เป็นเช่นรัก 17.1รักแท้หลีกเลี่ยงการกลับไปบ้าน เพราะรู้ดีว่าช่วงนี้ พ่อของเขาอยู่ที่ไหน
ช่วงสองสามปีหลัง พ่อดิษย์มาที่บ้านบ่อยขึ้น และพักอยู่ครั้งละเป็นเดือนๆ
จิณณ์และรักมั่นมีความสุข ส่วนรักแท้ไม่ชอบความสุขที่ทั้งสองคนมี
หึ มันก็คล้ายการล่อเหยื่อด้วยอาหาร
รักแท้ที่แยกตัวมาอยู่หอตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จึงกลับบ้านน้อยลงกว่าปกติ
ดิษย์เองก็ไม่ยอมแพ้ หาทางตามเขากลับบ้านอยู่บ่อยๆ คล้ายเป็นเกมที่ดิษย์สนุก ที่จะหาวิธีให้รักแท้จำนนและกลับมาหา
เขาเคยให้รักมั่นโทรตามเพื่อกลับมากินข้าวกันในวันเกิดของดิษย์
นั่นเป็นวันเดียวกับที่รักแท้เจอคิดเช่นเป็นครั้งแรก
ต่อมาจิณณ์เป็นคนโทรมาหาเขาด้วยตัวเอง
"รัก กลับบ้านบ้าง ป๊าคิดถึง"
รักแท้รับปาก และกลับบ้าน แต่อยู่ได้ไม่นาน ก็ผลุนผลันออกไป เมื่อคิดเช่นโทรตาม ด้วยเรื่องของเป็นหลักและนักมวยคนนั้น
และครั้งนี้ รักแท้คงเลี่ยงไม่ได้แล้ว พ่อดิษย์โทรหาเขา พูดเพียงว่า "กำลังคิดว่าลูกชายคนโตไม่กล้าสู้หน้าพ่อของตัวเอง"
น่าหงุดหงิดที่ยกนี้ดิษย์ชนะ
บ้านหลังเล็กๆของเขาเปลี่ยนไปนิดหน่อย เพราะมีคนเฝ้าบ้านมากขึ้น
ไม่ได้ยืนยามอะไรให้ดูเอิกเกริก เพียงแต่มีรถบ้านจอดทิ้งที่หน้าบ้าน เพราะในบ้านจอดรถได้คันเดียว แล้วก็มีคนทำงานเพิ่มมาหนึ่งคน
รักแท้บีบแตร
คนงานที่พอเห็นรถมอเตอร์ไซค์ของรักแท้ ก็เปิดประตูให้เข้ามาโดยไม่กักตัวเอาไว้
มอเตอร์ไซค์คันโตจอดสนิทที่โรงรถ
รักแท้ถอดหมวกกันน็อค หันมองคนงานหน้าใหม่ แล้วเดินเข้าบ้าน
รักมั่นวิ่งกระโดดโลดเต้นเข้ามาหาเขาเป็นคนแรก
ไอ้เด็กคนนี้ไม่เคยเข็ด รู้ดีแก่ใจว่าเขาไม่เคยยอมให้กอด ก็ยังพยายามมาเกาะหน้าเกาะหลังทุกครั้งที่เขากลับบ้าน
"รักกลับมาแล้ว" เด็กวัยรุ่นอายุสิบสี่ ที่ยังคงพยายามนัวเนียรักแท้เหมือนเป็นเด็กไม่กี่ขวบ
เมื่อไม่ได้การตอบรับ ก็เงยหน้ามอง เหมือนลูกหมาลูกแมวไม่มีผิด
รักแท้ถอนหายใจ แล้วลูบหัวเด็กหนุ่มตรงหน้า
"ให้ได้เท่านี้"
เด็กชายวัยสิบสี่ยิ้มจนตาหยี "ก็ยังดี"
