ตอนที่ 18 ปรัชญาความเท่ากัน
“มีอะไรจะบอกพี่หรือเปล่า ทำหน้าเหมือนมีอะไรอยากพูดแต่ก็ไม่พูด”
“…เปล่า…ไม่มี…อ่า…จะว่ามีมันก็….ภูยังไม่แน่ใจแต่อันที่จริงก็ค่อนข้างมั่นใจอยู่…แต่มันก็…เฮ้อ….”
“จริงสิ นี่มันก็เย็นแล้วนะ เดี๋ยวพี่ไปโทรถามครามก่อนแล้วกันว่าถึงไหนแล้ว นี่ก็มืดแล้วยังไม่กลับมาอีก”
พอพี่ทีทำท่าจะผละออกไปผมก็รีบกอดเอวอีกฝ่ายไว้ทันที ไม่ให้ไป ไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น อย่าไปหาฟ้าคราม อย่าเอาแต่สนใจมันคนเดียวได้ไหม มองมาที่ผมบ้าง ผมก็ชอบพี่เหมือนกันนะ!
ชอบ…เราชอบพี่ทีหรอ? ชอบแบบไหน…แบบไหนล่ะ?
“ภูผา?”
ผมกดหน้าลงบนหน้าท้องอุ่นนุ่มของพี่ที สูงกลิ่นหอมจางๆ จากน้ำยาปรับผ้านุ่มและกลิ่นสบู่หอมเย็นจากตัวอีกฝ่าย ความอึดอัดในหน้าอกทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก นึกถึงเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ผ่านมา ทั้งตอนที่ฟ้าครามขอพี่ทีเข้าไปอาบน้ำด้วย ตอนที่ฟ้าครามกล้าดึงพี่ทีเข้ามาจูบ ในขณะที่ผมไม่กล้าทำอะไรซักอย่าง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ผมจะกลายเป็นส่วนเกินหรือเปล่า อีกหน่อยพี่ทีจะยังคงให้ความสนใจกับผมเท่ากับที่ให้ไอ้ครามไหม
ผมตัดสินใจระบายความอัดอั้นออกมาอย่างเงียบเชียบกับร่างกายของคนตรงหน้า ไม่กล้าพูดออกเสียง เพราะกลัวว่าทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่อีกใจลึกๆ ก็หวังอยากจะให้พี่ทีรับรู้และยอมรับความรู้สึกในตอนนี้ของผม
‘ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยกลัวว่าจะได้อะไรไม่เท่ากันกับไอ้ครามเลย เพราะผมรักมันมากพอๆ กับที่รักตัวเอง มันกับผมก็เหมือนเป็นคนคนเดียวกัน อะไรที่เป็นของผมก็จะเป็นของมัน อะไรที่เป็นของมันก็จะเป็นของผมด้วย ไม่มีสักครั้งที่ผมจะอิจฉาน้องชาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าผมกับไอ้ครามไม่ใช่คนคนเดียวกันอีกแล้ว เพราะฟ้าครามกำลังทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะเสียสิ่งสำคัญไป
ถ้าหากว่าผมชอบพี่ทีแบบพี่น้องผมคงจะไม่รู้สึกอิจฉาฟ้าครามแบบนี้ใช่มั้ย…
ผม…กำลังชอบพี่แบบคนรักอยู่ใช่มั้ย…’
ผมเงยหน้าสบตาพี่ที สายตาหลังกรอบแว่นที่มักจะทอดมองมายังพวกผมอย่างอ่อนโยนเสมอทำให้ผมใจเต้นแรง ไม่ไหวแล้ว ทนเก็บความรู้สึกต่อไปไม่ไหวแล้ว…ถ้าไม่พูดออกไปตอนนี้ก็ไม่รู้จะหาจังหวะดีๆ พูดอีกตอนไหน
ผมกดหน้าลงกับร่างของพี่ทีอีกครั้ง ขยับปากช้าๆ ชัดๆ เป็นคำสามคำที่ผมอยากจะบอกมาตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจจนกระทั่งวันนี้
‘ภู ชอบ พี่’
เขินจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นแล้ว ร้อนไปทั้งหูทั้งหน้าทั้งคอ ผมซุกหน้าอยู่แบบนั้น จนกระทั่งฝ่ามืออุ่นลูบลงบนศีรษะผมแผ่วเบา
“พี่รับรู้แล้ว…ขอบใจนะ”
