“ถ้าหิวก็กินได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
น่าแปลกใจที่พฤทธิ์อนุญาตให้เด็กหนุ่มกินอาหารบนรถยนต์ได้ด้วยไม่มีข้อแม้ ทั้งที่ปกติแล้ว..ทั้งเพ็ญแขและฉลองขวัญต่างก็ไม่เคยกินอาหารและเครื่องดื่มในขณะที่อยู่บนรถโดยให้เหตุผลที่คล้าย ๆ กันว่าการรับประทานอาหารบนรถอาจส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์และเสียมารยาท เขาเองก็คิดแบบนั้น..จนกระทั่งเด็กหนุ่มข้างกายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่น ๆ
“คุณพฤทธิ์หิวไหมครับ” น้ำเสียงของหลงสั่นเล็กน้อย แต่เขาก็รวบรวมความกล้าเอ่ยถามคนที่ขับรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย
พฤทธิ์ละสายตาจากถนนเล็กน้อย แล้วพูดตอบ “ไม่หิวครับ”
เด็กหนุ่มนั่งกินอาหารจนกระทั่งใกล้ประตู้มหาวิทยาลัย อีกฝ่ายจึงเก็บเศษขยะใส่ถุงอย่างเรียบร้อยก่อนรถยนต์จะจอดบริเวณลานจอดที่อยู่ไม่ไกลอาคารเรียน
“ส่วนใหญ่เป็นงานเอกสาร ผมเกรงว่าจะทำงานคลาดเคลื่อนเลยขอแรงให้คุณช่วย” พฤทธิ์พูดพลางยิ้มบาง ๆ กับเหตุผลของตัวเอง เขาน่ะหรือที่จะทำงานผิดพลาด ทั้งที่ความจริง..ตั้งแต่ทำงานมา เขาแทบไม่เคยขอใครให้ช่วยงาน ไม่เคยผิดพลาด และที่สำคัญ..เขามั่นใจว่าไม่พลาด “ส่วนนี่เป็นเงินค่าขนม”
พฤทธิ์ยื่นซองที่ทำจากกระดาษสาสีแดงให้เด็กหนุ่ม ลวดลายบนผืนกระดาษใบน้อยเป็นรูปปลาสีทองกำลังแหวกว่ายในผืนน้ำ ซ่อนเร้นความหมายได้อย่างแนบเนียนไม่ให้ใครคนหนึ่งรู้ตัว
“ขอบคุณครับ” หลงยกมือไหว้ ก่อนจะเก็บซองใส่กระเป๋าอย่างเรียบร้อย
พวกเขาพูดคุยกันสักพักก่อนจะลงจากรถ แล้วเดินไปตามฟุตบาทที่เกลื่อนด้วยเศษใบไม้เล็ก ๆ เมื่อลมพัดผ่าน..ใบไม้ด้านบนก็ปลิดขั้วลงมากระจายเต็มพื้น ไม่ว่าคนงานจะกวาดเท่าใดก็ไม่หมดเสียที
บ่ายวันนั้น งานของคุณพฤทธิ์ไม่ใช่การจัดการเอกสารที่เคร่งเครียด แต่เป็นการจัดการเศษกระดาษ ทำความสะอาดห้อง และจัดของให้เป็นระเบียบตามที่ควรจะเป็น ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนั้นใช้เวลาร่วมสามชั่วโมง และส่วนใหญ่พฤทธิ์ทำมากกว่า เด็กหนุ่มช่วยจัดของเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
“อาจารย์มีเอกสารให้ผมช่วยคัดแยกอีกไหมครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามขณะจัดปากกาใส่กล่องพลาสติกที่อยู่มุมโต๊ะ
“ช่วยหยิบกระดาษทั้งหมดในลิ้นชักขวาบนสุดไว้บนโต๊ะหน่อยครับ” เขาสั่งหลง ก่อนจะกลับไปจัดการแฟ้มเอกสารในตู้ “คุณไปล้างมือ แล้วมานั่งรอในห้อง อีกสักครู่จะเสร็จแล้ว”
“ผมช่วยอะไรอีกไหมครับ”
“ไม่มีครับ” เจ้าของห้องจุดยิ้มบาง ๆ
