8
ผมยืนมองร่างเปลือยเปล่าของตัวเองหน้ากระจกบานสูง มือข้างหนึ่งขยี้ผ้าขนหนูผืนเล็กลงบนกลุ่มผมเปียกชื้นเบาๆ แชมพูที่ใช้ประจำส่งกลิ่นคลุ้งขึ้นมาขณะที่ผมประสานสายตากับเงาของตัวเอง
ความทะเยอทะยานฉายชัดจนผมต้องยกมุมปากทักทายมัน
ดึงผ้าขนหนูลงมาพาดคอไว้พลางเสยผมที่ปรกหน้าไปด้านหลังอย่างปัดรำคาญ เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชัก ดึงกล่องกำมะหยี่สีดำสามกล่องขึ้นมาควานหาสิ่งที่เป็นเหมือนอวัยวะชิ้นที่สามสิบสาม
เปิดกล่องแรก ไล่สายตามองจิลสีเงินที่ถูกจัดเรียงเป็นแถวตามขนาดของหมุดก่อนจะตัดสินใจหยิบชิ้นที่แวววาวที่สุดขึ้นมา หันหน้าเข้าหากระจกอีกครั้งพร้อมแลบลิ้น... กลัดเข็มลงทดแทนชิ้นเก่าที่เพิ่งถอดทิ้งไป
บีบเจลล้างมือข้างตัวทำความสะอาดหนึ่งครั้ง ขณะพลิกลิ้นไปมาจนแน่ใจว่าเครื่องประดับเล็กจ้อยแวววาวพอจะสู้แสงไฟ จึงหันไปเปิดกล่องกำมะหยี่อีกใบเพื่อเลือกเครื่องประดับชิ้นต่อไป
เรียบง่ายแต่พิถีพิถัน ไล่สายตาและปล่อยให้ปลายนิ้วสัมผัส... ก่อนที่ห่วงสามขนาดจะถูกหยิบขึ้นมา ค่อยๆ บรรจงคล้องลงตามรอยเจาะบนใบหูข้างซ้ายทีละชิ้นจนเสร็จสิ้น มองสีเงินวาวตัดกับเส้นผมดำขลับแล้วอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงฮัมเพลงออกมาในลำคอ
กล่องกำมะหยี่สีดำใบสุดท้ายถูกเปิดออก... ผมไล่สายตามองหมุดและห่วงที่เรียงแถวรออยู่ในกล่องอย่างพิจารณาอีกครั้ง ใช้เวลาเพียงไม่นานชิ้นที่ส่องประกายแสงเตะตาที่สุดก็ถูกเลือกขึ้นมา ไล่ปลายนิ้วสัมผัสเพชรเม็ดเล็กๆ ที่ถูกบรรจงแต้มลงตามส่วนโค้งอย่างพอใจ... ก่อนจะกลัดมันลงบนแผลขนาดเท่ารูเข็มที่ปีกจมูกด้านขวา
เหลี่ยมมุมนับร้อยที่กำลังเล่นล้อแสงไฟทำให้ผมคลี่ยิ้มบาง ก่อนถอยหลังกลับมาในระยะที่เห็นร่างเปลือยทั้งร่างอีกครั้ง เอียงคอมองสำรวจตั้งแต่ปลายเส้นผมจรดเท้าแล้วกลับหยุดสายตายังรอยสักรูปดวงจันทร์ที่เชิงกรานด้านซ้าย ยกยิ้มมุมปากขณะแตะปลายนิ้ววาดไล้ตามทรงกลมของมัน ไล่หยดน้ำที่ฉาบไว้เพียงบางเบาออกไป
เครื่องประดับเดียวที่สลักลึกลงบนผิวกายคล้ายจะทอประกายแสงนวลเพื่อบอกว่ามันงดงามกว่าสีเงินวาววับของเครื่องประทับอื่นใด...
