หลังจากวันนั้นภาพที่ภวินท์และนทีรินนั่งทานข้าวพร้อมเจ้าสัวพีระก็เป็นภาพที่ทุกคนในบ้านเห็นจนชินตาเสียแล้ว ความสนิทสนมและความใกล้ชิดที่เคยมีให้กันพร้อมกับความรู้สึกของภวินท์และนทีรินที่มีต่อกันและกันได้เริ่มแปรเปลี่ยนจนทั้งคู่แทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ บรรยากาศในบ้านกิจจานนท์ดูสดใสมากขึ้นไม่อึมครึมเหมือนครั้งที่ภวินท์กลับมาช่วงแรกๆ
แต่ต่อให้ตอนนี้ภวินท์จะไม่ร้ายกาจเหมือนเดิมแล้วแต่ความเจ้าเล่ห์และขี้แกล้งของเจ้าตัวก็ยังมีมากเหมือนเดิมจนนทีรินอ่อนใจจะต่อกรด้วย ภวินท์คงไม่รู้เลยว่าได้ทำให้นทีรินหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะมากเพียงใด ความรู้สึกที่เขามีต่ออีกฝ่ายมันเริ่มชัดเจนมากขึ้นทุกทีโดยที่เขาต้านทานไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่กล้าที่จะคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายจะคิดเหมือนกัน
นทีรินนั่งถอนหายใจยาวกับความคิดที่หมุนวนภายในใจขณะที่กำลังนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาเล็กๆที่ตั้งอยู่ในสวนดอกไม้ของบ้านกิจจานนท์ ลมเย็นอ่อนๆพัดโชยมารับกับกลิ่นดอกไม้ในสวนก็ไม่ได้ทำให้นทีรินผ่อนคลายเท่าที่เคยเป็น ซึ่งอาการแปลกๆของนทีรินไม่ได้รอดพ้นสายตาของพี่นวลไปได้ พี่เลี้ยงคนสนิทเดินตรงเข้ามาพร้อมถาดอาหารว่างที่ตั้งใจเตรียมมาให้คุณหนูอย่างที่ทำประจำ
“คุณหนูคะ..” พี่นวลเอ่ยเรียกคุณหนูที่ดูเหม่อใจลอยด้วยน้ำเสียงห่วงใยไม่น้อย
“ครับพี่นวล” นทีรินรับคำพี่เลี้ยงคนสนิท มือบางไปรับน้ำผลไม้ที่พี่นวลส่งมาให้พอดี
“กำลังดูอะไรอยู่คะ”
พี่นวลเอ่ยถามอย่างสนใจเมื่อเห็นนิตยสารออกแบบภายในของร้านอาหารวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะนอกจากนี้ยังมีแท็บเล็ตที่หน้าจอแสดงรูปภาพร้านอาหารอยู่มากมายที่นทีรินเสิร์ชค้างทิ้งไว้
“อ๋อ นทกำลังดูพวกดีไซน์ร้านอาหารอยู่น่ะครับ -- พี่นวลคิดว่าถ้านทจะตกแต่งร้านเป็นสไตล์ Casual Dining แบบประมาณนี้ดีไหมครับ” นทีรินหยิบแท็บเล็ตชูขึ้นให้พี่เลี้ยงดูพลางถามความคิดเห็นอีกฝ่าย
เพราะนทีรินตั้งใจไว้แล้วถ้าหากวันใดที่เขาต้องออกจากบ้านกิจจานนท์ไป สิ่งที่เขาจะทำเพื่อเลี้ยงชีพตัวเองนั้นก็คือการเปิดร้านอาหารตามที่เขาใฝ่ฝันไว้มาตั้งแต่เด็ก
“สวยมากค่ะคุณหนู ดูเรียบๆแต่หรูหราดีนะคะ”
พี่นวลรับมาดูใกล้ๆและเอ่ยชมเปราะเพราะแบบที่นทีรินให้ดูนั้นเป็นสิ่งที่เข้ากับอีกฝ่ายมากๆ นทีรินเป็นคนเรียบง่ายแต่ทว่าก็ดูดีมากเช่นเดียวกัน
“ใช่ครับ นทชอบสไตล์เรียบง่ายแต่ก็ดูหรูหราในคราวเดียวกัน ส่วนอาหารนทก็อยากให้เป็นอาหารไทยแต่จะตกแต่งให้เป็นสไตล์ฟิวชั่นน่ะครับจะได้น่าสนใจมากขึ้น”
