ตอนที่ 20 {ความจริง} พวกเราไปส่งพี่สิงห์กับพี่สะใภ้ในวันถัดมา ไอ้คนขี้ประจบอาสาขับรถไปส่งถึงสนามบินและเจ๊ก็ยินยอมพร้อมใจเสียเหลือเกิน เมื่อคนรักเสือมารวมตัวกันบทสนทนาระหว่างทางส่วนมากจึงเป็นเรื่องของผม
ก็แมนดี นินทากันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ก็ได้ด้วย
กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึก เจ๊ศรีคนดีก็เลยถือโอกาสชักศึกเข้าหาไอ้เสือด้วยการชวนไอ้เอิ้นนอนบ้าน แต่คงเพราะความเหนื่อยสะสมล่ะมั้งครับพอหัวถึงหมอนก็ไปเฝ้าพระอินทร์ทันที ก็ดีครับ ดีกว่าต้องนอนระแวงว่ามันจะลุกขึ้นมาปล้ำทั้งคืน
พอตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็ไม่เจอคนที่นอนอยู่ข้างๆ มาทั้งคืนแล้ว
ผมออกจากบ้านด้วยเสื้อผ้าที่ห่างหายจากมันไปนานกว่า 3 เดือน พร้อมข้าวกล่องในถุงผ้าสีชมพูที่เจ๊ศรีเตรียมไว้ให้ ผมกระชับมันไว้ในมือก่อนจะขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ไอ้แชมป์ที่วันนี้อาสาไปส่งฟรีเพื่อฉลองการกลับไปทำงานอีกครั้งของผม
ถามว่าตื่นเต้นไหม ก็พอๆ กับตอนที่เริ่มงานใหม่เมื่อ 5 ปีก่อน แต่เป็นความตื่นเต้นที่แตกต่าง
ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความกังวล ถ้าเกิดเปิดประตูเข้าไปแล้วไม่เจอน้องดาวล่ะ ผมกลัวความจริงเรื่องนั้นมากจนจิตตก
“คุณเสือกลับมาแล้วเหรอคะ”
เมื่อก้าวเข้าไปในออฟฟิศเสียงเจื้อยแจ้วที่ฟังดูสดใสเป็นพิเศษก็ดังขึ้นทักทาย ผมยิ้มให้เจ้าของเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ หยุดทักทายนิดหน่อยแล้วจึงก้าวเข้าไปด้านใน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งแรกที่ผมจับจ้องคือโต๊ะของน้องดาวที่อยู่ข้างกวินและความกลัวของผมก็เหมือนจะเป็นจริงเมื่อพบว่าโต๊ะตัวนั้นว่างเปล่า
“ดาวยังไม่มาเหรอวิน”
“หลังๆ มานี้น้องมันมาทำงานสายประจำแหละพี่”
“งั้นเหรอ” ขอให้เป็นเพียงแค่การมาสายจริงๆ เถอะ
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
“เปล่า” ผมส่ายหน้าเบาๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่นั่งสบายผิดปกติ เมื่อลองสังเกตดูก็พบว่ามันเป็นเก้าอี้ใหม่ และของใหม่ที่ผมได้รับก็ไม่ใช่แค่เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเครื่องเก่ากลายเป็นโน้ตบุ๊กตัวใหม่แล้ว
“อิจฉาพี่เสือว่ะ ได้ของใหม่ยกชุดเลย”
“เอาไหมล่ะ พี่ยกให้” ทั้งที่เมื่อก่อนผมอยากได้นู่นนี่ใหม่ตลอดแต่เมื่อเขาเปลี่ยนให้กลับไม่รู้สึกดีใจสักนิด
แต่ในเมื่อเขาให้แล้วก็ต้องใช้ใช่ไหมล่ะ
