❀ Moon's Embrace : บทที่ 15 ... ครบเต็ม ❀
เพียงย่างก้าวเข้าสู่ทักษิณทิศ กลิ่นอายของลมทะเลก็โบกพัดปะทะกับใบหน้า…
เมื่อฟ้าสางนี้ จางรุ่ยเหรินเป็นคนมาตามพวกเขาไปจากเรือนปีกตะวันตก ชายหนุ่มไม่อธิบายอะไรมากบอกแค่เพียงว่าจะต้องไปถึงปราการทางใต้ก่อนยามซื่อ
ทีแรกเขานึกว่าจะต้องนั่งรถม้า แต่กลายเป็นว่าจางรุ่ยเหรินกลับนำม้ามาให้สองตัว นั่นทำเอาหมอวังหลวงถึงกับมองหน้ากันด้วยความงุนงง สุดท้ายลำบากคนที่ม้าเป็น
อู่ลี่จินนั่งขี่ม้าตัวตรง มือทั้งสองข้างยังคงจับบังเหียนเอาไว้แน่น สีหน้าดูราบเรียบและผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน
ต้องขอบคุณที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในป่ากับถานเซียงมาตั้งเด็ก เรื่องขี่ม้าให้สมชายชาตรีจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหมอหนุ่ม น่าสงสารก็แต่ฉินกวนเจ๋อ เพราะนอกจากจะขี่ม้าไม่ได้แล้ว ส่วนสูงที่มีอยู่เพียงนิดกลับยิ่งทำให้ขึ้นม้าได้ยากเย็น ลำบากเต๋อหวนต้องมาคอยพยุงอีกฝ่ายไม่ให้ล้มลงมา ขณะที่จางรุ่ยเหรินเอาแต่ขี่ม้านำหน้า ไม่ได้แยแสหันมาสนใจเลยสักนิด
กว่าจะออกจากเมืองหู่มุ่งสู่ปราการก็ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดเห็นปราการไม้ตั้งอยู่ปลายสายตา ทว่าปากเข้ากลับเป็นเนินราบ ลักษณะเป็นคอขวดคับแคบจึงจำเป็นต้องชะลอความเร็วม้าเป็นกึ่งเดินกึ่งวิ่ง
“ไม่ยักรู้ว่าเมืองหู่จะมีปราการทางทิศใต้ด้วย ลี่จินเจ้าเห็นหรือเปล่า ดูสิทะเล! ข้าอยากเล่นน้ำ”
เสียงดี๊ด๊าจากคนด้านหลังทำเอาคนที่กำลังคุมบังเหียนอยู่ด้านหน้าถึงกับถอนหายใจ เรื่องโหวกเหวกน่ะไม่เท่าไร แต่อีกฝ่ายทั้งดึงเสื้อ ทั้งเกาะเอว ทั้งชี้โบ๊ชี้เบ๊ให้ดูนู่นนี่ไปทั่ว หยุกหยิกๆ จนน่าโมโห
“เจ๋อเจ๋อเจ้าเลิกกระตุกเสื้อข้าสักที”
“เจ้านั่นล่ะขี่ม้าดีๆ สิ”
“เจ้าลองมาขี่เองไหมเล่า หยุกหยิกๆ แบบนี้ข้าจะไปขี่ดีๆ ได้อย่างไร”
ขึ้นเสียงปรามไปนิดๆ อย่างหงุดหงิด แต่มิวายอีกฝ่ายกลับไม่ได้สะทกสะท้าน หนักเข้ามือซนกลับเลื่อนขึ้นมาเกาะไหล่ แล้วยืดตัวออกไปดูทะเลที่อยู่ที่ฝั่งฟากด้วยตาเป็นประกาย บัดนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดใต้เท้าจางถึงขี่ม้านำหน้าโดยไม่หันมารอ
ขี่ม้าโงนเงนเดินช้าๆ เงียบไปได้อีกสักพัก ครู่เดียวก็เกิดนึกสงสัยในประโยคที่คนด้านหลังพูดก่อนหน้า หมอคนงามเลยเอ่ยปากถาม
