>….ตอนที่ 42 [100%]….<
มันเป็นเรื่องตลกที่ภูริยังไม่สามารถสลัดภาพของอีธานออกจากหัวไปได้ แม้ว่าตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนเครื่องบิน นี่เป็นครั้งแรกของเขาแท้ๆ แต่เขากลับไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับมันเลย วิวด้านนอกเป็นท้องฟ้าที่มืดทึบ ยิ่งขึ้นที่สูงก็ยิ่งเห็นแต่ก้อนเมฆกับท้องฟ้าว่างโล่ง
มันดูเปล่าเปลี่ยวยังไงบอกไม่ถูก...
ภูริพยายามเอนกายแล้วนอนหลับตา มันอยากนอนนะ อยากพักผ่อน เพราะฝืนต่อไปแบบนี้เขาก็รู้ตัวเองดีว่ามันจะไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ถึงจะไม่เคยอกหัก แต่เรื่องเครียดที่เขาเจอมาในชีวิตไม่ใช่น้อยๆ เรื่องของอีธานเขาทำได้แค่ทำใจ
เอาแต่ใจไม่ได้หนิ...ไม่มีสิทธิ์
ลืมตาขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่เขาประกาศว่าเครื่องบินกำลังจะลงจอด ทั้งเขาและเพื่อนต้องเตรียมตัวเพื่อจะเดินทางไปที่พักต่อ เวลานี้เกือบสี่ทุ่มเต็มที แอบหิว ข้าวเย็นไม่ได้กินไง ไม่รู้ไปถึงที่พักแล้วจะหาอะไรกินได้ไหม
จะว่าไป ปกติสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้ราคาอาหารเครื่องดื่มจะแพงเป็นพิเศษ งั้นเขาควรที่จะแวะเซเว่นเพื่อเอาของกินยัดใส่กระเป๋าเข้าไปไหมนะ ความหิวทำให้โฟกัสของภูริไปอยู่ที่ร้านอาหารข้างทาง สมองประมวลผลอย่างรวดเร็วว่าจะกินอะไร จนกระทั่งมันเลยทุกร้านและมาถึงที่พักในที่สุด
อ่าว...กูอดแล่กซะงั้น
ทั้งไหล่ทั้งคอลู่ตกไปตามแรงโน้มถ่วงของโลกอย่างไม่อาจต้านทานได้ เจอเรื่องดราม่าแล้ว ยังต้องมาอดกินมาม่าอีก อะไรวะ นี่เขาเอ๋ออะไรนักหนาก็ไม่รู้ เดินตามหลังเพื่อนไปยังบังกะโลก็หงุดหงิดตัวเองไปด้วย ไม่เกรงใจเพื่อนจะตบหัวตัวเองเรียกสติสักที แต่ไม่เอา กลัวเจ็บ
บรรยากาศรอบที่พักดีมาก แต่ขอโทษ ตอนนี้ไม่อิน พอดีหิว ความหิวทำให้คนหัวเสียได้ง่ายเสียยิ่งกว่าซะอีก หรือไม่จริง ดูอย่างผู้หญิงสิ ถ้าหิวนะ จะกลายร่างเป็นกอซซิล่าแล้วพ่นไฟทันที นึกแล้วน่ากลัว พอดี...ภาพแม่ตอนโมโหแว้บเข้าหัว
“นายจะกินอะไรก่อนปะ” มาถึงห้องซึ่งเป็นบังกะโลขนาดเล็ก รายล้อมไปด้วยต้นไม้ต้นหญ้า สายลมจากท้องทะเลพัดเข้ามาทำให้เกิดความรู้สึก...เหนียวตัว
“ไม่อะ เราเพลียๆ เดี๋ยวขอพักเลยแล้วกัน” เพื่อนเห็นว่าเขาซึมกระทื่อมาตั้งแต่ไปเจอที่ป้ายรถเมลก็ไม่กล้าทักท้วงอะไร ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ สองทีให้ภูริแล้วแยกไปเตียงริมห้องน้ำ
เออ...ต้นไม้ใบหญ้าเยอะแบบนี้นี่จะมีงูโพล่มาไหม?
