5.ผมเผลอหลับไป...
พอตื่นขึ้นมา ฟ้าก็มืดแล้ว ผมงัวเงียเดินไปเปิดสวิสต์ไฟภายในห้องพักให้สว่าง เพื่อพบว่าห้องนี้มีผมอยู่คนเดียว
อ้าว...แล้วไอ้เก้าหายไปไหน
ผมมองร่องรอยของเตียงข้าง ๆ แม้จะมีรอยยับ แต่ก็คล้ายว่าคนนอนลุกขึ้นไปนานแล้ว อยู่ ๆ ความคิดในแง่ลบก็พุ่งขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
...หรือว่า ไอ้เก้ามันจะทิ้งผมเอาไว้แล้วออกไปคนเดียว ไม่งั้นก็อาจจะทำเรื่องบ้า ๆ อย่างเช่น ...ฆ่าตัวตาย
ผมรีบเปิดประตูวิ่งออกไปด้านนอกรีสอร์ท เหลียวซ้ายขวาพยายามมองหาเบาะแสอย่างร้อนรน แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นแม่น้ำแควสายใหญ่
บรรยากาศตอนกลางคืนดูวังเวมากกว่าตอนกลางวัน ยิ่งประกอบกับต้นไม้รกครึ้มก็คล้ายจะทำให้รู้สึกหดหู่เงียบเหงา น้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวคะเนมองแล้วไม่รู้ว่ามันลึกเท่าไร แต่ส่วนมากก็มักมีข่าวออกมาบ่อย ๆ ทำนองว่าคนกระโดดลงไปเล่นน้ำแล้วถูกกระแสน้ำวนดูดให้ตัวเองจมไป
เลือดในตัวผมเย็นวาบ ผมมองฝ่าความมืดของแม่น้ำ ยกมือป้องปากตะโกนเรียกเสียงดัง
“ไอ้เก้า!”
“อะไร”
น้ำเสียงเย็น ๆ ตอบกลับมาด้านหลังทำเอาผมสะดุ้ง กระโจนร้องเฮ้ย! ด้วยความตกใจ แต่พอหันมาเห็นคนคุ้นตา ก็ทำเอาหัวใจที่หล่นไปตาตุ่มกลับมาเต้นด้วยความโล่งใจอีกครั้ง
“มึงหายไปไหนมา แม่งตกใจหมดให้กูตามหาซะทั่ว”
“กูไปซื้อเบียร์มา ทำไม มึงนึกว่ากูกระโดดน้ำลงไปเหรอ กูไม่ทำหรอก เดี๋ยวศพกูบวมหมดหล่อพอดี”
ไอ้เก้าพูดแซวขำ ๆ แต่ผมไม่หัวเราะ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น คนมันเป็นห่วงจริง ๆ ไอ้เก้าเองเหมือนจะจับท่าทีซีเรียสของผมได้ มันเลยยกมือขยี้หัวผมเบา ๆ แล้วบอกด้วยน้ำเสียงมั่นคงกว่าเดิม
“กูไม่ทิ้งมึงไว้หรอกน่าไอ้ติ๋ม”
แม้จะทะแม่ง ๆ กับคำเรียกชื่อ แต่ตอนนี้ความโกรธผมก็ลดลงไปกว่าครึ่ง ไอ้เก้าเดินไปนั่งตรงเก้าอี้หินอ่อนที่ทางรีสอร์ทตั้งไว้ชมวิวหันหน้าเข้าหาแม่น้ำ แล้วยกถุงเซเว่นบรรจุกระป๋องเบียร์เกือบโหลขึ้นมาพลางเอ่ยชวน
“มาถอนกันดีกว่า”
ผมมองมันปลง ๆ แล้วหย่อนก้นนั่งลงข้าง ๆ รับกระป๋องเบียร์เย็นเจี๊ยบที่มันส่งมาให้ เมื่อวานเพิ่งเมาอยู่ทะเล วันนี้มาเมาอยู่แม่น้ำ อะไรก็เกิดขึ้นโดยไม่อาจคาดเดา เหมือนที่ผมเดาไม่ได้ว่าอยู่ ๆ ไอ้เก้ามันจะถาม
“ติณ อย่างมึงนี่เคยคบใครมั้ยวะ”