อีเมล์นับ 100 ฉบับค้างอยู่ในกล่องจดหมาย ไล่สายตาดูคร่าวๆ ก็พบว่าส่วนมากเป็นอีเมล์จากลูกค้าแต่ทั้งหมดนั่นก็ไม่น่าสนใจเท่ากับอีเมล์ฉบับล่าสุดที่ถูกส่งเข้ามาเมื่อคืนนี้
Darika_P0102@gmaill.com
ชื่ออีเมล์ไม่คุ้นตาแต่ชื่อคนที่ปรากฏทำให้รีบกดเปิดข้อความแทบจะทันที
พี่เสือ
ตอนที่อ่านอีเมล์นี้พี่เสือคงรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว โกรธดาวใช่มั้ยล่ะคะ พี่เสือจะเกลียดดาวก็ได้เพราะสิ่งที่ดาวทำมันผิดต่อพี่เสือมาก มากเกินกว่าจะได้รับการให้อภัย แต่ดาวก็ยังอยากขอโทษพี่เสืออยู่ดีค่ะ ดาวขอโทษนะคะ ดาวไม่อยากเป็นแค่พนักงานบริษัทตัวเล็กๆ อีกแล้ว แฟนดาวกำลังจะเปิดบริษัทของตัวเอง ดาวอยากมีอนาคตที่ดีค่ะ พี่เสือไม่ต้องให้อภัยดาวก็ได้แต่ช่วยรับคำขอโทษนี้ไว้นะคะ
ดาว
ข้อความสั้นๆ บอกเรื่องราวทั้งหมดได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
ผมผุดลุกจากเก้าอี้อย่างที่ทุกคนซึ่งกำลังนั่งเคลียร์งานเงยหน้าขึ้นมามองอย่างพร้อมเพรียง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ
สองเท้าก้าวเดินไปยังห้องของคนเป็นผู้จัดการ เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับเจ้าของห้องซึ่งนั่งมองมายังประตูราวกับรู้ว่าผมกำลังจะมา
“เอิ้นได้รับจดหมายลาออกจากคุณดาว”
“ได้รับอีเมล์เหมือนกัน” ผมบอกเมื่อนั่งลงตรงข้าม
“ไหวมั้ย”
“ผิดหวังว่ะ”
“อื้อ” ตอบเพียงเท่านั้นก่อนจะเลี่ยงไป “เดี๋ยวเอิ้นต้องรายงานเรื่องนี้”
“น้องจะโดนอะไรบ้างวะ”
“ลักลอบนำเอกสารสำคัญไปเผยแพร่ก็โทษหนักอยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่ทางคณะกรรมการจะพิจารณาตัดสิน อาจจะถึงขั้นโดนแบล็คลิสต์”
“จากบริษัทเราที่เดียวเหรอ”
“ไม่รู้สิ ไม่แน่ว่าคณะกรรมการอาจจะเผยแพร่เรื่องนี้ให้กับกลุ่มธุรกิจสายเดียวกับเราเพื่อเป็นบุคคลพึงระวัง”
“แล้วเอกสารสำคัญที่ว่ามันคืออะไรบ้างวะ”
“พวกสัญญาจ้าง กฎระเบียบ รูปแบบรายงาน และเอกสารอื่นๆ ที่ไม่ควรจะนำออกไปเผยแพร่ให้คนนอกรับทราบ”
“ไม่น่าเลยเนอะ มีทางอีกตั้งมากมายที่จะพาเราไปสู่อนาคตที่ดี น้องดาวมีความสามารถ ไม่น่าเลือกทางนี้เลย”
“ก็เหมือนเวลาเราขับรถ ทางตรงอาจจะขับรถง่าย สะดวก สบาย มีเพื่อนร่วมทางต่างกับทางลัดที่ถึงแม้อาจจะเสี่ยงหน่อยแต่ถ้ามันทำให้เราไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วกว่า บางคนก็เลือกที่จะเสี่ยง เหมือนคุณดาว”
“คนเราเนี่ยมองแค่ภายนอกไม่ได้เลยนะ”
“ใช่ เหมือนเสือ ดูภายนอกโคตรถ่อยแต่ภายในโคตรน่ารัก ขาวด้วย”
“ไอ้เชี่ยเอิ้น มึงนี่แม่ง...”
