10
พาไปขาย!!!
ผมสัมผัสได้ถึงแสงสว่างของแดดยามเช้าที่กระทบลงมาที่ใบหน้า... สัมผัสได้ถึงที่นอนนุ่มๆ และอุณหภูมิต่ำคล้ายอยู่ในห้องแอร์
เอ๊ะ... แต่เมื่อคืนเรานอนที่บ้านโกโรโกโสของเบย์ไม่ใช่เหรอ?
ผมลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือและลุกขึ้นนั่ง แต่พอได้เห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวก็ตาสว่างทันที
ภาพที่แจ้งแก่ตาเบื้องหน้าเป็นห้องชุดคอนโดใหม่เอี่ยม ตกแต่งเรียบง่ายแต่ดูดีสไตล์โมเดิร์นเน้นสีขาวกับครีม ผนังห้องด้านหนึ่งเป็นกระจกสามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองหลวงเบื้องล่างได้กว้างไกลสุดลูกตา คาดว่าน่าจะอยู่ไม่ต่ำกว่าชั้นสามสิบ จากนั้นก็ก้มมองดูตัวเอง
เดี๋ยวนะ ทำไมผมนอนแผ่อยู่บนเตียงขนาดคิงไซส์ในสภาพสวมกางเกงบ็อกเซอร์แค่ตัวเดียว!
ไม่ใช่ละ... ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ
ผมลุกจากเตียงด้วยหัวใจเต้นรัวผิดปกติ เจอสมุดโน้ตและหนังสือวางอยู่โต๊ะข้างเตียงหลายเล่ม ทุกเล่มล้วนเป็นภาษาอังกฤษ เจ้าของห้องไม่น่าจะใช่คนไทย แต่เท่านั้นยังไม่สามารถสรุปได้ ผมจึงสำรวจข้างของเครื่องใช้ต่างๆ ในห้อง
ที่โต๊ะเครื่องแป้งมีแต่เครื่องสำอางแพงๆ วางเต็มไปหมด ราคารวมกันน่าจะซื้อข้าวกินได้ทั้งปีสำหรับผม ถัดไปเป็นตู้เสื้อผ้า เปิดดูข้างในก็เป็นอย่างที่คิด มีแต่เสื้อผ้าแบรนด์เนมสุดหรูทุกชิ้น ส่วนมากเป็นชุดสูท เสื้อเชิ้ต สีพื้นๆ สไตล์วัยทำงาน คนใส่น่าจะมีวุฒิภาวะพอสมควร ไม่น่าใช่วัยรุ่นวัยเรา...
หรือจะเป็นลูกค้า!!!หน็อยมึง... ไอ้หนวดชั่ว ไอ้ตัวเหี้ย! อุตส่าห์ยอมให้เอาเมื่อคืนแท้ๆ แม่งพากูมาขายทิ้งเฉยๆ ไม่คิดจะบอกลากันสักคำรึไงวะ!!!
โกรธเป็นฟืนไฟได้แป๊บเดียวก็มีเสียงซู่ซ่าดังมาจากห้องน้ำผสานกับเสียงฮัมเพลงเบาๆ ทำเอาสะดุ้งเฮือก
เจ้าของห้อง ผมรีบเดินไปที่ประตูห้องด้วยฝีเท้าว่องไวและเงียบกริบ และในตอนนั้นเองประตูห้องน้ำก็เปิดออกพอดี
“What are you doing?”
เสียงใหญ่ทุ้มของเจ้าของห้องดังขึ้นที่ข้างหลัง ผมตัวแข็งทื่อเหมือนถูกคำสาปทันใด
ไม่นะ อีกแค่สามก้าวจะถึงประตูแล้ว!
“โอ๊ย!!!”