ผมแทบสำลักเบียร์ รีบตอบกลับอย่างโชว์ภูมิ
“โห เคยดิ อย่าดูถูก”
“จริงอ่ะ ใครวะ”
ไอ้เก้ารีบถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น เรื่องชาวบ้านนี่งานถนัดมัน แต่ผมก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว เลยเล่าตามความจริง
“เพื่อนในห้องตอนม.3”
“สวยป่ะ”
“ไม่อ่ะ”
“อ้าว แล้วมึงคบเขาทำไมวะ”
“ก็เขาบอกชอบกูก่อน แล้วตอนนั้นโรงเรียนกูฮิตมีแฟนกัน กูอยากลองมีบ้าง เลยตกลงคบ”
“แค่เนี่ย”
“เออ”
ผมรู้ว่ามันเป็นเหตุผลตลก แต่ตอนนั้นผมเพิ่งอายุ 15 กำลังอยู่ในวัยที่ทำตามเพื่อน ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกลึกซึ้งอะไร
“แล้วไง”
ไอ้เก้าเร่งถามอีก ผมดื่มเบียร์อีกอึก ก่อนไหวไหล่
“ก็ไม่ไง เขาก็ส่งขนมมาให้กูกินทุกวัน กูก็ส่งกลับไปเหมือนแลกกัน”
พูดไปแล้วก็จั๊กจี้ตัวเอง มันเป็นความรักใส ๆ อารมณ์ป็อปปี้เลิฟ เริ่มต้นแบบง่าย ๆ แล้วมันก็จบลงแบบง่าย ๆ เช่นกัน
“แต่พอเขาย้ายไปต่อม.ปลายที่อื่นก็เลยเลิก”
“อ้อ ไปเจอคนใหม่”
คนฟังเดาสาเหตุสุดคลาสสิค แต่ผมกลับส่ายหน้า
“เปล่า เขาขอเลิก เพราะเขาคิดว่ากูให้ความสำคัญกับเขา น้อยกว่าที่เขาให้ความสำคัญกับกู”
ไอ้เก้าเงียบไป ก่อนจะถอนหายใจยกมือขึ้นตบบ่าผมคล้ายจะปลอบ
“เฮ้อ ผู้หญิงมันคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้แหละมึง”
“เปล่า ผู้ชาย”
“ห่ะ?”
ดวงตาของมันสบมองผมเหมือนไม่แน่ใจ ซึ่งผมก็พูดย้ำลงไปชัด ๆ อีกรอบ
“กูเรียนโรงเรียนชายล้วน”
ไอ้เก้านิ่งอึ้ง มันคงไม่คิดว่าไอ้เด็กแว่นเนิร์ดจะเข้าข่ายเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว แต่สำหรับผม ผมยังแน่ชัดว่าตัวเองเป็นผู้ชาย ความสัมพันธ์ตอนมัธยมเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นจากเพื่อนสนิทที่ใกล้ชิดกันมากเกินไปเท่านั้น
“แล้วมึงไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ”
“หมายความว่าไง”
“ที่รักกับผู้ชาย”
“กูยังไม่รู้เลยว่ากูรักเขาจริงๆ รึเปล่า”
ไอ้เก้าเงียบลงไปอีกครั้ง มันยกเบียร์ขึ้นซด แล้วก็เปิดกระป๋องใหม่ ก่อนย้ายไปคุยเรื่องอื่น ผมก็เริ่มกรึ่ม ๆ เลยต่อหัวข้อคุยกันยาว รู้ตัวอีกทีเบียร์เกือบโหลก็หมดเกลี้ยง เป็นการถอนที่หนักหน่วงจนแทบจะไขประตูเข้าห้องไม่ถูก ต่างคนต่างเดินโซซัดไปที่เตียง แล้วสลบน็อคหลับยาวยันเช้า
...
..
.