แล้วพอรักแท้ออกเดิน เจ้ารักมั่นก็กระโดดเกาะหลังเขาไว้แน่น เด็กอายุสิบสี่ขายาวเก้งก้าง ทำแบบนี้ไม่เห็นจะน่ารักตรงไหน รักแท้ก็ได้แต่ถอนหายใจ แล้วเดินต่อไปทั้งที่มีลิงเกาะหลังอยู่แบบนั้น
ก้าวขาได้ยากลำบาก เพราะต้องลากเอารักมั่นที่ไม่ยอมเดินไปด้วย
"เจ้ามั่น ลงมา" ป๊าจิณณ์ออกปากดุ รักมั่นจึงยอมปล่อยให้รักแท้เดินดีๆ
จิณณ์อ้าแขนกว้าง รักแท้ถอนหายใจอีกที คราวนี้เขาปฏิเสธไม่ได้ ยอมเดินเข้ากอดจิณณ์เอาไว้
จิณณ์กอดเขาแน่น ลูบไหล่ลูบหลังด้วยความคิดถึง
"ป๊าจะกอดผมจนอายุเท่าไหร่"
"จะกอดไปจนกว่าป๊าจะยกแขนไม่ไหว"
"ผมโตแล้ว"
"โตแล้ว แล้วจะทำไม รักก็ยังเป็นลูกของป๊าอยู่ดี"
รักแท้ถอนหายใจไปกี่รอบแล้วนะ
"ป๊ากับพ่อทำเจ้ามั่นติดนิสัย"
จิณณ์เลิกคิ้ว "ที่ชอบพันแข้งพันขาน่ะหรือ"
"น้องมันเป็นผู้ชาย ปีหน้าก็จะสิบห้าแล้ว"
"อายุสิบห้า แล้วแสดงว่ารักกันไม่ได้หรือไงเล่า" จิณณ์กลั้วหัวเราะ "แล้วถ้าจะโทษป๊ากับพ่อ รักก็ต้องโทษตัวเองก่อน"
รักแท้ขมวดคิ้ว เริ่มรู้สึกว่าจะเข้าตัว
แล้วก็จริง
"ที่น้องมันรู้สึกปลอดภัยขนาดนี้ ไม่ระวังระแวงความเจ็บปวดแบบนี้ ก็เพราะรักแท้ไม่ใช่หรือ"
ยิ้มของจิณณ์เปลี่ยนจากล้อเลียนเป็นยิ้มขอบคุณ "พี่ชายที่เป็นเกราะกันให้น้องมาตลอดก็คือรักแท้เองนะ ปากบอกว่า ไม่รัก ไม่ดูแล แต่รักมั่นกลับไม่เคยบอบช้ำเลยสักนิด"
รักแท้เบือนหน้าหนี แค่เห็นว่าเด็กกว่าก็เลยช่วยดูเท่านั้น
ดิษฐ์รอเขาอยู่ที่บ่อปลา นั่งมองฝูงปลาตัวเล็กตัวน้อยที่รอกินอาหารในมือ
รักแท้มองแผ่นหลังของคนเป็นพ่อนิ่ง แผ่นหลังของคนที่เขาต่อต้านตลอดมา แต่รักแท้ก็ไม่ใช่เด็กไม่รู้จักโตที่จะตั้งแง่ คว่ำบาตรกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของตน อย่างไรก็ต้องพูดกัน รับการดูแลที่จำเป็น ไม่อย่างนั้นป๊าจิณณ์คงลำบาก
"ถ้าไม่โทรไปท้าก็คงไม่กลับมาใช่ไหม"
รักแท้ไม่ตอบ แต่พูดไปอีกเรื่อง "เปลี่ยนคนงานใหม่ดีกว่านะครับ"
ดิษย์หันมอง คนงานคนนี้ที่จริงมีหน้าที่อื่น
"ทำไม"
"เขาปล่อยให้ผมเข้าบ้านง่ายเกินไป"
"ก็เขาเคยเห็นรัก และรู้ว่านั่นรถของคุณรักแท้"