เขากระชากผมจากด้านหลังลากกลับไปที่เตียงอย่างรุนแรงก่อนที่ผมจะได้แตะลูกบิดประตูด้วยซ้ำ ผมพยายามจะหนีแต่เขากดไหล่ตรึงกับเตียงแน่นและนอนคร่อมอยู่เหนือร่าง ในตอนนั้นเองผมจึงได้เห็นหน้าเขาชัดๆ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ผิดคาดอย่างมหาศาล
ทีแรกนึกว่าจะเป็นเศรษฐีเฒ่าหน้าตาหื่นกาม แต่ที่ไหนได้กลับเป็นชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับผมนี่เอง
เขามีผมสีไอซ์บลอนด์เปียกหมาดๆ จนน้ำหยดใส่หน้าผมติ๋งๆ คิ้วเข้มหนาแลดูดุดัน ดวงตาคมทรงพลังเหมือนเหยี่ยว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเป็นสันสวยงาม ใบหน้าเรียวได้รูป ผิวขาวสะอาดหมดจด รูปร่างสูงใหญ่มีกล้ามมัดกำลังดี ที่ต้นแขนขวามีรอยสักรูปมังกร ดูเท่แบบแบดส์ๆ เขานุ่งผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียวพันไว้หลวมๆ แค่สะกิดนิดเดียวก็อาจหลุดได้
เห็นแล้วในหัวผมก็มีแต่คำว่าหล่อ หล่อมาก หล่อเหี้ยๆ หล่อฉิบหาย หล่อทำลายล้าง หล่อขนาดเทวดาทั้งสวรรค์ต้องร้องไห้เพราะรวมร่างกันแล้วยังหล่อไม่ถึงครึ่งของชายคนนี้
แต่...
“Damn you! Who the fuck are you! Get out of me! Let me go right now!” (ไอ้เหี้ย! มึงเป็นใครวะ! ออกไปจากตัวกู! ปล่อยกูเดี๋ยวนี้!)
ผมตะคอกใส่หน้ามันด้วยความโกรธจัด เพราะถึงยังไงมันก็เป็นลูกค้าบ้ากามที่ซื้อผมมาจากโจร จะหล่อแค่ไหนก็ให้อภัยไม่ได้
แต่มันกลับยิ้มให้ผมอย่างสบายใจ ราวกับคำด่านั้นไร้ความหมาย
“I bought you from the damn thief, so you’re mine” (ฉันซื้อนายมาจากไอ้โจรแล้ว เพราะงั้นนายก็เป็นของฉัน)
ไอ้ฝรั่งพูดอย่างไม่กระดากปาก แถมมีหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ด้วย
“But I’m not a whore! That fucking thief kidnapped me! Let me go right now!” (แต่กูไม่ใช่โสเภณี ไอ้โจรเหี้ยนั่นลักพาตัวกูมา ปล่อยกูไปเดี๋ยวนี้!!!)
ผมมองหน้ามันพร้อมกับน้ำตาซึมๆ ไอ้ฝรั่งไม่พูด แต่เลื่อนสายตาลงไปมองที่รอยสักตรงหน้าอกของผม เอียงคอเล็กน้อย แล้วก็ถามนอกเรื่อง
“What does it mean?” (นี่มันแปลว่าอะไร)
ถ้าบอกว่า
My husband is a thief (ผัวกูเป็นโจร) มันอาจโกรธไอ้โจรหนวดที่เอาของมือสองมาขายให้ (ที่จริงมือสามต่างหาก นับจากเฟลม) ดีไม่ดีผมอาจถูกฆ่าตายระบายแค้นเอาได้
“Freedom” ผมตอบ
ไอ้ฝรั่งเลิกคิ้วอย่างไม่แน่ใจ “Freedom?”
“Yes”
“So, let me taste your freedom” (งั้นขอฉันลิ้มรสอิสรภาพของนายหน่อยนะ) มันว่าแล้วก้มหน้าลงเลียที่รอยสักนั้น เริ่มจากอักษรตัวแรกที่อยู่ตรงยอดอกพอดี สัมผัสชื้นๆ อุ่นๆ จากลิ้นของมันทำเอาผมขนลุกซู่
ฉิบหาย! อย่าเพิ่งเคลิ้มสิแสงเทียน หาทางหนีให้ได้เร็ว!!!
เหมือนมันรู้ว่าผมต่อต้าน เลยใช้ไม้แข็ง คือถอดผ้าขนหนูทิ้ง และถอดบ็อกเซอร์ของผมด้วยเหมือนกัน!
ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของมันและตัวเอง สภาพอย่างนี้ไม่สามารถหนีได้แล้ว
“Fuck you!!!” ผมตะโกนใส่หน้ามัน คำนี้ไม่จำเป็นต้องแปล
“Yeah, I’m going to fuck you” ไอ้ฝรั่งยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย ก่อนจะทั้งกัดทั้งงับคอผมเหมือนหมาบ้าเวลาติดสัด
เหี้ยแม่ง... ทำไมชีวิตกูถึงเฮงซวยได้ขนาดนี้ ไอ้โจรว่าเลวนรกไม่รับแล้ว ไอ้ลูกค้าเหี้ยนี่ยิ่งเลวกว่าสิบเท่า ทำไมกูต้องมาเจอคนชั่วๆ อย่างนี้ด้วยวะ! แม่งเอ๊ย! ชาติก่อนกูไปก่อกรรมทำเข็ญกับใครไว้นักหนา เคยเป็นพ่อเล้าหรือแมงดารึไง ชาตินี้เจ้ากรรมนายเวรแม่งเยอะจัง! บอกทีซิต้องทำยังไง ทำบุญร้อยวัด ล้างป่าช้าร้อยแห่งเลยไหมถึงจะหาย!?
ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตจะมาถึงจุดนี้ จากคนธรรมดา เรียนหนังสือ มีแฟน อยู่ห้องเช่า ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่เคยมีปัญหาใดๆ แต่แค่คืนเดียวที่เปิดประตูให้ไอ้โจรหน้าขนฉวยโอกาสย่องเข้ามา ชีวิตก็พลิกผันไปคนละด้านจากหน้ามือเป็นส้นตีน
ให้ตาย...ผมจะเล่าให้คนอื่นฟังยังไงถ้ากลับออกไปสู่โลกภายนอกได้แล้ว? เป็นเมียโจรเสร็จแล้วก็โดนขายทอดตลาดงี้เหรอ? ไอ้เหี้ยสกปรกยิ่งกว่ากะหรี่ ใครที่ไหนจะรับได้วะ ต่อให้เป็นพ่อแม่ของผมแท้ๆ ก็คงลำบากใจบวกขายขี้หน้าไปจนตาย ไม่ต้องพูดถึงอนาคตเลย ไม่มีวันได้เจอรักแท้แน่ๆ หน้าที่การงานดีๆ ก็คงไม่มีวันได้ทำกับเขา เพราะแค่เสิร์ชชื่อผมในกูเกิ้ล ก็คงมีแต่คนขยะแขยง
แม่ง...แค่คิดก็เสียใจจนอยากตายมันซะเดี๋ยวนี้
เพราะมึงคนเดียว ไอ้เหี้ยโจรอู๋ มึงทำให้ชีวิตกูพังยับเยิน... ขอให้มึงโดนตำรวจจับหรือไม่ก็ถูกฆ่าตาย ขอให้ชีวิตมึงพินาศยิ่งกว่ากู ตกนรกไปก็ขอให้โดนลงโทษสิบล้านโกฏิปี เกิดแล้วก็ตายแล้วก็เกิดแล้วก็ตายวนอยู่อย่างนั้นเหมือนหนอนในกองขี้ ไม่มีวันได้ผุดได้เกิด “ทำหน้าอย่างนั้น กำลังแช่งใครอยู่เหรอ”
“...ฮึ” ผมเบิกตากว้างมองหน้าไอ้ฝรั่ง
เมื่อกี้มันพูดภาษาไทย!!! “แกล้งเล่นนิดเดียวเอง ถึงกับร้องไห้เลยอ่อ โอ๋ๆๆ ขวัญเอยขวัญมา”
ไอ้ฝรั่งว่าแล้วลูบหัวผมหนึ่งที
เท่านั้นแหละ!
“ไอ้สัดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!” “จุ๊ๆ ไม่เอาๆ ด่าผัวเป็นบาปนะ”
มันเอามือปิดปากผมพร้อมกับยิ้มทะเล้นทะลึ่ง แต่ผมไฟลุกจนแทบจะเผาตึกได้แล้ว!!!
“อื้อๆๆๆ!!!” ผมแกะมือมันออกจากปากก่อนจะด่ารัวๆ “ไอ้สัดจัญไร! ไอ้เหี้ย! ไอ้ดอก! มึงหลอกกู! ไอ้...! โว้ยยยยยย!!!”
ไอ้ชั่วหัวเราะแล้วจูบปากผมหนึ่งทีอย่างหน้าด้านๆ
“ไม่เอาน่า ดีใจที่เป็นข้าก็บอกมาตรงๆ”
ผมไม่พูดแต่ชกหมัดใส่หน้าขาวๆ ของมันเต็มแรงแล้วมุดตัวใต้ผ้าห่มด้วยความอับอายเกินบรรยาย ถ้าเอาน้ำแข็งมาวางบนตัวผมตอนนี้ก็คงระเหยเป็นไอแทบจะทันทีเลยมั้ง แม่งร้อนไปหมดทั้งตัวแล้ว ฮืออออ!!!