เพราะแบบนั้นจึงเป็นแสงเดียวที่ผมหลงใหล... ขยับปีกไล่ตาม เอื้อมสุดแขนเพื่อคว้ามันมาอยู่ในกำมือ
ผมขยับปีกครั้งแรก เพื่อขโมยมันมา... เวลาของเขา
“เรียนเชิญครับท่านเตวิชญ์” คำแซวและท่าทางเยินยอเกินเบอร์ของพี่เจดทำให้ผมยิ้มขำ มองร่างสูงที่เดินนำหน้าไปหยุดยืนล้วงกระเป๋าอยู่หลังกลองชุดเก่าๆ จนเจ้าของดวงตาสีรัตติกาลเงยหน้าขึ้นมาสบตา แววตาดูไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร
ไม่ได้กล่าวโทษผมที่เป็นคนบังคับให้เขาต้องมายืนอยู่ตรงนี้กลายๆ
ห้องซ้อมดนตรีที่พ่วงห้องเก็บของจิปาถะของคณะ สภาพดูซ่อมซ่อ และไรฝุ่นมากมายในอากาศก็ทำให้ผมถึงกับหลุดจามออกมาเสียงดัง
คล้ายจะเห็นแววขบขันในดวงตาคู่นั้น ขณะที่มือหนาเอื้อมไปหยิบไม้กล่องที่วางระเกะระกะมาถือไว้ ปัดฝุ่นบนเก้าอี้ลวกๆ ก่อนจะนั่งลงอย่างไม่ใส่ใจ สิ่งที่เขาจำเป็นต้องสนใจคือกลองชุดรุ่นก่อตั้งคณะที่สภาพโรยราไม่แพ้กัน
“เห็นแบบนี้มันเป็นหนึ่งในสมบัติคณะเลยนะเว้ย ชมรมดนตรีทุกรุ่นดูแลอย่างดี นี่พวกกูก็เพิ่งเปลี่ยนกระเดื่องมา” สิ้นคำอวดสรรพคุณ ผมเห็นขาเรียวใต้กางเกงสีซีดขยับ เหยียบกระเดื่องหนึ่งครั้งจนกลองใหญ่ส่งเสียงต่ำ เขาเลิกคิ้วคล้ายประหลาดใจ แต่รอยยิ้มมุมปากก็ทำให้พี่เจดถึงกับถอนอกโล่งใจ
“กดดันชิบหาย” สมาชิกอีกคนเดินมากระซิบกับผม สีหน้าหวาดๆ ปนขำที่ตัวเองปล่อยให้คนที่มีศักดิ์เป็นรุ่นน้องทรงอิทธิพลคับห้องซะงั้น
แต่มันช่วยไม่ได้หรอก ในเมื่อเห็นอยู่ชัดเจนว่าใครเป็นรองในสถานการณ์
กำลังจะมีงานเทศกาลดนตรีประจำมหาวิทยาลัย และพี่รหัสของผมก็ดันอุตริส่งใบสมัครไปทั้งที่ยังหาสมาชิกสำคัญไม่ได้... มือกลอง
นั่นเป็นเหตุผลที่ผมพาเขามาอยู่ตรงนี้ ด้วยคำท้าที่แสนจะง่ายดาย แน่นอนว่ามันไม่ใช่เพียงเพราะคำขอร้องของพี่รหัสที่ทำให้ผมตกปากรับคำง่ายๆ แต่มันคือเกม... เกมที่ผมไม่จำเป็นต้องร่วมเล่น แต่เพียงเฝ้าดูทั้งที่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง
สิ่งที่ผมได้รับคือผลกำไรจากการได้เห็นมันอีกครั้ง... อำนาจในการควบคุมจังหวะของเขา ขณะเดียวกันมันก็เป็นหนทางไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจ
ขโมยเวลาเขามา...