ผมตื่นขึ้นมาอีกทีเกือบสิบโมง คราวนี้ไอ้เก้ายังนอนหลับกรนคร่อกอยู่บนเตียงไม่ได้หายไปไหน ผมเลยว่าจะนอนต่ออีกรอบ แต่เสียงเคาะประตูห้องกลับดังขัดจังหวะ พอลุกขึ้นไปเปิดก็เจอฝรั่งหัวทองยืนยิ้มแฉ่ง
“Good morning”
แล้วเคนก็พ่นภาษาอังกฤษใส่ผมเป็นชุดจับใจความได้ว่า จะมาชวนไปเที่ยวที่น้ำตกไทรโยคใหญ่ด้วยกัน
ผมเลยขอถามความสมัครใจของไอ้เก้าก่อน โดยการใช้เท้าเขี่ย ๆ คนขี้เซาให้ลุกจากเตียง มันสะลึมสะลือพยักหน้าหงึก ๆ ไม่รู้ฟังเข้าใจรึเปล่า ทว่าสุดท้ายพวกเราสามคนก็มานั่งอยู่บนรถสองแถว
แต่พอรถจอดสนิทถึงที่ ไอ้เก้าเหมือนหุ่นยนต์ถูกเปิดสวิสต์อัตโนมัติ จากที่ยังงัวเงียครึ่งหลับครึ่งตื่น มันรีบถลาลงไปเดินดูวิวเป็นคนแรก
น้ำตกไทรโยคใหญ่ หรือเรียกอีกอย่างว่า น้ำตกเขาโจน เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่อุทยาน มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์มากมายให้ชม ทั้งที่พักแรมของทหารญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อครั้งมาก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะไปประเทศพม่า กองทัพญี่ปุ่นเคลื่อนพลมายึดบริเวณน้ำตกไทรโยคใหญ่ตั้งเป็นฐานอาวุธ ยุทโธปกรณ์ ร่วมถึงค่ายกักกันเชลย ซึ่งมีหลักฐานของซากเตาหุงหาอาหารเหลือไว้ให้เห็น
เคนดูตื่นตาตื่นใจกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์นี้มาก พอคุยกันถึงได้รู้ว่าคุณทวดของเคนเคยเป็นทหารอากาศของกองทัพอเมริกาถูกส่งมารบที่ประเทศไทยช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และโชคร้ายที่ท่านไม่ได้กลับไปยังบ้านเกิด ศพของท่านเป็นหนึ่งในหลุมศพบนสุสานทหารสัมพันธมิตร ซึ่งเคนก็ตั้งใจจะไปเยี่ยมเคารพวันพรุ่งนี้
ผมกับไอ้เก้าฟังแล้วก็ได้แต่ทึ่ง นึกว่าเคนเป็นไอ้หนุ่มแบ็คแพ็คเกอร์ธรรมดา พอได้ยินเรื่องราวแบบนี้ พวกผมเลยเริ่มใส่ใจและมองร่องรอยทางประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้งมากขึ้น
จุดต่อมาคือสะพานชมวิว เป็นสะพานไม้แขวนสร้างมาตั้งแต่สมัยปี 2527 อายุเกือบสามสิบปี พาดข้ามแม่น้ำแควสูงเกือบสิบเมตร ทำเอาผมกลืนน้ำลายเอื้อก ยืนลังเลอยู่ตรงทางเข้า จนไอ้เก้าต้องสะกิด
“เป็นไรมึง กลัวเหรอ”
“มะ...ไม่ได้กลัวเว้ย!”
ผมหันไปตอบ แม้น้ำเสียงจะติดสั่น ๆ ...ไม่ได้กลัวจริง ๆ นะ แค่ขาอ่อนเฉย ๆ แค่นั้นเอ๊งงง
“งั้นก็รีบเดินไปเร็ว ๆ ดิ ข้างหลังเขาต่อคิวรอแล้ว”
ไอ้เก้าเอ่ยเร่ง พร้อม ๆ กับเอามือดันผมให้ก้าวไปข้างหน้า ผมจึงต้องทำเป็นใจกล้า ค่อย ๆ เกาะราวสะพานขยับขาไปทีละก้าวทีละก้าวด้วยความอืดอาด โดยไม่รู้เลยว่าคนข้างหลังจะวางแผนชั่วเอาไว้ด้วยการแกล้งเขย่าราวสะพานแรง ๆ ทำเอาผมตะโกนห้ามดังลั่น
“เฮ้ย! ไอ้เก้าอย่างแกว่ง กูเสียว!”
