BED CARE JOB
#พนักงานดูแลเตียง
ตอนที่ 21 รู้สึกอย่างไร
เช้าวันจันทร์ ผมนั่งจ๋องรอเริ่มเรียนแต่เช้าเพียงลำพัง หลังจากที่เปิ้ลแก้ไขเรื่องแฟนเก่าได้แล้ว เธอคงไม่จำเป็นต้องมาเช้าเร็วกว่าปกติอีก ผมพลิกบทเรียนฆ่าเวลา ผมอ่านมันจบไปแล้วรอบหนึ่งตอนนี้เลยเบื่อขึ้นมา หยิบโทรศัพท์เพื่อดูเวลาเมื่อไหร่เพื่อน ๆ จะมาถึงสักที แม้ผมจะไม่ได้คุยกับพวกมันแต่อย่างน้อยก็พอยังได้ฟังเสียงพวกมันคุยกัน ไม่เงียบจนเกินไป
หืม? โทรศัพท์เปิดไม่ติด สงสัยแบตฯ คงจะหมด ตั้งแต่วันศุกร์ผมก็ไม่ได้ชาร์จแบตฯ โทรศัพท์อีกเลย
“ไงมึง นึกว่าวันนี้จะไม่มาเรียนเสียอีก” โจมาถึงเป็นคนแรกในกลุ่มพวกเราทั้งหมด มันเอ่ยทักแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตัวถัดจากผม
“อือก็ดี ทำไมกูต้องไม่มาด้วยวะ” ผมพยักหน้าเออออแต่ก็ต้องสะดุดหูกับคำพูดของโจจนต้องถามกลับไป
“กูติดต่อมึงไม่ได้ตั้งแต่วันเสาร์” โจจ้องหน้าผมเขม็ง
“อ๋อ..แบตฯ หมด ลืมชาร์จ” ผมหัวเราะแกน ๆ พลางชี้โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะให้โจได้เห็นจะ ๆ กับตา
“หมดได้ไง ทำไมไม่ชาร์จ”
“มีเรื่องยุ่ง ๆ อะ แล้ววันเสาร์กูทำงานทั้งวัน ลูกค้าก็เยอะมาก ไม่มีเวลาดูเลย”
“หลังเลิกงานก็ยังยุ่งเหรอ” โจหรี่ตาจับผิดผมต่อ
“ก็นิดหน่อย..กูไม่ได้แตะโทรศัพท์เลย มีเบอร์แปลก ๆ โทรมาด้วย กูกลัวเลยไม่กล้ารับ”
“ทีหลังมีอะไรไม่ชอบมาพากล ก็โทรมาบอกกู แล้วเสาร์อาทิตย์หลังเลิกงานแล้วมึงก็กลับห้องเหรอ”
“อือ” ผมตอบมันส่ง ๆ
“ห้องไหนล่ะ มึงก็ย้ายห้องเหมือนเปิ้ลเหรอ กูถึงไปหาที่ห้องแล้วไม่เจอ” ผมตาเหลือกทันทีที่ได้ยิน งานเข้าละ ถ้าโจพูดแบบนี้แสดงว่ามันคงรู้อะไรมาบ้าง
“เปล่าย้าย”
“อยู่กับคนชื่อเคนอะไรนั่นปะ”
“ก็ไม่เชิง” ผมไม่รู้จะตอบยังไง จะพูดว่าอยู่ด้วยกันไหมมันก็อยู่ด้วยกันเพราะคุณเคนก็วนเวียนให้ผมเห็นตลอด แต่ไม่ใช่ความหมายว่าอยู่ด้วยกันแบบนั้นเสียหน่อย
“ยังไง มีคนอื่นด้วย?”
“ประมาณนั้น”
“ตอบอ้อมไปอ้อมมาจังวะ” โจอารมณ์เสียเสียงดังใส่ผม ผมหดคออัตโนมัติ แต่ก็ยังกล้าที่จะโต้ตอบมันกลับไป
“แล้วมึงจะถามอ้อมไปอ้อมมาทำไมวะ อยากรู้อะไรก็ถามมาตรง ๆ เลย ตอบได้ก็จะตอบ ตอบไม่ได้ก็จะ..”