เมื่อหลงออกไปจากห้อง เขาจึงหยิบเอกสารที่ให้อีกฝ่ายนำขึ้นมาวางใส่กระเป๋าและปิดมันลงอย่างเรียบร้อย อันที่จริง..ไม่มีส่วนใดไม่เรียบร้อยก่อนเปิดเทอม แต่พฤทธิ์ก็มีเหตุผลของเขา เหตุผลที่เข้าใจได้ไม่ยาก
หลงเข้ามารอในห้องแล้ว พฤทธิ์จึงออกไปล้างมือบ้าง ก่อนจะกลับเข้ามาหยิบกระเป๋าที่แน่นไปด้วยกระดาษ “กลับกันได้แล้ว”
“อาจารย์พฤทธิ์ครับ”
“ครับ” พฤทธิ์ชะงัก พลางมองเด็กหนุ่มที่ยืนตรงหน้า
“เดี๋ยวผมช่วยถือเอกสารครับ”
“ขอบคุณครับ แต่รบกวนหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาถือให้หน่อย ผมเกรงว่าจะเอากลับไปไม่หมด” มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไปรอหน้าประตูห้องที่เปิดอ้าไว้
“แผ่นเดียวหรือครับ”
“ครับ ถือแค่แผ่นเดียว”
“ผมน่าจะช่วยถืออันหนัก..”
“แค่แผ่นเดียวครับ”
ฤดูหนาวเป็นฤดูที่พระอาทิตย์ลาลับท้องฟ้าเร็วกว่าปกติ แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาห้าโมงเย็นเท่านั้น ทว่าด้านนอกกลับเริ่มมืดแล้ว ดวงไฟที่จะเปิดหลังหกโมงเย็นเปิดขึ้นก่อนเวลา ส่องแสงให้ความสว่างเรียงรายตามพื้นฟุตบาท โชคดีที่พฤทธิ์จอดรถไม่ไกล พวกเขาจึงไม่ต้องออกแรงเดินไกลมากนัก
“อาจารย์พฤทธิ์ นี่ก็ยังไม่เย็นมาก เดี๋ยวผมกลับบ้านเองได้ครับ” หลงพูดขึ้น แต่เมื่อเห็นคุณพฤทธิ์นิ่งไปก็เริ่มพูดต่อ “ส่งผมตรงป้ายรถเมล์ก็ได้ครับ”
พฤทธิ์หลุบตามองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าเข้มขึ้นเล็กน้อย “คุณคิดจริง ๆ หรือว่าผมชวนคุณมาเพื่อมาทำงานเอกสาร”
“แต่ในห้อง..” หลงอึกอัก เขารู้สึกว่าใบหน้าตัวเองใกล้จะไหม้เต็มที
“อันที่จริง..เอกสารพวกนั้นมีเวลาทั้งเทอมที่จะเก็บ” พฤทธิ์หลุบตามองเด็กหนุ่มที่ยืนตรงหน้า ทั้งที่อยากขยับเข้าไปใกล้ เอ่ยถามสิ่งที่คิดอย่างซื่อตรง แต่ที่แห่งนี้..เขาไม่สามารถทำอะไรตามใจได้เพราะตระหนักดีว่าเขาไม่ใช่คุณพฤทธิ์เหมือนที่อยากเป็น “ขอบคุณที่มาช่วยงานผม ผมขอเลี้ยงข้าวคุณตอบแทนนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
ในมหาวิทยาลัยแทบไม่มีรถวิ่ง แต่เมื่อออกสู่ถนนใหญ่ ความวุ่นวายปรากฏ รถราวิ่งเต็มถนน กว่าจะถึงสี่แยกข้างหน้าก็ใช้เวลาร่วมสิบนาที
“อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”
อีกครั้งที่เด็กหนุ่มต้องใช้สมองอย่างหนัก ตอนอยู่บ้านเก่าก็ไม่มีโอกาสออกมากินอาหารข้างนอกมากนักเพราะปัญหาในครอบครัว ตอนย้ายมาอยู่บ้านใหม่ก็แทบไม่เคยออกไปกินข้าวกับใครเพราะไม่ค่อยมีเพื่อนรุ่นเดียวกัน ส่วนคนในบ้านก็ชื่นชอบรสมือของป้ากิ่งมากกว่า “แล้วแต่คุณพฤทธิ์เลยครับ ผมไม่ค่อยออกจากบ้านเลยไม่ค่อยรู้ว่าร้านไหนอร่อย”
