยังวางอยู่บนหัว
“...ครับ” เขาต่อคำท้ายด้วยท่าทางกวน ๆ มุมปากของผมผุดยิ้มขึ้นในทันที
“อย่าลืมใส่เสื้อด้วยนะครับ” สมุทรหันกลับมาบอก ผมเฉย ไม่ขานรับ
เขาเดินเบี่ยงออกไปที่ปลายแคร่เยื้องกับทางลงน้ำตก สมุทรยืนหันหลังให้ผมก่อนถอดเสื้อยืดสีขาวที่สวมอยู่ออก ผมนั่งมอง อีกฝ่ายหยิบผ้าขาวม้าของตนที่เตรียมมาด้วยซึ่งพับวางอยู่ขึ้นพันรอบตัวก่อนถอดกางเกงขาสั้นที่ใส่อยู่ออกแล้วเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นอีกตัวหนึ่ง เมื่อเรียบร้อยแล้วเขาก็ก้มตัวพับเสื้อผ้าที่เพิ่งถอดไว้ให้เป็นระเบียบ ไม่มองมาที่ผมเลย เดินตรงไปยังโขดหินใกล้กับบริเวณน้ำลึก ไอ้เข้มกับไอ้เด่นอยู่ตรงนั้น สมุทรไม่รีรอ พุ่งหลาวลงน้ำโดยทันที สามคนพากันหัวเราะเจี๊ยวจ๊าวยังกับเด็กที่พ่อแม่ปล่อยให้มาเล่นน้ำอย่างนั้น
ให้หลังไม่นาน ไอ้เด่นก็สลับขึ้นมาเพื่อเฝ้าผม มันหย่อนก้นนั่งลงใกล้ ๆ ปลายเท้า ผมเลยถีบมันไปทีนึงเบา ๆ
“ขึ้นมาทำไม จะมานวดขาให้กูรึไง” ผมพูดไปงั้น รู้สาเหตุอยู่แล้วว่ามันขึ้นมาเพราะอะไร
“นายปวดขาเหรอครับ” ไอ้เด่นยิ้ม มันขยับตัวให้นั่งได้ถนัดแล้วลงมือบีบนวดให้ ผมไม่ห้าม ส่วนตัวก็ชอบจริง ๆ นั่นแหละ
“เดี๋ยวมึงสองคนกลับกันไปก่อนเลยนะ” ผมสั่ง
“ครับ” ไอ้เด่นขานรับเสียงอ่อน ไม่ถามถึงเหตุผลที่สั่งให้กลับ
“ให้อีกยี่สิบนาที” ผมพูด
“ครับ” มันพยักหน้ายิ้ม ๆ
“เปลี่ยนเป็นสิบห้าพอ กูหมั่นไส้รอยยิ้มมึง” ผมเหลือบมอง อีกฝ่ายยิ้มเขิน ผมเอื้อมหยิบกล่องแซนวิชที่สมุทรทำเตรียมใส่ตะกร้าอาหารมาด้วย เขาทำได้หน้าตาน่ากินและสะอาดมากทีเดียว
“นายครับ” ไอ้เด่นเรียก ผมหยิบแซนวิชขึ้นหนึ่งชิ้น กัดชิมรสชาติพร้อมกับขนมปัง
“อะไร” ผมขานรับ ตายังคงจับจ้องมองไปยังสมุทรที่ว่ายน้ำอยู่ในน้ำตก เรื่องที่เขาเคยบอกว่าเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำด้วยคงจริง เจ้าตัวดูสนุกมากเลย
“เอ่อ...” ไอ้เด่นอ้ำอึ้ง ทั้งท่าทางและน้ำเสียงผิดปกติ ผมถามย้ำอีกครั้งว่า “อะไร ?!” ครั้งนี้ห้วนกว่าเดิม แม้ตอนนี้ผมจะไม่ได้มองไอ้เด่นอยู่แต่ประสาทการรับรู้พร้อมฟังเป็นอย่างดี
“นาย กับพี่...สมุทร น่ะครับ” คำพูดของไอ้เด่นทำให้ผมตวัดหางตามองไปยังมันเพื่อขอรับฟังคำขยายความเพิ่มเติม มือดันแซนวิชที่เหลือยัดเข้าปากจนหมดภายในคำเดียว ขณะเดียวกันก็เท้าแขนไปด้านหลังทั้งสองข้าง จ้องมองไอ้เด่นตลอด ด้วยที่ว่า แซนวิชที่กินเข้าไปคำเมื่อครู่ค่อนข้างโตจึงทำให้ไม่เหลือพื้นที่ในปากพูดได้สะดวก แต่ก็อร่อยดี