ภูริเปลืองสมองไปกับการครุ่นคิดว่างูมันจะหลุดรอดเข้ามาในที่พักของตนเองไหม แต่พอเข้ามาในห้องแล้วความกลัวงูก็พลันหายไป อะไรเหรอ บรรกาศดีมาก โอ้ย น่าเอาอีธานมาสวีท เห่อๆ เพ้อเจ้อ แม่งน่ากลัวต่างหาก!
เจ้าตัวเดินไปยังเตียงริมหน้าต่าง เพื่อนครับ มึงเอาริมหน้าต่างให้เขาเนี่ยแอบคิดอะไรเหรอ? คิดว่าถ้ามีผู้หญิงเดินผ่านหน้าต่างไปจะได้ไม่ตกใจใช่มะ แล้วเขาล่ะ เขาต้องเป็นฝ่ายเผชิญโชคงั้นสินะ โอ้ย...ขอกลับไปเจอดราม่ากับอีธานดีกว่าเจอผีนะเว้ย
ยุบหนอพองหนอ ไม่เอาหน่าภูริ มึงกลับไปหาเขาไม่ได้แล้ว ตัดกันแล้วไง จบกันแล้ว ไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในกันและกันอีก ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็ไม่มีสิทธิ์นั้นมาตั้งแต่แรก เขาก็แค่ถลำลึกลงไปเองเท่านั้น เพ้อเจ้อกว่าคนอ่านก็น่าจะเป็นเขาเองเนี่ยแหละนะ
เอางี้ เท่าที่ฟังเรื่องผีมา ภูริค้นหาเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกงตัวเองออกมา จากนั้นยกมือไหว้หัวเตียงพร้อมกับบอกกล่าวเจ้าของห้อง ซึ่งเขาก็ไม่รู้หรอกว่าจะเป็นใครอะไรยังไง แต่บอกไว้ก่อน จากนั้นเอาเหรียญสิบบาทวางไว้ที่หัวเตียงแล้วค่อยจัดการเก็บข้าวของ
“เอ่อ...” หันมาอีกทีเห็นเพื่อนยืนมอง แววตาตั้งคำถาม ไมอะ เขาเรียกเช่าเตียงไง ถือว่าวันนี้เตียงนี้เขาเช่านอนนะเว้ย ห้ามมากวน อะไรเงี่ย ไม่เข้าใจเหรอ
“นายกลัวผีเหรอ”
“เพื่อความปลอดภัย” ภูริยิ้มแห้งๆ ทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าเพื่อนก็รู้สึกเก้อไปเหมือนกันเนอะ พอดีว่าเป็นเพื่อนซี้ที่ไม่ได้สนิทอะไรกันขนาดนั้น
‘บ้าบอน่ะคุณ ผมบอกกี่รอบต่อกี่รอบแล้วว่าผีมันไม่มีจริง มันก็แค่สิ่งที่คุณจินตนาการมันขึ้นมาเท่านั้น แค่คุณเลิกกลัว คุณก็จะไม่เจอมันแล้ว แล้วการเอาเหรียญไปวางไว้แบบนั้นมันคงไม่ช่วยอะไรหอก เพ้อเจ้อที่สุด’
หึ...นั่นสินะ ถ้าอีธานอยู่ก็คงพูดแบบนี้กับเขา และอาจจะบ่นยาวแม้ว่าเขาจะเอาผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำไปแล้วก็ได้ ภูริถอนหายใจยาวๆ ในนี้ไม่มีอีธาน และจะไม่มีอีธานในชีวิตเขาอีก ถ้าเขาจะคิดมาก จะเพ้อเจ้อ เขาควรไปคิดเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องนี้อีก
มัน...ไม่ดีกับความรู้สึกเลย