ถ้าพี่เจดชนะ หลังจากนี้เป็นต้นไปเขาจะต้องมาที่นี่หลังเลิกเรียนทุกวัน... นั่นหมายความว่าเขาจะถูกกักขังไว้ในที่ที่ผมสามารถหาเจอได้ง่ายๆ... ได้อยู่เพียงในสายตาผม ไม่อาจมองหาใคร
ไม่อาจเปิดโอกาสให้ประวัติศาสตร์ได้ซ้ำรอย
แต่ผมคงต้องเน้นอีกครั้งว่า ‘ถ้าหากพี่เจดชนะ’ …ซึ่งนั่นเท่ากับมีปาฏิหาริย์
ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก
เพราะเพียงเสียงของกลองใหญ่ที่ดังขึ้นในจังหวะง่ายๆ ก็หยุดได้ทุกกิจกรรม... แม้กระทั่งลมหายใจ ก่อนที่เขาจะเริ่มสะบัดมือทั้งสองข้างลงบนหน้ากลองทอม สแนร์ ฉาบ พร้อมกับเท้าที่เหยียบกระเดื่องต่อเนื่อง สร้างจังหวะแปลกประหลาด... พริ้วไหวทว่าหนักแน่นจนสะกดโสตสัมผัสและทุกสายตา...ตรึงไว้ที่เขาแต่เพียงผู้เดียว
แล้วจังหวะเรียบง่ายก็ค่อยๆ กลับกลายเป็นเร่งเร้า เสียงซาวด์เช็คที่ไม่ควรจะจริงจังกลับทวีความรุนแรงแต่กลับยิ่งน่าหลงใหล ยิ่งฟัง ยิ่งชัดเจนว่าคนที่ทำให้เกิดเสียงเหล่านี้มีพรสวรรค์ชนิดที่คนอื่นไม่อาจจับต้องได้
...ถึงอย่างนั้นความสามารถอันร้ายกาจของเขาก็ไม่อาจดึงผมให้หลุดจากภวังค์สีรัตติกาลของดวงตาที่แสนแน่วแน่คู่นั้นได้
แววตารั้นร้ายและรอยยิ้มมุมปากที่ผุดพรายฉุดผมลงสู่หลุมลึกเวิ้งว้างที่ได้ยินเพียงเสียงหัวใจตัวเอง อาจเป็นเสียงเดียวกับจังหวะที่ลำแขนกำยำกำลังควบคุม เร่งเร้าและร้อนแรง คล้ายไฟที่กำลังลามเลียตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาจนทั่วร่าง...
ชั่วขณะหนึ่งมันเหมือนความร้อนของเปลวไฟที่เผาไหม้ปลายบุหรี่จนเกิดควัน กลิ่นนิโคตินในจินตนาการกระชากผมกลับสู่อดีต...นึกถึงสัมผัสของเขาที่ยังคงฝังตรึงในความทรงจำ
จูบ?
ไม่ใช่...
เซ็กซ์ต่างหาก...
รสชาติของการร่วมรักที่ค่อยๆ แผดเผา... ฉุดรั้งสู่นรกขณะโอบรัดผมด้วยสรวงสวรรค์ ทุรนทุรายด้วยความสุขสมแสนทรมาน ปลดปล่อยทุกพันธนาการ... ทวีความต้องการจนต้องร้องเรียกชื่อเขาซ้ำๆ พ่ายแพ้ย่อยยับอยู่ใต้ร่าง ยอมศิโรราบหมดรูปเพียงดวงตาคู่นั้นที่จ้องลึกเข้ามาในแววตา
“พิชญ์”
“...!” ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังจ้องเขาด้วยใบหน้าร้อนผ่าว กระทั่งเสียงกลองหนักแน่นที่ดังอย่างยาวนานหยุดลงชั่วขณะ ความเงียบเรียกภาพในหัวกลับสู่เศษเสี้ยวความทรงจำ ปลุกผมจากภวังค์สู่เบื้องหน้าที่มีเพียงรอยยิ้มหยัน ...เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลกำลังจับจ้องมาอย่างท้าทาย
“ตามให้ทัน”
ในเนื้อความคงมีแต่ผมเท่านั้นที่เข้าใจ
แพ้ราบคาบ...
“แม่งเกินไปอ่ะ”
“ฆ่ากันชัดๆ ไอ้สัด” ผมหัวเราะ มองผู้อาวุโสทั้งสองที่นอนพะงาบอยู่บนพื้นโดยไม่สนใจความสกปรกของมัน
ทันทีที่เสียงกลองจังหวะสุดท้ายหยุดลง รุ่นพี่ทั้งสองของผมก็ทรุดฮวบลงกับพื้นทั้งเหงื่อโซมกาย มือไม้อ่อนแรงทิ้งลงข้างตัวอย่างหมดสภาพ เสียงหอบหายใจแทบจะดังก้องไปทั้งห้องเมื่อเสียงเพลงอันเทอร์เนทีฟร็อคที่ดังต่อเนื่องมาเกือบสองชั่วโมงหยุดลง
จะเรียกว่าล่มก็ไม่ใช่ จะรอดก็ไม่เชิง เขาเรียกอะไรนะ? กระท่อนกระแท่น... ใช่มั้ย?
ตลอดสองชั่วโมงผมฟังเพลงที่ถูกบรรเลงอย่างกระท่อนกระแท่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ตื่นเต้น ขบขัน ประทับใจ และประหลาดใจปนกันไป
แต่ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดคงเป็นเสียดาย...
