วันเปี่ยมรัก.20
ไม่ได้กินบัวลอยเพราะผู้ใหญ่เปี่ยมงอนไปซะก่อน แค่แหย่ไปนิดเดียวไม่รู้ทำไมถึงต้องโกรธและทำท่ากระฟัดกระเฟียดโมโหใส่ขนาดนั้น กำลังจะได้ต่อปากต่อคำกันอีกนิด ก็พอดีกับที่ลุงแสงกับป้าพร คนที่วันก่อนผู้ใหญ่เปี่ยมไปช่วยเปิดทางน้ำออกจากนาให้ทัน โชคดีต้นข้าวไม่ต้องเน่าตายอยู่ในนา วันนี้ทั้งลุงแสงกับป้าพรเลยหิ้วของมาขอบคุณ
“สาโทของดีเลยนะผู้ใหญ่”
ของดีแค่ไหนก็ไม่กล้ากิน เพราะรู้ตัวเองว่าถ้าขืนกินเข้าไปคงได้สลบคาโต๊ะและผู้ใหญ่เปี่ยมก็ทำเพียงแค่ส่งยิ้มให้
“เดี๋ยวเก็บไว้กินแน่ ๆ”
ความจริงคือยังไงก็ต้องแจกแน่ ๆ และศิวัฒน์ที่เพิ่งรู้เรื่องบางอย่างจากแม่ผู้ใหญ่เปี่ยมก็รีบบอกแบบยิ้ม ๆ
“ผู้ใหญ่ไม่เปิดชิมเลยล่ะ ป้าพรกับลุงแสงแกอุตส่าห์เอามาให้ ไม่ชิมให้แกเห็นเสียน้ำใจแย่”
เหล่ตามองคนที่ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงและผู้ใหญ่เปี่ยมก็มองหน้าศิวัฒน์อย่างคาดโทษ
“วัน”
“อะไรเหรอ ทำไมล่ะ ผู้ใหญ่คออ่อนเหรอ”
โดนเอ็ดแต่ก็ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แกล้งพูดและส่งยิ้มให้ผู้ใหญ่เปี่ยมที่มองมาเหมือนไม่รู้จะทำยังไง เห็นแล้วมันก็ทำให้รู้สึกสะใจขึ้นมานิด ๆ นาน ๆ ทีถึงจะมีโอกาสเอาคืนผู้ใหญ่เปี่ยมได้บ้าง
“คือว่า...”
“กินเลยมั้ยผู้ใหญ่ เดี๋ยวเราหยิบแก้วให้”
กลายเป็นคนดีมีน้ำใจและเป็นมิตรกับชาวบ้านขึ้นมาทันที ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนแบบนี้ ศิวัฒน์หยิบแก้วมาวางไว้ให้ เพื่อให้ผู้ใหญ่เปี่ยมได้กินสาโทกับลุงแสงเพื่อเป็นการแสดงถึงความมีมนุษย์สัมพันธ์อันดีอย่างล้นเหลือ ทั้งที่ความจริงแล้วต้องการแกล้งผู้ใหญ่เปี่ยมมากกว่าและคนที่ไม่อยากเสียฟอร์มก็ต้องจำใจยอมกินสาโทที่ได้รับเป็นของฝาก
“มา ๆ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วของดีก็ต้องลองจริงมั้ยผู้ใหญ่”
ของดีอยากลองก็ได้ แต่ไม่ควรเป็นตอนนี้ และศิวัฒน์ก็ยิ้มกว้างเมื่อเห็นผู้ใหญ่เปี่ยมมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจอย่างเห็นได้ชัด มาถึงขนาดนี้แล้วคงปฏิเสธไม่ได้
“ครับ ๆ กินก็กิน”
+++
“วันไม่เมาเหรอ”
โดนถามแบบนั้นและศิวัฒน์ก็หรี่ตามองหน้าคนที่เริ่มพูดไปยิ้มไปดวงตาที่มองมาหวานเชื่อมผิดปกติจากทุกวัน
“แค่นี้ไม่ทำให้เราเมาได้หรอก”
“เหรอ”
ผู้ใหญ่เปี่ยมพยักหน้ารับและยิ้มกว้าง มองหน้าของศิวัฒน์นิ่ง ๆ เอียงคอมองและพูดออกมาเสียงเบา
“แต่เราเมา”