“ตอบไม่ได้ก็ต้องตอบ” โจแทรกขึ้น
“เอาแต่ใจจังวะ” ผมโวยวายมันแต่ไม่จริงจังนัก ก็รู้อยู่ว่านิสัยโจเป็นอย่างไร
โจมันมองผมแล้วถอนหายใจเสียงดังก่อนที่มันจะยื่นโทรศัพท์มือถือของมันมาให้ ผมรับมาดูแล้วส่งคืนกลับไปให้เจ้าของ เหตุการณ์นี้คล้ายกับตอนที่พี่ปุยฝ้ายดึงมือผมไปคุยในห้องหลังร้านไม่ผิดเพี้ยน แต่ครั้งนี้ต่างกันที่สถานที่เท่านั้น
“รูปนี่ ตกลงมันเป็นมายังไง ถึงแม้รูปจะถ่ายด้านข้างค่อนไปทางหลัง แต่ก็รู้ว่าคือมึง แต่อีกคนในรูปไม่ใช่คนชื่อเคนที่กูเคยเจอ ถ้ากูจำไม่ผิดเขาชื่อคีนใช่ไหมที่เปิ้ลมันชอบอะ”
“...” ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ มันเหนียวคอไปหมด ควรจะบอกมันยังไงดีหรือจะทำมึนต่อไป
“ว่าไง มึงไปรู้จักคนระดับนี้ได้ไง” โจกำลังเร่งรัดผม
“มึงจำคนผิดหรือเปล่า กูจะมีปัญญาไปนั่งอยู่ตรงนั้นได้ไง มึงใช้หัวคิดบ้างสิ” ผมแสร้งด่ามันเพื่อข่มอาการลนลานของตัวเอง
“มึงตลกเหรอไอ้เปล กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปี และที่สำคัญกูจำคนที่กูเคยชอบได้ไม่ผิดตัวหรอก” ผมควรจะดีใจกับประโยคแรกแต่ทำไมผมกลับตกใจประโยคหลังของโจ
“มึงว่าไงนะ?”
“กูเคยชอบมึงและกูเดาไม่ผิดแน่ว่ามึงคือคนในรูป”
“ที่มึงให้กูยืมเงินง่าย ๆ เพราะว่าชอบกูสินะ”
“ใช่ เพราะว่ากูชอบมึง แต่ตอนหลังที่ให้เพราะกูสงสารและโมโหพ่อแม่มึง”
“แปลว่าตอนนี้มึงก็ไม่ได้ชอบกูแล้วใช่ไหม” ผมกลั้นใจถามมันด้วยความรู้สึกอิหลักอิเหลื่อ
“ไม่แล้ว” โจส่ายหน้า “อยู่กับมึงแล้วปวดหัว ชอบทำมึนดื้อที่สุด ใครได้มึงไปก็รับกรรมต่อด้วยแล้วกัน”
“ค่อยโล่งใจ” คราวนี้ผมถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจ “นึกยังไงถึงพูดขึ้นมา”
“ไม่นึกไง กูคิดว่าอีกหน่อยเราก็จะเรียนจบกันแล้วเลยไม่อยากให้ค้างคาใจ แล้วพอกูยิ่งได้เห็นรูปมึงกับคนในรูป กูเลยคิดว่ากูคงพูดได้แล้วล่ะ มึงคงไม่ได้ชอบกูแล้ว”
“ไม่ได้ชอบมึงนานแล้วเว้ย เฮ้ย!! รู้ได้ยังไง”
“มึงโกหกไม่เนียนไง ดูไม่ออกก็โง่แล้ว”
“ตกลงมึงไม่ได้คิดอะไรกับกูแล้วจริง ๆ นะ” ผมต้องการคำยืนยันจากปากมันอีกครั้ง
“ไม่แล้ว พูดจริง ดูปากกู
ไม่ ชอบ แล้ว มึง มัน น่า ปวด หัว”
“ไม่ต้องเน้นมากก็ได้” ผมบ่นอุบ ผมน่าปวดหัวตรงไหน
“แล้วจะบอกกูได้ยังว่ามึงไปรู้จักคนในรูปได้ไง”
“...”