สุดท้ายแล้วผมก็ต้องหาข้ออ้างใหม่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในวันถัดไป เพราะสมาชิกทั้งสองไม่อาจเอาชนะฝีมือที่เหนือชั้นกว่าของเขาได้... ข้อตกลงที่ว่าถ้าพี่เจดกับเพื่อนเล่นเข้ากับจังหวะของเขาตลอดรอดฝั่ง จะยอมเข้าวงเห็นผลแพ้ชนะตั้งแต่ยังไม่ทันจบเพลงแรกด้วยซ้ำ
ดังนั้นเตวิชญ์จึงเป็นอิสระโดยปริยาย
...แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมเดาออกตั้งแต่แรกว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง เพราะแบบนั้นถึงได้ไม่คาดหวังมากไป ไม่หงุดหงิดขัดใจแม้สักนิดเมื่อเห็นผลกับตา
ความลับคือ... ผมเองก็เดิมพันข้างเขาไว้เช่นกัน
“บอกแล้วว่าพวกพี่ยังอ่อนหัดเกินไป” ลุกขึ้นจากโซฟา สละบทผู้ชมเพียงหนึ่งเดียวเดินเข้าไปหาพี่รหัสที่กำลังตักตวงอากาศหายใจ แบมือออกขอรางวัลตามที่เดิมพันไว้
“พวกเด็กเหี้ย” บุหรี่นอกราคาแพงถูกควักออกจากกระเป๋าลอยต้านแรงโน้มถ่วงขึ้นมาถึงมือผมพร้อมคำสบถหยาบคาย
ถ้านี่คือเกม ผมเป็นเจ้ามือที่ได้ประโยชน์ทุกทางไม่ว่าผู้ชนะจะเป็นใคร... เพียงใช้ลมปากน้อยนิดเอ่ยคำท้าทาย ทำข้อตกลงกับทั้งสองฝ่ายแล้วหลบเร้นรอผลกำไรร่วงหล่นลงมา
ผมหัวเราะเบาๆ ยักไหล่ไม่สะทกสะท้านกับคำด่านั้น เปลี่ยนเป้าหมายจากพี่รหัสไปหาเจ้าของดวงตาสีรัตติกาลที่กำลังทำสีหน้าตั้งคำถาม เขามองซองบุหรี่ใหม่เอี่ยมในมือก่อนเงยหน้าสบตาผมก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างเพิ่งเข้าใจสถานการณ์
“เบื่อหรือยัง” แต่ผมโลภเกินกว่าจะพอใจเท่านั้น มืออีกข้างจึงเกี่ยวเอาอีกสิ่งหนึ่งที่เขาฝากไว้ในกระเป๋าขึ้นมา คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นมัน แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจว่าผมกำลังจะบอกอะไร ผมคลี่ยิ้มเมื่ออ่านสายตาได้ว่าเขาอนุญาตให้เอาแต่ใจ
“ไปหาที่สูบบุหรี่กัน” มองกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ในมือที่เป็นเป้าหมายถัดไป
ผมจะเอาชนะมัน...
เตรียมใจไว้แล้วว่ามันคงไม่ง่าย แต่ก็น่าตกใจที่มันอันตรายกว่าที่คิดไว้
ผมต้องใช้ความพยายามมากมายในการสตาร์ทมัน เกือบล้มสองครั้ง และตอนนี้ดันพุ่งเข้าพุ่มไม้ข้างทาง
ให้ตาย
“ยอมแพ้หรือยัง” ผมไม่ได้หันไปตอบร่างสูงที่ยืนกอดอกหัวเราะมองผมดึงมอเตอร์ไซค์ออกจากพุ่มไม้ ปฏิเสธด้วยเสียงฮึดฮัด คำสบถพึมพำอย่างไม่ชอบใจ
อย่าหวังว่าผมจะยอมง่ายๆ
เมื่อดึงเจ้าบุโรทั่งขึ้นมาตั้งหลักบนถนนได้ ผมก็ขึ้นคร่อมมันอีกครั้ง การเรียนรู้ซ้ำๆ ทำให้ผมสตาร์ทมันได้ง่ายกว่าที่ผ่านมา เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มบ่งบอกว่าความอ่อนหัดของผมยังไม่ทำมันพัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจบิดคันเร่งเพราะถูกใครอีกคนมาขวางไว้