“มึงที่เสือพูดถึงนี่ใครเหรอ ไม่ใช่พี่เอิ้นใช่มั้ยครับ” เกลียดมัน เกลียดสายตากรุ้มกริ่มของมันที่ทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง “เย็นนี้เสือว่างมั้ย”
“ว่างมั้ง ทำไมเหรอ”
“ไปที่นึงด้วยกันหน่อยสิ”
ผมไม่ตอบอะไร และการไม่ตอบอะไรก็ทำให้อีกฝ่ายฟันธงไปแล้วว่าผมตกลง ก็ไม่เชิงหรอก อย่างไรดีล่ะ ไปก็ไปแหละ
เรื่องของน้องดาวยังคงกวนใจผมอยู่ทั้งวันถึงแม้ว่าตอนเย็นจะมีอีเมล์ชี้แจ้งเรื่องการพักงานของผมและการลาออกอย่างกะทันหันของน้องดาวถึงทุกคนก็ตาม ความอยากรู้อยากเห็นบางอย่างยังคงกวนใจของผม ความรู้สึกเหมือนเศษแก้วเล็กๆ ติดอยู่ที่มือ ถูกมันทิ่มแทงให้รู้สึกเจ็บนิดๆ อยู่ตลอดเวลาแต่ก็ไม่สามารถดึงมันออกไปได้
“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะพี่เสือ เสียดายด้วย น้องมันทำงานโคตรดีแต่ไม่น่าฆ่าตัวเองด้วยการทำแบบนี้เลย”
กวินยังพูดซ้ำๆ ว่าเสียดาย ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
“เดี๋ยวจะหาคนที่เก่งกว่าน้องดาวมาช่วย”
“พูดจริงๆ นะพี่ เก่งไม่เก่งผมไม่เกี่ยง ผมอยากได้คนที่พร้อมจะรับฟัง พร้อมจะเรียนรู้ กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น ผมอยากได้เพื่อนร่วมงาน”
“โตขึ้นเยอะเลยนะมึงอะ วินทำให้พี่โคตรภูมิใจเลยว่ะ”
“ภูมิใจที่ผมเก่งอะนะ”
“เปล่า ภูมิใจที่เลือกคนไม่ผิดไง”
“ผมก็ภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมงานกับพี่เสือ”
“ยอกันไปยอกันมาเนอะ 6 โมงแล้วไม่กลับบ้านเหรอวะ”
“เออพี่ ลืมไปเลยว่ะ เย็นนี้มีเลี้ยงสายรหัส ไปนะ”
“อือ”
“พี่เสือ ฝากปิดเครื่องด้วยสิ”
ไม่รอให้ตอบรับ เจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เปิดหน้าจอค้างเอาไว้ก็วิ่งหายไปซะแล้ว ผมลุกจากเก้าอี้ของตนเองแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ของกวิน วางมือขวาลงบนเม้าส์แล้วลากเคอร์เซอร์ไปยังทูลบาร์ด้านล่าง ลองเปิดรายงานขึ้นมาไฟล์หนึ่งแล้วไล่สายตาดูตัวเลขยอดขาย
“ทำอะไรน่ะเสือ” เจ้าของเสียงหยุดลงข้างๆ
“กำลังจะปิดเครื่อง”
“ยอดขายเดือนสุดท้ายดีมั้ย”
“เหมือนจะดีมั้ง”
“ขอเอิ้นดูหน่อย”
เจ้าของชื่อขยับเข้ามาใกล้อีกจนไหล่แกร่งในเสื้อสูทชนกับไหล่ของผม แขนข้างขวาสอดผ่านด้านหน้าของผมก่อนจะวางมือลงบนมือของผมบนเม้าส์ ครั้นพอจะดึงออกก็ถูกกดเอาไว้ก่อนไอ้คนร้ายกาจจะหันมายักคิ้วให้
“ยอดขายดีเหมือนกันนะ คุณปรีชาต้องเสียดายทีมเราแน่ๆ เสือว่ามั้ย”
“ช่วยไม่ได้อยากหูเบาเอง”
“ไปกันยัง”
“ไปสิ” ผมว่าแล้วกดชัทดาวน์ “ว่าแต่จะไปไหน”
“ไปดูร้านกัน”
“ร้าน? ร้านอะไร”
“ร้านอาหารของเอิ้นไง วันนี้ช่างเข้าไปตกแต่งวันแรก เอิ้นอยากให้เสือไปดูด้วยกัน”
▼▲ ▼▲ ▼
รถยนต์วิ่งไปตามเส้นทางที่คุ้นเคยดีจนต้องเอ่ยปากถามหลังจากเอื้อมมือไปกดเปลี่ยนเพลงที่กำลังดังให้บรรยากาศเงียบเชียบเปลี่ยนเป็นเพลิดเพลิน