“พูด !” ผมเร่ง ขยับขาซ้ายขึ้นเล็กน้อย ไอ้เด่นสะดุ้ง เอนตัวออกตามสัญชาตญาณ ขาซ้ายถูกตั้งขึ้นเพราะท่านี้สบายกว่า
“คือ...ผมแค่ แค่ สงสัยน่ะครับ ว่าพี่สมุทร...กับนาย เอ่อ...” ไอ้เด่นพูดไม่ได้ประโยค มันหยุดมือที่กำลังนวด ใบหน้าร้อนรนเหมือนหมาที่รู้ตัวว่าเจ้านายรู้ความผิดที่ตนเองกระทำไว้ ผมก็พอจะเดาได้อยู่หรอกว่ามันกำลังคิดจะถามอะไร ถึงได้อนุญาตให้ถาม
“........” ไอ้เด่นเงียบไป มันออกแรงบีบนวดต่อ ก้มหน้างุด ผมหยิบแซนวิชออกมาหนึ่งชิ้นแล้วนำไปจ่อที่ปากของมัน อีกฝ่ายมองกะหลับกะเหลือกก่อนอ้าปากช้า ๆ กัดแซนวิชเข้าปากไปคำเล็ก ๆ
“กินให้หมด” ผมพูด ไอ้เด่นที่ยังเคี้ยวอาหารในปากไม่ละเอียดดีรีบอ้าปากรับแซนวิชที่อยู่ในมือผมไปกินภายในคำเดียวจนแก้มของมันตุงทั้งสองข้างแก้ม ผมก้มมองกล่องแซนวิช เหลือแซนวิชอีกเยอะทีเดียว จึงใช้นิ้วแหวกแผ่นขนมปังออกเบา ๆ ไม่ให้เสียรูปทรง หยิบเฉพาะมะเขือเทศเข้าปาก มีเพียงความเงียบระหว่างเราสอง เสียงน้ำตกและเสียงพูดคุยระหว่างสมุทรกับไอ้เข้มดังแว่วไกล ๆ ไม่ได้ศัพท์ว่าสนทนากันเรื่องใดอยู่
“คนที่นาย...ไปเดทด้วย คือ...คือ พี่เขา...เหรอครับ” ไอ้เด่นถามเสียงเบาลงมากกว่าเดิม
“กูสอนกี่ครั้งแล้วว่าเคี้ยวให้หมดก่อนแล้วค่อยพูด” ผมขมวดคิ้วมอง ไอ้เด่นรีบขยับปากเร็วกว่าเดิม ลูกกระเดือกเด่นชันว่ามันกลืนอาหารลงไปคำใหญ่ทีเดียว
“คนที่นายบอกว่าไปเดทด้วย คือ...พี่สมุทรเหรอครับ” มันถามซ้ำอีกครั้ง
“ใช่” ผมตอบ น้ำเสียงเน้นหนักแน่นเพื่อไม่ให้มันได้ยินผิดเพี้ยนไป
“มีปัญหาอะไร” ผมถาม
“เปล่าครับ !” มันตอบแทบตะโกน
“ผมแค่สงสัยนะครับ” ไอ้เด่นฉีกยิ้ม รอยยิ้มที่ทั้งเจื่อนและปนเคอะเขิน ผมยังไม่หยุดแหวกแซนวิชแล้วหยิบแต่มะเขือเทศกิน
“ชอบไหมล่ะ หมอนั่นน่ะ” ผมถามห้วน ๆ คิ้วขยับไปทางสมุทรด้วย
“ก็...ครับ” ไอ้เด่นผงกหัวก่อนหลบตาผม
“ถ้าเทียบกับคนที่กูนอนมาด้วยทั้งหมด...” ผมเอ่ย ยังคงไม่ละสายตาไปจากสมุทรที่กำลังว่ายน้ำอยู่
“มึงถูกใจคนไหนเป็นพิเศษล่ะ เผื่อกูจะเปลี่ยนใจ” ผมตั้งใจรอฟังคำตอบ
“เอ่อ ผมชอบคุณยูครับ” ไอ้เด่นตอบแทบไม่ใช้เวลาคิด
“ตามจริงแล้วคุณยูใจดี คุณพายุกับคุณดินเองก็ชอบคุณยูด้วยครับ” มันอธิบาย
“รีบขอบคุณฟ้าดินซะสิ ที่เฮียกานต์ไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้” ผมว่า
“แฮ่ ๆ” ไอ้เด่นยิ้มแห้ง ๆ
“ยูไม่ใช่แบบที่ชอบ” ผมพึมพำบอกตัวเอง
“สเปก...กับแบบที่ทำให้รู้สึกชอบ ไม่เหมือนกันหรอกนะ”ไอ้เด่นทำหน้างุนงง
“คนที่กูนอนด้วยทุกคนก็สเปกกูหมดนั่นแหละ ...