“เจ้าว่ายน้ำเป็นด้วยหรือ”
“ดูถูก! ” กวนเจ๋อสวนขึ้นทันควัน “ถึงข้าจะตัวเล็ก แต่ใช่ว่าข้าจะอ่อนแอว่ายน้ำไม่เป็นเสียหน่อย”
“เช่นนั้นสงสัยเมื่อคืนข้าคงต้มน้ำตะไคร้ให้คนอ่อนแอผิดคนกระมัง”
ยิ่งคิดก็ยิ่งขันนัก เมื่อคืนนี้เจ้าลิงเตี้ยด้านหลังนอกจากจะไข้ขึ้นแล้ว ยังนอนละเมอปากบ่นว่ากลัวๆ ไม่ยอมหยุดอีก ทีเรื่องแบบนี้ล่ะยื่นอกขึ้นมาเชียว
กวนเจ๋อเบ้ปากบึ้ง พอพูดเรื่องเมื่อคืนเข้าก็เป็นอันเถียงไม่ออก แต่มีหรือที่หมอแซ่ฉินจะทิ้งช่วงให้เงียบนาน ไม่ช้าก็ยื่นหน้ายื่นตาเข้ามาถามอีกครั้ง
“ว่าแต่...ทำไมวันนี้ถึงเป็นใต้เท้าจางมากับพวกเราล่ะ ทั้งที่เมื่อคืนใต้เท้าซุนเป็นคนบอกเจ้ามิใช่หรือ”
ได้ยินคำถามทำเอาคนที่กำลังคุมบังเหียนแอบฉุกคิดขึ้นมาเล็กน้อย จะว่าไปเขาก็แอบติดใจอยู่เช่นกัน แต่เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอาจติดภารกิจให้ท่านอ๋อง ใต้เท้าจางเลยมาแทน
“จะเป็นใครก็ไม่เห็นเกี่ยวกัน เจ้าลืมหน้าที่ของตัวเองไปเหรอเจ๋อเจ๋อ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ นี่เรียกข้าว่าเจ๋อเจ๋ออีกแล้วหรือ ใครอนุญาตกัน”
เห็นเขาไม่ว่าหน่อย อู่ลี่จินก็เรียกเอาสนุกปากจนน่าโมโห แต่น่าสงสารที่กลับไม่มีใครเข้าข้างหมอแซ่ฉินสักคน แม้แต่หมอร่างสูงที่ขี่ม้าขนาบข้างมาด้วยกัน
“เจ้าควรฟังที่ลี่จินพูดนะเจ๋อเจ๋อ”
“เต๋อหวนเจ้าก็อีกคนหรือ ก็ได้ ข้ามันอ่อนแอเชิญพวกเจ้ารุมข้าได้เลย ข้าไม่โกรธ ข้าไม่โกรธ! ”
♦♦♦♦♦
ยามซื่อ…
พอก้าวขาเข้าสู่หน้าประตูปราการทางทิศใต้ ไม่ทันไรจางรุ่ยเหรินก็ตีม้าหันกลับ และกล่าวกลับพวกเขาเพียงสั้นๆ ว่าให้เข้าไปด้านในได้ด้วยสีหน้าเย็นชา ทีแรกกวนเจ๋อทำท่าอิดออดใส่ว่าจะเข้าได้อย่างไร ทว่าคำตอบของคนแซ่จางก็พาเอาหน้าชาไปสามส่วน
‘ท่านอ๋องมีรับสั่งให้ข้าส่งพวกเจ้าประตูเท่านั้น อีกอย่างจดหมายแนะนำถูกส่งไปตั้งแต่เมื่อคืน ข้าไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปแนะนำพวกเจ้าด้วยตนเอง’
และเพราะรุ่ยเหรินไม่ได้เข้าไปกล่าวแนะนำ พวกเขาทั้งสามจึงได้แต่ยืนตากแดดตากลมอยู่หน้าปราการ พร้อมกับทหารเฝ้าประตูหน้าตาดุดันกำลังยื่นคมหอกใส่ ด้วยท่าทางไม่เป็นมิตร
“พวกเจ้าเป็นใคร”
ทิ้งเวลาผ่านไปไม่นานนัก เต๋อหวนก็เป็นคนที่ก้าวขาออกมาอธิบายทุกอย่าง