“บอกมาเถอะเรื่องถึงขั้นนี้แล้วจะอมพะนำไว้ทำไม”
“มึงอย่าบอกใครนะ” ผมบอกมันกลัวมันจะแพร่งพรายให้คนอื่นฟังต่อ
“มึงรู้ปะ คำนี้คือคำศักดิ์สิทธิ์นะโว้ย พูดว่าอย่าบอกใครเมื่อไหร่ หมายถึงต้องบอกให้มากที่สุด”
“มึงอย่าพูดแบบนี้ ไม่เอาดิวะ” ผมกังวลถ้าเรื่องนี้จะหลุดออกไปให้คนอื่นรู้เพิ่มขึ้น
“กูรู้น่า กูสัญญาจะไม่ปากโป้ง โอเคไหม”
“สัญญาแล้วนะ”
“เออ”
“คนในรูปคือเจ้านายเก่ากูเองอะ” ผมตัดสินใจบอกมันเสียงเรียบ
“เฮ้ย ไอ้เปล มึงพูดจริง!?”
“เสียงดังทำไมเล่า เบา ๆ หน่อย เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก” ผมรีบตะครุบปากโจทันทีที่มันแหกปาก
“โทษที ๆ มึงอำกูเล่นปะเนี่ย”
“ไม่อำ กูพูดจริง”
“แต่มึงรับปากกูว่าจะไม่กลับไปทำงานนั้นอีกไม่ใช่เหรอไง หรือว่ามึงหลอกกู” โจถลึงตาใส่ผมอย่างไม่พอใจ
“เปล่า กูไม่ได้กลับไปทำงานกับเขาแล้ว กูแค่ยังติดต่อกับเขาอยู่”
“มึงหรือเขาที่เริ่มก่อน?”
“เริ่มอะไร”
“ก็เริ่มติดต่อก่อนน่ะสิ”
“ไม่รู้อะ ในจังหวะที่กูมีปัญหาเขาก็เข้ามาพอดี เขาช่วยกูไว้เยอะ ทั้งเงินทั้งที่บ้าน มึงรู้ไหม เขาช่วยจัดการเรื่องพ่อแม่ให้กูด้วย”
“มึงรู้ได้ไง เขาอาจจะโกหกมึงก็ได้”
ผมส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่มีทาง กูคุยกับปิงแล้ว มันเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้กูฟังด้วย”
“เขาไม่ได้คิดร้ายกับมึงใช่ไหม” โจยังไม่วายเป็นห่วง
“ถ้าเขาคิดร้ายกับกูคงไม่ช่วยกูขนาดนี้ มึงก็เห็นรูปในข่าวแล้วนี่ ถ้าไม่ได้เขาคอยช่วย กูว่าป่านนี้คนคงรู้กันทั่วว่าคนในรูปนั้นคือกูแน่นอน”
“อืม” โจพยักหน้า ใบหน้าเคร่งขรึมเหมือนใช้ความคิด “ดูมึงจะชื่นชมเขาเสียจริง ชอบเขาเหรอ”
“ใช่” ผมไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ ถ้ายอมรับกับแม่คุณคีนได้แล้ว กับคนอื่นก็ไม่ยากแล้ว
“แล้วเขาชอบมึงไหม จริงจังกับมึงหรือเปล่า”
“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงจังกับกูหรือเปล่า ที่ผ่านมาเขาก็คอยช่วยกูตลอด”
“ถ้าเขาจริงจังกับมึง อีกหน่อยคงพาไปให้พ่อกับแม่รู้จักล่ะมั้ง” โจสันนิษฐาน
“กูไปมาแล้ว”
“ห๊ะ!? ว่าไงนะ”
“กูบอกว่าไปมาแล้ว พ่อเขาดุฉิบหาย แต่แม่เขาอะใจดี มาคุยกับกูจนกูยอมรับปากไปว่าจะดูแลลูกเขาอย่างดี”