แต่ไม่ใช่แบบที่อยากชอบ” ผมพูด คำพูดที่จู่ ๆ ก็หลุดออกมาจากปากจนตัวเองยังอดแปลกใจไม่ได้
“ถ้าอีกฝ่ายคิดเหมือนกันก็ดี” ผมเดาะลิ้นตัดบทส่ง ๆ หยิบแซนวิชชิ้นที่ยังมีมะเขือเทศขึ้นกินทั้งชิ้นพร้อมเอนหลังนอนลงบนแคร่
“เอ๊ะ ! อ่าว พี่สมุทร เขา...เขาก็ไม่ได้ชอบนายเหมือนกันหรอกเหรอครับ” ไอ้เด่นหน้าตาตื่น แทบคลานเข้ามาหา
“จะไปรู้รึ” ผมตอบปัดไปที ไอ้เด่นนิ่งไป สีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่าง
“แต่ผมว่า พี่เขาก็ดู เป็นห่วงนายมากเลยนะครับ” มันพูด ผมเหลือบมองไอ้เด่น แบบว่า...รู้สึกพิลึกนิดหน่อยที่มีคนมาพูดต่อหน้าแบบนี้
“เวลาที่หมอนั่นอยู่กับพวกมึงเป็นคนยังไง” ผมถามในสิ่งที่ผมไม่ได้เห็นสมุทรในอีกสถานะหนึ่ง ซึ่งมันน่าสนใจ บางทีเขาอาจมีมุมเหนือคาดที่ผมยังไม่ทราบก็ได้
“คนยังไงเหรอครับ....” ไอ้เด่นพึมพำ กลอกตาขึ้นอย่างใช้ความคิด
“จริงจังมั้งครับ” มันพูด
“ผมว่าก็มีส่วนคล้าย ๆ พี่ใหญ่อยู่ แต่แค่ไม่ดุตลอดเวลาเหมือนพี่ใหญ่แค่นั้น พี่สมุทรให้อารมณ์ประมาณว่า จะดุก็ต่อเมื่อกรณีนั้นเริ่มหมดความอดทนแล้ว” ไอ้เด่นยิ้มออกมา มันคงนึกสถานการณ์ใดขึ้นได้ถึงได้ทำหน้าทะลึ่งทะเล้น
“พี่เขาสุภาพมากเลยครับ แต่ว่า...ผมว่าพี่สมุทรยังมีอีกหลายอย่างที่ปฏิบัติเฉพาะกับคนสนิทแน่ ๆ” ไอ้เด่นยิ้มเจื่อน
“แล้วก็ขยัน ! ไม่เชิงว่าใช้อะไรแล้วทำทุกอย่างนะครับ ขยันในส่วนที่ควรขยัน อย่างคราวก่อนผมลองแหย่พี่เขาดู ผมแกล้งพูดว่า พี่สมุทรดูเครื่องซักผ้าให้ผมด้วยนะครับ ผมไปสวนผักแป๊บนึง พี่เขาก็ยืนนิ่ง ๆ ไปเลย เหลือบตามองผมท่าเดียวไม่ยอมพูดอะไร หึ ๆ ๆ” ไอ้เด่นหัวเราะ
“ปกติพี่สมุทรจะพูดว่า เดี๋ยวพี่ทำเองใช่ไหมครับนาย แต่ถ้ามันเกินหน้าที่ พี่เขาก็จะ...”