“...เขินแล้วแรงเยอะจังนะ”
ไอ้เลวลูบแก้มตัวเองอย่างเจ็บแสบ ก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆ แล้วกอดผมจากด้านหลังเอาคางเกยไหล่ แต่ผมถีบหว่างขาของมันอย่างไม่ปราณี จนมันถอยห่างออกไปพร้อมกับพวงไข่ที่บอบช้ำ
“ทำร้ายกันทำไมฮะ!”
“มึงมันชั่ว!”
“ชั่วที่ไหน อุตส่าห์ไม่เอาไปขายแล้วแท้ๆ!”
“หุบปาก ไม่อยากฟังโว้ย!”
“ลงทุนโกนหนวดสุดที่รักแล้วด้วยนะ รู้มั้ยกว่าจะทำใจโกนได้ตั้งหลายชั่วโมง ไหนจะย้อมสีผมอีก เค้ายังไม่หล่อโดนใจตัวเองอีกเหรอ?”
“ชะ... ช่างหัวมึง!”
ผมขดตัวเองเป็นก้อนกลมในผ้าห่มเหมือนดักแด้ แม้จะร้อนแต่ไม่ยอมให้ไอ้เวรนั่นเห็นตัวหรอก เดี๋ยวมันรู้ว่าผมกำลังเขิน
เออ ผมยอมรับก็ได้ว่าดีใจที่เป็นมัน ไม่ใช่ลูกค้าบ้ากามจริงๆ แต่ก็โกรธมากด้วย เล่นอะไรโคตรไม่เข้าท่า!
“เทียนจ๋า” มันสะกิดหลังผมนอกผ้าห่ม
“อย่าเรียกอย่างนั้นนะ!!” ผมตะคอก
“ทำไม พูดหวานๆ ไม่ชอบเหรอ”
“อือ พูดโหดๆ แบบเดิมเถอะ ขอร้องล่ะ”
ไม่ใช่อะไรหรอก มันน่ารักเกินไป ผมกลัวจะใจอ่อนซะก่อน แค่ใบหน้าหล่อพินาศวอดวายที่แท้จริงของมันก็ทำให้ผมเขินจะแย่แล้วที่นอนข้างตัวผมทรุดลง ไอ้นรกนั่นคงนอนข้างๆ ไม่ห่างกัน (แต่ไม่เข้ามาแตะตัวผม)
“ทำไมถึงไม่ขายกูล่ะ ไหนขู่นักขู่หนา” ผมถามอย่างค้างคาใจ
หมอนั่นเงียบไปพักหนึ่ง กว่าจะตอบ
“ก็ไม่อยากขายแล้วไง”
“...”
“เมียใคร ใครก็หวงป้ะ”“...”
พูดเสร็จแล้วมันก็บังอาจสวมกอดผมอีกครั้งด้วยแขนข้างเดียว อีกข้างกุมเป้า ดีที่มีผ้าห่มคลุมตัวไว้ เพราะผมไม่อยากให้มันเห็นจริงๆ ว่าผมยิ้มจนแก้มจะแตกอยู่แล้ว... บ้าเอ๊ย!
ร้านเดลิเวอรี่
วันนี้ค่อนข้างวุ่นวายเพราะเป็นวันเสาร์ พนักงานอย่างเคฟก็รับออเดอร์กันแบบไม่ได้พักหายใจหายคอ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น มิจฉาชีพในร่างคนธรรมดาก็ยังสอดส่องหา ‘เป้าหมาย’ เหมือนอย่างเคย เขารู้ว่าวันเสาร์เป็นวันที่คนใช้เงินเยอะที่สุดในรอบสัปดาห์ ทำให้เขาสามารถมองหาคนรวยได้จากกลุ่มลูกค้านั่นเอง
และเคฟคิดว่าเขาเจอแล้ว
“ป๊าฮะ เพชรอยากกินถาดใหญ่”
“เยอะไปไหมลูก จะกินหมดเหรอ”
“ไหนป๊าบอกวันนี้จะตามใจเพชรไง”
“ก็ได้ๆ แต่ต้องซื้อไปกินที่บ้านนะ”
“คร้าบ เย้ๆ ป๊าใจดีที่สุด”