“นี่มันทางกลับบ้านนี่” พวงมาลัยถูกหมุนบังคับให้รถเลี้ยวซ้าย
“ร้านอยู่ใกล้ๆ บ้านเสือ” ตอบแล้วก็ยิ้มกว้าง
อย่าบอกว่าอยู่ใกล้เลย ระบุตำแหน่งว่าอยู่หน้าปากซอยบ้านผมเลยดีกว่า ระยะห่างจากร้านไปบ้านผมไม่เกิน 500 เมตร เป็นการเลือกทำเลร้านเหมือนกับจงใจมาอยู่ใกล้ๆ กัน
อาคารพาณิชย์ 4 ชั้นจำนวน 2 คูหาที่เมื่อหลายเดือนก่อนยังมีสภาพกลางเก่ากลางใหม่สีหลุดร่อนจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปปีแล้วปีเล่า บัดนี้ถูกเสกสรรให้กลายสภาพเป็นตึกสีขาวสะอาด พื้นที่ด้านหน้าที่เคยว่างเปล่าบัดนี้ถูกเติมเต็มด้วยโต๊ะเก้าอี้จำนวนหลายชุด ถัดไปด้านหลังตรงกำแพงมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษขนาดใหญ่สีดำติดเอาไว้ว่า ‘SIT HERE’ ถัดลงมาเป็นตัวหนังสือภาษาไทยที่ใช้ฟอนต์เล็กลงมาหน่อยว่า ‘เชิญนั่ง’
“นั่นชื่อร้านเหรอ”
“เก๋มั้ย”
“ติดหูดีนะ”
“เข้าไปดูข้างในกันเถอะ”
อาจเพราะเพิ่งเริ่มตกแต่งภายใน ข้าวของต่างๆ จึงยังคงถูกวางไว้อย่างระเกะระกะ มองไม่ค่อยออกว่าร้านที่ตกแต่งเสร็จแล้วจะออกมาเป็นแบบไหน
“ร้านยังไม่เสร็จดีเลย ข้างนอกนั่นวางเก้าอี้ทำไม”
“คนเดินผ่านไปมาจะได้นั่งไง”
“กลยุทธ์ทางการตลาดเหรอ”
“เปล่า หล่อด้วยมีน้ำใจด้วย”
“เหรอ”
“มีแฟนหล่อ ไม่ภูมิใจเหรอ”
“ใครแฟน แล้วพามาทำไมวะ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”
“เสือชอบกินสปาเก็ตตี้มั้ย”
“จะทำเหรอ”
“ก็กะว่าอย่างนั้น”
“เอาสิ”
ผมเดินตามว่าที่เจ้าของร้านอาหารคนใหม่เข้าไปในครัวที่มีสภาพพร้อมใช้งาน ยืนมองแล้วก็นึกสงสัยจนอีกฝ่ายเฉลยให้ฟัง
“เอิ้นมาฝึกบ่อยๆ น่ะ ครัวก็เลยพร้อมใช้งานแบบนี้ไง”
“งั้นก็แปลว่าเริ่มทำมานานแล้วน่ะสิ”
“ก็ตั้งแต่วันที่เสือเจอลลินที่ห้องเอิ้น”
“คุณลลินเป็นหุ้นส่วนเหรอ” คนที่กำลังหยิบของออกจากตู้เย็นอย่างคล่องแคล่วเอี้ยวตัวมองผม ยิ้มแล้วส่งกล่องพลาสติกใบหนึ่งมาให้
“ลลินเป็นแค่หุ้นส่วนทางธุรกิจแต่เสือเป็นหุ้นส่วนหัวใจ” เหมือนไอ้เจ้าของร้านอาหารรู้ว่าพูดแบบไหนแล้วทำให้ผมเขินอายได้ ครับ ใบหน้าผมนี่เห่อร้อนลามไปถึงลำคอแล้ว
พักหลังมานี้ทุกการของกระทำของไอ้เอิ้นทำผมเขินไปหมด
“รีบทำอาหารเถอะ เดี๋ยวเสือออกไปจัดโต๊ะ”
“ไม่อยู่ช่วยกันก่อนเหรอ”
ถ้าขืนยังอยู่ในครัวมีหวังได้กินขนมครกแทนสปาเก็ตตี้แน่ๆ หยอดกูไม่มีพักมีผ่อนเลย
ผมนั่งลงบนเก้าอี้หลังจากที่ลากมันออกมาตั้งไว้ในบริเวณที่โล่งที่สุด ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ เป็นสปาเก็ตตี้ที่หน้าตาน่ากินมาทีเดียว
“กินได้จริงเหรอ” ผมลองเอาส้อมเขี่ยเส้นเมื่อถาม ก็รู้หรอกว่ามันกินได้ก็แค่แซวเล่น บางทีเสือก็มีอารมณ์ขี้เล่นบ้างเหมือนกัน
“ไม่ใช่แค่กินได้นะ อร่อยเลยแหละ”
“มีความมั่นใจสูงมาก แล้วถ้าไม่อร่อยให้ตีป่ะ”
“ก็ได้ แต่ถ้าอร่อยเสือให้เอิ้นจูบป่ะ”