ภูริกลั้นใจอาบน้ำในห้องน้ำที่เรียกว่าน่ากลัวกว่าห้องนอน คนคิดคอนเซปนี่เขากะว่าจะไม่ติดหลอดไฟนีออนในห้องพักเหรอ ต้องเป็นหลอดไฟที่ให้แสงสีส้มๆ สลัวๆ พอดีไม่ใช่คนโรแมนติก ก็เลยไม่รู้สึกว่าบรรกาศแบบนี้น่าสวีทอะไรกับใครนอกเสียจากนั่งเล่าเรื่องผีในวันปิดเทอม บรรยากาศมันได้มากจริงๆ นะ เสียงลมเสียดสีใบไม้ด้านนอกนั่นก็ช่างทำให้นึกถึงเสียงหวีดร้องของหญิงสาว
โอ้ย เขาควรคิดเรื่องอะไรดีวะ ไม่เรื่องอีธานก็เรื่องหิว ไม่เรื่องหิวก็เรื่องผี ทางเดียวที่จะไม่คิดอะไรเลยก็คือนอนหลับไปซะ พอแต่งตัวด้วยชุดนอนกากๆ ของตัวเองเรียบร้อยภูริก็กระโดดขึ้นเตียงอย่างไว ในขณะที่เพื่อนเขาเตรียมตัวออกไปหาอะไรกินข้างนอก เขาก็อยากไปนะ แต่คิดไปคิดมา…นอนดีกว่า
เขาพยายามหลับตาบนที่นอนสีขาวสะอาด กลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่มฟุ้งกระจายยิ่งกว่าน้ำยาปรับผ้านุ่มที่อีธานใช้ เจ้านั้นจะชอบกลิ่นที่ดูสะอาดๆ ไม่เชิงกลิ่นเหมือนโรงพยาบาลนะ แต่เขาก็ไม่รู้จะพูดยังไงให้เข้าใจว่ากลิ่นสะอาดมันเป็นยังไง เอาเถอะ รู้แค่ว่ามันต่างกันมากจนทำให้เขารู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาว่าเขาไม่ได้กำลังนอนยู่ในห้องนั้นแล้ว
แอร์เย็นๆ เป็นสิ่งที่ชวนให้เคลิ้มหลับได้ง่าย ไม่ว่าจะตอนอยู่บนรถ อยู่บนเครื่องบิน หรือตอนที่อยู่ในห้องของอีธาน ทว่าห้องนี้กลับไม่ชวนเขาหลับอย่างที่ควรจะเป็น ภูริพลิกซ้ายทีขวาทีสลับไปมา สักพักเสียงลมที่พัดเข้ามากระทบหน้าต่างก็ทำให้เขาตกใจจนเกือบสะดุ้ง หรือว่า...เขาควรออกไปกินข้าวกับเพื่อนตั้งแต่แรกวะเนี่ย เอาวะ ตัดสินใจหันหน้าไปอีกด้านตรงข้ามกับหน้าต่าง มีอะไรผ่านไปมาจะได้ไม่ต้องเห็น แล้วที่สำคัญเอาเพลงมาเปิดฟังด้วยครับผม!
‘นี่คุณ! ผมบอกกี่ครั้งว่าอย่าใส่หูฟังนอนแบบนี้ เดี๋ยวมันเข้าไปพันคอตอนคุณหลับหายใจไม่ออกก็ตายรู้ไหม แถมไฟฟ้ามันก็รั่วจากเครื่องไปยังหูฟังจนถึงคุณได้ ถอดมันออกเดี๋ยวนี้เลยนะ ถ้าจะฟังก็เปิดลำโพงฟังเบาๆ เอาสิ’
“ขี้บ่น” ภูริตอบเสียงในหัว เสียงที่ไม่ใช่บทเพลงที่เขาฟัง แต่มันคือเสียงของอีธานที่บ่นเขาประจำเวลาที่เขาใส่หูฟังนอนแบบนี้
ถ้าเขาดื้ออีธานจะเดินมาดึงหูฟังเขาออก ปล่อยให้เขามองหน้าและริมฝีปากที่กำลังขยับเป็นคำบ่นนั้นแล้วก็เอามือถือเขาไปวางไว้ที่อื่น อ้อใช่ อีธานบอกว่าคลื่นอะไรสักอย่างจากมือถือมันจะทำลายสมอง ทำให้ตื่นมาไม่สดชื่น ปวดหัว และอาจกระทบถึงส่วนอื่นๆ ได้อีกด้วย เหมือนคุณครูกำลังสอนเด็กนักเรียนเลย ภูรินึกถึงแล้วก็อมยิ้มอยู่เพียงลำพัง