มีพ่อลูกคู่หนึ่งมาต่อแถวที่เคาน์เตอร์ช่องของเคฟ ลูกชายเป็นเด็กอายุประมาณสิบสี่สิบห้า หน้าตาดี ผิวสีแทน แต่งกายเนี้ยบสไตล์คุณชาย บุคลิกร่าเริงสดใส ส่วนพ่อเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อ ขาว ใส รวยออร่า เดาอายุไม่ถูก แต่วัดจากอายุลูกแล้วคงไม่ต่ำกว่าสามสิบห้า แต่งกายด้วยเสื้อผ้ายี่ห้อหรูตั้งแต่หัวยันเท้า สวมแหวนเพชรเม็ดใหญ่เป้งส่องประกายวิบวับขับรัศมีให้ยิ่งเจิดจรัส บุคลิกดีแบบคนมีชาติตระกูลสูงส่ง... ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเศรษฐี นอกจากนี้ยังมีรังสีความ ‘เป็น’ เจืออยู่ด้วย ไม่แน่ว่าที่มากับลูกสองคน อาจเพราะไม่มีเมีย หย่าเมีย เนื่องจาก ‘เป็น’ ก็ได้ แม้เคฟจะไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่ไม่ลองก็ไม่รู้
ล็อคเป้าหมาย เอาคนนี้แหละ
เริ่มแผนที่หนึ่ง... ใช้ความหล่อเป็นอาวุธ “สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ”
เคฟถามพร้อมกับยิ้มหวานแบบที่เขาทำกับเป้าหมายบ่อยๆ ไม่ว่าชายหรือหญิง เป็นการโปรยเสน่ห์และทดสอบไปในตัว หากอีกฝ่ายแสดงท่าทีสนใจ เขาก็จะรุกคืบต่อ แต่หากไม่... อย่างน้อยลูกค้าก็ได้รับความประทับใจในการบริการอันดีงามของเขากลับไปแทน
เมื่อได้รับรอยยิ้มจากพนักงานที่หน้าตาดีเหลือเชื่อ เป้าหมายก็แลดูประหม่านิดหน่อย สังเกตจากสายตาเลิกลักไม่กล้าสบตากันตรงๆ เคฟเห็นอย่างนั้นก็นึกกระหยิ่มใจ แสดงว่าเรดาร์ของเขาแม่น
เข้าทางละ... “เอาเดอลุกซ์ไซส์ใหญ่ครับ”
ลูกชายเกาะขอบเคาน์เตอร์สั่งด้วยเสียงดังฟังชัด ดวงตาเป็นประกาย
“ทานนี่กลับบ้านครับ?”
“กลับบ้านครับผม”
“สามร้อยเก้าสิบเก้าบาทครับ” เคฟกดเครื่องคิดเงิน
คุณพ่อเปิดกระเป๋าตังค์แล้วควักเงินออกมาจ่าย ดวงตาอันเฉียบคมของเคฟมองเห็นธนบัตรสีน้ำตาลเป็นปึกๆ อัดแน่นอยู่ในกระเป๋าใบนั้น รวมทั้งบัตรเครดิตอีกเต็มพรืด ไม่ว่าจะบัตรเฟิร์สของแบ้งค์ม่วง วิสด้อมของแบ้งค์เขียว ไพรม์ของแบ้งค์เหลือง อัลติมาของแบ้งค์น้ำเงิน จินตนาการไม่ถูกเลยว่าจะมีเงินในบัญชีกี่ร้อยล้าน
แม่เจ้า...กูจะเอาคนนี้ ระหว่างที่รออาหาร ลูกค้าใหม่ก็บางตาลง (บวกกับเคฟที่รีบเคลียร์คิวให้เร็วที่สุด) เวลานี้จึงเหลือคนที่ยืนรอแบบห่อกลับบ้านอยู่หน้าเคาน์เตอร์ไม่กี่คน รวมทั้งสองพ่อลูก ทำให้เคฟสังเกตและดักฟังการสนทนาของพวกเขาได้ไม่ยาก
“จริงๆ ผมอยากกินในร้านมากกว่าฮะป๊า กว่าจะกลับถึงบ้านชีสก็ไม่ยืด หมดอร่อยพอดีเลยอ่ะ” ลูกชายพูดพร้อมกับทำปากเบะนิดๆ
“กลับไปกินบ้านน่ะดีแล้วลูก ดูสิคนเยอะ ไม่มีที่ว่างเลย” พ่อบอกพลางกวาดสายตาไปรอบร้าน
เริ่มแผนที่สอง... ตีสนิทแบบเนียนๆ “วันหยุดก็แบบนี้แหละครับ แถมยังเป็นช่วงมื้อเที่ยงด้วย ต้องขอโทษในความไม่สะดวกจริงๆ ครับ”