“เสียวก็ต้องแข็งดิ แต่มึงแม่งอ่อนยวบเลยว่ะ”
คนแหย่เล่นมุขเสื่อม แซวผมที่แข็งขาอ่อนจนยืนไม่อยู่ เออ! ผมสารภาพก็ได้ว่าผมเป็นโรคกลัวความสูง พอมองเห็นแม่น้ำเบื้องล่างแล้วใจมันก็หวิววิงเวียนหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม ไอ้เก้าคงเห็นว่าสภาพผมไม่น่าจะรอดจริง ๆ เลยหยุดเขย่า ก่อนเดินเข้ามาจับมือผมให้ลุกขึ้น
“อย่ามองไปข้างล่าง มองมือกูไว้แล้วเดินตามมา”
มันยกมือที่จับผมโชว์ขึ้นมาตรงหน้า แล้วก็ดึงผมให้เดินต่อไปกลางสะพาน อาจมีใครมองแปลก ๆ ที่ผู้ชายสองคนจับมือกัน แต่นาทีนี้ผมกลัวจนไม่สนสายตาชาวบ้าน กระชับจับมือไอ้เก้าไว้แน่น แล้วค่อย ๆ ก้าวขาช้า ๆ ในที่สุดก็ถึงบริเวณที่จะเห็นวิวน้ำตกไทรโยคใหญ่ได้ชัดเจน
ภาพสวย ๆ ของธรรมชาติช่วยทำให้ผมคลายความกลัวลงไปได้บ้าง ไอ้เก้ามันก็ลันล๊าตามประสา ชี้ผมให้ดูแพที่นำนักท่องเที่ยวล่องไปใกล้น้ำตก ผมรู้จากสายตาทันทีว่าแพลนต่อไปของมันคืออะไร แล้วก็เป็นตามนั้น เมื่อมันหันมาเปิดปากพูด
“กูอยากเล่นน้ำตกว่ะ”
ผมรีบส่ายหน้ายิก ปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไม่เอา กูไม่ลงน้ำ”
“อย่าป็อดน่าติ๋ม”
ประโยคที่เคยดูถูกผมวนกลับมาเล่นงานอีกรอบ ผมกำลังจะอ้าปากเถียง แต่ก็ดันนึกได้ว่ามือผมยังคาอยู่ที่มือไอ้เก้าแน่นเพราะกลัวตกสะพาน เลยต้องเปลี่ยนเป็นเงียบกริบ ปล่อยให้เก้าหันไปชวนเคน ซึ่งหนุ่มฝรั่งก็รีบตกลงด้วยท่าทางกระตือรือร้น
เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผมก็ใส่เสื้อชูชีพสีส้มเตรียมล่องแพเที่ยวแม่น้ำแคว ซึ่งลากผ่านทิวต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่น มีลมพัดพอเย็น ๆ ได้บรรยากาศสบาย ๆ กระทั่งแพมาจอดจ่ออยู่บริเวณน้ำตกไทรโยคใหญ่
ผมมองวิวจากบนสะพานแขวนก็นึกว่าน้ำตกนี่เล็ก แต่ความจริงน้ำตกไทรโยคใหญ่สูงกว่า 8 เมตร ธารน้ำพุ่งตกลงจากผาหินเสียงดัง ตัดกับฉากด้านหลังแมกไม้สีเขียวเข้ม ธรรมชาติสร้างสรรให้สวยเหมือนภาพวาดจิตรกรเอกของโลก
แพจะแวะจอดให้นักท่องเที่ยวเล่นน้ำประมาณสามสิบนาที ไอ้เก้ารีบสลัดรองเท้า แล้วกระโดดลงน้ำเย็นฉ่ำ ก่อนหันมาชวนผมที่ยังนั่งกอดเขาอยู่บนแพไม้
“มึงรีบลงมาดิ ที่นี่แม่งสุดยอดกว่าเมื่อวานอีก”
“กูไม่อยากลง”
ผมยืนยันคำเดิมเหมือนเมื่อวาน แต่แทนที่ไอ้เก้าจะตื๊อต่อมันกลับพูดสั้น ๆ
“งั้นก็ตามใจ”
หลังจากนั้นมันก็หันไปคุยกับเคน แล้วลอยคอไปบริเวณใต้น้ำตกกันสองคน โดยทิ้งให้ผมมองตามเพียงลำพัง