“ไม่” ผมปฏิเสธให้คนตรงหน้าขำ สายตาที่มองผมยังคงเต็มไปด้วยความเอ็นดูเช่นเดิม ผมชอบนะ มองตาไอ้เอิ้นแล้วรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“เดี๋ยวเสือกินไปก่อนเลย เอิ้นไปเอาน้ำมาเสิร์ฟ”
สปาเก็ตตี้ร้านเชิญนั่งอร่อยมากครับ คำแรกที่ลิ้นสัมผัสให้ความรู้สึกเหมือนตัวกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าซึ่งอาจจะเป็นที่มาของคำว่าอร่อยเหาะ
“เสือ”
“หืม” ผมขานรับแล้วแหงนหน้ามองต้นเสียงทั้งที่เส้นสปาเก็ตตี้ยังคาอยู่ที่ปาก ยังไม่ทันได้เห็นหน้าคนเรียกสัมผัสนุ่มหยุ่นก็ประทับลงบนแก้มจนเกิดเสียงดังจุ๊บ
ไอ้เอิ้นแม่งฉวยโอกาสจูบแก้มผมเฉยเลย
พอถอนริมฝีปากออกก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเองทำหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นปล่อยให้ผมนั่งคาบเส้นสปาเก็ตตี้อึ้งกิมกี่อยู่ลำพัง
“กินเลอะ เป็นเด็กหรือไงฮะ”
สติยังไม่ทันกลับมาก็ถูกจู่โจมอีกครั้งด้วยนิ้วเรียวที่ปาดลงบนเรียวปากของผมแผ่วเบาราวกับยั่วเย้า
“ใจเต้นแรงเลยล่ะสิ”
“ก็งั้นๆ แหละ” ใครจะกล้ายอมรับว่าหัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระเด็นกระดอนออกมานอกอกล่ะ เสียฟอร์มหมดสิ
“เรากินข้าวเย็นด้วยกันทุกวันได้มั้ย”
“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวเจ๊ศรีงอน”
“ก็กินที่บ้านเสือบ้างแล้วก็กินที่บ้านเอิ้นบ้างไง สลับกัน เอิ้นอยากกินข้าวกับเสือทุกวันเลย”
“บางวันก็อยากไปกินเหล้ากับพวกไอ้วินเหมือนกันนะ”
“เสือไม่อยากกินข้าวกับเอิ้นทุกวันเหรอ”
“ไม่อะ ถ้ากินข้าวด้วยกันทุกวันก็ไม่มีเวลาให้คิดถึงกันสิ” ใบหน้าที่เคยบูดบึ้งถูกแต้มด้วยรอยยิ้มกว้างอีกครั้ง
“ลึกซึ้งนะเนี่ยแฟนใครก็ไม่รู้”
“หยุดเลย” ผมยกมือขึ้นดันใบหน้าคนที่ตั้งท่าจะโน้มเข้ามาหาก่อนจะออกแรงดันให้ถอยไปจุดเดิม “แล้วเปิดร้านเมื่อไหร่วะ”
“ต้นเดือนหน้า นี่เอิ้นยื่นใบลาออกแล้วนะ”
“มั่นใจแล้วเหรอว่าจะออกมาทำเต็มตัว ทำไมไม่ทำงานไปด้วยแล้วก็ดูแลร้านไปด้วยล่ะ”
“เอิ้นไม่อยากจับปลาสองมือ”
“แต่มันเสี่ยงนะ ถ้าเกิด...”
“ถ้าสุดท้ายมันจะไปไม่รอดอย่างน้อยเอิ้นก็ภูมิใจที่เอิ้นได้ทุ่มเททำมันด้วยแรงของตัวเอง เอิ้นรู้ว่าเสือเป็นห่วง ช่วยอยู่ข้างๆ เป็นกำลังใจให้เอิ้นนะ”
“สปาเก็ตตี้อร่อยขนาดนี้ ใครไม่ได้มากินต้องเสียดายไปทั้งชาติแน่ๆ เดี๋ยวช่วยเขียนรีวิวลงเว็บไซต์ดีกว่าเนอะ”
“ขอบคุณนะเสือ”
“ไม่ต้องมาทำซึ้งหรอก เราเป็นอะไรกันล่ะ ถ้าไม่ช่วยกันแล้วใครจะช่วย ว่าแต่ใครจะขึ้นเป็นผู้จัดการคนใหม่ หรือย้ายมาจากที่อื่น”
“เอิ้นไม่รู้ แล้วเสือล่ะตัดสินใจจะทำงานต่อใช่มั้ย”
“จนกว่าจะมั่นใจว่ากวินแข็งแกร่งพอที่จะทำงานด้วยตัวเองได้ ที่จริงก็ไม่อยากอยู่ต่อหรอก เบื่อว่ะแต่ก็ทิ้งน้องมันไม่ได้”
“เอิ้นจะช่วยกำชับ HR ให้รีบหาคนนะ”
“อือ รอบนี้ตอนสัมภาษณ์ขอให้กวินเข้าด้วยนะ”
“เอาสิ คนที่เรารับมาต้องทำงานร่วมกับวินอยู่แล้ว เขามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ”