“พวกท่านอย่าได้กังวล พวกข้าไม่ใช่คนน่าสงสัย พวกท่านคงได้รับจดหมายแนะนำตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ท่านอ๋องจึงมีรับสั่ง ให้ใต้เท้าจางส่งพวกข้ามาดูแลอาการของทหารที่ป้อมปราการ ไม่ทราบว่าคนเจ็บอยู่ที่ใด”
ราวกับได้ยินคำที่ไม่เชื่อหู ทหารเฝ้าประตูทำตาโต ละล่ำละลักถาม
“ท่านอ๋องหรือ ชะ...เช่นนั้น พวกเจ้าเป็นก็หมอหรือ”
เต๋อหวนพยักใบหน้าราบเรียบ แต่เพียงแค่นั้นก็สร้างความประหลาดใจให้มากพอ ทหารเฝ้าประตูรีบหันหลังกลับไปตะโกนเสียงดัง
“หมอมาแล้ว เฮ้ย! หมอมาแล้ว ท่านอ๋องส่งหมอมาแล้ว!! ”
ราวกับคำป่าวประกาศนั้นสร้างความตื่นตะลึงไปทั่วป้อมปราการ หมออาสาทั้งสามได้แต่มองหน้ากันงุนงง รู้สึกตัวอีกพวกเขาก็ถูกเชิญเข้าไปหลบด้านโรงรับรองเล็กๆ ไว้ใช้สำหรับหลบแดดหลบฝน แต่มิได้ลักษณะเป็นห้อง เพราะมีเพียงแค่เสาไม้แปดต้นเปิดโล่งค้ำหลังคาสูง กับแคร่ไม้ที่วางเรียงราย ดูเหมือนพวกทหารที่ป้อมปราการจะใช้พื้นที่นี้สำหรับกิจกรรมทุกอย่าง
ลี่จินรู้สึกแปลกๆ เขากวาดสายตาดูรอบๆ ถึงจำนวนทหารจะไม่มากอย่างที่คิด แต่ทุกคนล้วนมองมาที่พวกเขาด้วยสายตาอย่างมีความหวัง ไม่ช้าชายรูปร่างสมส่วนในชุดทหารครึ่งท่อน บนศีรษะเขาผูกผ้าโพกศีรษะสีขาว แต่เป็นเพราะไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่คราบฝุ่นเลยทำให้มันออกเป็นสีเทาคล้ำ
ชายผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ ไม่ช้าก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า ก่อนจะประสานมือคำนับตามมารยาท
“ขออภัยที่เสียมารยาทกับท่านหมอทั้งสาม ข้าน้อยหวงเหวิน เป็นหัวหน้ารักษาการณ์ที่นี่”
พอได้เห็นใบหน้าชัดๆ ก็พบว่าชายคนนี้มีใบหน้ามีริ้วรอยที่ผ่านช่วงอายุวัยมามากกว่าครึ่ง ดูท่าจะเป็นคนที่มีความสามารถโชกโชน ทั้งผิวกร้านคล้ำแดด และรอยแผลเป็นที่บาดพาดมาตั้งแต่หางคิ้วลากมาถึงโหนกแก้มข้างซ้าย คาดว่ามีส่วนหนึ่งอยู่บนหน้าผากด้วย สังเกตจากรอยแผลที่ซ่อนหายเข้าไปใต้ผ้าโพกศีรษะ
แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาจะจะสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาควรจะรีบทำหน้าที่ของตนเอง
“ใต้เท้าหวงลุกขึ้นเถิด คนป่วยสำคัญกว่าพวกเขาอยู่ที่ใดกัน”
ได้ยินกระนั้น หวงเหวินจึงลุกขึ้น รีบเดินนำทางหมอทั้งสามไป...