“มึงมันขี้เกียจต่างหาก” ผมกัดฟัน ฟาดมือไปที่หัวมันหนึ่งที ไอ้เด่นหัวเราะเขิน ๆ
“ไอ้เข้มเลยแซ็วว่า พี่สมุทรโกรธแล้วใช่ไหมครับ ไม่ต้องข่มไว้ก็ได้ครับพี่ ผมกับไอ้เข้มพยายามต้อนให้พี่เขาโกรธ แต่อีกฝ่ายก็แค่ยิ้มเขิน ๆ ออกมาที่พวกเราดันรู้ทันว่าพี่เขาเริ่มไม่พอใจ” ไอ้เด่นเล่าไปยิ้มไป
“แล้วก็...พี่เขาเป็นคนอ่อนโยนนะครับ ขนาดไอ้เข้มยังพูดเลยครับว่าอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ผมสังเกตที่พี่เขาปฏิบัติกับผู้หญิง ไม่ว่าจะคนสาว คนแก่หรือกับคุณหงส์ สุภาพ เอาใจใส่ เหมือนกับว่าความสุภาพนั่นมันเป็นธรรมชาติของพี่เขา ไม่ได้เสแสร้ง ไม่ว่าใครพี่เขาก็ปฏิบัติเหมือนกัน
แต่ที่แปลกคือ...ผมรู้สึกว่าช่องว่างชัดเจนมากเลย นายไม่รู้สึกเหรอครับ” ไอ้เด่นวิเคราะห์ด้วยสีหน้าสงสัย ไอ้นี่มันซื่อบื้อแต่ที่น่าประหลาดคือมันความรู้สึกไว ที่มันพูดสรุปได้ง่าย ๆ ว่า “ไม่มีใครพิเศษ” ยังไงล่ะครับ
“มึงนี่...เลี้ยงไว้ก็ดีเหมือนกันนะ” ผมเอ่ยปาก
“นายครับ” ไอ้เด่นทำเสียงหงอย
“แต่พี่สมุทร กับนาย...ผมคิดว่า” มันกลับมาอ้ำอึ้งอีกครั้ง ผมนิ่งมอง
“อ้า ! ผมขอโทษครับ ผมคงคิดอะไรมากไปหน่อย” ไอ้เด่นสะบัดหัวแทบหลุด
“แดกยาบ้างนะ” ผมถอนหายใจ
“ประกันที่กูทำไว้ให้น่ะ ไปใช้สิทธิ์ซะ” ผมเอือม พลิกตัวตะแคงข้างมาอีกด้านเพื่อใช้ความคิด กล่องแซนวิชจึงขยับมาอยู่ตรงหน้า ตอนนี้เปลี่ยนจากการกินมะเขือเทศเป็นการแหวกกินหัวหอมแทนแล้ว
ให้หลังสิบห้านาทีตามที่ผมสั่ง ไอ้เด่นแอบตรงไปหาพี่ชายเพื่อเรียกให้กลับบ้าน มันสองคนรู้งาน เตรียมตัวกลับโดยไม่ทันให้สมุทรสังเกตเห็นและยังหาข้ออ้างกับสมุทรด้วยว่ามีธุระต้องกลับไปทำ ทำให้สมุทรไม่เอ๊ะใจ ถึงแม้หลาย ๆ เรื่องไอ้เด่นจะสมองช้าไปบ้างแต่มันรู้ใจผมไปซะหมด สมกับที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันมานาน ผมตีหน้ามึนนอนอยู่บนแคร่ สมุทรแช่ตัวอยู่ในน้ำ ไอ้เข้มกับไอ้เด่นไปได้ไม่นานเขาก็กลับขึ้นจากน้ำมา
“........” สมุทรกวาดตามองหาผ้าขนหนูของตัวเองที่เตรียมมาด้วย ก่อนหน้านี้มันพับอยู่กองเดียวกับเสื้อผ้าของเขานั่นแหละ แต่ตอนนี้ผมนำผ้าขนหนูผืนนั้นมาใช้แทนหมอนแล้ว เจ้าของมองหาเงียบ ๆ ถ้าเป็นคนทั่วไปคงสบถออกมาแล้วว่า “ผ้าขนหนูกูอยู่ไหน ?!” แต่สำหรับเขาไม่ใช่ อันดับแรกเขามองหาอย่างรอบคอบก่อน ดูทุกซอกทุกมุมอย่างใจเย็น ผมแกล้งนอนกระดิกเท้าทำไม่รู้ไม่เห็น
“แล้วไส้มะเขือเทศหายไปไหนหมดละครับเนี้ย” สมุทรตกใจ เขาใช้นิ้วเกี่ยวขอบตะกร้าไปดูด้วยความรวดเร็ว เนื้อตัวที่ยังเปียกอยู่ทำให้น้ำบนร่างกายกระเด็นลงบนแคร่ เจ้าตัวคงลืมเรื่องผ้าขนหนูไปแล้ว
“ไอ้เด่นมันเลือกกินนะสิ” ผมโยนความผิดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย สมุทรจ้องมองผมนิ่ง ๆ ผมเบิกตาโตให้..