"รถของผมแต่คนใต้หมวกกันน็อคอาจไม่ใช่ผม"
ดิษย์นิ่งไปนาน ในแววตามีความภูมิใจ "พ่อฝากจิณณ์กับน้องไว้กับรักได้แล้วใช่ไหม"
"ผมไม่รับฝาก คนที่เป็นของผมอยู่แล้ว"
"ประโยคนี้หมายความว่า ได้ ใช่ไหม" ดิษย์สนุกเสมอเมื่อได้คุยกับรักแท้
"อย่าตีความหมายเลยครับ ผมไม่รับฝาก ก็เท่านั้น"
ดิษย์พยักหน้า "งั้นเปลี่ยนเป็นขอบคุณก็แล้วกัน ที่ระวังหลังให้ในทุกอย่าง คอยระวังภาพของพ่อในสายตาของรักมั่น ขอบคุณที่โทรตามทุกครั้งที่ถึงวันเกิดไอ้ตัวเล็ก ทุกครั้งที่มันไม่สบายใจ ขอบคุณที่อยู่ข้างๆ มองน้ำตาของจิณณ์ในวันที่พ่อไม่อยู่"
รักแท้เงียบ เถียงไปก็เท่านั้น จะกลายเป็นแก้ตัวแก้ต่างเสียเปล่าๆ เขาแค่ทำเรื่องที่ควรทำ
"พ่อมีเรื่องจะบอกและเรื่องที่จะมาขออนุญาต"
"คุณดิษย์ต้องขออะไรจากผมหรือครับ" รักแท้อดเหยียดยิ้มไม่ได้
ดิษย์ปล่อยถ้อยคำเหน็บแนมให้ลอยผ่านหูไป "พ่อจะมาอยู่กับจิณณ์"
รักแท้ขมวดคิ้ว
"จากนี้จนกว่าจะแก่ตายกันไปน่ะ" ดิษย์ขยายความ
ตาของรักแท้กร้าวแสง "อย่าพูดอะไรง่ายๆทำให้คนตายเพราะความหวัง"
ดิษย์สบสายตาของรักแท้ "ถึงอยากคุยกับรักแท้ก่อนยังไงล่ะ คิดไว้แล้วว่าถ้าไม่ผ่านด่านของรักแท้ คงมาอยู่กับจิณณ์ไม่ได้"
รักแท้นิ่ง แต่ในใจนึกต่อต้านเต็มที่
"พ่อรักจิณณ์"
เขาได้ยินเสียงลูกชายทำเสียงบางอย่างในลำคอ แต่ดิษย์ยังคงพูดต่อไป
"จะยอมรับได้หรือเปล่าว่า มนุษย์ไม่ได้อ่อนโยนและขาวสะอาด
เราต่างเปรอะเปื้อนด้วยความเลวอะไรสักอย่าง ใช่ พ่อก็เป็นแบบนั้นแหละ
พ่อทำให้จิณณ์เสียใจและเหนี่ยวรั้งจิณณ์เอาไว้
เรื่องที่ไปไหนไม่ได้ นั่นพ่อจงใจ แต่เรื่องที่ทำให้จิณณ์เสียใจนั้นพ่อไม่ได้ตั้งใจ
น้ำตาของคนที่รักไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเลยสักนิด"
ดิษย์หยุด และทอดมองเข้าไปในตัวบ้าน เห็นจิณณ์กำลังจัดโต๊ะอาหาร โดยมีรักมั่นป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ
เขากลับมามองรักแท้ สบตาอย่างมั่นคง
"แต่พ่อหยุดเห็นแก่ตัวและปล่อยมือจิณณ์ไปไม่ได้จริงๆ