“มึงเนี่ยนะ ตัวแค่นี้จะมีปัญญาอะไรไปดูแลเขา มึงงงตัวเองเปล่าวะ” โจใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากผมทีหนึ่ง จิ้มแรงจนผมต้องปัดมือมันทิ้งอย่างรวดเร็ว
“ทำไมวะ ตัวแค่นี้แล้วเป็นไง กูหาเงินเก่งนะเว้ย”
“เออ กูรู้ กูก็แค่แกล้งแหย่มึงเล่นไปอย่างนั้น รู้ว่ามึงเก่งแค่ไหน”
“ขอบใจ”
“อนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่มึงคงมีชีวิตที่สงบสุขน้อยกว่าเดิม เขาเป็นคนดัง ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนรู้จัก มึงอาจถูกกระแสสังคมรุมด่าทอว่ามึงไม่เหมาะสมกับเขา แตกต่างกับเขา หรือมึงอาจจะถูกกล่าวหาว่ามึงกำลังเป็นปลิงที่คอยดูดเลือด ลองทบทวนดูว่าจะทนได้ไหม กูไม่ได้อยากทำให้มึงเสียใจแต่อยากให้มึงได้ลองคิด”
“กูไม่ได้คิดจะเปิดเผยเรื่องกูกับเขากับคนอื่นอยู่แล้ว อีกอย่างเรื่องเหมาะสมไม่เหมาะสมกูก็คุยกับเขาแล้วด้วย”
“มึงคิดว่าเขาจะพูดกับมึงว่า‘ใช่ คุณไม่เหมาะสมกับผม’ไม่มีหรอกไอ้เปล ใครจะพูดแบบนั้นวะ ถามจริงมึงอยากอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ตลอดไปเหรอ” โจทำหน้าไม่เห็นด้วย
“กูก็ไม่ได้อยากหรอก แล้วมึงบอกเองว่าเขาเป็นคนดัง มีแต่คนนับหน้าถือตา ถ้าเปิดเผยไปก็อาจจะมีปัญหาตามมาก็ได้ อีกอย่างพ่อเขาเป็นใครมึงคงรู้ กูว่าเป็นแบบนี้ไปก่อนก็ดี”
“ตามใจมึง แล้วที่พูดมาทั้งหมดเนี่ย ตกลงว่าคบกันแล้ว?”
“ไม่รู้อะ”
“ทำหน้าเหมือนงงชีวิต ไม่รู้อะไรอีกวะ หรือเป็นความสัมพันธ์แบบคนดัง พี่น้องอะไรแบบนี้”
“ไม่ใช่เว้ย เอาเป็นว่าไม่ใช่แล้วกัน” ผมรีบปฏิเสธจะบอกมันว่ายังไง ความสัมพันธ์ของคำว่า เด็กดีของผม มันไม่ได้ธรรมดาน่ะสิ ขืนบอกให้โจฟัง มันต้องหัวเราะแล้วล้อเลียนผมไปอีกนานแน่
ไม่มีทางพูดให้มันได้ยินหรอก
“เรื่องมึงกับเขา นอกจากกูแล้วมีใครรู้อีก”
“เปิ้ล” ผมเอ่ยชื่อเสียงเบา
“รู้ได้ไง” ผมเล่าให้โจฟังถึงเหตุการณ์วันที่ไปโรงพยาบาล โจฟังจนจบแล้วพูดว่า “มันไม่ได้หลงหรอก ตั้งใจเดินตามมึงไปอยู่แล้ว”
“อืม ก็รู้ แต่เปิ้ลรับปากกูว่าจะไม่บอกใคร”
“เนี่ย คำนี้อีกแล้ว แต่เอาเถอะ ถ้าเปิ้ลมันปูดเรื่องนี้กูจะไปจัดการให้”
“เปิ้ลไม่พูดหรอกน่า มึงก็กังวลไปได้ ใกล้จะเรียนจบแล้วคงไม่อยากหาเรื่องให้กันหรอก”