ผมไม่รู้ว่าพี่ทีรับรู้ในสิ่งที่ผมต้องการจะบอกจริงๆ หรือเปล่า แต่ผมจะขอคิดเข้าข้างตัวเองก็แล้วกันว่าพี่ทีรับรู้แล้วว่าผมชอบพี่เขา ดีใจจังที่พี่ทีไม่ได้แสดงท่าทางรังเกียจอะไรออกมาแถมยังยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนมากๆ อีกด้วย อยากจะกระโดดให้ตัวลอยหัวเราะดังๆ แล้วทำท่าชักศอกใส่ตัวพร้อมกับพูดว่า ‘เยส!!!’ แต่ในความเป็นจริงคือผมได้แต่เก็บอาการดีใจออกนอกหน้านั้นไว้ด้วยการซุกหน้าลงกับท้องพี่ทีแล้วยิ้มกว้างเหมือนคนบ้า[/i]
“ต่อจากครั้งที่แล้วนะ ผมขอย้อนความนิดนึง ผมพูดไปแล้วใช่ไหมว่ากลุ่มของนักอภิปรัชญาแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือพวกที่แบ่งสิ่งต่างๆ เป็น ‘สิ่งเฉพาะ’ กับ ‘สิ่งสากล’ ส่วนกลุ่มที่สองคือพวกที่แบ่งสิ่งต่างๆ เป็น ‘สิ่ง’ กับ ‘คุณสมบัติ’ ครั้งที่แล้วผมจบกลุ่มที่หนึ่งไป วันนี้เรามาขึ้นกลุ่มที่สองกัน …”
ผมหันไปมองข้างตัว เหล่าผองเพื่อนกำลังเรียนทางลัดด้วยการเข้าฌานไปคุยกับโสเครตีส เพลโต และอาริสโตเติลโดยตรง ไอ้แท็คนั่งกอดอกสัปหงกทำความเคารพอาจารย์ ไอ้ป๊อกนอนกรนเสียงดังไม่เกรงใจใครดีที่นั่งหลังๆ ไม่งั้นโดนอาจารย์เล่นแน่ ไอ้โซลแหงนหน้าร่นตัวพิงเบาะหลับสบายเหมือนอยู่ในโรงหนัง ไอ้ก้อยฟุบหลับไปกับโต๊ะเรียบร้อยโรงเรียนปรัชญา ส่วนผมมีหน้าที่ถ่างตาฟังเพื่อจดเลกเชอร์ให้พวกมันยืมถ่ายรูป-_-; ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทางมหา’ ลัยต้องบังคับให้นิสิตทุกคณะลงเรียนปรัชญาด้วยทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสาขาวิศวะของพวกผมเลย
“นักปรัชญากลุ่มที่ 2 ได้แบ่ง ‘สิ่ง’ ออกเป็นสามสิ่งย่อยๆ อีก คือ สิ่งนามธรรม สิ่งกายภาพ และ สิ่งทางจิต …สิ่งนามธรรมคือสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ ยกตัวอย่างเช่น จำนวน หรือ นัมเบอร์ ถือว่าเป็นนามธรรม แต่ตัวเลขนั้นไม่ถือเป็นนามธรรมเพราะเป็นสัญลักษณ์ที่มนุษย์กำหนดขึ้น นอกจากนี้ก็ยังมีเซต (Set) แรง (force) ความยุติธรรม และ ความเท่ากัน…”
ผมตั้งใจฟังและพยายามคิดตามไปด้วย อืม บางทีผมว่าเรียนปรัชญาก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ อย่างน้อยก็ทำให้มองอะไรได้ลึกซึ้งขึ้น
อาจารย์หยิบปากกาขึ้นมาสองแท่ง
“ปากกาสองแท่งนี้ ผลิตในปีเดียวกัน จากโรงงานเดียวกัน รุ่นเดียวกัน นิสิตว่าปากกาสองแท่งนี้ต่างกันตรงไหน”
“ปากกาแท่งนึงอาจารย์ใช้ไปแล้ว อีกแท่งยังไม่ได้ใช้ครับ” หนุ่มคณะแพทย์ด้านหน้าสุดยกมือตอบ
“ผิดครับ”
“ต่างกันตรงที่แท่งนึงอยู่ทางซ้าย อีกแท่งอยู่ทางขวาค่ะ” สาวคณะบัญชีตอบบ้าง แต่อาจารย์ก็ยังส่ายหน้า
ผมเพ่งมองปากกาสองแท่งที่ฉายอยู่บนสไลด์ ปากกาสองแท่งนี้ไม่ต่างกันเลย ไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนกันหมดทุกประการ แล้วอะไรคือจุดที่ทำให้มัน ‘ต่าง’ กันล่ะ? ก็ในเมื่อเหมือนกันขนาดนี้แท้ๆ
“งั้นผมถามใหม่ละกัน พวกคุณว่าปากกาสองแท่งนี้เหมือนกันใช่ไหม” พวกนิสิตพากันพยักหน้าหงึกหงัก
“พวกคุณจะบอกว่าแท่งนี้ เท่ากับ แท่งนี้ใช่มั้ย?” ผมพยักหน้าตอบ ในเมื่อมันเหมือนกันทุกประการ ในทางคณิตศาสตร์ก็ถือว่าเท่ากันไม่ใช่หรอ