▼▲ ▼▲ ▼
1 เดือนผ่านไปเร็วมาก ทำงานไม่นานเวลาก็ล่วงเลยมาถึงวันที่ 31 มกราคมซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการทำงานของผู้จัดการคนปัจจุบันแล้ว
พอเลิกงานปุ๊บพวกเราก็เฮโลกันมาที่ร้านเหล้าของเพื่อนไอ้วินทันที
“คุณเอิ้นครับ ร้องเพลงให้เราฟังซักเพลงนะครับ” หลังจากเสียงเพลงจากพี่ประชาสัมพันธ์จบลง กวินซึ่งทำหน้าที่เป็นพิธีกรวันนี้ก็เรียกชื่อว่าที่อดีตผู้จัดการเชื้อเชิญให้ขึ้นไปร้องเพลงบนเวที
คนถูกเรียกมองหน้าผม ลังเลที่จะขึ้นไป แน่สิ ไอ้เอิ้นร้องเพลงได้ที่ไหนล่ะ
“ผมร้องเพลงไม่เป็นครับ ส่งเสือขึ้นไปร้องแทนได้มั้ย”
ผมร้องอ้าวเมื่ออยู่ๆ งานก็เข้า และแทนที่ไอ้พิธีการจะเล้าหลือต่อ ไม่เลยครับ กวักมือเรียกผมยิกๆ แถมคนที่นั่งด้านหน้าเวทีก็ส่งเสียงกดดันให้รีบขึ้นไปข้างบนนั้นอีก โดนขนาดนี้มีหรือที่เสือจะปฏิเสธได้ลงคอ
เมื่อผมลุก ไอ้คนข้างๆ ก็ลุกด้วย พอผมเดินตรงไปยังเวทีมันก็ยังคงเดินตามมา คำถามคือ
“ตามมาทำไม”
“ก็กวินเรียกเอิ้น”
“ก็เขาเรียกเสือแล้ว เอิ้นจะตามมาทำไมอะ”
“ก็กวินเรียกเอิ้น” อะไรของมัน ยังเถียงกันไม่ทันจบเรื่องก็เดินมาถึงเวทีซะแล้ว
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวเมื่อเราทั้งคู่ปรากฏตัวบนเวทีให้รู้สึกเขินนิดหน่อย
“กล่าวอะไรซักหน่อยมั้ยครับคุณเอิ้น”
“ได้ครับ”
ว่าที่อดีตผู้จัดการรับไมค์มา เขากวาดสายตามองว่าที่อดีตเพื่อนร่วมงามแล้วยิ้ม
“ต้องบอกว่าที่เรายังคงยืนหยัดกันอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะความร่วมมือของทุกคน ด้วยสภาพเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาอาจจะทำให้การเติบโตของยอดขายน้อยกว่าในทุกๆ ปี”
เอิ้นถอนหายใจ
“ตอนที่ผมถูกย้ายมาที่นี่ ทุกคนคงไม่รู้ว่าผมถูกย้ายพร้อมกับภาระอันหนักอึ้ง ผมได้รับโจทย์มาว่าต้องกระตุ้นยอดขายให้บริษัทมีกำไรเพิ่มมากขึ้นจากปีทีแล้วไม่ต่ำกว่า 10% ดูข่าวเศรษฐกิจแล้วก็หนักใจครับ แต่ยังไงก็ต้องมา เพราะอยากเจอใครซักคน”
ท้ายประโยคดวงตาคมที่แฝงด้วยความสุขเหลือบมองมายังผมให้รู้ว่าใครคนนั้นคือเสือเอง
“ถ้ากำไรน้อยกว่า 10% จะเกิดอะไรขึ้นเหรอครับคุณเอิ้น หรือว่าเพราะกำไรเราไม่ถึง 10% คุณเอิ้นถึงต้องลาออก”
“ไม่ใช่ครับ” คนถูกถามส่ายหน้า “ถ้ากำไรไม่ถึง 10% สำนักงานใหญ่มีนโยบายจะปิดบริษัทที่ไทย”
เสียงอื้ออึงดังขึ้นทันทีที่จบประโยค มือหนายกขึ้นกลางอากาศเพื่อบอกให้ทุกคนเงียบเสียง
“น่าเสียดายที่ปีนี้กำไรของเราเพิ่มขึ้นเพียง 9% อาจจะไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้แต่ก็ยังเป็นผลประกอบการที่ไม่ได้ถือว่าเลวร้ายนัก บริษัทยังคงมีการเติบโตเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่ทำธุรกิจประเภทเดียวกันในประเทศนี้ เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนตั้งใจทำงานกันต่อไปครับ เราก็เหมือนเรือนะ ถ้าเราช่วยกันพายสุดท้ายเราก็ถึงฝั่ง”