“มึงนี่แหละไม่คิดอะไรเลย ไอ้เปลไอ้น่าปวดหัว เอ้อ..แล้วหลังสอบเสร็จปิดเทอมมึงจะมาทำงานที่บริษัทพ่อกูก่อนปะ เขาขาดเด็กถ่ายเอกสาร” โจถามปนแซว งานที่มันพูดถึงก็ไม่ใช่ถ่ายเอกสารจริงหรอก
ปกติปิดเทอมผมจะไปทำงานกับพ่อของโจครับ งานไม่เน้นวุฒิการศึกษา ตำแหน่งที่ผมไปทำก็ต้องการคนจำนวนมาก ทำให้ไม่เป็นที่ถูกจับตามองจากคนอื่นว่าเป็นเด็กเส้น ต่างจากที่โจชวนผมไปทำงานหลังจากเรียนจบ งานนั้นคนละตำแหน่ง ผมถึงปฏิเสธมันไป
“คงไม่ได้ไป ขอโทษนะ”
“กลับบ้านเหรอ”
“เปล่า คุณเขาให้กูหายไปจากที่นี่สักพัก รอให้ข่าวมันซาลงก่อน กลับมาอีกทีตอนเปิดเทอม เรื่องคงเงียบแล้ว”
“ไปไหน”
“อังกฤษ”
โจผิวปากก่อนจะจุ๊ปากเบา ๆ “เพื่อนกูเริ่มไม่ธรรมดา”
“ไม่ใช่สักหน่อย กูไปเพราะเรื่องข่าวนี่แหละ” ผมอุบอิบบอกมันก็ไม่ได้อยากไปถ้าไม่ใช่เพราะเขาเอาเหตุผลเรื่องข่าวมาอ้าง
“ถ้าเพราะเรื่องข่าว..เมื่อเช้ามึงมายังไง”
“เขามาส่ง ช่วงนี้ถ้าเลิกเรียนเสร็จกูกลับเลยนะ ฝากมึงบอกพวกนั้นด้วย”
“ได้ แล้วมึงไม่ต้องไปทำงานพิเศษเหรอ”
“หยุดไปก่อน กูคุยกับเจ้าของร้านแล้ว”
“แล้ววันนี้มึงกลับไง เขามารับไหม”
“ไม่อะ กูบอกเขาไปว่ากูกลับเองได้”
“อืม เดี๋ยวกูไปส่ง”
“ไม่เป็นไร กูเตรียมอุปกรณ์ปลอมตัวไว้แล้ว หมวกกับหน้ากากอนามัย กูกลับเองได้สบายมาก”
“เออ ก็ยังดี”
ผมกับโจคุยกันอีกไม่กี่ประโยค เพื่อนในกลุ่มผมและกลุ่มเปิ้ลก็เริ่มทยอยมาถึง ผมเลยไม่คุยกับโจเรื่องคุณคีนอีก เปิ้ลทักทายผม เธอพูดเบา ๆ กับผมว่าส่งข้อความมาทำไมไม่ตอบ ผมได้แต่ยิ้มแหยแล้วบอกว่าโทรศัพท์แบตฯ หมด
ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อโจก็แทรกขึ้นว่าเรื่องที่เปิ้ลอยากรู้ ห้ามไปพูดให้ใครฟังเด็ดขาด ไม่งั้นมันเอาจริง เปิ้ลยิ้มให้โจพลางบอกด้วยสีหน้าจริงจังเช่นกันว่าถ้าเธอจะประกาศเรื่องนี้เธอคงทำไปแล้ว คำตอบของเธอทำให้ผมโล่งใจไปได้มาก
แล้วเธอก็พูดกับผมและโจเบา ๆ ว่า เลิกเรียนแล้วอยู่คุยด้วยกันก่อน
ผมรู้ว่าเปิ้ลจะคุยอะไร เคยเป็นกันไหมครับ ทำไมต้องเกรงใจผู้หญิงด้วย
สุดท้ายเหลือผม โจและเปิ้ลที่ยังนั่งอยู่ในห้องเรียน เปิ้ลรอจนไม่เห็นใครในห้องแล้วจึงเกริ่นขึ้นมาเป็นคนแรก
“เราขอพูดอีกครั้งเรื่องเปล ถึงเราจะไม่ใช่คนดีเด่นอะไร แต่ขอย้ำตรงนี้เลยนะว่าเราไม่ขายเพื่อน ถ้ามีเรื่องอะไร บอกไว้ก่อนเลยว่าไม่ได้มาจากปากเราแน่นอน โอเคนะ”