What the fuck?“เด่นไม่ชอบกินผัก” สมุทรพูด
“งั้นก็แมวป่ามั้ง” ผมย้อน
“ครับ...แมวป่ากินพืชด้วย ดูท่าจะเป็นสายพันธุ์ใหม่” อีกฝ่ายตอบเสียงแข็ง
“หึ” ผมหัวเราะในลำคอที่อีกฝ่ายประชดประชันเพราะรู้ทันผม เขามักฉลาดในเรื่องที่ไม่ควรฉลาดคล้ายกับพายุ
“กินผักหมดเลย เหลือแต่ขนมปังกับมายองเนส วันหลังผมจะได้ทำเป็นสลัดให้แทน” สมุทรบ่นด้วยสีหน้าจริงจัง เขาดูผิดหวังที่ผมไม่กินให้หมด
“เตรียมผักไว้ก็พอแล้ว น้ำสลัดไม่จำเป็นหรอก” ผมกวน เราจ้องกันเขม็ง
“ก็ขนมปังมันแป้งทั้งนั้นไม่ใช่รึไง ขาวโบ๊ะซะขนาดนั้นนายตาบอดสีเหรอ แล้วนี่ฉันไม่ได้ออกกำลังกายมากี่อาทิตย์แล้ว น่าหงุดหงิดชะมัด” ผมเริ่มอารมณ์เสียจริง ๆ
“เฮ้ออออ” สมุทรถอนหายใจ สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายยิ้มออกมาก่อน
“หมอสั่งให้พักผ่อนก็พักผ่อนสิครับ คุณน่ะ...บ้าพลังเกินไปต่างหาก” สมุทรทำหน้าอ่อนใจ
“กล้ามเนื้ออย่างคุณ ถึงไม่ออกกำลังกายอีกเป็นปีก็ยังไม่เปลี่ยนรูปเลยครับ” สมุทรพูดคล้ายให้กำลังใจ
“พูดอะไรนะ ???” ผมคันหูขึ้นมา
“ไม่ออกกำลังกายเป็นปี ! มันก็ไม่ต่างอะไรจากปลาในตลาดสดที่นอนรอความตายหรอกน่า” ผมขนลุกขนชันเมื่อต้องนึกถึงสภาพตัวเองไม่ได้เสียเหงื่อร่วมปี
“หึ ๆ ๆ คุณนี่” สมุทรพยายามกลั้นใบหน้าไม่ให้หัวเราะ เขาทิ้งเสียงลงอย่างเหนื่อยหน่าย
“พูดไปก็เถียงกันเปล่า ๆ รบกวนคุณช่วยยื่นผ้าขนหนูมาให้ผมด้วยครับ” สมุทรเปลี่ยนเรื่อง เจ้าของพบผ้าขนหนูของตัวเองซะแล้ว แต่ผมยังนอนเฉย
“นอนอยู่ นายไม่ห่วงว่าฉันจะเจ็บหัวรึไง” ผมช้อนตาหาเรื่อง อดไม่ได้ที่จะสำรวจมองร่างกายที่เปียกชุ่มของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า กางเกงเปียกน้ำทำให้เห็นรูปทรงของของสำคัญที่อยู่ใต้เนื้อผ้านั่นได้ชัดเจน และถ้าสมุทรไม่เช็ดตัวตอนนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะหนาวแล้วจับไข้ก็ได้ ในป่าอากาศเย็นพอดูทีเดียว
สมุทรยืนนิ่ง จ้องผมคล้ายจะเอาเรื่องอยู่พักหนึ่งก่อนเท้าเอวแล้วเบือนหน้าไปอีกทางอย่างยอมแพ้ เขาหยิบผ้าข้าวม้าขึ้นนุ่งก่อนถอดกางเกงที่เปียกออก เสร็จแล้วจึงนั่งลงบนแคร่โดยหันหลังให้ ก้มหัวลงเพื่อสะบัดน้ำออกจากเส้นผมของตัวเองให้ได้มากที่สุด ผมเห็นอย่างนั้นจึงหยิบผ้าขนหนูออกจากหัว คลี่ผ้าออกก่อนสะบัดปลายผ้าขนหนูไปโดนที่เอวของเขาด้วยความรวดเร็วและแรง เสียงดัง
เพียะ ! อีกฝ่ายหันหน้ากลับมา สัญชาตญาณของความเป็นเจ้าของรีบตะครุบปลายผ้าขนหูไว้อย่างไม่ยอมแพ้ ผมแสยะยิ้มมุมปาก อีกฝ่ายเร็วดี ปฏิกิริยาแบบนี้...
