Ai Adore You.
#ขอรักแค่คุณ
ตอนที่ 13
“วางยา?” พิชช์ฌานทวนคำอย่างประหลาดใจ “วางยาอะไร”
“ก็นี่ไงหลักฐาน เนี่ยเสื้อโค้ทตัวนี้” อัยย์โบกเสื้อโค้ทตัวยาวในมือไปมาแล้วยื่นหน้าเข้าไปดมให้ดูอีกรอบ “คุณวางยาผมใส่เสื้อตัวนี้” โอเมก้าพูดย้ำอย่างโกรธจัดที่อีกฝ่ายทำหน้างุนงง “ไม่ต้องมาทำไก๋เลย ยอบรับผิดมาซะ”
“เดี๋ยวนะ...นั่นเสื้อฉันถูกไหม”
“ใช่”
“แล้วเธอไปเอามาจากไหน”
“ก็จากตู้เสื้อผ้าคุณไง ไม่ต้องมาปฏิเสธเลยนะว่าไม่ใช่เสื้อคุณ หลักฐานมันคาหนังคาเขา” อาคิราห์กระแทกเสียง
“ใช่เลย หลักฐานมันคาหนังคาเขา เธอเป็นคนขโมยเสื้อฉันกับเครื่องนอนไปใช่ไหมเจ้าบู้บี้” พิชช์ฌานยกมือขึ้นเท้าเอว คิ้วเข้มขมวดฉับ “สารภาพมาซิ”
อาคิราห์อ้าปากค้างแล้วก็รีบเม้มปากแน่น ส่ายหน้าหวือ
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง เรื่องของเรื่องก็คือ...คุณ – วาง – ยา – ผม”
“เรื่องของเรื่องคือเสื้อฉันที่อยู่ในมือของเธอมากกว่า” นักการเมืองหนุ่มเน้นเสียงบ้าง ซ่อนยิ้มอยู่ในใจที่เห็นอีกฝ่ายเริ่มเลิ่กลั่ก มองหน้าเขาสลับกับเสื้อโค้ทในมือตัวเองอย่างงุนงง “ว่ายังไง ตกลงใครผิด แล้วฉันไปวางยาเธอตอนไหน มีหลักฐานอะไรมั้ยมาปรักปรำกันเนี่ย”
“ก็นี่ไงหลักฐาน” คนพูดเริ่มเสียงอ่อย ยื่นเสื้อมาให้ตรงหน้า “คุณลองดมดูสิ”
พิชช์ฌานจุ๊ปาก รับเสื้อของตัวเองมาดมๆดู
“แล้วไง ก็ไม่เห็นมีอะไร มีแต่กลิ่นคุกกี้ขึ้นราของเธอเต็มไปหมด”
“คุกกี้ขึ้นรา?” ถึงคราวอีกคนงงบ้าง อาคิราห์ทวนคำแล้วดึงเสื้อตัวนั้นกลับมาสูดกลิ่นหอมอวลๆนั้นเข้าปอด “คุณหมายถึงอะไร ก็นี่ไงกลิ่นนี้อ่ะ เต็มเสื้อไปหมดเลย คุณวางยาใส่เสื้อก็ยอมรับมาเถอะ ไม่ต้องมาเฉไฉ”
“ใครกันแน่เนี่ยที่เฉไฉฮึ โดนจับได้คามือเลยยังมาเถียงฉันอีก” พิชช์ฌานทำเสียงหงุดหงิดทั้งที่ความเป็นจริงแล้วรู้สึกตรงข้ามกับคำว่าหงุดหงิดมากพอดู “วางยงวางยาอะไร พูดจาเลอะเทอะ”
“ก็คุณวางยาผมจริงๆนี่” คราวนี้นัยน์ตากลมโตเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ อาคิราห์ไม่ได้ตั้งใจจะร้องไห้เลยให้ตายสิ แต่ว่าเสียงเข้มๆหนักๆของอีกฝ่ายมันกดดันกันเกินไป ตัวเองเป็นคนผิดดันมาเปลี่ยนเรื่องว่าเขาเป็นขโมย จะเถียงกลับก็ไม่ยอมฟัง เจ็บใจชะมัด “เนี่ยผมนอนไม่หลับเลยต้องดมแต่เสื้อคุณ ยังไม่เรียกวางยาอีกเหรอ”