“อย่ารั้น” คำดุไม่จริงจังถูกส่งมาพร้อมปลายนิ้วที่เคาะลงบนหมวกกันน็อคที่ส่งแรงสะเทือนถึงศีรษะผมเบาๆ
“เดี๋ยววันหลังกูสอนใหม่” ว่าพลางตวัดขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ในตำแหน่งที่คล้ายจะซ้อนหลัง แต่ไม่ใช่ เพราะลำแขนกำยำกลับยื่นออกมาคร่อมร่างผม จับคันเร่งไว้
ภาพในวันที่เขาท้าให้ผมขับมอเตอร์ไซค์ครั้งแรกฉายขึ้นมาชวนให้ใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้
"..." ถ้าให้เดาเขาคงจับได้คาหนังคาเขาว่าที่ผมเงียบไปเพราะกำลังจะแพ้ให้ความร้อนของแผ่นอกที่แนบลงมาบนหลังพร้อมกับใบหน้าที่โน้มข้ามไหล่ คนเจ้าเล่ห์ถึงได้ปล่อยหมัดฮุคสุดท้าย ...เป็นคำถามแสนห้วนทว่ากลับใช้เสียงกระซิบทุ้มต่ำละลายความตั้งใจที่จะดึงดันของผมได้เพียงพริบตา
“ทีนี้อยากไปไหน บอกมา”
มันคือสวนสาธารณะของมหาลัยที่ในทุกเช้าและเย็นผมจะเห็นคนพลุกพล่าน
แต่เวลาเกือบตีหนึ่งในช่วงย่างเข้าฤดูหนาวแบบนี้คงเป็นข้อยกเว้น
“นี่เหรอที่สูบบุหรี่ของมึง”
“ชู่ว!” ผมยกมือแตะริมฝีปากส่งเสียงปรามแทนคำตอบ เขาขมวดคิ้วเล็กๆ เหมือนไม่พอใจแต่ก็ยังยอมให้ผมเดินนำต่อไปด้วยฝีเท้าอันเงียบเชียบ
...เวลานี้มันถือเป็นเขตหวงห้าม ดังนั้นการเข้ามาเหยียบย่างจึงถือเป็นความท้าทาย
โฮ่ง!
แต่แล้วกลับหลุดสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงเจ้าถิ่นที่มองไม่เห็นตัวคำรามขึ้นมา ร่างของผมถูกรั้งไปอยู่ด้านหลังร่างสูงที่ก้าวขามาแทนที่ ใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังร่างดำขลับสี่ขาที่พุ่งเข้าหา
โฮ่งๆ!
เสียงเห่าดังขึ้นติดๆ กัน และคงจะดังอยู่อย่างนั้นหากคนตัวโตกว่าไม่ส่งเสียงปราม
“ชู่ว!”
...
เพียงเท่านั้นสถานการณ์ก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
“ระ...ระวัง” ผมพึมพำพลางเบิกตากว้างมองเจ้าของแผ่นหลังที่ยังเป็นเกราะกำบังของผมทรุดลงนั่งคุกเข่าบนพื้นหญ้าชื้นเอื้อมมือออกไปหาเจ้าสี่ขาที่อยู่ๆ ก็ลดการ์ด หมดความระแวดระวัง ยอมให้ฝ่ามือหนาลูบหัวเกาคางอย่างเป็นมิตรซะอย่างนั้น
“เด็กดี”
“รู้จักกันเหรอ” ผมถามอย่างประหลาดใจ แทบจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าหมดอันตราย
“เคยเจอสองสามครั้ง” เสียงทุ้มตอบเพียงเท่านั้น แล้วหันกลับไปให้ความสนใจเจ้าสัตว์หน้าขนที่ทิ้งตัวนอนหงายให้เขาเกาพุงให้
ผมหลุดหัวเราะออกมา ถึงแม้จะเป็นเพียงหมาพันธุ์ทางที่หน้าตาไม่ได้ดูดีแถมผอมแห้งเพราะใช้ชีวิตตามมีตามเกิดในมหาลัย แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้อดรู้สึกเอ็นดูไม่ได้
“พี่ดูจะชอบหมามาก” ภาพในอดีตซ้อนทับทำให้ผมเผลอโพล่งออกไป รอยยิ้มที่ยังประดับอยู่บนใบหน้าทำเอาเจ้าของคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยสีหน้าข้องใจ
“ไม่ได้ชอบ” ปฏิเสธหน้าตายทั้งที่หลักฐานเห็นอยู่คาตา