ของชอบเลยเราต่างยื้อผ้าขนหนูไว้ที่ปลายคนละด้าน ต่างฝ่ายต่างยิ้มกริ่ม ผมที่นอนอยู่ออกแรงกระชากอย่างแรงทำให้สมุทรตัวไถลหน้าทิ่มเข้ามาหา เขาหุบยิ้มทันที ปล่อยปลายผ้าแล้วตั้งฉากแขนทั้งสองข้างคร่อมผมไว้ เพราะถ้าเขาไม่ทำอย่างนี้ ตัวเขาทั้งตัวจะต้องล้มทับผมมาเต็มแรงเป็นแน่ หยดน้ำบนตัวของสมุทรกระเด็นใส่ผมเต็ม ๆ ผ้าขาวม้าที่เขานุ่งอยู่ทำท่าจะหลุดออก เจ้าตัวรีบใช้มือขวาคว้าปมผ้าขาวม้าเอาไว้แล้วทำท่าว่าจะลุกหนี ผมรีบสะบัดปลายผ้าขนหนูอีกด้านหนึ่งขึ้นพันรอบเอวของสมุทรไว้ได้ทัน ปลายผ้าขาวม้าทั้งสองข้างอยู่ในมือผมทั้งซ้ายและขวา ทำให้ลำตัวเราทั้งคู่แนบเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้
“คุณไฟ” อีกฝ่ายเสียงเข้ม
“ตัวฉันก็เลยเปียกไปด้วย” ผมโยนความผิด
“ผมบอกให้คุณใส่เสื้อด้วยไงครับ เดี๋ยวก็เป็นไข้หรอก” สมุทรไม่สบตา เขาก้มลงมองไปที่ร่างกายของเราทั้งคู่คล้ายกับจะดูให้แน่ใจว่าเป็นต้นเหตุทำให้ผมเปียกจริง ๆ ความเงียบระหว่างเราทำให้ได้ยินเสียงน้ำตกชัดเจน สมุทรช้อนตามองผมเล็กน้อย เขาเบือนหน้าหนีทันทีที่เห็นว่าผมขยับใบหน้าเข้าไปใกล้
“คุณนี่มันซนจริง ๆ” อีกฝ่ายต่อว่า เสียงเข้มอยู่ในลำคอ
“ก็ปล่อยผ้าขาวม้าออกแล้วดันตัวออกไปสิ นายต้องเลือกสักอย่าง” ผมกระซิบเสนอไป
“หรือตามจริงแล้วอยากอยู่อย่างนี้” ผมยิ้มกว้าง เกลี่ยปลายจมูกเข้าที่ปลายคางของคนตรงหน้าก่อนหอมลงที่คางของเขาเบา ๆ สมุทรมองมา สายตาที่มองนั้นเรียบนิ่งไม่ต่างกันนัก ใบหน้าห่างกันไม่ถึงเซ็นติเมตรด้วยซ้ำ
“ผมไม่ชอบให้ท้ายเด็กที่ชอบเล่นอะไรไม่เข้าท่า” สมุทรพูด
“ใครวะไอ้เด็กคนนั้นน่ะ ?” ผมยังคงตีหน้าซื่อ
“ซนไปเรื่อย กับทุกคนสินะครับ”
“ก็จริง” ผมอมยิ้ม ไม่คิดปฏิเสธ
“........” สมุทรจ้องตาไม่กะพริบ
“แล้วนายไม่มีมาตรการปราบเด็กประเภทนี้เหรอ” ผมถาม
“แค่ไม่เข้าใกล้ก็พอมั้ง” สมุทรตอบ
“เดี๋ยวไอ้เด็กนั่นจะเสียใจเอานะ” ผมพูด อีกฝ่ายหลบตา มุมปากของเขาผลิยิ้มนิดหน่อย
“แต่มีคนบางประเภทชอบเลี้ยงเด็กประเภทนี้ซะด้วยสิ”
“ไม่ใช่ผมครับ เพราะเด็กแบบนี้อยู่ด้วยแล้วเหนื่อย” สมุทรย้อนทันที