เคฟบอกพ่อลูกด้วยรอยยิ้มสุภาพที่สุดแม้แต่พนักงานดีเด่นของโลกยังต้องกราบ แต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่ามันคืองานสร้างภาพ
“เซ็งเลย ผมอุตส่าห์จะมาฉลองกับป๊าแท้ๆ” เด็กชายทำแก้มป่อง
“ฉลองอะไรเหรอครับ” เคฟถามต่อ
“อ้าว พี่ไม่ได้ดูข่าวเหรอ ผมเป็นคนแจ้งตำรวจจับผู้ร้ายที่ขโมยของร้านคอมพิวเตอร์ไง ผู้ร้ายชื่ออเล็กซ์อ่ะ ฮ่าๆ ฝีมือผมเองล่ะ”
“...เหรอครับ”
โอ้โห โลกกลมสัด มึงนี่เองทำให้พวกกูต้องย้ายบ้าน ไอ้เด็กหรรม“เก่งจัง ตัวแค่นี้จับโจรได้แล้ว คุณพ่อคงสั่งสอนเป็นอย่างดี น่าชื่นชมจริงๆ เลยนะครับ”
ใจจริงแม้จะอยากบีบคอให้ตาย แต่สิ่งที่แสดงออกมาคือแกล้งชมเด็ก ก่อนจะเบนไปมองทางคุณพ่อด้วยดวงตาเป็นประกายคล้ายแฝงความนัย... หรือว่าอ่อยนั่นแหละ และก็ได้ผลซะด้วย คุณพ่อผิวขาวมาก พอหน้าแดงก็เลยเห็นได้ชัดว่าเขินสายตาคมกริบของเคฟเข้าแล้ว
“ยังจับไม่ได้หรอก แต่ถ้าจับได้เร็วๆ ก็ดี...” เด็กพูด ค่อยๆ เบาเสียงลงจนเหมือนพูดกับตัวเองตอนท้าย “...จะได้เจอพี่ชายอีก”
พิซซ่าเสร็จแล้ว พนักงานด้านหลังแพ็คใส่กล่องส่งให้เคฟ ทว่าสมองอันชาญฉลาด (แกมโกง) ของเขาไม่ปล่อยให้โอกาสอันงามจบลงง่ายๆ เพียงแค่ส่งมอบสินค้า เคฟเห็นคุณพ่อหน้าเด็กมีถุงช้อปปิ้งหลายถุง ลูกชายก็มีถุงหนังสือหนักไม่แพ้กัน พนักงานหนุ่มจึงอาสาด้วยท่าทางใจดี
“ถ้าไม่รังเกียจ ผมช่วยถือไปส่งที่รถให้เอาไหมครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ ผมถือเองได้”
คุณพ่อบอกด้วยความเกรงใจ ถือหูหิ้วถุงพิซซ่าออกจากเคาน์เตอร์ ลูกชายก็ตามไป ท่าทางพวกเขาดูพะรุงพะรังมาก เคฟมองตามหลังด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ทั้งเสียดายที่ถูกปฏิเสธ และหวั่นใจกลัวพวกเขาจะสะดุดล้มกลางทางซะก่อน
แต่ยังไม่ทันที่สองพ่อลูกจะก้าวพ้นจากร้าน หูหิ้วถุงช้อปปิ้งยี่ห้อดังที่ทำจากกระดาษของคุณพ่อก็ขาด เสื้อผ้าที่แออัดกันในนั้นร่วงลงบนพื้น หนุ่มผู้เป็นเจ้าของตกใจแล้วคุกเข่าก้มเก็บอย่างลนลานท่ามกลางสายตาของลูกค้าคนอื่นๆ ที่หันมามอง
เข้าแผนสาม... ทำตัวเป็นคนดีให้อีกฝ่ายประทับใจ“ฝากเคาน์เตอร์ด้วยนะ”
เคฟแตะไหล่เพื่อนพนักงานที่ยืนข้างๆ ก่อนจะออกไปช่วยชายไฮโซเก็บของที่ตกพื้นอย่างเร็วไว
“บอกแล้วให้ผมช่วย”
คุณพ่อลูกหนึ่งก้มหน้าเก็บโดยไม่ปริปากพูด ทั้งใบหน้าและหูของเขาเป็นสีแดงระเรื่อ เคฟแปลกใจตัวเองที่คิดว่าคนๆ นี้ดูน่ารัก...