เสียงเพลงและภาพของอีธาน...ทำให้เขาลืมหิวและลืมกลัวจนหลับไป
พรุ่งนี้เช้ามีงานรอยู่ และพรุ่งนี้เช้าความรู้สึกของเขาก็จะถูกรีสตาร์ทใหม่ให้สดใสไฉไลยิ่งกว่าวันนี้ วันที่อะไรก็ไม่รู้เข้ามากระทบกระทั่งกับความรู้สึกของเขามากเสียเหลือเกิน แต่ไม่เป็นไรหรอก มีสุขก็ต้องมีทุกข์ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่โคตรของโคตรจะธรรมดาเลย
แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณสาดส่องเข้ามายังโซฟากลางห้องโถง เสียงพิธีกรรายการทอร์กโชว์กำลังหัวเราะร่ากับการที่แขกรับเชิญถูกแกล้ง อีธานมองรอยยิ้มของพิธีกรด้วยสายตาหม่นหมอง เขาเปิดทีวีทิ้งไว้แบบนี้ นั่งดูรายการที่เขาก็ไม่รู้ว่าสาระมันอยู่ตรงไหนมาทั้งคืน เพราะว่า...เขานอนไม่หลับเลย
ภูริชอบดูรายการนี้ ดูแล้วก็นั่งหัวเราะอยู่ข้างๆ กับเขา ทว่าพอหันไปในวันนี้ ข้างกายของเขามันว่างเปล่า อีธานหันกลับไปที่หน้าจอทีวีอีกครั้ง ทั้งที่มันก็ดูเป็นมุกตลกที่คนทั่วไปขำ แต่อีธานไม่รู้สึกขำด้วย เขาปิดมันลง แล้วไปจัดการอาบน้ำอาบท่า
เสียงสายน้ำและการฮัมเพลงที่ได้ยินอยู่เกือบทุกเช้าวันนี้มันไม่มี พื้นห้องน้ำแห้งเพราะไม่มีใครใช้มันก่อนหน้าเขาตื่นเหมือนอย่างทุกวัน อีธานยืนนิ่งอยู่หน้าห้องน้ำครู่ใหญ่ นึกถึงคนที่เรียกเขาในตอนเช้าแทนนาฬิกาปลุก คนที่บอกให้เขาเร็วๆ นะเดี๋ยวไปทำงานสาย คนที่นั่งจัดกระเป๋าเสร็จก่อนทั้งที่เขายังอาบน้ำไม่เสร็จ และเป็นคนที่หลับรอเขาแต่งตัวอยู่บนเตียง
เขาต้องเอาผ้าขนหนูนี่นะ อีธานเดินไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบผ้าขนหนูสีน้ำเงินเข้มของตนเองพาดบ่า จากนั้นเข้าไปอาบน้ำอาบท่าแล้วออกมาแต่งตัวเพื่อจะไปทำงาน ร่างสูงอดนอนมาสองวันแล้ว และเขาก็รู้สึกว่าตัวเองตาลายไปเหมือนกัน อีธานนั่งผูกเน็กไทอยู่ตรงขอบเตียง ข้างๆ เป็นเสื้อสูทสีดำทางการวางเอาไว้อย่างประณีต หลังผูกไทเสร็จต้องไปจัดกระเป๋าและออกไปทำงาน
ทว่า...สายตาดันไปสะดุดกับบางอย่าง
มันคือสมุดวาดรูปเล่มน้อยของภูริ สงสัยจะเก็บแค่เสื้อผ้าไปก็เลยลืมเอาของชิ้นโปรดติดตัวไปด้วย อีธานนั่งลงที่เดิม ไล่เปิดหน้ากระดาษที่เขาเองก็ไม่เคยแอบเอามาเปิดดูตั้งแต่หน้าแรก ภูริวาดรูปไม่เก่งเลย ลายเส้นตรงไปตรงมาแต่ก็ไม่เป็นรูปเป็นร่างสวยงามเท่าไหร่นัก