ปราการทางใต้แต่งจากที่จินตนาการเอาไว้มากเดิมทีเขาคิดว่าอ๋องจิวจะสร้างกำแพงด้วยวัสดุจำพวกอิฐ หรือดินเหนียว แต่ที่เขาเห็น แถบกำแพงที่กว้างยาวออกไปล้วนทำจากไม้
ระหว่างเดินหวงเหวินเล่าให้ฟังว่า ท่านอ๋องทรงออกความคิดให้สร้างกำแพงโดยใช้ไม้จากเขาซิ่วฮวาที่มีน้ำหนักไม่หนักไม่เบา มีข้อดีตรงที่เนื้อไม้มีความเหนียวคงทน แม้โดนพายุฝนโบกพัดเนื้อไม้ก็ยังไม่หัก อีกทั้งยังเป็นไม้ที่หาได้ง่ายไม่สิ้นเปลืองงบประมาณ
สิ่งที่ได้ยินทำเอาอู่ลี่จินครุ่นคิด ดูท่าอ๋องจิวจะเป็นคนที่เฉลียวฉลาด ผิดกับภาพลักษณ์ภายนอกที่แสดงออกเป็นคนโหดเหี้ยมและเจ้าเล่ห์เจ้ากล ซึ่งนั่นก็นับเป็นข้อเสียเพียงข้อเดียว ที่เหลือล้วนเป็นข้อที่น่าชื่นชม นึกภาพไม่ออกเลยหากเป็นเขาที่ต้องมาปกครองเมืองที่ทุรกันดารมากมายปัญหาเช่นนี้ คงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากที่ใดก่อนเป็นแน่
เวลาผ่านระยะหนึ่งได้ ในที่สุดหวงเหวินก็หยุดเดิน ลี่จินกวาดสายตาไปรอบๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นด้านหลังของปราการ มองผิวเผินแล้วคล้ายๆ กับโรงทาน มีประตูเข้าออกทั้งหมดสี่บาน ทั้งซ้ายและขวารายล้อมไปด้วยเตียงไม้ที่ดูเก่าซอมซ่อไม่กี่เตียง และมีผู้ป่วยหลายคนนอนโทรมอยู่บนพื้นที่ใช้ผ้าธรรมดาปูแทนฟูก
“ท่านหมอพวกเขาเป็นโรคระบาดหรือ”
ลี่จินไม่ตอบตอบคำถามนั้นโดยทันที เขามองสังเกตไปรอบๆ สีหน้าผู้ป่วยดูอมเหลืองและร่างกายซูบโทรมเหมือนไร้เรี่ยวแรง ทว่าก็ยังวินิจฉัยอะไรแน่ชัดไม่ได้ ต้องลงมือตรวจเสียก่อน
“ใต้เท้าหวงอย่ากังวล พวกข้าจะตรวจอาการพวกเขาอย่างละเอียด”
ลี่จินกล่าวเสียงเรียบ หวงเหวินรีบประสานมือคำนับขอบคุณ
“รบกวนท่านหมอทั้งสามแล้ว”
♦♦♦♦♦♦
ใช้เวลาเกือบก้านธูปกว่าจะตรวจชีพจรทหารครบทุกคน…
ลี่จินปาดเหงื่อ เวลานี้เขาเดินออกมานั่งข้างนอกเพื่อสูดอากาศให้ผ่อนคลายความเครียด สักพักเดียว หวงเหวินก็พากวนเจ๋อ กับเต๋อหวนเดินตามออกมา สีหน้าของพวกเขาดูราบเรียบราวกับพอจะทราบว่าหลังจากที่ตรวจชีพจรไป ทุกคนล้วนมีอาการคล้ายๆ กัน
พวกเข้าเดินมาหาลี่จิน เต๋อหวนเป็นคนที่พูดขึ้นก่อน
“ทุกคนมีอาการอ่อนเพลีย บางคนมีผื่นแดง หน้าท้องบวม และท้องผูก”
“พวกเขาเป็นโรคระบาดหรือไม่ท่านหมอ” หวงเหวินถามอย่างกังวล
“มิใช่ เพียงแต่แค่มีอาการคล้ายคลึงกันเท่านั้น”
ถึงจะบางรายมีอาการแทรกเข้ามาบ้าง แต่นั่นไม่ได้ร้ายแรงเร่งด่วน หวงเหวินพยักใบหน้ารับรู้อย่างเศร้าๆ
“ลี่จินเจ้าคิดว่าอย่างไร”
หลังจากที่ครุ่นคิดเงียบๆ อยู่พอสมควร พอถูกถามบ้างหมอคนงามยกมือขึ้นมากุมคาง เขาวินิจฉัยคล้ายคลึงกับที่เต๋อหวนพูดไม่ผิดเพี้ยน แต่สิ่งที่เขากำลังมองหาคือต้นตอของโรค ซึ่งก็พอจะคาดได้อยู่บ้างเมือดูจากสภาพแวดล้อมที่นี่แล้ว