“อะไรนะ” พิชช์ฌานเลิกคิ้ว มองหน้าเด็กที่ชักตาแดงๆอย่างงุนงงระคนขบขัน
“ไม่ต้องมาหัวเราะ คุณใส่อะไรลงไปในเสื้อ หมอนกับผ้าห่มของคุณก็ด้วย โอเคผมยอมรับว่าผมเป็นคนเอาของคุณไปเอง แต่ก็เป็นเพราะคุณไม่ใช่หรือไง เป็นแผนของคุณแน่ๆที่ทำให้ผมติดไอ้กลิ่นบ้าๆเนี่ย” อาคิราห์พูดเสียงเครือ โบกเสื้อโค้ทในมืออีกครั้งเหมือนธงประจำตัว
คนฟังอึ้งไปนาน ตาคมกวาดมองสภาพคนตรงหน้าที่อยู่ในชุดนอนลายลูกหมี หัวหูยุ่งเหยิงดูไม่ได้พอๆกับหน้าตาเหยเก อยากจะหัวเราะออกมาดังๆแต่ก็กลัวว่า ‘เด็ก’ ตรงหน้าจะปล่อยโฮออกมาอีก
แค่ทำตาแดงๆเขาก็ชักจะหายใจไม่ทั่วท้องแล้ว
“สรุป เธอติดกลิ่นจากเสื้อผ้าที่นอนฉันน่ะเหรอ” พิชช์ฌานพูดช้าๆ “นั่นเป็นเหตุผลที่เธอเอาของๆฉันไปใช่ไหม”
“ใช่” อาคิราห์พยักหน้า
“ถ้าไม่ได้กลิ่น ...เธอจะนอนไม่หลับเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ ผมนอนไม่หลับถึงต้องเดินลงมานี่ไง”
“แต่วันนี้ซื้อหมอนใหม่ไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ก็มันไม่ได้ผลไงเล่า ผมถึงบอกไงล่ะว่าคุณน่ะวางยาผมแน่ๆ” อาคิราห์เชิดจมูกขึ้นพลางสูดน้ำมูดดังฟืด จ้องดวงตาคมกริบคู่นั้นที่จู่ๆก็ปรากฏแววยิ้มหัวไล่ลามลงมายังริมฝีปากสีสด กลายเป็นรอยยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มลึกข้างแก้มและรอยตีนกาที่หางตา “คุณยิ้มเยาะผมเหรอ”
“เปล่า” คนพูดส่ายหน้าแต่กลับยิ้มกว้างขึ้นอีกจนกระทั่งเปล่งเสียงหัวเราะห้าวๆออกมาดังก้อง
“...........” อาคิราห์หน้างอ ยกมือขึ้นผลักอกคนที่เอาแต่ขำใส่เขาอย่างแรง ร่างสูงใหญ่ไม่กระเทือนด้วยซ้ำ นายพิษฌานยกมือขึ้นยึดมือของเขาเอาไว้ “ปล่อย”
“จะไปไหน” คนพูดมองหน้าเขาตรงๆ
“จะไปนอน” อาคิราห์ตอบกลับแบบไม่มองหน้า รู้สึกสองแก้มร้อนจัดลามลงมายังลำคอ “คุณไม่ยอมรับก็เรื่องของคุณ คุณมันนิสัยไม่ดีอยู่แล้วคุณพิษฌาน”
“ใครว่าฉันไม่ยอมรับ ฉันเป็นลูกผู้ชายพอนะ กล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ” พิชช์ฌานหัวเราะหึๆ อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอ ดึงร่างโปร่งบางเข้ามากอดเอาไว้แนบอก “ไหนลองพิสูจน์หลักฐานซิ ใช่กลิ่นนี้หรือเปล่า”