รอยยิ้มอ่อนโยนถูกแจกจ่ายไปทั่วทั้งร้าน
“ผมดีใจครับที่ชีวิตพนักงานออฟฟิศของผมจบลงที่นี่ มันเป็นความภาคภูมิใจที่อย่างน้อยช่วงหนึ่งของชีวิตถึงแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ผมก็ได้ทำงานกับคนที่มีประสิทธิภาพกลุ่มหนึ่ง ขอบคุณที่ถึงแม้บางครั้งจะท้อแต่คุณก็ลุกขึ้นมา ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีๆ ทั้งหมดครับ ขอบคุณจริงๆ พวกคุณสุดยอดมาก”
เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง ดังกว่าครั้งก่อนซัก 10 เท่าได้ หลายคนถึงกับลุกขึ้นปรบมือเลยทีเดียว แปลกนะ ทั้งที่พวกเขาไม่ได้ปรบมือให้ผมซักหน่อยแต่ผมกลับรู้สึกปลาบปลื้ม แล้วเจ้าของเสียงปรบมือที่แท้จริงล่ะจะปลาบปลื้มซักแค่ไหนกันนะ
“เอาล่ะ วันนี้ผมมีเพลงมอบให้ทุกคนแต่ว่าผมร้องเพลงไม่ได้ เสียงมันแย่มากครับก็เลยจะฝากเสือร้อง ขอดนตรีครับ”
หันไปบอกนักดนตรีแล้วจึงก้มลงมากระซิบบอกชื่อเพลงที่ข้างหูของผม
เพลง ‘คนข้างๆ’ ที่ถูกขับร้องโดยผมอาจจะไม่เหมือนต้นฉบับสักเท่าไหร่แต่การที่ทุกคนโบกมือไปตามจังหวะเพลงก็ทำให้รู้สึกดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ต้องยกความดีความชอบให้คนเลือกเพลงนั่นแหละครับ อยากรู้เหมือนกันว่ามันเลือกเพลงมาจากบ้านหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ใช่ก็ต้องยอมรับว่าเอิ้นเป็นคนที่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีเยี่ยมมากทีเดียว
“พี่เสือของเรานอกจากทำงานเก่งแล้วยังร้องเพลงเพราะมากๆ เลยครับ ทำไมเป็นคนเพอร์เฟคขนาดนี้ครับเนี่ย”
ต้องตอบด้วยเหรอ แม้จะไม่ค่อยมั่นใจแต่ผมก็เอาไมค์มาจ่อปาก
“หล่อด้วย ทำงานเก่งด้วย ร้องเพลงเพราะด้วย แต่จนครับรับเลี้ยงได้นะ”
“เอิ้นรับเลี้ยงครับ”
เสียงกรี๊ดที่ผมเคยฟังแล้วรู้สึกดีบัดนี้กลับทำให้ผมอยากแทรกแผ่นดินหนี มาหยอดอะไรต่อหน้าสาธารณะชนวะ ตัวเองลาออกไปแล้วก็พูดได้สิ แต่ผมเนี่ยต้องทำงานกับคนเหล่านี้ต่อนะไม่คิดว่าผมจะอายบ้างเหรอ
“ใครบางคนที่คุณเอิ้นอยากจะมาเจอก่อนตัดสินใจย้ายมาที่นี่คือพี่เสือเหรอครับ”
“ใช่ครับ เสือเป็นเพื่อนคนพิเศษ และผมก็มีเพลงอยากมอบให้เพื่อนคนพิเศษเหมือนกันแต่ต้องขอให้เขาช่วยร้อง เสือจะช่วยเอิ้นมั้ย”
คือยังไงวะ คือต้องร้องเพลงให้ตัวเองเหรอ มันไม่ดูแปลกเหรอวะ หากยังไม่ทันได้ตอบรับเสียงดนตรีก็ดังขึ้นซะแล้ว ตามมาด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ ที่ดังขึ้นข้างๆ หูเพื่อบอกชื่อเพลง
“เพลงอะไรนะ ไม่เคยได้ยินชื่อเลย”
“ไม่เอาแล้ว ของ Crazy Adults ที่เอิ้นเปิดในรถตอนที่เรานั่งมาที่นี่ไง”
นี่คนนะไม่ใช่ตู้เพลง สายตาผมบอกมันอย่างนั้น แต่ไอ้เอิ้นก็ยังเล้าหลือให้ร้อง ผมยืนถือไมค์เงยหน้ามองเพดานทบทวนเนื้อเพลงที่เคยผ่านเข้าหูขณะที่ดนตรีเล่นไปแล้วกว่าครึ่งเพลง
“ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่เป็นแล้ว แค่เพื่อนเธอ
ปล่อยเอาไว้ อาจไม่พ้นฉันต้องเสียใจ
ถ้าบอกรัก บอกว่ารัก เธอจะคิดว่ายังไง
รบกวนเธอ ให้ลองเผยใจ ว่าฉันมีสิทธิ์ไหมเธอ”
ความหมายดีมากๆ อะครับ ร้องไปก็เขินไป คนฟังก็เขิน คนร้องยิ่งเขินเข้าไปใหญ่ ส่วนคนขอให้ร้องหน้าบานเป็นจานดาวเทียมจนอยากเอาปลาแห้งไปวางบนหน้ามัน
ด้วยความเขินอายที่มีจนแทบจะซึมออกมาทุกรูขุมขนทำให้ผมโยนไมค์ให้ไอ้พิธีกรทันทีเมื่อเพลงจบก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ ลงจากเวทีด้วยกลัวว่าจะมีเพลงต่อๆ ไป
พอซักทีเถอะ บรรยากาศหวานเลี่ยนพวกนั้นน่ะ หวานจนเบาหวานถามหาแล้วครับ
นักร้องมือสมัครเล่นผลัดเปลี่ยนกันขึ้นไปร้องเพลงขับกล่อมพวกเราจนเวลาล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงคืน ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดที่เพิ่มสูงขึ้นช่วยให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นไปอีก
“เรามาแดนซ์กันดีกว่าทุกโค้นนนน~”
พิธีกรของงานใบหน้าเริ่มเปลี่ยนสี น้ำเสียงเริ่มควบคุมไม่ได้ ถ้าดื่มอีกนิดผมคิดว่ามันต้องล้มพับบนพื้นเวทีแน่ๆ
พอกวินพูดจบเสียงดนตรีจังหวะสนุกๆ ก็ดังขึ้นให้โยกตัวตามจังหวะ ผมไม่ใช่ขาแดนซ์หรอกแต่เมื่อบรรยากาศพาไป หัว ตัวและขาก็เผลอขยับไปตามจังหวะทุกที
“ออกไปเต้นสิ” คนเป็นเจ้าของงานที่วันนี้ดื่มน้อยเป็นพิเศษโน้มใบหน้าเข้ามาบอกผม
“เต้นเป็นที่ไหนล่ะ เอิ้นก็ออกไปเต้นสิ”
“เต้นไม่เป็นเหมือนกัน”
“คุณเอิ้นเชิญทางนี้หน่อยค่ะ” จบประโยคแขนคนที่บอกว่าเต้นไม่เป็นก็ถูกคว้าแล้วดึงให้เดินตามขึ้นไปบนเวที พี่อรคุยอะไรสักอย่างกับเอิ้น ไม่นานเจ้าตัวก็ยอมโยกตัวไปมา ทื่อฉิบหายครับ ผมที่ว่าเต้นไม่เป็นเลยยังโยกตัวได้พลิ้วกว่า
เห็นภาพนั้นแล้วก็อดขำไม่ได้ ถ่ายคลิปเก็บไว้คงดี
ดังนั้นผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดถ่ายคลิป ยาวๆ ไปครับ ถ้าเจ้าตัวเห็นว่าตัวเองเต้นยังไงคงอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีแน่ๆ
“เหนื่อยอะ” โยกๆ ไปเพลงเดียวก็กลับมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ แล้วบ่น
“เดี๋ยวให้ดูอะไร” ผมหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากดเปิดคลิปแล้วยื่นไปตรงหน้าระดับสายตา
“เฮ้ย! ตลกอะเสือ”
“ใช่มั้ย โคตรตลกแต่ไม่ลบหรอกนะ จะเก็บไว้ดูเวลาเครียด”
“ได้ แค่เอิ้นทำให้เสืออารมณ์ดีได้เอิ้นก็มีความสุขแล้ว”
“คร้าบบบ~ ทำไมวันนี้ดื่มน้อยจัง ดื่มเยอะๆ สิ งานเลี้ยงส่งตัวเองทั้งที”
“เสือก็ดื่มน้อย”
“ก็จะได้ขับรถให้ไง ดื่มเถอะ”
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
เท่านั้นแหละ กระดกเหล้าอย่างกับน้ำเปล่า กว่างานจะจบ กว่าเหล้าจะหมดจากบริษัทที่มีแต่คนก็กลายเป็นบริษัทที่มีแต่หมา นอนเรี่ยราดเต็มพื้นที่ไม่ต่างจากหมาหน้าเซเว่นสักเท่าไหร่เลย
มีต่อ ด้านล่าง