“ตรงหัวมุมถนนมีร้านอาหารไทยอยู่ ผมเองก็ไม่เคยลอง เราน่าจะไปลองครั้งแรกด้วยกัน”
ร้านอาหารที่ถูกกล่าวถึงเป็นบ้านเก่าที่ถูกซื้อมาปรับปรุงเป็นร้านอาหารไทยดั้งเดิม ซึ่งมีเพียงสองชั้นเท่านั้น ด้านในเป็นบริเวณจัดเลี้ยงและรับประทานอาหาร ส่วนด้านนอกเป็นที่นั่งสำหรับดื่มชาและของหวานเท่านั้น บริเวณร้านตกแต่งด้วยไฟดวงเล็กและให้ความสว่างอย่างนิ่มนวล พร้อมด้วยการจัดสวนอย่างร่มรื่นและประดับด้วยน้ำพุขนาดใหญ่ตรงกลาง
“อยากกินอะไรก็สั่งได้เลย”
เด็กหนุ่มพลิกเมนูไปมาพลางมองราคาด้วยความตกใจ อันที่จริงเขาแทบไม่ได้หยิบจับอะไรเป็นชิ้นเป็นอันด้วยซ้ำ การพามาเลี้ยงอาหารไทยราคาแพงเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่คาดฝันเกินไปมาก
“มีอะไรแนะนำไหมครับ”
“หมูกรอบท่านสมุห์กับน้ำพริกเผาปรุง และแกงเขียวหวานอกเป็ดย่าง แต่ถ้าคุณผู้ชายชอบอาหารทะเล ทางร้านอยากจะแนะนำแกงระแวงเนื้อปูทะเลครับ”
พฤทธิ์สั่งอาหารเพิ่มอีกสองสามอย่าง และเมื่อบริกรเดินออกไป เขาจึงหันมาถามเด็กหนุ่มที่นั่งตัวเกร็งด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “หลง”
“ครับ”
“ผมอยากพาคุณออกมาข้างนอก แต่การออกมาทำงานน่าจะเป็นเหตุผลที่ดีระดับหนึ่ง”
“คุณพฤทธิ์แค่ส่งข้อความมาก็ได้” หลงพูดเสียงเบา “ผมไม่อยากให้คุณพฤทธิ์ขับรถไกล ๆ”
เขาแสร้งหยิบน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม พลางมองใบหน้าน่าเอ็นดูที่ก้มต่ำเล็กน้อย อาจจะเพราะไฟที่นี่ละมุนเกินไป อีกฝ่ายจะดูน่ามองกว่าปกติ “ผมเองก็ไม่อยากให้คุณเดินทางลำบากเหมือนกัน”
พวกเขานั่งรออาหารเงียบ ๆ หากเป็นเมื่อก่อนพฤทธิ์คงไม่พอใจและหลงเองก็คงทนกับบรรยากาศที่ชวนอึดอัดแบบนั้นไม่ได้ แต่ในตอนนี้..ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป ความรู้สึกใหม่เข้ามาทดแทน เป็นความเงียบที่ชวนซ่านในใจ เป็นความแปลกใหม่ที่หาจากใครไม่ได้
“เทอมหน้าไม่มีวิชาไหนที่ผมสอน”
“ไม่มีครับ”
“แสดงว่าเราคงเจอกันน้อยลง” พฤทธิ์ทอดมองใบหน้าเด็กหนุ่ม ในระยะขนาดนี้..ดวงตาที่ฉายแววดื้อรั้นเล็ก ๆ กำลังสบมองมาอย่างใคร่รู้ทว่าเขินอายอยู่ในที “แต่ถ้าเราว่างตรงกัน ผมก็อยากให้คุณได้กินอาหารดี ๆ”
“ขอบคุณครับคุณพฤทธิ์”
พฤทธิ์ตักอาหารที่ได้รับจานแรกให้เขา “น่าจะอร่อยนะ”
พระจันทร์ดวงน้อยประดับบนผืนฟ้าสีเข้ม แสงสีนวลเรืองรองอย่างอ่อนโยน ในขณะเดียวกันเสียงรถยนต์ข้างนอกก็เบาลง เสียงพูดคุยในร้านอาหารก็เงียบลงเหลือเพียงเสียงซุบซิบอย่างมีมารยาท เมื่อพฤทธิ์หลุบมองนาฬิกาข้อมือ..มันบอกเวลาว่าร้านใกล้ปิดแล้ว คนเริ่มทยอยออก เสียงร้องเท้ากระทบพื้นเลือนหาย กลายเป็นพวกเขาคู่สุดท้ายที่เดินออกมา กระนั้นด้านล่างก็เหลือเพียงบริเวณบาร์เครื่องดื่มที่ยังมีคนนั่งจิบอย่างใจเย็น