เปิดมาเรื่อยๆ ก็หยุดอยู่ที่หน้าหนึ่ง เป็นสองหน้ากระดาษที่เต็มไปด้วยร่องรอยของปากกา มีแต่ปากกาสีน้ำเงิน สีแดงและสีดำ ที่โดดเด่นออกมาก็คงเป็นปากกาสีน้ำเงินอีกอันหนึ่ง มันแตกต่างเพราะไม่ใช่ปากกาลูกลื่น แต่เป็นปากกาหมึกซึมสั่งทำของอีธานเอง นี่เป็นหน้าที่เขาลงไปนอนวาดเล่นกับภูริในคืนหนึ่ง
ตรงกลางของภาพเป็นรูปตัวการ์ตูนล้อเลียนตัวเขาซึ่งถูกภูริวาดขึ้น มีร่องรอยการแทรกของเขาด้วยน้ำหมึกที่แตกต่างกันเพื่อให้ภาพการ์ตูนมันสวยกว่าภูริวาด จากนั้นเขาก็วาดล้อเลียนภูริข้างๆ ตัวการ์ตูนล้อเลียนเขา จำได้ว่าภูริเปลี่ยนไปวาดอย่างอื่นเล่นด้านขวามือ เขาก็เลยวาดเล่นด้านซ้ายมือ ภาพนี้ดูโดยรวมไม่สวยเลย มันดูเละเทะเหมือนเด็กสองคนแย่งหน้ากระดาษกันวาดมากกว่า
แต่ว่า...ในความยุ่งเหยิงมันก็สวยงามด้วยตรงกลาง จุดที่ตัวการ์ตูนของเขากับตัวการ์ตูนภูริยืนเคียงกัน ส่วนนั้นไม่มีอะไรเละเทะเข้าไปแทรกเลยสักอย่าง เหมือนพวกเขาจริงๆ นะ เหมือนความสัมพันที่ดูมั่วซั่วแต่ก็ไม่ได้แย่อะไร มันอาจยุ่งเหยิง อาจจะสับสน แต่ถ้ามองมันเป็นอาร์ท มันก็สวยในแบบของมัน
ร่างสูงนั่งจ้องภาพนั้นไม่ยอมละสายตา เป็นภาพง่ายๆ ทว่ายิ่งมองมันก็ยิ่งนึก มองมันก็ยิ่งตอกย้ำว่าเขามันแย่เอง อีธานพยายามสงบสติตัวเอง กลืนก้อนบางอย่างที่มันตีขึ้นมาในคอ แต่พอเขากลืนมันลง...ขอบตาก็ดันร้อนวาบเสียอย่างนั้น
มึงทำตัวเองอีธาน!
คำนี้ก้องอยู่ในหัวเขาทั้งคืน เขามันทำตัวเอง แล้วเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าใช่...เขาทำตัวเองจริงๆ เขาพยายามหาเหตุผลทุกอย่างมารองรับความรู้สึก มารองรับการกระทำที่เขาได้ทำมันลงไปแล้ว ใจหนึ่งเขารู้สึกว่าเขาทำถูกแล้ว แต่อีกใจมันก็เป็นอย่างนี้ ทรมานอยู่แบบนี้ไง
เหมือนเอามีดมากรีดใจตัวเองด้วยน้ำมือของตัวเอง อีธานรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ในตอนนี้ ปลายนิ้วลากไล้ไปตามลายเส้นธรรมดาๆ บนหน้ากระดาษ ดวงตากระพริบถี่ก่อนที่จะทนมันไม่ไหว เขาก็ปิดหน้าสมุดลงแล้วถือมันใส่กระเป๋าทำงานของตัวเอง
เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ที่ไม่พร้อมคือตัวเขาเอง อีธานยืนตัวตรง มองเข้าไปในกระจก สบตากับตัวเองราวกับต้องการให้ตัวเองเห็นความเข้มแข็งที่มี ทว่า...เขาเห็นคนอ่อนแอหนึ่งคนในนั้น