“คุณทิวาเคยสอนพี่ด้วยนะคะว่า การที่คนเราทานอาหารดีๆที่มีการจัดตกแต่งที่สวยงามท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ดีและสบายตาจะทำให้เราเจริญอาหารยิ่งขึ้น”
พี่นวลเอ่ยบอกตามที่คุณทิวาเคยสอนตัวเองในครั้งที่อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ คุณทิวามักจะพร่ำสอนเขาเสมอเกี่ยวกับสิ่งต่างๆภายในบ้านรวมไปถึงการข้อคิดต่างๆในการใช้ชีวิตอีกด้วย
เมื่อนทีรินได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มบางๆส่งไปให้พี่เลี้ยงคนสนิท
“คิดถึงคุณปู่จังเลยนะครับพี่นวล ถ้าท่านยังอยู่ก็น่าจะดี”
“คุณทิวายังอยู่ในใจของพวกเราทุกคนเสมอนะคะคุณหนู”
“ครับพี่นวล นทก็เชื่อแบบนั้น”
พี่นวลลูบไปที่ไหล่บอบบางของคุณหนูเบาๆเป็นการปลอบโยน เพราะพี่นวลเชื่อว่าต่อให้ตอนนี้คุณทิวาจะจากไปแล้วแต่ท่านก็ยังอยู่ในใจของทุกคนอยู่เพราะเจ้านายของเขาเป็นคนดีทุกคนก็ย่อมรักท่านเป็นธรรมดา
นทีรินยิ้มกว้างก่อนจะชวนพี่นวลดูแบบของร้านอาหารต่อ ทั้งสองพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่สักพักหนึ่งก็ต้องตกใจอย่างสุดขีดเมื่อพบร่างคุ้นเคยปรากฏต่อหน้าที่มาพร้อมเสียงที่ดังลั่น
“ทำอะไรกันอยู่ครับ!”
“ว้ายแม่ร่วง!” พี่นวลอุทานดังอย่างตกใจ มือป้อมจับที่หัวใจอย่างโล่งใจเมื่อพบว่าคนที่มาแกล้งเธอและคุณหนูเป็นใคร
“ฮ่ะๆ สวัสดีครับพี่นวล” มือหนากระพุ่มไหว้พี่นวลอย่างนอบน้อมพร้อมกลั้วหัวเราะชอบใจที่สามารถแกล้งให้ทุกคนตกใจได้
“พี่เมฆอ่ะ!”
นทีรินแหวใส่คนขี้แกล้งเสียงดังจนนภทีป์หัวเราะขึ้นมาอีกระลอก นทีรินส่ายหัวให้กับความขี้แกล้งของรุ่นพี่คนนี้ที่มักจะแกล้งเขาเป็นเด็กๆอยู่เรื่อย
“ทำไมไม่โทรฯบอกนทล่ะครับว่าจะมา นทจะได้ทำขนมที่พี่เมฆอยากทานไว้รอ” นทีรินเอ่ยบอกรุ่นพี่จอมขี้แกล้งของตัวเอง เพราะเขายังติดคำสัญญาว่าจะทำขนมให้รุ่นพี่คนนี้ทานอยู่
“อยากเซอร์ไพร์สไงครับ” นภทีป์เอ่ยบอกรุ่นน้องอย่างอารมณ์ดี
“คุณเมฆนี่ขี้แกล้งเหมือนเดิมเลยนะคะ” พี่นวลเอ็ดอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“ฮ่ะๆ ผมไม่ได้ขี้แกล้งนะครับแค่ชอบทำให้คนอื่นตื่นเต้นเท่านั้นเองครับพี่นวล”
นภทีป์เอ่ยบอกพี่เลี้ยงของรุ่นน้องด้วยความสนิทสนม เพราะนภทีป์เป็นรุ่นพี่ของนทีรินมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยในคณะและสาขาเดียวกัน และก็ได้มีโอกาสมาเที่ยวเล่นที่บ้านนี้อยู่บ่อยครั้งจึงไม่แปลกเลยที่จะสนิทกับพี่นวล
“นี่ครับของฝากจากเกาหลี -- มีของพี่นวลด้วยนะครับ” นภทีป์ยื่นถุงกระดาษที่ข้างในบรรจุไปด้วยของฝากจากประเทศเกาหลีใต้ที่เขาไปได้ทำธุรกิจอยู่ที่นั่นอยู่เป็นเดือนๆ
“ขอบคุณมากนะคะ มีของมาฝากตลอดเลยแต่คราวหลังไม่ต้องลำบากนะคะคุณเมฆ”