“หลงอยากกลับบ้านหรือเปล่า”
พวกเขาเดินออกมาไปยังลานจอดรถยนต์ที่อยู่ข้างหลังร้าน เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นเป็นระยะ รถยนต์คันแล้วคันเล่าค่อยเคลื่อนขับออกจากลานที่สร้างอย่างประณีต
“ถ้าคืนนี้อยากกลับไป ผมยินดีจะขับรถไปโดยไม่มีข้อแม้”
เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างเนิบนาบ กระนั้นคนฟังกลับรู้สึกอยากกบฏต่อความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมา “คุณพฤทธิ์อนุญาตให้ผมค้างด้วยสักคืนหรือเปล่าครับ”
“ผมคงต้องโทรศัพท์บอกคนที่บ้านคุณให้รู้ว่าคุณอยู่ในความรับผิดชอบของผมแล้ว” พฤทธิ์เงียบไปสักพัก “นะครับ”
พฤทธิ์ติดต่อไปหาคุณวุฒิทันทีเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะรอเด็กหนุ่มจนดึกเกินไป “ขอโทษที่รบกวนครับ”
‘อานึกว่าจะกลับมานอนเสียอีก’ ปลายสายตอบอย่างสบาย ๆ ในขณะเดียวกันก็มีเสียงข่าวภาคค่ำและเสียงของกรณ์ที่แทรกเข้ามา ‘คุณพ่อ!’
“คืนนี้คงดึกเกินไป พรุ่งนี้ผมจะไปส่งหลงที่บ้านนะครับ”
‘รบกวนด้วยนะคุณพฤทธิ์’
“ขอบคุณครับ”
รถยนต์แล่นออกไปยังถนนที่เงียบสงบ ในห้องโดยสารก็เช่นเดียวกัน..ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
หลงไม่คิดไม่ฝันว่าเขาจะได้นั่งข้างผู้ชายคนนี้ ทั้งที่ตอนแรกพวกเขาไม่เคยถูกกัน หมางเมินกันราวกับคนแปลกหน้า จากที่เคยคิดว่าเขาไม่มีทางได้ครอบครองความสมบูรณ์แบบ แต่แล้ว..หลงก็ได้เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เคยเห็น เสี้ยวหน้าของพฤทธิ์มีเสน่ห์ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ทำให้หัวใจเต้นรัวคล้ายความรู้สึกตอนเปิดห่อของขวัญ เสื้อเชิ้ตที่อีกฝ่ายสวมใส่เป็นประจำกลายเป็นเสื้อยืดสีขาวเนื้อหนาพอดีตัว กางเกงสีดำทรงตรงถูกแทนที่ด้วยกางเกงยีนส์สีซีดและรองเท้าหุ้มส้นเรียบ ๆ
เมื่อก่อนหลงต้องคอยแอบมอง คอยสังเกต จนตอนนี้เขาก็ยังไม่กล้าหันมองตรง ๆ ยิ่งมองหลงยิ่งคิดว่าเป็นความฝัน โดยเฉพาะท่าทางผ่อนคลายและรอยยิ้มเรียบ ๆ ที่ไม่หวือหวา
“มองอะไร” เจ้าของเสียงทุ้มต่ำถามขึ้นขณะสายตายังไม่ละจากถนน
“เปล่าครับ” หลงรีบตอบ
“เห็นอยู่ว่าคุณกำลังมองผม” ท่าทางของเด็กหนุ่มฟ้องออกมาอย่างชัดเจน
หลงเม้มปาก ไม่ยอมพูดอะไรร่วมนาที ไม่นานเขาก็โต้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบา ๆ “คุณพฤทธิ์จะมองเห็นได้อย่างไรในเมื่อขับรถอยู่”
“ผมมองอยู่ครับ แต่คุณแค่ไม่รู้ตัว”
เด็กหนุ่มรีบหันหน้าออกไปมองข้างถนนทันที..
เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว หลงยืนอยู่หน้าห้องเดิมที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาสมาอีกครั้ง ทว่าในตอนนี้..เจ้าของห้องกลับเปิดประตูให้เขาก้าวเข้ามาด้วยท่าทางนุ่มนวล “เชิญครับ”
ปลายเท้าขยับเข้ามาภายในห้องที่แบ่งเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน พื้นกระเบื้องมันวาวทอดยาวไปยังโซฟารับแขกที่ตั้งหน้าโทรทัศน์ขนาดใหญ่ ในห้องนี้..แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยกเว้นพวกเขาสองคนที่ไม่เหมือนเดิม
เจ้าของห้องหายเข้าไปจัดการอะไรบางอย่าง ก่อนจะเดินออกมาพร้อมเสื้อและกางเกงตัวใหม่ “เสื้อกับกางเกงตัวนี้ผมไม่เคยใส่ แต่ซักไว้เรียบร้อยแล้ว”
“ขอบคุณครับ” หลงยกมือไหว้คนตรงหน้าแล้วยื่นไปรับชุดนอน เขาอยากเอ่ยขอชุดชั้นในเพิ่ม แต่ก็ตระหนักได้ว่า..ใครกันจะให้ยืมชุดชั้นใน ไม่มีเสียหรอก “ผมขอซักผ้าด้วยนะครับ”
“เครื่องซักและอบผ้าอยู่ตรงนี้” เจ้าของห้องเดินนำมาทางห้องครัวที่มีประตูกระจกบานใหญ่กั้นระหว่างห้องซักล้างและห้องประกอบอาหาร
หลงมองบริเวณห้องสักพัก ด้านในเต็มไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทั้งผ้าขนหนูขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม และน้ำยาฆ่าเชื้อสำหรับเสื้อผ้า ทุกอย่างเป็นความแปลกใหม่ เป็นสิ่งที่หลงไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นห้องซักล้างที่เพียบพร้อมเช่นนี้
เด็กหนุ่มยืนนิ่งสักพัก ใบหน้าแจ้งชัดว่าเต็มไปด้วยคำถามและความไม่มั่นใจ “คุณพฤทธิ์ ผมเคยแต่ซักมือ..ช่วยสอนผมหน่อยนะครับ”
พฤทธิ์จุดยิ้มจาง ๆ “ผมคงต้องยืนตรงนี้จนกว่าทุกอย่างจะเสร็จ”
สุดท้ายแล้วคนที่ลงมือจัดการทุกอย่างเป็นส่วนใหญ่คือคุณพฤทธิ์ ส่วนหลงได้แต่ยืนทำมองตาปริบ ๆ เพราะปุ่มต่าง ๆ ที่อยู่บนตัวเครื่องชวนให้เขาสับสนเหลือเกิน แม้จะอยากยื่นมืออกไปช่วย แต่ความคิดหนึ่งเขาก็ไม่อยากทำลายข้าวของของคุณพฤทธิ์เช่นกัน
เจ้าของห้องอธิบายวิธีการใช้อย่างใจเย็นและละเอียด เมื่อนำชุดที่ใส่เข้าเครื่องซักผ้า อุปกรณ์ดังกล่าวก็เริ่มทำงาน เสียงของมันไม่ดังและไม่เบาจนเกินไป กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ขยับไหน
“หลง” พฤทธิ์เรียกเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ผมอยากให้คุณรู้ไว้..”