พ่อจะไม่ทำ ต่อให้โลกล่มสลาย ต่อให้อะไรก็ตามมาบังคับ"
"ทำไม?" รักแท้ถามเสียงเครียด
"เพราะจิณณ์คือความรักเดียวที่พ่อมี
ถ้ารอบตัวคือความหนาวเหน็บ จิณณ์คือความอบอุ่น
ถ้ารอบตัวคือความกดดัน จิณณ์คือความผ่อนคลาย
ถ้ารอบตัวคือสีดำ จิณณ์คือสีขาว
พ่อไม่สามารถปล่อยคนเพียงคนเดียวที่มีไปได้
พอจะเข้าใจความเห็นแก่ตัวของพ่อบ้างไหม"
รักแท้อึ้ง เขาไม่เข้าใจ อันที่จริงเขากำลังพยายามจะไม่เข้าใจ หรือทำเป็นไม่เข้าใจ แบบไหนก็ได้ที่แสดงว่าเขาจะไม่มีทางยอมรับเหตุผลแบบนี้ของดิษย์
"ลูกจะไม่เรียกความรู้สึกที่พ่อมี ว่าความรักก็ได้ ดูเหมือนพ่อเป็นผู้แข็งแรงและรังแกป๊าของรักแท้ แต่อันที่จริงแล้ว ในแก่นชั้นในสุดของความสัมพันธ์ จิณณ์ไม่ได้ตกเป็นรอง จิณณ์สำคัญที่สุดสำหรับพ่อ พ่อต่างหากที่ไปไหนจากจิณณ์ไม่ได้"
แต่เมื่อดิษย์ได้เริ่มต้นพูดแล้ว สิ่งที่อัดอั้นก็พรั่งพรูออกมา ความรู้สึกมากมายถูกระบายออกมากราวภาพบนแผ่นฟิล์ม
..........
ชีวิตของดิษย์ ได้รับการผลักและดัน วางกฏ กรอบ ทุกอย่างในชีวิตของดิษฐ์เข้มงวดและเคร่งครัด
เขาคือคนเดียวที่ต้องกุมบังเหียนแห่งอำนาจ นายแม่ฝากความหวังทุกอย่างไว้กับเขา
ธุรกิจของครอบครัว คือค่ายมวย ที่มองจากภายนอกไม่น่าจะเป็นการหารายได้ที่อ่อนไหว แต่อันที่จริงมันเป็นงานที่หาเงินจากการบริหารอำนาจ ต่อรอง และวิ่งเต้น
หน้าที่ของเขาคือ ต้องทะยานขึ้นไปให้สูง ถางทางเพื่อนำทุกคนเบื้องหลังขึ้นสู่ที่ปลอดภัย ไม่ต่างจากหน้าที่ของนายหมู่ในอดีตที่ฟาดฟันคนให้ล้มตายเพื่อดินแดนหรือเพื่อคนข้างหลัง
เมื่อก้าวขึ้นมาแล้ว เลิกล้มได้ยาก เพราะเขาจะไม่ตายเพียงคนเดียว
คนที่เล่นกับอำนาจก็เหมือนคนที่เต้นอยู่บนเปลวไฟ
ในสายตาของคนอื่นคงเห็นความยิ่งใหญ่ของดิษย์ มีทุกอย่างรายล้อม ลูกน้อง คนในอาณัติ นารี และโลกีย์
หลายอย่าง รวมถึงหลายคน เป็นสิ่งบรรณาการ ดิษย์รับของเหล่านั้นไว้ รวมถึงผู้หญิงบางคน
เรียกว่าแลกเปลี่ยนคงจะชัดเจนกว่า เพราะไม่มีอะไรที่ไม่มาพร้อมเงื่อนไข
ผู้หญิงบางคนส่งตัวเองมา บางคนถูกคนอื่นส่งมา