พอเก็บเสร็จพนักงานหนุ่มก็ช่วยถือถุงอาหาร จากนั้นสองพ่อลูกก็เดินออกนอกห้างไปที่ลานจอดรถ ลูกชายเดินนำหน้าสุด ส่วนพ่อและพนักงานเดินเคียงกันอยู่ข้างหลัง
“น้องเพชร เดินในที่ร่มๆ สิลูก” พ่อร้องเตือนเมื่อเห็นลูกเดินเริงร่าท้าแดดไม่กลัวดำ
“ป๊าไม่ทันสมัยเลย เดี๋ยวนี้เทรนด์ผิวแทนมาแรงจะตาย เพชรก็อยากเป็นหนุ่มฮอตกับเขาบ้าง” เด็กชายว่าก็เดินลั้นลาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
“ลูกชายคุณน่ารักจัง อายุเท่าไหร่แล้วครับ” หนุ่มร่างสูงชวนชายไฮโซที่เดินข้างๆ คุย
“สิบสี่ อยู่มอสอง” คุณพ่อตอบ ไม่ยอมมองหน้าเคฟตรงๆ สักที
“งั้นแสดงว่าคุณมีลูกไวสิครับ เพราะดูแล้วคุณยังหนุ่มมากเลย”
พนักงานหนุ่มถามพร้อมกับยิ้มบางๆ ให้ชายไฮโซ แต่มันกลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายไม่กล้ามองหน้าเขาไปใหญ่ เคฟจึงพอสรุปได้ว่าชายคนนี้กำลังเขินเขาแน่นอน
เสร็จกู... “ประมาณนั้น” ชายไฮโซพูด “ผมแต่งงานตอนอายุสิบแปดเอง”
“โห...” เคฟประหลาดใจ บวกลบคูณหารในหัวอย่างเร็ว “งั้นตอนนี้คุณก็สามสิบสองเองสินะครับ”
“ใช่” ชายไฮโซพยักหน้า
เคฟรู้สึกทึ่งไม่น้อยกับชีวิตของชายไฮโซคนนี้ เขาแต่งงานตอนอายุสิบแปด เด็กกว่าเคฟตอนนี้อีก หนุ่มเดลิเวอรี่ลองจินตนาการว่าถ้าเขามีชีวิตเหมือนชายไฮโซป่านนี้ก็คงมีลูกโตได้สองขวบแล้ว... แต่คิดแล้วก็ขนลุก ถ้าเขามีลูก ลูกคงอดตายแน่ๆ ต่างกับชายไฮโซ รวยขนาดนี้จะมีลูกตั้งแต่กี่ขวบ มีกี่คนก็ย่อมได้
ทั้งสามเดินมาถึงรถของพ่อลูกที่จอดในโซนวีไอพี เป็นรถออดี้สีขาวเปิดประทุนรุ่นใหม่ล่าสุด สวยหรูมากจนเคฟตาโต แต่เขาไม่สนใจอะไรนอกจากป้ายทะเบียน เพราะมันสามารถนำไปสืบหาที่อยู่ของเจ้าของรถได้ เขาให้อเล็กซ์หาให้ทุกทีก่อนเริ่มลงมือโจรกรรม
“ขอบคุณมากที่ช่วยถือของมาส่ง คุณใจดีมากเลย ผมไม่เคยเจอพนักงานคนไหนมีน้ำใจเท่าคุณมาก่อน” ชายไฮโซบอกกับพนักงานหนุ่ม หลังจากขนของใส่รถเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ต้องชมขนาดนั้นหรอกครับ” เคฟยิ้ม “เก็บไว้เขียนแคปชั่นพร้อมกับถ่ายรูปผมลงโซเชียลดีกว่า บริษัทจะได้เลื่อนขั้นให้ผมเป็นพนักงานดีเด่น แล้วผมก็จะได้โบนัสเพิ่ม”
“พูดจริง?”
“ล้อเล่นครับ ผมอยากช่วยคุณจากใจ” พูดจบก็ขยิบตาหนึ่งที “แต่ช่วยสแกนคิวอาร์โค้ดแล้วให้คะแนนห้าดาวผมหน่อยก็ดีนะครับ ตามใบนี้เลยครับ”
มีการยื่นโบชัวร์เล็กๆ ที่พกใส่กระเป๋าเสื้อให้แก่ลูกค้าไปอีก...