“ข้าคิดว่าอากาศที่นี่ค่อนข้างแห้ง ขณะที่ลมทะเลที่ค่อนข้างร้อนชื้น สภาพโ๕รงสร้างก็โปร่งเปิดให้ลมเข้าได้แทบตลอดเวลา เมื่อผ่านไปนานอาจทับถมเข้ากับผิวเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดผื่นแดง แต่มีเรื่องที่ข้าคาใจอยู่เช่นกัน”
ลี่จินนิ่งเงียบไป หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หันใบหน้าไปหาหวงเหวิน
“ใต้เท้าหวง ทหารที่นี่อยู่ที่ปราการมากี่วันแล้ว”
“ใกล้ครบสามเดือนแล้ว”
“เคยได้กลับไปที่เมือง หรือออกจากที่นี่บ้างหรือไม่” ชายโพกศีรษะส่ายหน้า ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงกล้ำกลืน
“คนของเรามีน้อย ประกอบกับต้องมีคนเฝ้าที่นี่ไว้ตลอดเวลา บางครั้งมิได้หลับมิได้นอน เพราะไม่ทราบว่าพวกโจรสลัดจะบุกขึ้นมาอีกเมื่อไร จะผลัดเปลี่ยนหมุนวนกันได้อย่างมากสุดก็แค่ทีล่ะสิบคน”
“ท่านอ๋องทราบเรื่องนี้หรือไม่”
“ทรงทราบแล้ว แต่เมืองหู่ก็เป็นเช่นนี้ แค่หมู่บ้านเล็กๆ ที่มีกำลังพลปกป้องน้อยนิด แต่ถึงจะมีมาก ส่วนใหญ่ก็ถูกแบ่งเกณฑ์ไปที่ค่ายทางบูรพาที่มีศึกหนักกว่า ทางนี้ก็ได้แต่ประคับประคอง ไม่ให้พวกมันเข้ามาในตัวเมือง”
คำตอบที่ได้ยิ่งทำให้ขมวดคิ้วสงสัยหนัก หากปราการถูกสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันพวกโจรสลัดแต่หากไร้ซึ่งกำลังพล กำแพงพวกนี้ก็คงไม่ต่างอะไรจากเศษไม้ แต่ถึงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรใคร่รู้เท่าไร เพราะเป็นเรื่องทหารที่เขาไม่ควรยุ่งเกี่ยว ทว่า...
“เหตุใดถึงได้เกณฑ์ไปช่วยทางบูรพามากกว่าหรือ”
เป็นกวนเจ๋อที่หลุดปากถามออกไปโดยทันที ลี่จินถอนหายใจดูเหมือนที่เตือนให้อีกฝ่ายระวังคำพูดจา คงไม่ต่างอะไรจากลมผ่านหูเป็นแน่
“กวนเจ๋อ! ”
“มิเป็นไรๆ ถ้าท่านอยากรู้ข้าจะเล่า” หวงเหวินยกมือขึ้นปรามคนที่กำลังต่อว่าสหาย กวนเจ๋อยิ้มแหย เหมือนเพิ่งจะรู้ตัวว่าถามเรื่องมิควรเข้า แต่สุดท้ายเหตุผลที่ชวนฉงนสงสัยก็เผยแพร่ออกมา
“เหตุที่ท่านอ๋องเกณฑ์ไปช่วยทางบูรพามากกว่า เพราะเห็นว่าที่นั่นมี...เหมืองทอง”
สองวลีสุดท้ายทำเอาทุกคนถึงกับเบิกโตไม่อยากเชื่อหู หวงเหวินยกมือขึ้นเกาศีรษะ ก่อนพูดต่อ
“นั่นเป็นการคาดเดาน่ะ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่ได้ยินข่าวว่าสามารถเข้าไปสำรวจเหมืองได้แล้ว เพราะพื้นที่นั้นเป็นอาณาเขตของชนเผ่า 'ฮวง' คงต้องใช้เวลาเสียหน่อย แต่ท่านหมอได้โปรดอย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ข้างนอกเป็นอันคาด ไม่เช่นนั้นข้าต้องแย่แน่”
หวงเหวินพูดไปก็กล้าๆ กลัวๆ ถึงจะเคยพบกันครั้งแรก แต่สัญชาตญาณของเขาบอกว่าหมอหนุ่มทั้งสามคนนี้ไม่มีพิษไม่มีภัย อีกทั้งเป็นหมอที่มาประจำเมืองหู่ เล่าเรื่องราวให้รู้สักหน่อยคงมิใช่เรื่องเสียหาย