“อืม” โจพยักหน้า
“แล้วเปิ้ลมีเรื่องอะไรจะคุยกับเราอะ” ผมถามเธอขึ้นมาบ้าง ถึงแม้จะรู้ว่าเรื่องอะไรแล้วก็ตาม
“เราเห็นข่าว รูปที่หลุดของแกกับคุณคี เอ่อ..กับเขา” เปิ้ลหันมองรอบห้องซ้ายขวาอีกครั้งแล้วเปลี่ยนใจไม่เอ่ยชื่อ
“แกก็รู้ว่าเป็นเราเหรอ”
“ไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร อีกอย่างเราก็รู้เรื่องแกกับเขาด้วย ยังไงก็ต้องเป็นแกอยู่แล้ว”
“อือ” ผมไม่ปฏิเสธ
“อย่าหาว่ายุ่งวุ่นวายเรื่องแกเลย ไหวไหมวะเปล”
“ตอนนี้ข่าวยังไม่ได้กระทบอะไรกับเรามากหรอก งานก็หยุดทำไปก่อน ส่วนที่มหา’ลัยคงไม่มีใครรู้นอกจากพวกแกสองคน”
“ไม่มีใครมาป่วนหรือขู่ทำอะไรแกใช่ปะ” เปิ้ลถามต่อ
“ไม่มี” ผมส่ายหน้าแล้วอธิบายเพิ่ม “แต่มีคนโทรมาหาเราเยอะมาก คุณเขาเลยบอกว่าเราอย่าเพิ่งรับสายพวกเบอร์แปลก เราเลยไม่ได้รับ”
“ดีแล้ว อย่าไปรับสาย ไอ้พวกก่อกวนมันไม่โทรมาแล้วพูดทักทายกับมึงดี ๆ หรอก” โจเห็นด้วยกับความคิดคุณคีนและคุณเคน
“ไม่มีอะไรที่มันแปลก ๆ หรือน่ากลัวแล้วใช่ปะ ถ้าแกมีอะไรปรึกษาเราได้เสมอนะ ไม่ใช่เพราะเราเป็นแฟนคลับเขาเลยอยากรู้จนยุ่งเรื่องของแกไปเสียทุกเรื่อง ยอมรับว่าก็อยากรู้เหมือนกัน แต่เราอยากพูดในฐานะเพื่อนถึงจะไม่สนิทก็เถอะ เราอาจจะไม่ค่อยได้คุยกัน ไม่สิ..ตั้งแต่เรียนมาไม่เคยคุยกันเลย แต่เรารู้สึกขอบคุณแก โจ และเพื่อนในกลุ่มพวกแกที่ช่วยเราเรื่องไอ้เลวนั่น” เปิ้ลพูดความในใจออกมาเสียยืดยาว
“ขอบใจนะ แล้วแฟนเก่าเปิ้ลไม่มายุ่งอีกแล้วใช่ไหม” ผมถามเปิ้ลไป นับจากวันนั้นที่อดีตแฟนเปิ้ลมาหา ผมก็หวังว่าเขาจะไม่มายุ่งเกี่ยวกับเธออีก
“ไม่แล้ว โคตรสบายใจ” เธอยิ้มจนตาหยี
“งั้นก็ดี ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เสมอ” โจเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้างพร้อมกับเอื้อเฟื้อความช่วยเหลือ
“ขอบใจเหมือนกัน เอ่อ..เราขอพูดอะไรอีกหน่อยได้ไหม” เปิ้ลแสดงสีหน้าลำบากใจ เธอมีอะไรหรือเปล่า เมื่อสักครู่นี้ยังมีท่าทางปกติดีอยู่เลย
“เอาสิ” ผมตอบรับ
“จริง ๆ ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่เราจะเอาเรื่องงานพิเศษมาเล่าให้แกฟังนะ แต่ว่ามันต้องพูด เราเป็นห่วงแก”
“อะไรเหรอ”