ผมยักไหล่ ไม่คิดเถียงแล้วเปลี่ยนเป็นนั่งลงข้างเขา ยื่นมือออกไปลูบตัวมันบ้างทว่ายังเก้ๆ กังๆ ในทีแรกมันส่งเสียงเห่า แต่พอรู้ว่าไม่ใช่ศัตรูเจ้าสัตว์สี่ขาก็ปล่อยให้ผมลูบขนสากๆ ด้วยท่าทางสบาย
“มันชื่ออะไร” ผมเอ่ยถามและเขาเงียบไป ดวงตาที่จ้องเจ้าสุนัขตรงหน้าคล้ายกำลังเหม่อลอยไปไกล
มันทำให้ผมนึกได้ว่าเขาไม่เคยมีชื่อเรียกให้สัตว์ที่เขาคล้ายจะผูกพันเลยสักตัว
“เจ้าหมาตัวนั้น... ยังอยู่ไหม” ผมเปลี่ยนคำถามเมื่อเขาเงียบนานเกินไป เขารู้แน่ว่าผมหมายถึงตัวไหนในเมื่อมันเป็นสัตว์ตัวเดียวกับที่ครั้งหนึ่งทำให้ผมเกือบตาย
“ไม่รู้สิ” ใช้เวลาพักใหญ่กว่าเขาจะเอ่ยออกมา ผละมือออกจากเจ้าสี่ขาแล้วลุกขึ้นยืนหันมาถามผมบ้าง “ไหนที่สูบบุหรี่มึง”
เห็นชัดว่าเขาจงใจเปลี่ยนประเด็น แต่ผมก็ไม่คิดขัดอะไร เพียงลูบหัวเจ้าหมาตัวโตอีกสองสามครั้งแล้วลุกตาม
“ใกล้ถึงแล้วล่ะ” เดินนำเขาไปสู่สถานที่ร้างผู้คนอีกครั้งโดยไม่คิดปริปากถามอะไรอีก
ส่วนลึกสุดของสวนสาธารณะใกล้บึงน้ำมีเนินดินโล่งกว้างปูผืนหญ้าที่สูงพอจะให้สัมผัสนุ่มสบาย ผมยกแขนบิดขี้เกียจขณะสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไป ดื่มด่ำกับความเงียบสงัดรอบกาย ฟังเสียงลมและใบไม้ไหวกระทบกันดังเพลงบรรเลง เงาของต้นไม้ที่รายล้อมโอนเอนพลิ้วไหวเล่นล้อแสงไฟที่เปิดไว้ให้แสงสว่างเพียงไม่กี่ดวงราววงเต้นรำ
บุหรี่ราคาแพงที่เพิ่งได้จากเดิมพันกลายเป็นหมันเมื่อผมทิ้งมันไว้ข้างตัวพร้อมไฟแช็คพร้อมสรรพแต่กลับไม่มีใครสนใจมัน
หลังจากทิ้งตัวนอนราบบนผืนหญ้าชุ่มน้ำค้างเราก็ต่างเงียบอยู่อย่างนี้เนิ่นนาน ทอดสายตามองผืนฟ้ากว้างปล่อยความคิดล่องลอย ไม่อาจคาดเดาว่าเขากำลังคิดอะไร แต่ในหัวผมมีคำถามมากมายที่ไม่รู้ควรจะไล่ลำดับหรือหยิบยกคำถามไหนขึ้นมาให้เข้ากับสถานการณ์
“กูจะหลับ” เพราะใช้เวลาเลือกนานเกินไป บทสนทนาจึงถูกเปิดขึ้นและปิดลงภายในประโยคเดียวกัน
ผมหัวเราะเบาๆ ละสายตาจากดวงดาว มองคนข้างๆ ที่กอดอกหลับตาในท่านอนหงาย
“เดี๋ยวยุงก็หามเอา” ขู่ออกไปทั้งที่การนอนนิ่งอยู่เฉยๆ แบบนี้ก็มีความเสี่ยงไม่แพ้กัน
“ช่วงนี้กูนอนไม่หลับ” ผมไม่รู้ว่ามันเป็นประโยคบอกเล่าหรืออะไร หลังจากคำพูดนั้นเขาก็ปล่อยให้บรรยากาศเงียบลงอีกครั้ง ทิ้งผมไว้กับเสียงลมหายใจแผ่วเบาและแผ่นอกที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะ
“เฮ้ย หลับจริงดิ” ผมเลิกคิ้วถามอย่างประหลาดใจ เท้าข้อศอกกับพื้นหญ้ายกตัวขึ้นมองเจ้าของร่างที่แน่นิ่งไป แต่แล้วผมกลับเป็นฝ่ายเงียบเสียเองเมื่อได้เห็นใบหน้ายามหลับของเขาใกล้ๆ... แสงเพียงน้อยนิดไม่อาจบดบังความน่าหลงใหล ซ้ำยังดึงเสน่ห์อันลึกลับของทุกองค์ประกอบบนออกมาผ่านเงาที่พาดทับลงบนใบหน้า... ซ่อนเร้นและเปิดเปลือยบางส่วนเพียงยั่วเย้าให้เกิดความรู้สึกอยากค้นหา...