ลมหายใจอุ่นจัดรินรดอยู่ที่ซอกหู อาคิราห์ย่นคอหนีทว่าปลายจมูกโด่งนั้นกลับตามติดมาไม่ลดละราวกับเป็นคนพิสูจน์ ‘กลิ่น’ เสียเอง สุดท้ายเจ้าโอเมก้าก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดโดยการหันหน้าหนีไปซุกเข้ากับซอกไหล่ของอีกฝ่ายแทน
กลิ่นหอมอบอวลแบบเดียวกับผ้าห่มและหมอนลอยเข้าจมูกแต่หัวใจกลับเต้นเร็วแรง ไม่ยักสงบเหมือนตอนที่ได้กอดหมอนใบใหญ่นั้น
“เป็นไง ทำจมูกบานแล้วได้กลิ่นชัดไหม” เสียงห้าวๆพึมพำกลั้วหัวเราะ อัยย์ชะงัก ย่นจมูกใส่แล้วดันตัวออกจากวงแขนแข็งแรง “แน่ะ...ไม่ยอมตอบ ตกลงยังไง ใช่กลิ่นนี้หรือเปล่า”
“อืม” คนตอบตอบอุบอิบในลำคอ พิชช์ฌานยังโอบรอบเอวนั้นเอาไว้หลวมๆ
“ว่าไงนะ”
“อือ ก็บอกว่าใช่ไง”
“ตกลงติดกลิ่นฉันเหรอ”
“เปล่า”
“เปล่าก็เอาจมูกออกจากเสื้อฉันสิ”
อัยย์ดึงหน้าขึ้นจากอกเสื้อของอีกฝ่ายทันที ...นี่เขาเผลอไปซบอีกตอนไหน อุตส่าห์ดันตัวออกแล้วเชียว...
“ก็เอามือออกจากเอวผมเสียทีสิ”
“ฉันจับเอวเธอตอนไหน ฉันจับมือตัวเอง” นายพิษฌานยกแขนให้ดู จริงที่ว่ามือใหญ่ทั้งสองข้างไม่ได้สัมผัสโดนเอวของเขาเลยแต่ว่าการที่โอบล้อมเขาเอาไว้เหมือนรั้วมันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
อาคิราห์จุ๊ปาก หันหลังไปจับมือของพิษฌานเอาไว้แล้วพยายามดึงออกจากกัน พอไม่สำเร็จก็เปลี่ยนแผนเป็นย่อตัวลงเพื่อลอดออกมาแทน คนตัวสูงรู้ทันเลยรีบรั้งร่างในวงแขนเข้ามาหาแผ่นอกเสียก่อน วางคางลงกับศีรษะทุยนั้นแทนการล็อคตัวกลายๆ
“ยังคุยกันไม่จบเลย จะรีบไปไหน ไม่หาหลักฐานเพิ่มแล้วเหรอ” พิชช์ฌานก้มลงกระซิบกับหลังคอนวลเนียนนั้น รอยฟันของเขายังปรากฏให้เห็นชัดราวกับเพิ่งกัดไปเมื่อวานแม้สะเก็ดจะหลุดออกไปแล้ว “ว่าจะสารภาพแล้วเชียว”
“ไม่เอาแล้ว” อัยย์ตะเบ็งเสียง “ผมจะไปนอน ปล่อยผม”
“ตกลงจะบอกว่าฉันวางยาอีกไหม”
“ฮึ” โอเมก้าไม่ยอมตอบแถมยังหันหน้าหนีอีก พิชช์ฌานก็เลยยิ่งแกล้งรัดวงแขนให้แน่นเข้าจนเนื้อตัวของอีกฝ่ายแทบจะจมอก
“ว่าไง ไม่ตอบก็ไม่ต้องนอนล่ะ” เขาก้มลงแตะปลายจมูกเข้าที่ข้างแก้มเนียนละเอียดเบาๆ ลามเลยไปยังซอกคอหอมกรุ่นด้วยกลิ่นหวานๆของคุกกี้รสนม
ไม่ใช่แค่อาคิราห์หรอกที่คิดว่าถูกวางยา....