ใครจะเชื่อว่าเมาจริง แล้วอยู่ดี ๆ ผู้ใหญ่เปี่ยมก็ซบหน้าลงบนโต๊ะทันที มองแค่นี้ก็ดูออกว่าคงแกล้งทำ และทั้งลุงแสงกับป้าพรที่เอาสาโทมาให้ก็หัวเราะด้วยความขำ
“นั่นไง ข้าว่าแล้ว ไม่มีทางเกินสองขวด”
“ผู้ใหญ่นี่คอไม่แข็งเอาซะเลยนะ พับไปแล้ว ผู้ช่วยคงต้องพาผู้ใหญ่ไปนอนแล้วล่ะ สภาพนี้ไม่น่าจะไหว”
ดูเหมือนเรื่องที่ผู้ใหญ่เปี่ยมกินเหล้ามากไม่ได้จะเป็นเรื่องที่รู้กันทั้งหมู่บ้าน และศิวัฒน์ก็มองไปที่คนที่ซบหน้าแนบอยู่กับโต๊ะโดยไม่เหลือฟอร์มอะไรอีกแบบนี้จะหาว่าล้อเล่นก็ไม่น่าเป็นไปได้
“นั่นไงว่าแล้ว เผลอไม่ทันขาดคำ”
แม่ของผู้ใหญ่เปี่ยมเดินมาดูและเมื่อเห็นสภาพของลูกชายที่เมาพับไปก่อนใครก็ได้แต่ส่ายหน้า
“งั้นลุงกับป้ากลับก่อนนะผู้ช่วย”
“ครับ ๆ สวัสดีครับ”
ยกมือไหว้ลุงแสงกับป้าพรที่ลากลับไปแล้วเหลือแค่ศิวัฒน์คนเดียวที่ตอนนี้ยังกลับไม่ได้
“วัน ป้ารบกวนหน่อยเถอะ ป้าแบกไม่ไหวจริง ๆ”
ก็คงจะต้องช่วย เพราะถ้าไม่ช่วยก็คงไม่มีใครแบกผู้ใหญ่เปี่ยมที่ตัวหนักขนาดนี้ไปนอนได้ ลุกขึ้นและช่วยกันประคองผู้ใหญ่เปี่ยมเข้าบ้านอย่างทุลักทุเลและแม่ของผู้ใหญ่เปี่ยมก็บ่นไม่หยุด
“เนี่ย เป็นแบบนี้ คอไม่แข็งก็ยังจะฝืน ทำเนียน ๆ ปลีกตัวออกมาก็ได้ ทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้ ป้าบอกวันแล้ววันหลังต้องมาชวนผู้ใหญ่ก๊งเหล้าหน่อย ไม่งั้นมันก็จะเป็นแบบนี้ไปตลอด”
ที่จริงก็ควรจะปลีกตัวออกมาได้ แต่เป็นเพราะศิวัฒน์ที่แกล้งให้ผู้ใหญ่เปี่ยมต้องกินสาโทเพราะกลัวเสียฟอร์ม เรื่องนี้ใครจะกล้าบอก เดี๋ยวแม่ผู้ใหญ่เปี่ยมก็รู้กันพอดีว่าใครเป็นสาเหตุทำให้เมา
“ผู้ใหญ่เปี่ยม ได้ยินแม่มั้ย ผู้ใหญ่เปี่ยม”
แม่ของผู้ใหญ่เปี่ยมพยายามเรียกชื่อลูกชายตอนที่ช่วยกันประคองเข้าบ้าน เรียกแล้วเรียกอีกแต่ก็ไม่เห็นว่าจะรู้สึกตัว จนสุดท้ายก็พาผู้ใหญ่มาล้มตัวลงนอนบนเตียงได้
“มันก็เป็นซะแบบนี้ บอกให้หาเมียซะจะได้มีลูกมีเมียคอยดูแล ป้าพูดจนปากจะฉีกเคยสนใจซะที่ไหน”
แค่ได้ยินไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บนิด ๆ ที่หัวใจ ศิวัฒน์ไม่รู้จะพูดอะไรดี มองหน้าของคนที่เมาพับหลับอยู่บนเตียงแล้วก็แอบถอนหายใจ
“ตั้งแต่เลิกกับศิตาไป ป้าก็ไม่เคยเห็นผู้ใหญ่เหลียวแลผู้หญิงที่ไหนอีก ถ้าวันมีเพื่อนดี ๆ ก็แนะนำให้ผู้ใหญ่หน่อยเถอะ อายุก็เพิ่มขึ้นทุกวันป้าก็เป็นห่วง”
ผู้ใหญ่เปี่ยมเคยมีคนที่คบหาถึงขั้นอยู่กินด้วยกันเรื่องนี้ใคร ๆ ก็รู้
“ถือว่าช่วยป้า ช่วยผู้ใหญ่เปี่ยมแล้วกันนะวัน”