“งานที่เราทำ พวกแกคงรู้อยู่แล้วใช่ปะว่าคืออะไร” เธอหยุดพูดครู่หนึ่งกัดริมฝีปากด้วยความประหม่า เมื่อเห็นว่าทั้งผมและโจพยักหน้าจึงพูดต่อ “ลูกค้าเรามีคนที่อยู่ในวงการเดียวกับเขาค่อนข้างเยอะ คนพวกนี้..“
“ทำไม” โจถามเมื่อเปิ้ลหยุดพูด เปิ้ลขยับเข้ามาใกล้ผมและโจมากขึ้นและพูดเสียงเบากว่าเดิม
“คนพวกนี้หน้าซื่อใจคด ปากพูดอย่างแต่การกระทำอีกอย่าง คนที่ทำเหมือนเราเคยรับงานกับคนพวกนี้ นัดให้เจอในห้องในโรงแรมอย่างดี แต่พอเข้าไปกลับเป็นปาร์ตี้สวิงกิ้ง บางทีก็บังคับให้กินเหล้า กินยา”
ผมฟังแล้วขนลุกซู่ไปตามแขน
“แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่เราจะพูดหรอก”
“อ้าว” ผมอยากจะบ่นเปิ้ล แล้วเธอจะพูดให้ผมกลัวทำไมกันเล่า
“เราเคยหลงรับงานไปครั้งหนึ่ง แต่โชคดีที่ไม่เจออย่างคนนั้น มีคนอยู่ในห้องเต็มไปหมด คุยกันว่าจะโจมตีฝ่ายตรงข้ามยังไง แบล็กเมลแบบไหนถึงจะเห็นผลดีที่สุด พวกมันไม่สนใจวิธีการและไม่สนว่าใครจะได้รับผลกระทบบ้าง ที่เราอยากจะพูดก็คือแกต้องระวังตัวเยอะ ๆ นะเปล”
“คง..คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ในเมื่อเขาก็ลาออกมาแล้ว” ผมบอกตามที่คิด
“อืม มันอาจจะจองล้างจองผลาญไม่เลิก ระวังตัวไว้บ้างก็ดีนะ”
“ขอบใจที่เตือน”
“ถ้าคนในวงการนี้มันเลว แล้วทำไมแกถึงชอบคนในรูปวะ ก็พวกเดียวกันไม่ใช่หรือไง” โจถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ไม่เหมือนกันเว้ย คนในรูปคือคนหน้าตาดีที่เราชอบ โอเคนะ”
“เออ แล้วแต่แกเหอะเปิ้ล” โจตอบพลางส่ายหน้ากับคำตอบ
“เฮ้ย เปล..แกไม่เป็นไรนะ” เปิ้ลทักขึ้นมาคงเห็นว่าสีหน้าผมไม่ค่อยดี
“เปิ้ลพูดอะไรวะ ไอ้เปลหน้าซีดเลย” โจบ่นขึ้นมาอย่างไม่พอใจ แล้วหันมาพูดกับผม “มึงไม่ต้องไปฟังเปิ้ลมันมาก”
“เราแค่หวังดีกับเปลเลยบอกให้รู้ แกไม่คิดเหรอวะไอ้โจว่าคนระดับนั้นจะไม่มีศัตรูกับใครเขา เป็นไปไม่ได้หรอกยังไม่ทันไร ตอนนี้ก็มาเรื่องหนึ่งแล้ว คิดจะก้าวเข้ามาคบกับคนอาชีพนี้มันก็ต้องรู้อะไรบ้างนะเว้ย” เปิ้ลเถียงกลับ เธอไม่พอใจโจเช่นกัน
“ไม่เป็นไร ๆ ไม่ต้องทะเลาะกันทั้งสองคน โจก็เลิกบ่นก่อน เปิ้ลแค่เป็นห่วงเรา ขอบใจนะเปิ้ล” ผมเข้าห้ามปรามศึกครั้งนี้กลัวจะลุกลามไปใหญ่แล้วขอเตือนไว้เลยว่าโจไม่มีวันเถียงชนะผู้หญิงได้