“ไม่ได้วางยา” อาคิราห์ตอบอ้ำอึ้ง จะปฏิเสธก็ไม่สามารถจะโกหกได้ ในเมื่อหลักฐานก็เห็นอยู่โต้งๆว่าที่เขา ‘ติด’ คือกลิ่นหอมอบอุ่นเหมือนอยู่ท่ามกลางกองหนังสือเล่มโปรดของนายพิษฌาน ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรืออะไรทั้งนั้น
รู้สึกหน้าแตกนิดหน่อย แต่เราจะโยนความผิดให้นายพิษฌานแทน...คิดได้ดังนั้น อาคิราห์ก็พูดเสียงแข็งขึ้น
“หรือมันอาจจะเป็นกลิ่นน้ำหอมของคุณก็ได้”
“เธอลองดมหมดทุกขวดแล้วไม่ใช่เหรอ” เจ้าของน้ำหอมเกือบสิบขวดบนห้องนอนแกล้งหลอกถาม
“ก็ใช่” อีกคนก็พาซื่อ พยักหน้ารับเฉย พอนึกขึ้นได้ก็ทำหน้าหงิกกว่าเดิม “ไม่ต้องมาหลอกผม คุณอาจจะซ่อนน้ำหอมขวดนั้นเอาไว้”
คิ้วเข้มเลิกสูง แววอะไรบางอย่างผ่านแวบเข้าไปในดวงตาคมกริบแล้วผ่านออกไปอย่างรวดเร็วจนอัยย์แปลความหมายไม่ทัน
“ฉันมีน้ำหอมเท่าที่เธอเห็นนั่นแหละ ใครเขาจะเอาไปซ่อนกัน ซ่อนไว้หัวเตียงงี้เหรอ ตลกน่า”
แววครุ่นคิดปรากฏขึ้นในดวงตากลมใสทันที
“คงไม่ได้คิดจะไปรื้อเตียงฉันหรอกนะ” พิชช์ฌานรีบดักคอ อีกฝ่ายส่ายหน้าไปมา
“ผมไม่เหนื่อยทำงั้นหรอก กลิ่นแค่นี้ไม่เห็นสำคัญ” พูดจบอาคิราห์ก็กระทืบเท้าลงบนหลังเท้าของคนตัวใหญ่จนอีกฝ่ายร้องอุทานคลายวงแขนออก หลุดจากปราการเหล็กมาได้เจ้าโอเมก้าก็คว้าเสื้อโค้ทที่ตกอยู่ที่พื้นแล้ววิ่งปรูดหายขึ้นบันไดไป
พิชช์ฌานมองตามแล้วหัวเราะออกมาอีกครั้ง โคลงหัวไปมาพลางหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องทำงาน เสียงมือขวาคนสนิทเรียกชื่อเขาโหวกเหวกอยู่ผ่านลำโพง ชายหนุ่มเดินไปนั่งหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ หันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์ที่กำลังเปิดวีดีคอลกับคนในพรรคตามเดิม
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณฌาน พวกผมตกใจหมดเลย”
“ไม่มีอะไร เจ้าบู้บี้อาละวาดนิดหน่อย”
“ใครหรอครับท่าน เจ้าบู้บี้” คนในพรรคถามขึ้น
หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านยิ้มกว้างแต่ตอบปัดอย่างไม่ใส่ใจ
“บู้บี้น่ะ ปลาในตู้ของฉันเอง”
คืนนั้นกว่าพิชช์ฌานจะกลับขึ้นมานอนบนห้องก็เกือบค่อนคืน แผนการทุกอย่างถูกปรับปรุงแล้ววางใหม่อย่างรอบคอบ ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วสำหรับศึกการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ คงต้องงัดทุกกลเม็ดขึ้นมาฟาดฟันศัตรูให้ตายไปเสียข้างหนึ่ง
พอเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนอัลฟ่าหนุ่มก็เกือบหัวเราะออกมา ร่างโปร่งบางนอนคว่ำขวางอยู่กลางเตียงใหญ่ที่เละเทะยุ่งเหยิง ผ้าปูที่นอนและผ้าห่มกระจุยกระจายส่วนหมอนใบโตถูกเจ้าโอเมก้ากอดเอาไว้แน่น รู้สึกเหมือนฟูกจะเคลื่อนออกมาด้วย เห็นทีคงมีคนคิดการใหญ่รื้อเตียงของเขาเข้าจริงๆ
รื้อเสร็จก็หมดแรงไปเสียก่อน ชิงหลับเสียดื้อๆเนี่ยนะ
มันน่า...นักนะ
เจ้าของห้องยกมือขึ้นเตรียมฟาดลงไปบนก้นของคนที่นอนหลับไปแล้วสักตุ้บสองตุ้บ แต่ก็ยั้งมือไว้ พิชช์ฌานก้มลงดึงผ้าปูที่นอนให้เรียบกว่าเดิมเท่าที่จะทำได้ เดินไปเก็บผ้าห่มขึ้นมาพับใหม่ ได้แต่คิดในใจอย่างฉุนๆว่าทำไมตัวเองจะต้องมาวุ่นวายกับที่หลับที่นอนทุกคืน
ไม่ใช่เพราะไอ้เจ้าคนที่ชิงหลับไปก่อนแล้วเรอะ... แล้วดูนอนเข้าซิ นอนขวางเป็นจระเข้ขวางคลองแล้วคนอื่นเขาจะนอนยังไง ตัวก็ไม่ใช่เบาๆ
ชายหนุ่มล็อคต้นแขนของอาคิราห์แล้วดึงขึ้นไปนอนหนุนหมอนดีๆ คนหลับปรือตาขึ้นมองเขาแล้วก็พึมพำอะไรสักอย่างฟังไม่รู้เรื่องก่อนจะซุกหน้าลงกับหมอนแล้วหลับไปอีก พิชช์ฌานอยากจะเขกหัวอีกฝ่ายแรงๆซักที อยากรู้จริงๆว่ากลิ่นของเขามันหอมมากเลยเหรอ
หอมขนาดที่ว่าขาดไม่ได้ ไม่งั้นนอนไม่หลับเลยหรือไง
ก็แน่ล่ะ นี่กลิ่นของใครล่ะ...กลิ่นของนายพิชช์ฌาน อัศวลักษณ์ นักการเมืองที่หล่อที่สุดในศักราชนี้เลยนะ ชายหนุ่มคิด เหลือบมองเห็นใบหน้าของตัวเองในกระจกแล้วก็ต้องกระแอมออกมาเบาๆ
ทำไมเราจะต้องมานั่งภูมิใจในกลิ่นตัวของตัวเองด้วยวะ
ชายหนุ่มห่มผ้าให้คนบนเตียงลวกๆแล้วก็เดินผละไปอาบน้ำ จัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็กลับมาซุกตัวลงในผ้าห่มผืนเดียวกันอีกครั้ง หลายคืนแล้วที่อีกฝ่ายแยกไปนอนอีกห้องหนึ่ง
พิชช์ฌานขยับตัวเข้าไปหาคนที่นอนซุกกับหมอน แอบดมหมอนของตัวเองที่อีกฝ่ายหนุนนอนอย่างสบายนั้นนิดหนึ่งด้วยความสงสัยว่ามันหอมอะไรนักหนา
กลิ่นอับๆแบบหมอนที่ไม่ค่อยได้เอาไปตากแดดผสมกับกลิ่นน้ำมันใส่ผมปะทะเข้าจมูกเป็นอันดับแรกตามด้วยกลิ่นตัวที่คุ้นเคย พิชช์ฌานไม่เห็นว่ามันจะหอมน่าดมตรงไหน
สู้กลิ่นคุกกี้ใหม่ๆเพิ่งอบจากเตาไม่ได้
ทั้งหอมทั้งหวานถูกใจ รสชาติก็นุ่มละมุนลิ้นนัก
หรือว่าอาคิราห์จะใส่น้ำหอม...แวบหนึ่งที่เขานึกสงสัยขึ้นมาบ้างและโอบกอดร่างนั้นเข้ามาแนบชิดเพื่อจะได้พิสูจน์กลิ่นจนกว่าจะพอใจ
พิชช์ฌานหลับไปพร้อมกับความคิดมากมายในสมอง
.....................................................................