“ผมจะบอกให้ว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เหมือนกันทุกประการหรอก แม้แต่แฝดที่เกิดมาก็ไม่มีอะไรที่จะเหมือนกันทุกอย่างราวกับเป็นคนคนเดียวกัน เช่นเดียวกับปากกาสองด้ามนี้ มองภายนอกพวกคุณอาจจะเห็นว่ามันเหมือนกันทุกประการ มองว่ามันเท่ากันหมด แต่ที่จริงมันต่างกันตรงไหนคุณรู้ไหม…”
อาจารย์เว้นวรรคไปชั่วอึดใจ ผมขมวดคิ้ว คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ยิ่งฟังก็ยิ่งอยากรู้คำตอบว่าตกลงไอ้ปากกาสองแท่งนั้นมันต่างกันยังไง
“...สิ่งสองสิ่งจะเท่ากันก็ต่อเมื่อ คุณสมบัติของสิ่งที่หนึ่ง เป็นทุกคุณสมบัติของอีกสิ่งหนึ่ง ที่ปากกาสองแท่งนี้มันต่างกันก็เพราะมันครอบครองพื้นที่คนละพื้นที่กัน ถ้าเปรียบกับคนก็จะหมายถึงการมีตัวตนยืนอยู่บนพื้นโลกคนละจุดกัน …ถ้าหากปากกาสองแท่งนี้จะเท่ากันทุกประการจริงๆ มันต้องวางทับที่เดียวกันผสานเป็นเนื้อเดียวกันได้ สรุปก็คือในโลกใบนี้สิ่งที่จะเท่ากันมีเพียงแค่ตัวของมันเองเท่านั้น เข้าใจหรือยัง”
ในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เหมือนกันทุกประการ…แม้แต่ปากกาสองแท่งนั้นก็ยังต่างกันงั้นหรอ
ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ผมก็เผลอนึกไปถึงภูผาและฟ้าคราม คนสองคนที่ภายนอกเหมือนราวกับเป็นคนคนเดียวกัน แต่หากมองดูจริงๆ แล้วจะพบว่าสองคนนี้มีส่วนที่แตกต่างกันอยู่มากมาย
ภาพฟ้าครามที่ดึงผมเข้าไปจูบยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำเช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เมื่อวาน ภาพที่ภูผานอนซุกท้องผม ทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่พอพูดออกมากลับไม่มีเสียง แถมยังสบตาผมด้วยดวงตาคาดหวังว่าผมจะเข้าใจในสิ่งที่ตนพูดทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ออกเสียงให้ได้ยิน
ผมไม่รู้ว่าน้องต้องการจะบอกอะไรกับผมกันแน่…อันที่จริงเเล้วผมพอจะเข้าใจในสิ่งที่ภูผาต้องการจะบอกแต่ในใจลึกๆ ของผมมันปฏิเสธด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือผมอาจจะเข้าใจผิดไปเองเรื่องแบบนั้นไม่น่าจะมีทางเกิดขึ้นได้เพราะเราเป็นผู้ชายทั้งคู่แถมยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน สองคือหากเป็นอย่างที่ผมเข้าใจจริงๆ ผมคงรู้สึกแปลกๆ และคงไม่สบายใจที่จะอยู่กับภูผาอีกต่อไป
ไม่หรอก มันต้องไม่เป็นแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าน้องต้องการบอกอะไรกับผม ไม่รู้ ผมไม่รู้ …
เอาเป็นว่าสามคำนั้นของภูผา ผมจะตีความแค่ว่ามันน่าจะเป็นคำพูดในแง่ดีที่มีต่อผมก็แล้วกัน
ผมขอรับรู้เท่านี้พอ
--------------------------------------------------------------------------------------------
หลังไมค์ถามมาว่าตกลงภูผากับฟ้าครามใครเป็นพี่เป็นน้องกันเเน่??
ถ้าตามสูติบัตร ฟ้าคราม (นาย จารุวิทย์) เป็นพี่ เเต่ในทางปฏิบัติเเล้ว ทุกคนยกให้ภูผา (นายจารุวัฒน์) เป็นพี่ค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามกันมานะคะ ไม่น่าเชื่อว่ายังมีคนจำได้ว่าเรื่องนี้เคยมาลงที่นี่เเล้ว เเต่โดนลบไปค่ะเพราะเราลืมมาลงนานเกิน555นึกขึ้นได้อีกทีก็โดนลบไปเเล้วค่ะ ดีใจจังมีคนจำได้ด้วยย เขิลลล