“โอเค” ผมเบะปากยิ้ม ๆ ทันทีนั้นเขาก็เลือกปล่อยมือจากปมผ้าขาวม้าแล้วคว้ามือข้างหนึ่งของผมล็อกไว้ ผมไม่คิดยื้อแรง ปล่อยให้เขาทำตามใจ เมื่อสมุทรผละตัวออกจากผมได้ ผ้าขาวม้าที่นุ่งอยู่ก็หลุดออกจากตัวเขาทันที เผยให้เห็นกางเกงในสีขาวที่เขานุ่งอยู่ ผมยิ้มมองภาพมุมกว้าง
ทุกอย่างเต็มตาไปหมด อีกฝ่ายไม่สบตา คว้าผ้าขาวม้าไปนิ่ง ๆ ก่อนหันหลังให้ผมแล้วพันผ้าขาวม้าใหม่อีกครั้งหนึ่ง
“........” สมุทรกลับมานั่งลงที่แคร่อย่างเดิมโดยการหันหลังให้ เขาใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัว ผมขยับตัวขึ้นนั่งแล้วออกห่างจากเขามาทีละนิดจนสามารถลุกขึ้นยืนได้โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกต สมุทรกำลังตั้งหน้าตั้งตาเช็ดผมตัวเอง ผมเดินห่างออกมาจากน้ำตกเรื่อย ๆ เข้ามาในพื้นที่ป่าแล้วเลือกหลบหลังต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าใครเพื่อน นับเวลาภายในใจ ตัวเลขขยับไปถึงยี่สิบ สมุทรนั่งนิ่งไปพักหนึ่ง เขาก็หันตัวกลับมาโดยมองไปยังจุดที่ผมได้นอนอยู่ก่อนหน้านี้ เมื่อพบว่าผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป หันรีหันขวางไปทั่วบริเวณ
“คุณไฟครับ” สมุทรลุกขึ้นยืน มือที่ก่อนหน้านี้กำลังขยุ้มผ้าขนหนูนิ่งไปเสียแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเล่นซ่อนแอบในพื้นที่อุดมสมบูรณ์แบบนี้ สมุทรวางผ้าขนหนูลงบนแคร่ เขารีบใส่รองเท้าแตะแล้วเดินไปรอบ ๆ แถว ๆ นั้นเพื่อมองหาให้แน่ใจ
“คุณไฟ !” สมุทรเกือบจะกระแทกเสียง ระหว่างคิ้วของเขาย่นเข้าหากัน
“คุณไฟ...ผมไม่เล่นนะครับ ออกมาเดี๋ยวนี้เลย” อีกฝ่ายขึ้นเสียงแกมสั่ง ผมมองใบหน้าที่ร้อนรนนั่นไม่วางตา สมุทรเดินเข้ามาในบริเวณป่ามากขึ้น หมุนตัวไปรอบ ๆ อย่างไร้จุดหมาย
“คุณไฟ ฟฟฟ !!!” เสียงของสมุทรสะท้อนไปทั่ว
“........” ผมยังคงยืนซ่อนอยู่ที่เดิม ทิ้งให้เขาเดินหาต่อไม่กี่นาที
“คุณไฟ...ผมบอกให้คุณออกมาไงครับ” น้ำเสียงของเขาลดต่ำลงแล้ว อีกทั้งหยุดเดินไปแล้วเช่นกัน ผมย่องออกไป เสียงน้ำตกกลบเสียงฝีเท้าจากผม การที่สมุทรยืนนิ่ง ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเข้าประชิดตัวจึงสอดแขนทั้งสองข้างสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง สมุทรหันใบหน้ากลับมาพร้อมพ่นถอนหายใจออกมาอย่างแรง