ผมนึกอยากเกลี่ยนิ้วลงกับดวงตาที่ปิดลงทำให้แพขนตาหนาทอดลงบนผิวแก้มเนียนละเอียดชวนสัมผัส ไล่มองสันจมูกโด่งราวบรรจงปั้นให้รับกับใบหน้าคมทอดลมหายใจร้อนชวนให้ผมยิ่งอยากเข้าใกล้ หลุดยิ้มตามริมฝีปากหยักได้รูปที่คล้ายจะทิ้งรอยยิ้มมุมปากร้ายอย่างจงใจ ชวนให้ผมแตะริมฝีปากลงไป...
"..."
"..."
แต่ทุกความคิดหยุดชะงักเมื่อสิ่งทรงอิทธิพลที่สุดเผยตัวอีกครั้ง ผ่านเปลือกตาที่เปิดขึ้นอย่างช้าๆ... นัยน์ตาสีรัตติกาลที่ดึงดูดยิ่งกว่าสิ่งใดจ้องลึกเข้ามาพร้อมกับมือหนาที่ยกขึ้นมาเกลี่ยเส้นผมที่ตกตามแรงโน้มถ่วงทัดหูข้างหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ไล่ปลายนิ้วสำรวจองค์ประกอบบนใบหน้าของผมเช่นกัน
“เจ็บไหม” หยุดลงที่ส่วนกลาง ปลายนิ้วเย็นเฉียบเกลี่ยเครื่องประดับชิ้นใหม่ตรงตำแหน่งนั้นแผ่วเบา
...เพราะวันทั้งวันเขาไม่ได้เอ่ยทักอะไร จึงไม่คิดว่าเขาจะให้ความสนใจเครื่องประดับชิ้นใหม่ที่ผมบรรจงเลือกสรรและสวมใส่มันในตำแหน่งเตะตา ปีกจมูกด้านขวาที่เคยว่างเปล่าตอนนี้มีห่วงประดับเพชรสะท้อนประกายวาวอยู่ในดวงตาของเขา
ผมยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร เพราะไม่อาจปฏิเสธ แต่ก็ไม่อาจยอมรับได้เช่นกัน
ความเจ็บที่ไม่ได้ทำให้สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อยต้องเรียกว่าอะไร...ผมไม่เคยให้นิยามมัน
“พี่ล่ะ เจ็บไหม” ยิ่งถ้าเทียบกับบาดแผลบนร่างกายเขา บาดแผลของผมช่างเล็กจ้อยจนไม่อาจเทียบได้
ยิ่งบาดแผลที่ใจ...
“พี่หายไปไหนมา”
ผมไม่อาจวัดจากสิ่งที่ตัวเองได้รับเพียงฝ่ายเดียวเช่นกัน
โชคร้ายที่เขาเลียนแบบคำตอบผมด้วยการยิ้ม มือหนาเอื้อมจับมือผมที่เผลอวางลงบนลำตัวเขาโดยไม่รู้ตัว ดึงขึ้นมาแตะริมฝีปากลงกลางฝ่ามือเพียงครั้งแล้วผละออกไป... ชั่วขณะนั้นดวงตาสีรัตติกาลที่จับจ้องมาคล้ายจะมีความหมายที่ผมไม่อาจเข้าใจ ก่อนที่เขาจะซุกซ่อนมันไว้ภายใต้รอยยิ้มร้าย
“ถ้าอยากรู้ความลับ มึงต้องทำตามกติกา” คำพูดทำนองเดิมถูกเอ่ยพร้อมกับปล่อยมือผมเป็นอิสระ ตัดบทสนทนาด้วยการแสร้งหลับตาพลิกตัวนอนตะแคงไปอีกด้านไม่เปิดโอกาสให้ผมได้เอ่ยคำถามต่อไป
แล้วมันเมื่อไหร่กัน...