ไม่มีใครเร่งให้เขาลุกจากที่นอนเร็วๆ อีกแล้ว ไม่มีใครบ่นอยู่ในรถว่ารถติดสุดๆ ต้องทำงานสายแน่ๆ สายหนึ่งนาทีภูริก็นับว่าสายเกินไป บ้างานยิ่งกว่าเขาที่เป็นถึงระดับบริหาร โดยมีเหตุผลว่า ถ้าสายเกินสามครั้งจะไม่ได้เบี้ยขยัน มันตลกนะ เบี้ยขยันแค่หกร้อยน้อยกว่าค่าคอมพ์ของเจ้าตัวไปเยอะ ยังจะหวงอีก แต่ก็นั่นแหละ...อีธานก็พยายามจะส่งภูริเข้างานให้ทันในทุกวัน
กลิ่นกายของภูริยังคงเจือจางอยู่ในรถของเขาไม่ยอมหายไปไหน มันค่อยๆ อ่อนลงไปเรื่อยเหมือนกับช่วงเวลาที่ภูริค่อยๆ หายไปจากชีวิตของเขา อีธานได้แต่มองเบาะข้างคนขับ ที่ที่จะมีคนคอยเตือนตลอดว่าอย่าลืมแวะซื้อข้าวนะ อย่าลืมแวะซื้อกาแฟด้วย ภูริเป็นคนติดกาแฟโบราณมากๆ ไม่ได้กินจะหงอยมาก แต่ถ้าได้กินก็จะเหมือนเด็กที่เจอกับกองของเล่น
บนทางเดินไม่มีคนข้างกาย ไม่มีใครเที่ยวแจกยิ้มให้สาวน้อยสาวใหญ่หรือแม้แต่หนุ่มๆ เรี่ยราด ลิฟต์ว่างเปล่า มีเขาคนเดียวที่ยืนอยู่ในนี้และปล่อยให้มันเคลื่อนตัวไปยังชั้นบนสุด มีอย่างหนึ่งที่อีธานลืม เขาลืมไปว่าเขาไม่ควรกดชั้นที่สิบแปด ชั้นที่ภูริทำงาน
‘จูบผมหน่อย’
ก่อนประตูลิฟต์จะเปิด ก่อนร่างโปร่งจะตรงไปเป็นพนักงานในคนหนึ่งในบริษัท บางครั้งภูริก็จะขอเขาแบบนี้ แค่ตอนนี้มันไม่มีแล้วเท่านั้นเอง ใช่ไหม…แค่ขาดคนบางคนไป คนคนหนึ่งที่บังเอิญเข้ามาโดยเขาไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับต้องออกไปจากชีวิตเขาด้วยตัวเขาเอง
อาการปวดจี๊ดพุ่งขึ้นสู่สมอง อีธานหลิ่วตาลงเล็กน้อยเพราะมันปวดเหมือนมีเข็มทิ่มแทง อาจจะเป็นไมเกรนก็ได้ เขาคิดแบบนั้น เพราะเขานอนไม่หลับมาสองวันแล้ว เมื่อวานก็ยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยงกับเย็น ซึ่งแน่นอนว่าเช้านี้ก็เช่นกัน
ไม่ใช่เพราะขาดภูริถึงเป็นแบบนี้ เขาก็แค่…เครียดนิดหน่อย อีธานคิดว่าแบบนั้น เขาพยายามเมินความรู้สึกของตัวเองที่มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา เพราะถ้าเขาปล่อยให้มันมามีบทบาทมากกว่านี้ ตัวเขาเองอาจไม่มีแม้แรงจะเดินเข้าห้องทำงานของตัวเอง
เรี่ยวแรงมันหายไปพร้อมกับแผ่นหลังนั้นอันเป็นภาพสุดท้ายของภูริ
ไม่อยากรู้สึกแบบนี้เลย มันทรมานยังไงบอกไม่ถูก เหมือนตอนเลิกกับลีออนเหรอ อีธานเริ่มตั้งคำถาม ซึ่งคำตอบมันก็คือคล้าย แต่ตอนนั้นอีธานมีความเจ็บแค้นในใจทำให้ตัวเองไม่จมลงไปในอดีตที่สวยงามระหว่างตนเองกับอีกฝ่าย
แต่กับภูริมันไม่ใช่แบบนั้น
ภูริไม่ได้ผิดอะไรเลยนะอีธาน…มีเสียงหนึ่งในหัวบอกกับเขา ซึ่งมันก็ใช่ ภูริไม่ได้ผิดอะไร แต่ภูริก็เลือกที่จะเดินจากเขาไปไม่ใช่เหรอ ภูริหันหลังให้เขา ทิ้งเขาเอาไว้ในห้องนั้นเพียงลำพัง