“ครับ”
“ถ้ากลับดึก..มานอนที่นี่ได้ ไม่ต้องเกรงใจ ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมเต็มใจมาก”
เพราะต้องรอซักผ้าและอบผ้า พวกเขาจึงนั่งดูข่าวภาคดึกรอ ความเงียบและความสงบอบอวลในบรรยากาศ ไร้ความอึดอัดและห่างเหินราวกับเมฆครึ้มที่เคยขมวดในใจจางหายไปแล้ว
“อยากรู้อะไรครับ” พฤทธิ์หรี่เสียงโทรทัศน์ก่อนหันมาทางหลงที่นั่งกุมมือเงียบ ๆ “ผมยินดีตอบคุณทุกคำถาม ถ้าทำให้คุณรู้สึกสบายใจ”
หลงครุ่นคิด เขามีคำถาม แต่ไม่กล้าถาม ทว่าความอยากรู้และกระจ่างใจผลักดันให้เอ่ยปากอย่างไม่ลังเล “ที่คุณพฤทธิ์คุยกันเมื่อเช้า..”
ฝ่ามือของพฤทธิ์กุมมือเด็กหนุ่มไว้มั่น “ผมเลิกกับฉลองขวัญเป็นเรื่องจริง และผมไม่อยากให้คุณคิดว่ามันเป็นความสับสน”
เด็กหนุ่มไม่พูดอะไร ในขณะที่อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้จนผิวเนื้อสัมผัสกัน
“ผมมีข้อบกพร่องขนาดไหนถึงทำให้คุณไม่มั่นใจได้ขนาดนี้”
“กับอาจารย์ฉลองขวัญ..”
“ผมไม่อยากให้ใครต้องผิดหวัง แต่กว่าจะยอมรับกันได้ต้องใช้เวลา” พฤทธิ์เงียบ เขาเคยอยู่ในช่วงที่สับสน คิดไม่ตกถึงความสัมพันธ์ที่คลุมเครือทว่าหอมหวาน “กับคุณแม่..ผมอยากตัดสินใจด้วยตัวเองบ้าง”
“ผมไม่อยากให้คุณพฤทธิ์รู้สึกผิด”
“อย่ากังวล ผมจะรับผิดทั้งคุณและผมเป็นอย่างดี”
ริมฝีปากอุ่นแตะหน้าผากเด็กหนุ่ม ในขณะที่เสียงเตือนจากเครื่องซักผ้าดังขึ้น
“ผมอยากทำมากกว่านี้ แต่เราคงต้องไปจัดการเสื้อผ้าสำหรับพรุ่งนี้ก่อน”
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๒ นะคะ (พิมพ์ตอนอีก ๑๕ นาทีจะปี ๒๕๖๒ ค่ะ
)
ตั้งใจพิมพ์นิยายเพื่อให้ได้ลงวันนี้ ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้เรื่องนี้มาตลอดหลายปี ปีต่อไปยังคงเขียนซ่อนรักอยู่และคาดหวังว่าจะเขียนจบในปี ๒๕๖๒ ให้ได้ค่ะ เพราะเรื่องนี้เขียนมาตั้งแต่เรียนปริญญาตรี จนตอนนี้จบมาแล้วยังเขียนไม่จบสักที
อีกเรื่องที่จะแจ้งค่ะว่าเพิ่งสังเกตตอนที่แล้ว จริง ๆ เป็นตอนที่ ๑๙ แต่หัวเรื่องไม่ได้แก้จึงเป็นตอนที่ ๑๘ สรุปแล้วแก้เฉพาะวันที่ที่ลงนิยายเท่านั้นค่ะ
แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ
Fanpage:
https://www.facebook.com/AUTHOR.ELLETTE/