ผมอยากถามแต่สุดท้ายก็เลือกตัดใจ ทิ้งตัวนอนหงายอีกครั้งอย่างหมดปัญญา ปล่อยให้คำถามที่ยังค้างคาหาจังหวะเวลาที่เหมาะสมด้วยตัวมันเอง
ไม่นานรอบตัวก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง ผมนอนฟังเสียงหายใจสม่ำเสมอของคนข้างตัวพลางทอดสายตามองท้องฟ้าที่คล้ายจะยิ่งห่างไกล นึกอยากจะหยิบปากกาสักแท่งขึ้นมาเติมเต็มส่วนเว้าแหว่งให้ดวงจันทร์ข้างแรม แต่รู้ดีว่าไม่อาจทำได้
ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจทำให้ขยับเข้าใกล้อีกคน มองแผ่นหลังกว้างที่กลับให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวก่อนจะค่อยๆ ซบใบหน้าลงไป...ลอบสัมผัสกลิ่นกายและไออุ่นให้แน่ใจว่าเขายังอยู่เคียงข้าง... แม้จะยังไม่อาจถลำลึกไปไกลกว่านี้ได้
ผมจำเป็นต้องขยับปีกอย่างระมัดระวัง และเฝ้าหวังว่ามันจะไม่สายเกินไป
เพราะสิ่งเดียวที่หวาดกลัว คือเมื่อคืนเดือนมืดมาเยือนอีกครั้ง... ดวงจันทร์ของผมจะหายไป
สุดท้ายพี่ไม่ได้มาตามนัด...
ไม่มีคำอธิบายว่าทำไม...
อันที่จริง พี่ไม่อยู่ให้ผมถามว่าทำไมด้วยซ้ำ...
ลืมเหรอ หรือว่าติดธุระอะไร แน่ละว่ามันคงสำคัญกว่าอาหารหนึ่งมื้อที่พี่เสนอให้...
บอกหน่อยได้ไหมว่าพี่ผิดนัดผมด้วยเหตุผลอะไร
รู้ดีมันเป็นความผิดของผมเองที่ชะล่าใจ เคยชินว่าถ้าหากมาที่สถานที่ของเรา จะได้เห็นพี่อยู่ตรงนั้น... หันกลับมายิ้มให้พลางละเลียดควัน
ไม่ทันคิดว่าในความเป็นจริงมันอาจไม่มี ‘สถานที่ของเรา’ ด้วยซ้ำ...
'พี่เต...'
เพราะในวันที่ผมเผลอไผล คิดไปเองว่ากำลังจะได้ครอบครองที่แห่งนั้น
'...'
พี่ไม่หลงเหลือให้ผมแม้แต่กลิ่นควัน...
----------------------------------------------------------------------
รู้ตัวมานานแล้วว่าตัวเองเป็นคนที่มีคลังศัพท์ในหัวน้อยมาก ปกติก็ถนัดแต่ใช้คำทั่วๆ ไปเวิ่นเว้อพรรณนา
การเขียนเรื่องนี้เลยสาหัสน่าดูเลยค่ะ เพราะพอพยายามไม่ใช้บทบรรยายเวิ่นเว้อก็ไม่รู้จะใช้คำไหนมาอธิบายให้มันกระชับและได้ใจความ
แต่รู้สึกสนุกทุกครั้งที่เขียนเลยค่ะ เหมือนได้ทดลองอะไรใหม่ๆ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใหม่สำหรับคนอ่านมั้ย 55555
อันที่จริงตั้งใจจะเร่งจังหวะของเรื่องตั้งแต่ตอนนี้ ให้ตื่นเต้นสมกับที่พิชญ์กลับมาสวมปีก
แต่สุดท้ายเนื้อเรื่องมันก็ออกมาเรียบเรื่อยอยู่ดีใช่มั้ยคะ ฮืออ
ตอนหน้าจะพยายามมากกว่านี้ค่ะ ทั้งเรื่องจังหวะและบทบรรยาย
ยังไงก็ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยนะคะ
ติดขัดหรือไม่เข้าใจตรงไหนท้วงติงได้เสมอเลยค่ะ ^^
ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