ความใจดีของนภทีป์ทำให้ทั้งพี่นวลและนทีรินนั้นเกรงใจไม่น้อยเลย เพราะแต่ไหนแต่ไรเวลานภทีป์มาเยี่ยมที่บ้านก็มักจะมีของฝากเล็กๆน้อยๆมาให้เป็นประจำ
“ลำบากอะไรกันครับพี่นวล แค่ของฝากเล็กๆน้อยๆพวกนี้สบายมากครับ” นภทีป์เอ่ยบอกด้วยความเต็มใจ
“เพิ่งมาถึง ขึ้นไปไหว้อากงก่อนไหมครับพี่เมฆ”
“ไปสิครับ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูพาคุณเมฆไปไหว้ท่านเจ้าสัวก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่จะไปเตรียมของว่างกับเครื่องดื่มไว้ให้ค่ะ”
พี่นวลเอ่ยบอกก่อนจะเดินแยกไปในครัวเพื่อเตรียมของว่าง นทีรินกับนภทีป์ก็แยกไปในบ้านเพื่อที่จะขึ้นไปยังห้องของเจ้าสัวพีระ นภทีป์ไม่ได้มาที่นี่เสียนานตั้งแต่เรียนจบจนกระทั่งเจ้าสัวพีระล้มป่วย ได้กลับมาอีกครั้งเขาเองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยเลย
นทีรินพานภทีป์เข้ามาภายในห้องนอนส่วนตัวของประมุขของบ้าน นภทีป์มีสีหน้าที่สลดลงเล็กน้อยเมื่อเห็นชายชรานอนหลับลมหายใจแผ่วๆนิ่งเงียบสนิท เขามีความสนิทสนมกับเจ้าสัวพีระอยู่ในระดับหนึ่งเพราะว่าชอบไปงานประมูลของเก่าหายากด้วยกัน ในตอนนั้นเจ้าสัวพีระยังเป็นชายชราที่แข็งแรงอยู่มาก แต่มาวันนี้เขาต้องพบอีกฝ่ายในวันที่นอนป่วยอยู่แบบนี้นภทีป์ก็รู้สึกหดหู่ไม่น้อยเลย
“อากงครับ พี่เมฆมาเยี่ยมครับ”
นทีรินกระซิบข้างหูของชายชราด้วยเสียงที่เบาแต่ชัดเจน เจ้าสัวพีระค่อยๆลืมตาขึ้นมาก่อนจะยิ้มบางๆส่งไปให้เมื่อพบหน้าผู้มาเยี่ยม
“สวัสดีครับอากง” นภทีป์ยกมือกระพุ่มไหว้ด้วยความนอบน้อมก่อนจะทรุดลงนั่งข้างเตียงของชายชรา
“หายไปนานเลยนะเมฆ งานยุ่งเหรอ” เจ้าสัวพีระเอ่ยถามรุ่นพี่ของหลานสะใภ้อย่างสนิทสนมเพราะเขาเองก็ได้พบและพูดคุยกับนภทีป์อยู่บ่อยครั้ง
“ครับ ช่วงนี้กำลังขยายสินค้าส่งออกไปต่างประเทศครับก็เลยยุ่งมากไม่มีเวลามาเยี่ยมอากงเลยครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก งานกำลังไปได้สวยก็ไปสนใจงานก่อนนั่นแหละถูกแล้ว”
เจ้าสัวพีระยิ้มเมื่อเห็นถึงความประสบความสำเร็จของนภทีป์ที่ฉายแววให้เห็นมานานแล้ว เขาเป็นนักธุรกิจที่ผ่านประสบการณ์ต่างๆมามากมายจึงไม่แปลกเลยที่จะมองเห็นแววของคนที่จะประสบความสำเร็จเฉกเช่นกับตัวเอง
“ครับ แล้วอากงเป็นยังไงบ้างครับ” นภทีป์เอ่ยถามด้วยความห่วงใย
“ก็เจ็บออดๆแอดๆตามประสานั่นแหละ ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่ง”
คำตอบที่เจ้าสัวพีระตอบออกมาไม่ได้มีความเศร้าเจือปนอยู่เลยแม้แต่นิดเดียวกลับกันกลับมีความขำขันอยู่เสียมากกว่าราวกับว่าไม่ได้กลัวความตายเลยสักนิด นภทีป์และนทีรินได้ยินก็ยิ่งรู้สึกสลดใจเพราะไม่ได้อยากสูญเสียเจ้าสัวพีระไป