ไม่! เขาสิ มันคือเขาเองที่ต้องการอยู่คนเดียว นี่ไงอีธาน นี่คือตัวคนเดียวอย่างที่ต้องการ นี่คือชีวิตที่ตัวเองปรารถนา มีความสุขสิ ต้องแฮปปี้กับชีวิตไม่ใช่มองไปทางไหนก็เอาแต่เห็นภาพของภูริกับตนเองไปหมดแบบนี้
อ่อนแรงทั้งร่างกายและจิตใจ อีธานเริ่มรู้สึกว่าตัวเองประสาทเสียขึ้นทุกนาที ในทุกๆ ก้าวที่เขาเยื้องย่างไปนั้น ตอกย้ำความสับสน ความย้อนแย้งของเหตุผลและความรู้สึก ภายนอกไม่ต่างอะไรกับอีธานที่เห็นอยู่ทุกๆ วัน ทว่าความรู้สึกที่แผ่กระจายออกมาจากตัวอีธานนั้นไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง
อลันรู้ตัวว่าอีธานมาถึงที่บริษัทก่อนที่ตัวลิฟต์จะเปิดหลายวินาที เจ้าตัวรู้สึกขนลุกขนพองประมาณหนึ่งกับรังสีคุกคามที่ถูกปล่อยออกมาจากอัลฟ่าระดับสูง อีธานที่ปกติสามารถควบคุมพลังของตนเองได้ ทำไมวันนี้ถึงไม่ควบคุมมัน?
และเมื่ออลันสบตากับอีธาน อลันก็รู้ด้วยความรู้สึก เจ้านายตนเองนั้นไม่มีเรี่ยวแรงจะควบคุมพลังตามธรรมชาติของตนเองต่างหาก เขาอยากจะเข้าไปประคอง ท่าทีอ่อนแรงนั้นไม่สมกับเป็นอีธานเลย
“ท่านดูเหมือนไม่สบาย ผมว่าวันนี้ท่านพักดีไหมครับ” ใบหน้าขาวจัดของอีธานซีดจนหาสีเลือดไม่เจอ ดวงตาหม่นหมองและอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด
“ผมโอเค แค่นอนไม่หลับ”
“งั้นรับยานอนหลับสักเม็ด แล้วพักดีกว่าครับท่าน เดี๋ยวผมไปเอายามาให้ ถ้าทำงานทั้งแบบนี้ ผมเกรงว่าท่านจะไม่ไหวเอา” อลันเอ่ยด้วยท่าทีสุภาพและเป็นมิตร อีธานไม่มองหน้าเลขาคนสนิท แค่พยักหน้าแล้วเดินเข้าห้องทำงานของตัวเองไป
สมุดโน้ตสำหรับวาดรูปของภูริถูกหยิบออกมาก่อนสิ่งใด แม้ว่างานในกระเป๋าหรือเครื่องมือสื่อสารจะสำคัญ ทว่าอีธานในตอนนี้กลับสนใจแค่ลายเส้นเหมือนเด็กวาดในหน้ากระดาษนี้มากกว่า ก็คิดเสียว่า…มองภาพการ์ตูนง่อยๆ ระหว่างรอยาจากอลันเท่านั้น
อีธานหยุดเปิดไว้ที่หน้าเดิม หน้าที่เขาวาดเล่นกับภูริครั้งแรก ภาพวันนั้นย้อนกลับมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่สองแล้วของวันนี้ แถมห่างจากครั้งแรกแค่ชั่วโมงเดียว เขามองตัวการ์ตูนล้อเลียนที่ภูริวาดแล้วจากนั้นความคิดทุกอย่างของเขาก็หยุดลง
เหตุผลมากมายมันหายไปและความรู้สึกกลับเด่นชัดขึ้นทุกนาที…
ระหว่างเรามันวุ่นวายที่ตัวเขาเองใช่ไหม…
ระหว่างเรามันแย่ลงก็เพราะตัวเขาเองอีกใช่หรือเปล่า…