การดองกัน เป็นการผูกไมตรีโดยไม่เสียเลือดเนื้อ หญิงสาวคนอื่นๆก็มาด้วยเหตุนี้
ต่างมีสิ่งที่อยากได้
เอาสิ ดิษย์จะให้
อยากได้อะไรบ้างล่ะ
อยากให้เป็นผู้หญิงของเขาใช่ไหม ได้ ดิษย์นอนกับเธอ จากนั้นเป็นอะไร
อ่อ อยากได้พื้นที่ตรงนั้นไปดูแล ค่าคุ้มครองส่วนนั้นจะขอเก็บไว้เองไม่ส่งต่อ
ย่อมได้ แต่ถ้าใช้อะไรก็ต้องทำ เพราะต่อไปนี้ คนของครอบครัวเธอคือคนของดิษย์
ถ้าสั่ง
ต้องทำ
รวมถึงลูก
เขาไม่ให้พวกเธอเลี้ยง
อย่าเอาเด็กมาต่อรองกับเขา
เขาไม่ไว้ใจให้ใครเลี้ยงลูกของเขา นอกจากจิณณ์
เด็กที่ไม่ได้เกิดจากความรัก อย่างน้อยก็ไม่ควรโตมาท่ามกลาง ความกดดัน และความไม่รัก
คนแบบนั้น เขาคนเดียวก็พอแล้ว
จิณณ์จะเลี้ยงลูกของเขาได้ดีโดยได้เรียกร้องสิ่งใด
จิณณ์คนที่มีความรักที่มั่นคง จิณณ์คนที่มีหัวใจเข้มแข็งกว่าเขามาก
จิณณ์เติมเรี่ยวแรงให้เขาได้ในยามอ่อนล้า
ยามเหนื่อยที่สุด จึงอยากพบหน้า แล้วคว้าตัวมากอดไว้นิ่งๆ
จิณณ์เลี้ยงลูกของเขาได้ดีเกินคาด ลูกชายคนโตของเขาคือรักแท้ ส่วนคนเล็กคือรักมั่น เด็กสองคนที่ต่อมาคือแก้วตาดวงใจ คือคนสองคนที่เขาจะปกป้องไว้ ลูกที่จะปลอดภัยตราบใดที่เขายังอยู่
แม้ว่าลูกชายคนโตจะต่อต้านเขาเท่าไหร่ก็ตาม แต่ดิษย์กลับถูกใจในความพยศของรักแท้ ลูกชายคนนี้มีคุณสมบัติหลายอย่างที่เขาอยากจะมี เพียงแค่หวัง และรอว่าสักวัน รักแท้ที่พยศไปจนสุดทาง จะเข้าใจอะไรๆดีขึ้น
ส่วนรักมั่น เป็นลูกที่ถอดหัวใจของจิณณ์ออกมาไม่ผิดเพี้ยน หัวใจที่ยืดหยุ่น ทนทาน และมั่นคง ยิ้มรับในสิ่งที่มี
ดิษย์กับภรรยาแต่งงานกันด้วยเหตุผลทางการเมืองและธุรกิจ
"น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า" นายแม่ผู้อยู่หลังม่าน บอกเขาแบบนั้น นายแม่คนที่เขาไม่เคยขัดใจ
ภรรยาที่มาจากตระกูลที่มีอิทธิพล ไม่ชอบใจอย่างมากที่พบว่า เธอไม่ได้เป็นที่หนึ่งสำหรับเขา
เธอตามราวี เหล่าผู้หญิงของเขา
ส่งคนไป ตามวิถีนายผู้หญิงที่กุมอำนาจไว้
แต่เธอต้องไม่แตะจิณณ์
ร้านของจิณณ์ถูกเผา จึงถึงเวลาที่ดิษย์คนที่แสนสุภาพ ต้องทำให้ผู้หญิงที่รังแกคนของเขาต้องกลัวกันบ้าง