...เออ ใช่ซี๊! ได้ใหม่แล้วลืมเก่า ผมเลยกลายเป็นหมาหัวเน่า ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วนี่
ผมมองเคนกับเก้าคุยกันหัวเราะกันสนุกสนาน จนเวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาที ไอ้เก้าก็ว่ายกลับเข้ามาที่แพ ปีนขึ้นมานั่งพัก แล้วหันมาชวนผมต่อ
“จะไม่ลงไปเล่นจริง ๆ เหรอ”
“แล้วมึงไม่ไปเล่นกับเคนต่อล่ะ”
ผมตอบกลับพลางพยักเพยิดไปที่เคนซึ่งโบกมือให้กลางน้ำตก แต่ไอ้เก้าไม่ได้สนใจ ตรงข้ามมันดันถามสั้น ๆ
“หึงเหรอ”
ผมแทบหน้าทิ่มตกน้ำ รีบหันขวับไปจ้องมันแล้วด่าเสียงลั่น
“พ่อง!”
แต่คนหน้าด้านอย่างไอ้เก้าโดนด่าแค่นี้ไม่มีสะทกสะท้านอยู่แล้ว มันหัวเราะร่าที่แหย่ผมให้โมโหได้ ก่อนจะเอ่ยเหตุผลที่แท้จริง และเป็นเหตุผลที่ทำให้หัวใจผมแทบหยุดนิ่ง
“ไม่มีมึงก็ไม่หนุกดิวะ”
ลมหายใจผมสะดุด ไม่รู้ว่าไอ้เก้ามันพูดจริงหรือพูดเล่น แต่ถ้อยคำนั้นมีอานุภาพพอให้ผมรู้สึกวูบไหวในอกแปลก ๆ ชั่วขณะที่กำลังสับสน ผมก็ได้ยินเสียงถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“หลังจากนั้นมึงกับเพื่อนที่เคยคบกันเป็นยังไง”
ไอ้เก้าหันมามองหน้า ทว่าผมกลับหลบสายตา หันไปชี้หนุ่มฝรั่งที่ยกมือป้องปากคล้ายเรียกพวกเราจากบนแพ จนผมต้องสะกิดคนข้างตัว
“นู้น! เคนเรียกมึงแล้ว”
เก้าหันไปโบกมือตอบ แล้วโดดลงน้ำอีกรอบก่อนจะว่ายไปยังน้ำตก ปล่อยให้ผมยังคงนั่งอยู่บนแพด้วยความรู้สึกโล่งใจที่เปลี่ยนเรื่องทัน
...ดีแล้วที่ไม่พูดออกไป เพราะผมกลัวจะบอกความจริง
ความจริงที่ทำให้หัวใจผมสั่นไหวไม่ต่างจากเมื่อครู่ หากคราวนี้มันเต็มไปด้วยความอึดอัดและปวดร้าวลึก ๆ ข้างใน
...ระหว่างผมกับเพื่อน อาจเป็นเช่นเดียวกับเก้าและภีม หรือใครก็ตามที่เผลอก้าวข้ามความสัมพันธ์ของเส้นที่ขีดไว้
จุดจบของมัน คือ การแตกสลายของมิตรภาพ และไม่มีวันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกเลย...
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
TBC
ขออภัยที่มาช้า แถมยังดราม่าอีก
แต่ปมปัญหาก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ก็ต้องรอลุ้นกันว่าใครจะปลอบใครกันแน่
ฝากเพลงนี้แทนใจน้องติ๋ม เอ้ย! น้องติณ เข้าหน่อย
เปิดฟังบิวท์อารมณ์ไปพลาง ๆ ก่อนนะคะ
https://www.youtube.com/watch?v=g3-oobdNTI0
ขอบคุณที่ยังคอยติดตามค่า เรื่องสั้นแต่ดองยาวนี้ด้วยนะคะ BitterSweet