อู่ลี่จินพยักใบหน้าราบเรียบ...ใช่แล้วเรื่องนี้ไม่ควรแพร่งพรายออกไปให้คนนอกรับรู้ จริงๆ มิเช่นนั้นจะบังเกิดเป็นสงครามแย่งชิงกันจนน่าหวั่นเกรง แต่เขาไม่คิดเลยว่าจิวหรงจะมีความสามารถล่วงรู้ว่าเหมืองทองซ่อนอยู่หุบเขาหินทิศบูรพาก่อนใคร
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณใต้เท้าหวง ขอข้าคุยปรึกษากันสักครู่”
หมอคนงามเอ่ยตัดบท เวลานี้ต้องสละเรื่องการเมืองที่ไม่จำเป็นต่อการรักษาออกไปจากหัวเสียก่อน เมื่อหวงเหวินลุกออกไป ลี่จินก็รีบพูดสิ่งที่ตัวเองคิดในทันที
“ข้าคิดว่าสาเหตุของโรคนี้มาจากความเครียด และความกดดัน ไม่ผิดแน่ ถ้าจะรักษา ควรเน้นไปที่การบำรุง ใช้เปลือกส้มซ่า ซางไป๋ผี ชะเอมเทศ และน้ำดอกคำฝอยบำรุงน่าจะช่วยบรรเทาได้”
“ข้าไม่แน่ใจว่า ในเมืองจะมีดอกคำฝอย กับ เปลือกส้มซ่าหรือไม่”
เต๋อหวนขัดขึ้นมา ถึงจะสมุนไพรเหล่านี้จะไม่ได้หายากแม้จะไม่ใช่ฤดูกาล ทว่าแผ่นดินที่เขาอยู่นี่เป็นเมืองหู่ น่ากลัวว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมี
ได้ยินกระนั้นลี่จินก็รู้สึกคิดหนัก ทว่าเพราะสีหน้าครุ่นคิดแปลกๆ ของหมอตัวเล็กที่อยู่ข้างๆ กลับเรียกความสนใจ
“มีอะไรหรือกวนเจ๋อ” พอได้ยินเสียงเรียก คนตัวเล็กก็หันขวับ
“ข้าคิดว่า...ถึงความเครียดจะเป็นต้นเหตุอย่างที่ลี่จินพูดก็จริง แต่เมื่อครู่ข้าไปเดินดูในครัวด้านหลังโรงนอนมา ถามไถ่ครัวได้ความว่าอาหารของพวกเขาส่วนใหญ่ ล้วนมีแต่เกลือเป็นส่วนผสม”
เกลือหรือ? ลี่จินขมวดคิ้วเล็กน้อย กวนเจ๋อกล่าวอีกว่า
“ข้าถามคนครัวของพวกเขา เขาบอกว่าทำได้แค่อาหารที่ใช้เกลือส่วนผสมเป็นส่วนใหญ่ ไก่ต้มเกลือเอย ปลาต้มเกลือเอย อาหารพวกนั้นล้วนมีเกลือเป็นส่วนผสมจำนวนมาก ข้าคิดว่าสาเหตุที่พวกเขามีอาการอ่อนเพลีย ท้องบวม และเป็นผื่น เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีรสเค็มมากเกินไปทำให้เสียสมดุล ที่ร่างกายพวกเขาต้องการน่าจะเป็นน้ำตาล หรืออาหารที่กินแล้วมีรสหวานนำบ้าง อย่างเช่น ขนม”
“ขนมหวานหรือ”
“ใช่ น้ำตาลจะทำให้ร่างกายสดชื่น เจ้าเป็นหมอนะ เรื่องอาหารการกินเพื่อรักษาโรคเป็นพื้นฐานอย่างหนึ่ง ข้าว่าพวกเขา คงอยากทานอาหารอร่อยๆ มากกว่ายาขมๆ แน่ อาจเป็น ขนมเม็ดบัว หรือถั่วแดง ถ้าจะหาได้ง่ายๆ น่ะนะ”
ทั้งเมล็ดบัว และถั่วแดงไม่ใช่สิ่งหายาก แต่ถ้าจะยากก็เพราะว่าที่นี่เป็นหู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มใจ แต่ที่นี่ก็ไม่น่าจะกันดารกระทั่งเมล็ดบัวก็ยังหาไม่ได้
เต๋อหวนพยักใบหน้ารับรู้กับสิ่งที่กวนเจ๋อพูด
“ที่กวนเจ๋อพูดก็มีความเป็นไปได้สูง ข้าเห็นด้วย”
เป็นเสียงสนับสนุนที่ดี ส่วนอู่ลี่จินก็เอาแต่อมยิ้มราบเรียบไม่พูดไม่จา สุดท้ายเลยเป็นเขาที่ต้องออกคำสั่ง
“รีบไปบอกหวงเหวินเถอะ”
เต๋อหวนพยักหน้า ก่อนหมอหนุ่มจะรีบวิ่งออกไปตามที่บอก เมื่อไม่มีใครอยู่แล้วลี่จินจึงเดินมาข้างๆ หมอแซ่ฉิน เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้าเก่งมาก”