พยักหน้ารับแม้ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า และแม่ผู้ใหญ่เปี่ยมก็ฝากให้ดูคนที่เมาหลับอยู่บนเตียง
“ป้าจะไปเอาผ้ามาให้ผู้ใหญ่เช็ดหน้าเช็ดตาหน่อย วันอยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวป้ามา”
แม่ของผู้ใหญ่เปี่ยมเดินออกจากห้องไปแล้ว และศิวัฒน์ก็หันมามองคนที่นอนอยู่บนเตียง ไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงดี ไม่รู้ว่าควรทำอย่างที่แม่ของผู้ใหญ่เปี่ยมบอกหรือเปล่า ได้แต่ถอนใจยาวและไม่รู้ว่าทำไมต้องอยู่ในห้องของผู้ใหญ่ต่อไปอีกในเมื่อช่วยแบกพามาส่งถึงบนเตียงขนาดนี้แล้ว กำลังจะหันหลังเพื่อเดินจากห้องแต่เสียงเรียกของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็ทำให้ต้องหันกลับไปมอง
“วัน...”
ผู้ใหญ่เปี่ยมมองมาที่คนที่ยืนอยู่และพยายามจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งแต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจคิด
“เมาไม่ใช่เหรอผู้ใหญ่ จะลุกขึ้นมาทำไม”
บอกให้ผู้ใหญ่เปี่ยมนอนลงและผู้ใหญ่เปี่ยมก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ยกหลังมือขึ้นปิดตาตัวเองทั้งที่ยังอยู่ในสภาพที่ยังมีสติไม่ครบเท่าไหร่
“ไม่ต้องพาใครมาแนะนำเราทั้งนั้นเลยนะ”
พูดแบบนี้แสดงว่าไม่อยากให้เป็นพ่อสื่อให้จริง ๆ สินะแต่ถ้าแม่ของผู้ใหญ่เปี่ยมขอร้องมาแล้วจะให้ปฏิเสธยังไง
“ผู้ใหญ่ยังติดใจเรื่องนี้อยู่อีกเหรอ”
เอ่ยถามด้วยความสงสัยและผู้ใหญ่เปี่ยมก็ลดมือที่ปิดตาลงและหันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างเตียง
“วันก็อีกคน ว่าเราอยู่ได้ เราไม่ได้ไปติดแม่ค้าขายบัวลอยนะ วันอย่ามาปรักปรำเราแบบนี้”
“อ่อ”
พยักหน้ารับและศิวัฒน์ก็ยกแขนขึ้นกอดอก มองคนที่นอนบนเตียงและผู้ใหญ่เปี่ยมก็มองตรงมาเหมือนกัน
“ไม่ว่าแม่เราจะบอกหรือพูดอะไร วันไม่ต้องไปเชื่อเลยนะ”
จะเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ถ้าผู้ใหญ่เปี่ยมจะไปรักไปชอบใครมันก็เป็นสิทธิส่วนตัวคงไม่มีปัญญาจะไปห้ามได้
“บอกไว้ก่อน ถ้าไม่ใช่วัน ไม่ว่าใครเราก็ไม่เอา”
+++
คำพูดของผู้ใหญ่เปี่ยมเมื่อวันก่อนยังติดอยู่ในหัวอยู่ตลอด และคนได้ยินก็บอกตัวเองว่าอย่าไปคิดมากหรือสนใจ บางทีอาจจะเป็นเพราะเมา หรือบางทีอาจเป็นเพราะไม่พอใจถ้าจะเป็นพ่อสื่อให้ และมันคงไม่มีอะไรมากกว่านั้น และศิวัฒน์ก็ปล่อยให้ทุกอย่างเลือนหายไปเหมือนไม่เคยได้ยินคำพูดนั้นมาก่อน ทำงานด้วยกันตามปกติ ทำตัวเหมือนปกติ แล้วทุกอย่างก็จะผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเอง
ศิวัฒน์ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ใหญ่เปี่ยมถึงได้ขยันยั่วโมโหและชอบแกล้งทำให้หงุดหงิดใจอยู่ตลอดเวลา ขอให้ได้แหย่ขอให้หยอกให้ได้แซวบ้างได้ทำแบบนั้นแล้วผู้ใหญ่เปี่ยมคงสบายใจ และถึงแม้จะโดนด่ากลับไปกี่ครั้งก็ไม่เห็นสะทกสะท้าน จนบางครั้งก็ใช้วิธีการหยุดความกวนประสาทของผู้ใหญ่เปี่ยมด้วยความเงียบและดูเหมือนจะได้ผลมากซะด้วย
ศิวัฒน์เพิ่งรู้ตัวว่าเดี๋ยวนี้เผลอคิดเรื่องของผู้ใหญ่เปี่ยมอยู่บ่อย ๆ แม้กระทั่งวันนี้ที่เพิ่งเลิกงานและกำลังขับรถกลับบ้าน ในระหว่างที่รถติดก็อดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและก็เห็นข้อความที่ส่งมาให้เหมือนเดิม บางครั้งเป็นการทักทายด้วยข้อความ บางครั้งเป็นสติกเกอร์บ้าง ถึงแม้เวลาเจอกันจะโดนแกล้งให้โมโหและขัดใจอยู่บ่อย ๆ แต่ในวันปกติที่ต่างคนต่างไปทำหน้าที่ของตัวเอง ก็ไม่เคยโดนก่อกวนและไม่เคยสร้างความวุ่นวายให้ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ศิวัฒน์นึกชื่นชมอยู่ในใจ ตอนเจอหน้ากันทะเลาะกันบ้าง แต่ในเวลาปกติ ผู้ใหญ่เปี่ยมก็มีความเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ทำตัวเหมือนเด็กให้ต้องรำคาญ ครุ่นคิดอะไรไปเรื่อย ๆ แล้วก็เผลอยิ้มออกมา วันนี้ดูเหมือนจะมีเรื่องอยากคุยถึงได้ส่งข้อความมาบอกว่าถ้าพอมีเวลาว่างขอให้โทรกลับด้วยก็เลยโทรกลับไปและผู้ใหญ่เปี่ยมก็ชวนคุย
“ว่างแล้วเหรอวัน”
“อือ ผู้ใหญ่มีอะไรเราเห็นผู้ใหญ่ส่งข้อความมา”
พูดเข้าประเด็นเพราะไม่อยากให้เสียเวลาและผู้ใหญ่เปี่ยมก็พูดเรื่องที่ต้องการจะพูดทันที
“คืออย่างนี้ พอดีทางอำเภอให้งบสำหรับการฝึกอบรมให้กับหมู่บ้าน เราก็เลยอยากจะปรึกษาวันหน่อย”
ทำไมต้องปรึกษา มั่นใจว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงบประมาณที่ทางอำเภอส่งมาให้หมู่บ้านแน่ ๆ แต่ถ้าผู้ใหญ่เปี่ยมเกริ่นมาขนาดนี้ก็คงไม่พ้นเรื่องเดิม ๆ คงจะขอให้ช่วยอะไรอีกแน่ ๆ
“คราวนี้อะไรอีกล่ะ ผู้ใหญ่พูดกับเรามาตรง ๆ เลยดีกว่าไม่ต้องอ้อมค้อม”
ในเมื่อเปิดโอกาสให้แบบนี้ก็ไม่มีจำเป็นที่จะต้องยกเหตุผลอื่นมาอ้างอีก
“งั้นตรง ๆ เลยนะวัน คือเราอยากให้วันช่วยมาเป็นวิทยากรอบรมคอมพิวเตอร์ให้ชาวบ้านหน่อย”
สิ่งที่ผู้ใหญ่เปี่ยมบอกทำให้ศิวัฒน์ต้องเลิกคิ้วขึ้นและถามด้วยความสงสัย
“เราเนี่ยนะ”