“โอ๊ย คุณนี่ เอาฮาหรือเอาจริงกันเนี่ย”
หนุ่มไฮโซยกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับหัวเราะตาหยี เคฟทึ่งที่ไม่เห็นริ้วรอยบนใบหน้านั้นเลยแม้แต่เศษเสี้ยว ราวกับใบหน้าของเด็กอายุสิบห้า รุ่นเดียวกับลูกของเขางั้นแหละ
“เอาฮา แต่ถ้าได้จริงก็ดีครับ”
“โอเค ชื่อ KANATHIP คณาธิปใช่มั้ย เดี๋ยวทำให้” หนุ่มรวยก็บ้าจี้รับใบนั้นไป ตามด้วยมองป้ายชื่อที่ติดหน้าอกพนักงาน
“ผิดครับ คะน้าทิพย์ต่างหาก”
“บ้า” อีกฝ่ายขำพรืด
“อย่าลืมใส่สาขาด้วยนะครับ ฝ่าย HR จะได้ให้รางวัลถูกคน”
“จ้าๆ” รับคำแล้วก็ส่ายหน้าขำๆ
“รู้ชื่อผมแล้ว จะไม่ให้ผมรู้ชื่อคุณซักหน่อยเหรอครับ?”
“...ว่าไงนะ”
ลูกค้าเปลี่ยนจากยิ้มฮาเป็นยิ้มแห้ง จากนั้นก็เกิดเดดแอร์กะทันหัน จนเคฟคิดว่าตัวเองทำพลาดมหันต์
โธ่เอ๋ยไอ้ควาย คนรวยอย่างเขาจะอยากรู้จักอะไรกับพนักงานกระจอกๆ อย่างมึง หัดสำเหนียกสถานะตัวเองซะมั่ง ได้แค่เลขทะเบียนรถก็ดีถมเถเท่าไหร่แล้ว! ไม่พอลูกชายวัยเจริญพันธุ์ของเขายังตะโกนจากอีกฝั่งของรถช่วยกดดันอีกทาง
“ป๊าฮะ เมื่อไหร่จะปลดล็อก หนูร้อน!”
อยากผิวแทนไม่ใช่รึไง ตากแดดต่อไปสิมึงอิเด็กเปรต“จริงๆ ผมไม่ค่อยชอบแนะนำตัวเองกับคนแปลกหน้าซักเท่าไหร่” หนุ่มไฮโซว่าพลางเอามือล้วงกระเป๋าตังค์ “แต่สักวันคุณอาจมาเป็นลูกค้าร้านผมบ้างก็ได้”
จบประโยคก็ยัดกระดาษเคลือบมันขนาดเล็กแผ่นหนึ่งใส่มือเคฟ ก่อนจะปลดล็อครถ เปิดประตูเข้าไปนั่งแล้วสตาร์ทเครื่องขับออกไป
เคฟก้มมองนามบัตรในมือพลันยิ้มกว้าง บอกแล้วว่าสัญชาติญาณนักล่าของเขาไม่เคยพลาด... เหยื่อรายนี้เด็ดขาดบาดใจมากจริงๆ
พัชร ธนเศรษฐไพศาลย์วงศ์
RACHA Diamond, Ratchada Rd., Bangkok
Email: pachara_diamondอย่าแสดงเมลบนบอร์ด
Tel.098-XXXXXXX
Line: pachara_diamond คิดว่าตัวเองรุกมากแล้ว แต่ก็ต้องยอมแพ้เพราะอีกฝ่ายกลับรุกหนักกว่าซะงั้น การให้นามบัตรที่มีข้อมูลทุกอย่างครบถ้วนแบบนี้ก็ไม่ต่างกับการอ่อยดีๆ นี่เอง... หรือมองอีกแง่ก็คือการชักศึกเข้าบ้านแท้ๆ แต่อย่างไหนฝ่ายโจรอย่างเขาก็ได้เปรียบทั้งสิ้น
เคฟเก็บนามบัตรใส่กระเป๋าอย่างดี เดินกลับไปที่ร้านพร้อมรอยยิ้มอย่างผู้มีชัย
“แล้วเจอกันครับป๋า”
///
กลับมาแล้วค่ะ ขอโทษที่หายไปนาน ฮรือออ TwT
ช่วงนี้ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงเลยไม่ค่อยได้มาอัพ
แต่หลังจากนี้คงได้มาสัปดาห์ละครั้ง (แน่ๆ) ค่ะ!
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ รัก <3<3<3
ปล. มีใครเกลียดความสองหน้าของอีเคฟมั่ง
มารมากเลยในความคิดเรา ด้านมืดของสังคมที่แท้จริง
อาจทำให้คุณมองอาชีพบริการเปลี่ยนไปได้เลย 55555