“แน่นอนข้าเก่ง! เห็นแบบนี้ข้าก็เป็นหมอนะ”
ว่าพร้อมกับยืนอกแบนออกมาให้ดูด้วย ลี่จินส่ายหน้าหน่าย พลางหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินตามหมอแซ่ฉินที่เดินนำออกไป
♦♦♦♦♦♦
เวลาล่วงเลยจนใกล้สิ้นสุดยามเซิ่น
หลังจากที่เรื่องการรักษาให้หวงเหวินทราบ ก็ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะรวบรวมวัตถุดิบ และสมุนไพรที่จำเป็นได้ เย็นนี้ฉินกวนเจ๋อรับหน้าที่เป็นพ่อครัวทำอาหารเลี้ยงปากท้องชาวทหารแดนหู่ ขณะที่ลี่จินกับเต๋อหวนถูกลดบทบาทลงเหลือแค่ลูกมือ แต่ก็ไม่มีใครปริปากบ่นคนตัวเล็ก
นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสีหน้ามั่นใจของกวนเจ๋อตั้งแต่เข้าเมืองหู่มา ซึ่งอาจเป็นเพราะการรักษานี้ใช้ศาสตร์แพทย์ด้านโอสถอาหารที่อีกฝ่ายช่ำชอง เลยแสดงฝีมือออกมาเต็มที่ ส่วนเขากับเต๋อหวนก็รับหน้าที่แค่ทำตามคำบอกของคนตัวเล็ก
จะว่าไปแล้วคนเราย่อมมีเรื่องที่ถนัดกับไม่ถนัด หากเทียบกันแล้ว กวนเจ๋อถนัดศาสตร์แพทย์ทางด้านโอสถอาหาร ส่วนเต๋อหวนก็ถนัดทางศาสตร์โอสถกลิ่นบำบัด เว้นมีเพียงเขาที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญทางด้านใดด้านหนึ่งโดดออกมา เน้นรักษาตามอาการกับใช้ของที่พึงหาได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์แพทย์ใดๆ ทุกศาสตร์ล้วนช่วยรักษาชีวิตคนทั้งสิ้น
หลังจากที่ช่วยกวนเจ๋อเตรียมข้าวของในครัวจนเสร็จ เขากับเต๋อหวนก็อาสาไปล้างเมล็ดบัวที่บ่อน้ำจืดไม่ใกล้ไม่ไกลจากปราการเท่านัก ขากลับก็แบกใส่ตะกร้า กำลังจะเดินลงทางลาดกลับไปยังปราการ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร็วรัว ราวกับมีคนกำลังควบม้ามาใกล้
ลี่จินขมวดคิ้วหันไปตามทิศทางเสียง ไม่ช้าคำเฉลยออกมาก็ปรากฏออกมาให้เห็นชัด เป็นซุนไป่หานในชุดเครื่องแบบครึ่งท่อน
องครักษ์หนุ่มค่อยๆ บังคับบังเหียนม้าให้เข้าไปใกล้ หมออาสาทั้งสองจึงคำนับอีกฝ่ายพร้อมกัน
“คารวะใต้เท้าซุน”
“พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
ได้ยินคำถาม ลี่จินจึงเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองทางป้อมปราการที่ดูเหมือนจะครึกครื้นขึ้น
ใบหน้างามตอบพร้อมรอยยิ้ม
“กวนเจ๋อดูแลพวกเขาอยู่”
“กวนเจ๋อหรือ? ”
เขาทวนชื่อนั้นราวกับไม่อยากเชื่อหู
“ไยท่านถึงได้ทำสีหน้าเช่นนั้น กวนเจ๋อก็เป็นหมอนะ”
ไป่หานถึงกับอ้าปากค้าง ลืมตัวไปเสียสนิทว่าแสดงออกมากเกินไป เขารีบแสร้างกระแอ่มไอ กลบเกลื่อน
“ข้าแค่...แปลกใจ”
ใบหน้าคมเข้มหันหนีไปแล้ว ลี่จินแอบขบขันเบาๆ แต่ตอนนี้จะยืนคุยกันก็ใช่ว่าจะเหมาะเท่าไร ยังมีคนเจ็บรออยู่อีกมาก
“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน...”