เขามันปากร้าย เขามันพูดจาไม่เคยเพราะ แต่ภูริก็ไม่เคยว่าอะไรเลย อีธานคิดว่าภูริไม่ว่าเพราะไม่กล้า แต่ความจริงภูริก็แค่มองสิ่งที่เขาเป็นนั้นเป็นเรื่องปกติ ภูริเฉยชากับส่วนที่คนอื่นอาจมองว่าเป็นข้อเสียของเขา แถมบางครั้งเจ้าตัวยังเย้าเบาๆ ว่าขี้บ่นด้วยรอยยิ้มอีก
ไม่ไหว…เหนื่อยที่จะคิด เหนื่อยที่จะรู้สึก เขาผิดเองเรื่องเมื่อวาน เป้าหมายน่ะมันไม่ใช่เรื่องไม่ดีแต่เขาทำมันไม่ถูกต้องเอง บางทีเขาไม่จำเป็นต้องทะเลาะกับภูริก็ได้ ไม่ต้องทำให้ตัวเองเจ็บและภูริเจ็บก็ได้ แต่เขาก็พลาดที่ทำให้มันเกิดขึ้นไปแล้ว
เขาอยากขอโทษ…
“ท่านครับ นี่ครับยา” อลันเกือบชะงักไม่กล้าเข้ามาเพราะตาแดงๆ ของผู้เป็นนาย งานนี้ภูริมีเอี่ยวแน่ๆ เพราะช่วงเวลานี้ภูริมีผลกับอีธานที่สุด
“ขอบคุณ” อีธานรับยาจากมือของอลัน ตามด้วยน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว
อลันยืนมองเจ้านายตนเองอยู่ครู่หนึ่ง อีธานรับยาแล้วก็ไม่ได้กินเลยเดี๋ยวนั้น แค่ถือเอาไว้แล้วมองภาพแปลกๆ บนหน้ากระดาษด้วยสายตาเหม่อลอย เจ้านายอลันป่วย อลันมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้นอกจะผลักดันให้อีธานงีบสักหน่อย
“รู้ไหมว่าภูริไปพักอยู่ที่ไหน มีงานกับเจ้าไหนบ้าง” พออลันหันหลังจะเดินออกไป อีธานก็เอ่ยถามเสียงแผ่วทั้งที่ยังไม่หยุดมองภาพวาด
“คุณภูริพักอยู่ที่บังกะโลรื่นรมย์ เป็นบังกะโลมีสองเตียงนอน ส่วนงานที่ต้องไปคือโรงพยาบาลกับคลินิกอีกสองเจ้า พรุ่งนี้มีที่โรงพยาบาลอีกแล้วก็กินเลี้ยงกับลูกค้าคืนวันเสาร์ เดินทางกลับในตอนหัวค่ำวันอาทิตย์ครับ” อลันรายงานคร่าวๆ ตามที่จำได้
“จากที่นี่ไปภูเก็ตใช้เวลานานไหม” อีธานยังถามต่อ
“เครื่องบินก็ชั่วโมงนิดๆ ครับ ไปเช้าเย็นกลับได้สะดวก”
“แล้วไปกลางคืนกลับเช้าล่ะ”
“ได้ครับท่าน”
“ผมขอตั๋วค่ำนี้ที่หนึ่งนะ” เอ่ยจบ อีธานก็เปิดหน้ากระดาษไปที่แผ่นว่าง จากนั้นเอาปากกาหมึกซึมสั่งทำของตนเองจรดลงไป…
….100%….
เรียกว่าไม่สามารถรอครบสามวันได้จริงๆ แค่นี้กินไม่ได้ นอนไม่หลับ สภาพแย่แล้วอีธานเอ้ย แต่ก็นะ…ใจมันกระวนกระวายอะ ยังไงก็ทนรอไม่ได้หรอก
สำหรับเมื่อวานที่ไม่ได้มาอัป แน่นอนว่าทำมิทันจ้า แล้วตอนนี้เอาเข้าจริงก็แอบกังวลว่าจะไม่ดี คือเราเครียดไปกับอีธานอะ พอนางเครียดเราก็เครียด เลยรู้สึกเกร็งๆ อยู่เหมือนกันว่าตอนนี้อาจทำได้ไม่ดี ถ้าผิดพลาดประการใดเราต้องขออภัยไว้เลยนะคะ