“ใช่ วันเนี่ยแหละ เราเห็นวันเก่งคอมขนาดนี้ทำไมจะเป็นวิทยากรไม่ได้ แค่สอนเบื้องต้นเพื่อให้สามารถใช้โปรแกรมพื้นฐานได้ เปิดปิดคอมและใช้อินเตอร์เน็ตได้ก็พอแล้วแค่นั้นเองนะวัน ช่วยหน่อยเถอะ”
โดนข้อร้องให้ช่วยอีกแล้ว และถึงแม้จะเป็นเรื่องที่พอทำได้แต่บางทีก็ไม่ได้มั่นใจในตัวเองมากพอที่จะสอนใคร ปกติไม่ค่อยชินกับการพูดคุยกับชาวบ้านคนอื่น ๆ และทุกวันนี้ก็ถูกมองว่าหยิ่งจนไม่มีใครอยากเข้าใกล้แล้ว ไหนจะเรื่องราวสมัยเด็ก ๆ ที่ยังฝังใจจนถึงตอนนี้อีกแล้วจะทำอย่างที่ผู้ใหญ่เปี่ยมขอร้องมาได้ยังไง
“แล้วถ้าเราปฏิเสธล่ะ”
“งั้นก็...ไม่เป็นไร...เราก็พอเข้าใจได้อยู่หรอก”
ดูเหมือนว่าเรื่องจะจบแค่นั้น ผู้ใหญ่เปี่ยมไม่ได้เซ้าซี้อีกเพียงแค่พูดบางอย่างทิ้งเอาไว้เล็กน้อยก่อนจะวางสาย
“เราไม่รบกวนแล้วนะ เรื่องที่เราอยากให้วันเป็นวิทยากรมาช่วยอบรมคอมพิวเตอร์เบื้องต้นให้ชาวบ้าน วันไม่ต้องคิดมากนะ เราเข้าใจ เราแค่เสียดายนิดหน่อยก็ตรงที่ วันเป็นคนมีความรู้ความสามารถ เราอยากให้ลองเปิดใจเพื่อให้โอกาสตัวเองได้ทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ บ้างแค่นั้น แต่ถ้าวันไม่อยากทำก็ไม่เป็นไร เราเข้าใจ เราก็แค่มาขอร้องวันในนามของชาวบ้านที่ขาดโอกาสในการได้พัฒนาตัวเองแค่นั้นเอง”
+++
โดนพูดใส่แบบนั้นถ้าไม่ยอมเป็นวิทยากรช่วยอบรมคอมพิวเตอร์ให้กับชาวบ้านก็คงไม่ได้ ผู้ใหญ่เปี่ยมเป็นแบบนี้เสมอ ฉลาดที่จะหลอกล่อให้ตกหลุมที่ขุดเอาไว้และศิวัฒน์ก็รู้ตัวว่าใจไม่แข็งพอที่จะปฏิเสธแบบจริงจัง สุดท้ายก็เลยได้มานั่งฟังการประชุมประจำเดือนของหมู่บ้านด้วย เป็นการประชุมที่จัดขึ้นง่าย ๆ ในเย็นวันเสาร์ที่ชาวบ้านทุกคนหมดภาระจากงาน
“มากันพร้อมแล้วนะครับ”
ผู้ใหญ่เปี่ยมคนที่ศิวัฒน์รู้จักกับผู้ใหญ่เปี่ยมคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าชาวบ้านเหมือนเป็นคนละคนกัน เคยสงสัยมาตลอดว่าเวลาอยู่ต่อหน้าชาวบ้านผู้ใหญ่เปี่ยมวางตัวยังไงและตอนนี้ก็ได้เห็นแล้ว
“วันนี้ผมมีเรื่องที่จะแจ้งด้วยกัน 3 เรื่อง เรื่องแรกเป็นเรื่องเร่งด่วน เรื่องการปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร ถ้าใครไม่ได้มาในวันนี้ก็ขอให้ฝากไปบอกคนอื่น ๆ ด้วย ว่าให้มาลงชื่อได้ ส่วนเอกสารการขึ้นทะเบียนถ้าผมทำเสร็จเรียบร้อยจะมาติดไว้ที่ป้ายประกาศหน้าศาลา ขอให้มาตรวจสอบรายชื่อให้เรียบร้อย เผื่อใครที่รายชื่อตกหล่นจะได้เร่งดำเนินการแก้ไขก่อนส่งรายชื่อไปที่อำเภอ”
การประชุมดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ และเป็นเรื่องที่ศิวัฒน์เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ในระหว่างการประชุมศิวัฒน์ได้ยินป้าสองคนที่นั่งอยู่ใกล้กันกำลังพูดถึงใครบางคนที่ศิวัฒน์ไม่รู้ว่าเป็นใคร
“ถ้าไม่ใช่เรื่องขึ้นทะเบียนเกษตรกรจ้างให้ก็ไม่มีใครมาหรอก คนก็น้อยเหมือนที่ผ่าน ๆ มานั่นแหละ”
“ก็ว่างั้น แล้วคนที่นั่งหน้านั่น ศิตาเมียเก่าผู้ใหญ่เปี่ยมไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงกล้ามาล่ะ สมัยก่อนหอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่บ้านผู้ใหญ่เปี่ยมเป็นปี ใคร ๆ ก็รู้กันทั่ว ตอนหลังไม่รู้ยังไง เห็นว่าหนีไปอยู่กรุงเทพตอนนี้กลับมาแล้วเหรอ”
“แต่กลับมาคราวนี้สวยเลยนะ แล้วผู้ใหญ่เปี่ยมจะว่ายังไงล่ะคราวนี้”
“ยังจะกลับไปเอากันอีกเหรอ เลิกกันไปตั้งนานแล้วนะ”
“ว่าไม่ได้หรอก วัวเคยค้าม้าเคยขี่ เคยเป็นผัวเมียกัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ”
ไม่ได้อยากรู้เรื่องของใคร แต่จังหวะที่ชาวบ้านลุกขึ้นไปลงทะเบียนและมีเสียงคุยกันมันก็มีจังหวะให้เกิดการนินทากันได้ ถึงไม่อยากใส่ใจแต่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรเลยก็เป็นไปไม่ได้
ศิตาคนที่ว่าเป็นผู้หญิงผิวขาว ผมยาว รูปร่างหน้าตาดี จัดว่าสวยเมื่อเทียบกับผู้หญิงในหมู่บ้านคนอื่น ๆ และตอนที่ศิตาเดินไปลงชื่อศิวัฒน์ก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของผู้ใหญ่เปี่ยมเปลี่ยนไป
“คนมันเคยเป็นผัวเป็นเมียกันมาก่อน จะมองกันขนาดนั้นก็ไม่แปลกหรอก ศิตามันสวยขึ้นจากเมื่อก่อนด้วย เห็นมีแต่คนไปเทียวไล้เทียวขื่อตลอด จะไม่หึงไม่หวงเมียเก่าเลยก็คงแปลก”
ป้าสองคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าคุยกันไม่หยุด และศิวัฒน์ก็รู้สึกแปลก ๆ เมื่อได้รู้เรื่องที่ไม่เคยรู้ วันนี้แค่มาเข้าร่วมประชุมเพราะต้องชี้แจงเรื่องที่ผู้ใหญ่จะแจ้งกับชาวบ้านที่มาร่วมการประชุมด้วยแค่นั้น แต่ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาฟังเรื่องส่วนตัวของผู้ใหญ่เปี่ยมกับเมียเก่าที่ชื่อศิตา
ศิวัฒน์หยิบเอกสารในมือที่เตรียมเอาไว้สำหรับแจ้งในที่ประชุมขึ้นมาอ่านและมีเรื่องที่ทำให้รู้สึกแปลกใจตัวเองนิดหน่อย อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจและไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเพียงแค่ได้เห็นหน้าศิตา ผู้หญิงสวย ๆ ที่เคยเป็นเมียของผู้ใหญ่เปี่ยมมาก่อนแค่นั้น
TBC.