อู่ลี่จินค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม ก่อนจะหันแผ่นหลังเดินลงทางลาดไปกับเต๋อหวน ไป่หานทนมองภาพแผ่นหลังบางอยู่สักพัก สุดท้ายก็เอ่ยรั้ง
“ลี่จิน...”
เสียงรั้งนั้นทำให้ใบหน้างามหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ไป่หานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเรื่องธุระของตนเอง
“เจ้าช่วยมากับข้าสักครู่หนึ่งได้หรือไม่”
คำถามนั้นพลันเอาชะงัก หมู่นี้ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่เข้าเมืองหู่มา ช่วงนี้ชีวิตเขารู้สึกเหมือนมีซุนไป่หานวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เว้นเพียงเวลานี้ที่เขายังมีเรื่องสำคัญต้องทำอยู่
“แต่...ที่ปราการยังมีทหารอยู่อีกมาก ข้าเกรงว่า...”
“เรื่องนี้สำคัญ ที่ปราการมีหมอฉิน กับหมอหม่าอยู่อีกสองคนมิใช่หรือ”
พอถูกคำพูดอีกฝ่ายสวนเช่นนี้เข้า อู่ลี่จินถึงกับพูดสิ่งใดไม่ออก นัยน์ตาคู่สวยได้แต่มองหมอแซ่หม่า ซึ่งบัดนี้ เต๋อหวนกลับทำแค่อมยิ้มเรียบๆ ให้เขา
เห็นกระนั้นไป่หานจึงพูดขึ้นอีก
“หมอหม่าข้ารบกวนด้วย มีคนที่ข้าอยากจะพาหมออู่ไปพบสักครู่หนึ่ง”
พอได้ยินคำขอร้องจากคนที่เป็นถึงองครักษ์จวิ้นอ๋อง ใครไหนเลยจะกล้าปฏิเสธได้ เต๋อหวนจึงได้แต่พยักใบหน้า เผยรอยยิ้มราบเรียบให้อู่ลี่จิน แต่น่าแปลกที่ในใจนั้นกลับเหมือนถูกบีบรัดจนแน่นด้วยเชือกที่มองไม่เห็น
“ไม่เป็นไรเจ้าไปเถอะ”
น้ำเสียงนั้นฟังดูสดใสเหมือนไม่มีอะไรติดค้างใจ ทว่า...ถึงปากจะพูดออกไปเช่นนั้น หากในใจกลับอยากตะโกนเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายไว้เต็มที แต่กลับไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเรียกชื่อ
ลี่จินพยักใบหน้ารับเป็นเชิงขอบคุณ ไม่ช้าซุนไป่หานก็ยื่นมือลงมา ก่อนจะคว้าตัวหมอคนงามขึ้นม้า
“ข้าฝากด้วย”
ไป่หานกล่าวฝากฝังครั้งสุดท้าย ก่อนจะกระตุกบังเหียนม้าและพุ่งทะยานออกไป ท่ามกลางสายตาของหม่าเต๋อหวนที่ได้แต่กำมือจนแน่น กัดริมฝีปากระบายความคับคั่งที่ปวดหนึบปานจะใจขาดสะบั้น
วันนี้เขาก็เพิ่งรู้ว่าลมทะเลที่กำลังโบกพัด กับภาพที่แผ่นหลังหายไปพร้อมกับใครอีกคน ช่างกรีดหัวใจจนเป็นริ้ว…
เจ็บปวด จนยากจะทานทน
♦♦♦♦♦♦♦♦
(ในที่สุดเจ๋อก็มีประโยชน #อย่าว่าน้อง งื้อออออ ส่วนเรื่องแก้ปัญหาอินทผลัมนั้นของลี่จินนั้น...หึหึ หึหึ)