ภรรยาของเขาฉลาด
พูดกันเพียงครั้งเดียวก็รู้เรื่อง ที่แน่ๆเธอตระหนักแล้วว่า ถ้าดิษย์โกรธ อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
โรงงานของเธอเกิดเพลิงไหม้
ภรรยาของดิษย์จึงไม่เคยยุ่งกับจิณณ์และลูกของเขาอีกเลย ในข้อแม้ว่าเธอมีสิ่งที่จะขอเขาสามข้อ เป็นสิ่งที่เขาต้องให้เมื่อถึงเวลา
เงื่อนไขแบบนี้ไม่น่าไว้ใจเลย แต่ดิษย์ก็รับปาก ความเสี่ยงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นนี่นะ
หลายปีที่ผ่านมา ถือว่าดิษย์ประสบความสำเร็จมากแล้ว ในเส้นทางการเมืองและธุรกิจ เขาอายุมากขึ้นแล้ว สมควรรามือเสียที ควรให้เวลาที่เหลือกับจิณณ์และเจ้าสองรักของเขา
แต่การลงจากหลังเสือ ต้องวางเกมให้ดี
เขาเจรจากับภรรยาเมื่อสองสามวันก่อน อย่างที่บอก เธอฉลาดจนน่าชื่นชม ธุรกิจส่วนใหญ่จะเป็นของเธอ ส่วนเขาขอแค่คนบางส่วน และธุรกิจเล็กๆที่บ้านเกิด จังหวัดที่เขาเคยเป็น ส.ส. และปลูกรากวางบารมีจนมั่นคง
"หยกเตรียมใจมาตลอด ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง"
ดิษย์ทอดสายตามองภรรยาของเขา "ขอโทษที่ทำให้ชีวิตแต่งงานของคุณเป็นแบบนี้" อย่างน้อย เขาก็มองเธอเหมือนเพื่อนที่อยู่กันมานาน
ภรรยาของเขายักไหล่ เธอยังสวย แม้อายุจะมากขึ้น "แค่ขัดใจที่ไม่ได้ทั้งหมดน่ะค่ะ หยกรู้ดีว่าการแต่งงานของเรามันเกิดขึ้นเพราะอะไร ในเวลานั้นคุณดิษย์ก็เหมาะสมที่สุด การรวมกันของบ้านเราทั้งสอง ทำให้เราไม่ถูกปราบจนราบ"
เธอเป็นแบบนี้แหละ คุณหยกที่มีสัณชาตญาณของผู้นำ จะว่าไปเธอสนุกกับชีวิตแบบพุ่งไปข้างหน้ามากกว่าดิษย์เสียอีก
"แต่ค่ายมวย คงไม่เหมาะจะให้หยกออกหน้า" คุณหยก เจรจากับเขาอย่างใจเย็น
"คุณหยก คิดไว้ว่ายังไง" ภรรยาของเขาคงวางทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้ว
"เสียดายที่หยกไม่มีลูก ไม่อย่างนั้นหยกคงยกให้ลูกชายสักคนดูแล"
ดิษย์ยิ้มอย่างคนรู้ทันกัน แล้วรอคอยให้คุณหยกได้ต่อบทที่เธอเตรียมไว้
"หยกจะให้
'หลานชาย' เข้ามาดู"