“ก็นายบอกอยู่ด้วยแล้วเหนื่อยนี่” ผมโยนความผิด เทินคางไว้บนหัวไหล่อีกฝ่าย สมุทรหลับตา คอตกลงเล็กน้อย เบือนใบหน้าไปทางขวาทีหนึ่งคล้ายอดกลั้นเรื่องที่กำลังอัดอั้นตันใจ
“ใครบอกให้คุณเล่นแบบนี้ในป่า” สมุทรพูด น้ำเสียงของเขาเบามาก อีกทั้งฟังดูไม่ชอบใจ เขากำลังหงุดหงิดทีเดียว
“โทษที” ผมพูด
“........” เราเงียบลง ผมยังคงกอดเขาอยู่ ในเมื่อคนตรงหน้าเลือกที่จะเงียบ ผมจึงไม่พูด เสียงนกร้องเคล้าคลอไปกับเสียงน้ำตกที่ไหลลงไปตามลำธาร สมุทรไม่ขยับตัวเลย เป็นการยืนกลางป่าอยู่อย่างนั้นจนอีกฝ่ายยอมหันหน้ามา ผมยิ้มให้นิดหน่อย เขาผลิยิ้มเห็นฟันแต่ไม่ใช่การยิ้มกว้างอะไรนักก่อนจะเหลือบตามองลงพื้น ผมขยับมือซ้ายขึ้นจับต้นคอของสมุทรประคองไว้ นิ้วโป้งเขี่ยที่ข้างแก้มโดยที่อีกฝ่ายยังหันใบหน้ามาทางผม กลิ่นของธรรมชาติชัดเจนจนเกือบทำให้ลุ่มหลง ครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายหลับตาลง หน้าผากซบลงที่ไหล่ของคนตรงหน้าแล้วแช่ไว้อย่างนั้น เรื่องที่ว่า..
พรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว คือความจริง
...............(ไฟ)..............
ผู้เขียน:ขอโทษที่มาช้านะคะ แต่ไม่มีเวลาเลย > . < ความจริงตอนที่ 46 เขียนเสร็จนานแล้ว แต่ใช้เวลาปรับ/แก้ไขอยู่หลายอาทิตย์ เสร็จจริงเมื่อวันก่อน ตรวจซ้ำอีกครั้งเมื่อเช้านี้และเพิ่งเสร็จเรียบร้อยเมื่อกี้นี้ แล้วก็มาลงให้เลยค่ะ
พล็อต
#หลัก ของเรื่องถูกวางไว้หมดแล้วเนอะคะ เช่นว่า ไฟกับสมุทร (สลับกัน) เราก็ยืนยันตรงนี้ไปแล้วหลายครั้ง ใครที่ไม่ชอบแนวนี้อ่านจบแล้วจะได้ไม่เซ็งทีหลัง ฯ
มีคนอ่านบางท่านเข้ามาบอกว่า.. ได้ติดตามเรื่องนี้มา 2 ปีแล้วตั้งแต่เริ่ม คนเขียนน้ำตาจะไหล #หัวเราะ ขอบคุณมากนะคะที่ยังติดตาม เคยคิดที่จะหยุดเขียนเรื่องนี้หลายครั้ง ยอมรับว่าเนื้อหายาวมากจริง ๆ เดาว่าเฉพาะเนื้อหาของไฟสมุทรยาวกว่าคู่หลักของทุกเรื่องที่เบบี้เคยเขียนนิยายลงบนเว็บไวต์มา ---2 ปีแล้วเหรอ
กรี๊ดดดดดดดดดด !!! ...
เอาคุณไฟไปเผาที ผิดพลาดตรงไหนขออภัยด้วย ตั้งแต่เช้าไม่ได้หยุด...อาจมีเบลอบ้างเบา ๆ ขอตัวไป ณ บัดนี้