"เขาจะยอมหรือ กิจการเขาก็มี และเท่าที่ผมรู้จักเขามาตั้งแต่เด็ก ท่าทางเหมือนสายลม ไม่เหมือนคนที่สนใจเรื่องพวกนี้"
"หยกเลี้ยงเขามา คิดว่าเขาทำได้ อีกอย่างหยกไม่ได้ให้เขาคุมงานทั้งหมด เพียงแต่อยากให้เข้ามาช่วยในส่วนที่หยกไม่เหมาะ" นั่นแปลว่าถึงอย่างไรคุณหยกก็ต้องได้อย่างที่ใจอยากได้
อันที่จริง
'หลานชาย' คนนี้ ดิษย์เองก็เห็นมาตั้งแต่เด็ก คุณหยกอุ้มเด็กตัวน้อยเข้าบ้าน หลังจากที่ได้ทราบว่าดิษย์มีลูกชายคนแรก คุณหยกบอกว่าเป็นลูกของพี่สาว ซึ่งเธอรักมากเป็นพิเศษ
ดิษย์รับรู้ข้อมูลนั้น เปรียบเทียบกับสิ่งที่รู้มาก่อนแล้ว
เอาล่ะ หลานชาย ก็คือ หลานชาย
ดิษย์เองก็มีจิณณ์ และลูก ถ้าคุณหยกจะมี 'หลานชาย' ก็ถือว่าเราเท่าเทียมกัน
หลานชายคนนี้ คุณหยกเลี้ยงมากับมือ วิ่งเล่นอยู่ในค่ายมวยตั้งแต่เด็ก คุ้นเคยและสนิทกับดิษย์ดี เพราะมันขี้อ้อน มีช่วงหลังที่ห่างกันไป ด้วยวัย และดิษย์หันไปใช้เวลาที่บ้านของจิณณ์มากขึ้น ยิ่งช่วงที่มีการเว้นวรรคทางการเมือง ดิษย์ยิ่งไม่ค่อยได้กลับมาที่บ้านบ่อยนัก
เด็กคนนี้ถูกใจดิษย์อยู่มาก เขามีชีวิตวัยเด็กคล้ายกับดิษย์ด้วยมีผู้หญิงที่เก่งยิ่งกว่าใครเลี้ยงมา เด็กชายจึงได้รับการคาดหวังต่างๆนาๆ ทำนายอนาคตของเด็กคนนี้ได้ไม่ยาก ว่าจะถูกปรุงแต่งให้เป็นอย่างไร
ดิษย์จึงเข้าใกล้เด็กชายตัวกระหร่องนั้นมากขึ้น แอบเปลี่ยนส่วนผสมนิดหน่อย สั่งสอนอะไรบางอย่าง จนได้ผลลัพท์เป็นที่น่าพอใจ
เด็กผู้ชายที่คล้ายบอบบางซ่อนอะไรไว้มากมาย
อย่างแรกที่เจ้าเด็กคนนั้นพิสูจน์ฝีมือให้เห็นคือ ร้านอาหาร ที่หน้ามึนและดื้อดึงทำให้มันเกิดขึ้นจนได้
ดูเหมือนเจ้าหลานชายพยายามขยับออกจากเงาปีกของคุณหยกทีละนิด
ดังนั้นเรื่องที่จะให้เจ้าเด็กคนนั้นมาดูค่ายมวย คงไม่ได้รับปากกันง่ายๆ
"ถ้าเขาจะรับไปทำ ผมก็ยินดี ติดตรงบุคลิกท่าทางของเขาเหมาะจะเป็นอย่างอื่นมากกว่าเจ้าของค่าย"
"นี่คือสิ่งแรกที่หยกจะขอคุณค่ะ"
ดิษย์หมุนปากกาในมือไปมา ยิ้มรับกับพรประการแรกที่หยกจะขอ
นี่เขากลายเป็นยักษ์จากตะเกียงไปตั้งแต่เมื่อไหร่
.........
ดิษย์เล่าเรื่องถึงตรงนี้ แล้วหยุดมองรักแท้
คนเป็นลูก คิ้วขมวดแน่น กรามขึ้นสันนูน ดวงตาระริกด้วยความรู้สึกสังหรณ์บางอย่างรุนแรง เรื่องที่ดิษย์จะพูดต่อไปนี้ มันต้องไม่ดีเอามากๆ
"ได้ข่าวว่าช่วงนี้ มีความรัก" ไม่ต้องแปลกใจหรอกที่ดิษย์จะส่งคนตามดูลูกชายของเขาเป็นครั้งคราว
"ไม่ใช่" รักแท้สวนแทบทันที
ดิษย์เลิกคิ้ว รอฟัง
"เราอยู่ด้วยกัน ก็แค่นั้น" รักแท้หงุดหงิดกับท่าทางล้อเลียนของดิษย์
"หนึ่งในนั้นไม่ธรรมดา ความจริงเท่าที่คนรายงานมา พ่อก็เห็นว่าคงจะไม่ธรรมดาทั้งคู่นั่นล่ะ" ที่ดิษย์ไม่ได้พูดออกไป คือตอนแรกที่ได้รับรายงาน เขาหัวเสียเอามากๆ และเกือบไม่ยอมรับว่าลูกชายของเขาจะมีความสัมพันธ์กับผู้ชายสองคนในเวลาเดียวกัน แต่จิณณ์กลับหัวเราะ ชี้หน้าเขาแล้วพูดแค่ว่า
"ลูกไม้นั้นหล่นใต้ต้น"
ได้ยินแบบนั้นเขาก็หัวเราะออกมา แต่หลังจากรู้ประวัติของคนที่รักแท้คบอยู่ ก็หยุดหัวเราะในทันที
"พ่อจะบอกอะไร" รักแท้เริ่มเก็บอาการไว้ไม่อยู่
แต่ดิษย์ยังใจเย็น "เรื่องที่พ่อจะขอ"
"ผมไม่ให้"
"ใจเย็นลูกชาย"
"พ่อจะทำให้ป๊ากับมั่นมีปัญหา พวกเขาจะเสียใจ และไม่ปลอดภัย"
ดิษย์ยิ้มอีกแล้ว รักแท้ทำให้เขาภูมิใจสองครั้งแล้วในหนึ่งวัน รักแท้ผู้แข็งกร้าวแท้จริงละเอียดอ่อน ปกป้องคนของเขาอย่างเต็มที่
ยังจะพยายามปฏิเสธอยู่อีกไหม ว่านี่ไม่ใช่ความรัก เจ้าลูกชายหัวแข็ง
มั่นใจได้เลยว่า คนตรงหน้าต้องปฏิเสธหัวชนฝา
ทั้งที่กำลังเผชิญกับความรักจากทุกทิศทางขนาดนี้รักของครอบครัว
รักของคนรักถึงสองคน
"คิดไว้แล้ว คงไม่ผ่านด่านของรักแท้ง่ายๆ ก็เลยมีเงื่อนไขมาเสนอ"
รักแท้กำมือแน่น เสียงในหัวของเขากระซิบเตือนให้ระวัง
นี่ไม่ใช่เรื่องดี แต่ยังไงก็ขอให้สิ่งที่เขาสงสัยนั้นไม่ใช่เรื่องจริง
ต้องไม่ใช่คนนั้น
ต้องไม่ใช่ขณะที่รักแท้กำลังคิดแบบนั้นอยู่
ดิษย์ก็หยิบมือถือขึ้นมา "อยากให้เห็นหลานชายของคุณหยก"
ต้องไม่ใช่ "พ่อเห็นเขาแต่เล็ก แต่ไม่เคยพามาเจอ เพราะคิดว่าไม่จำเป็นต้องรู้จักกัน แต่ว่า..."
มือของดิษย์เลื่อนไปที่ภาพของคนๆหนึ่ง
ผู้ชายผิวขาว แบบที่ไม่เคยโดนแดด ผมยาวถูกมัดไว้ลวกๆ ยิ้มสู้กล้องสดใส
"คิดเช่น"
--โปรดติดตามตอนต่อไป--
ตอนหน้าจะมาบอกเงื่อนไขค่ะ
หวังว่าจะไม่งง กับการตัดฉากแบบนี้ ตรงส่วนที่เป็นบทสนทนาของพ่อลูก แล้วตัดสลับกับโมโนล็อกในความทรงจำของคุณดิษย์น่ะค่ะ
หาก งง รบกวนบอก แต่ก็คงไม่แก้อยู่ดี เอ๋า
ขอบคุณที่อ่านค่ะ คิดอย่างไรรบกวนด้วยค่ะ
#เป็นเช่นรัก
@t o n s w i n d
ขอบคุณคุณ A_Narciso ที่ไปแนะนำเรื่องนี้ไว้ในกระทู้แนะนำนิยายนะคะ