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ อากงยังแข็งแรงอยู่ต้องหายไวแน่นอนครับ ถ้าอากงหายแล้วเราจะได้ไปงานประมูลด้วยกันอีกไงครับ” นภทีป์ให้กำลังใจเพราะเขาเองก็ยังอยากไปงานประมูลกับเจ้าสัวพีระเหมือนที่ผ่านมา
“อืม” เจ้าสัวพีระพยักหน้าให้ยิ้มๆ
“พี่เมฆรอไปงานประมูลกับอากงอยู่นะ อากงต้องหายไวๆนะครับ” นทีรินให้กำลังใจอีกแรงอย่างมีความหวังว่าในสักวันเจ้าสัวพีระจะหายดีแม้ความหวังมันน้อยนิดก็ตาม
“แล้วอากงชอบแจกันน้ำเต้าที่ผมประมูลมาให้ไหมครับ”
“ชอบมาก.. แต่คงแพงน่าดูเลยสิ วันหลังไม่เอาแล้วนะ นทมาฟ้องอั๊วอยู่ว่าโดนลื้อแกล้งประมูลตัดหน้าไปด้วยนะ” เจ้าสัวพีระเอ่ยบอกพลางกลั้วหัวเราะ
“ก็มันน่าฟ้องไหมล่ะครับอากง นทประมูลของนทอยู่ดีๆก็มาประมูลโก่งราคาซะสูงเชียวแล้วนทจะไปสู้ไหวได้ยังไงครับ” คนโดนแกล้งยู่ปากใส่งอนๆจนนภทีป์หัวเราะชอบใจที่แกล้งรุ่นน้องได้สำเร็จ
“ฮ่ะๆ งั้นงานประมูลคราวหน้า พี่จะต่อให้นทประมูลของให้เสร็จก่อนแล้วพี่ค่อยประมูลดีไหมครับจะได้หายเคืองพี่สักที”
“ต้องอย่างนั้นอยู่แล้วครับ ฮ่ะๆ”
เสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและเสียงหัวเราะผสมโรงกันดังขึ้นทั่วห้องชายชราทำให้ผู้มาใหม่ที่ยืนฟังอยู่สักพักนั้นรู้สึกอารมณ์เริ่มขุ่นมัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ร่างสูงถอนหายใจหนักๆก่อนจะขบกรามแน่นพยายามข่มอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นไว้
สายตาคมจับจ้องไปยังภรรยาของตัวเองที่ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะอย่างอารมณ์ดีกับชายอีกคนที่เขาเคยลั่นประกาศิตกับอีกฝ่ายไปว่าให้เลิกยุ่งกัน แต่ก็ได้รับการปฏิเสธตอบมาต่อให้เขาไม่รู้ว่าคนทั้งคู่มีอะไรมากไปกว่าที่เห็นหรือไม่แต่เขาก็ไม่พอใจอยู่ดีที่นทีรินพาชายอื่นมาเหยียบจมูกเขาถึงที่แบบนี้และมันก็เป็นสิ่งที่เขายอมไม่ได้
“ภพ กลับมาแล้วเหรอ” เสียงเจ้าสัวพีระเอ่ยดังขึ้นเมื่อร่างหลานชายปรากฏขึ้นต่อหน้าพร้อมกับที่ทุกคนหันมองภวินท์พอดี
“ขอโทษครับ ผมไม่ทราบว่าอากงมีแขกมาเยี่ยม” ภวินท์เอ่ยบอกอากงเสียงเรียบนิ่ง สายตาคมหันมองคนมาเยี่ยมก่อนจะหันกลับมาด้วยความนิ่งขรึมจนภายในห้องที่มีเสียงหัวเราะต่างนิ่งเงียบกันไปหมด
“ไม่เป็นไรๆ แล้วทำไมวันนี้กลับบ้านเร็วนักล่ะ มันยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลยไม่ใช่เหรอ”
“ปวดหัวนิดหน่อยครับอากง ก็เลยกลับมาพัก”
ภวินท์เอ่ยตอบตามความจริง วันนี้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไรด้วยงานที่เครียดและค่อนข้างกดดันสะสมกันมาเป็นเวลาหลายวันมันก็ทำให้ร่างกายเขาอ่อนล้าได้ง่ายๆ
เจ้าสัวพีระพยักหน้ารับหลานชาย ภายในห้องเงียบสงัดจนนทีรินแอบรู้สึกอึดอัดจึงตัดสินใจพูดขึ้นมา
“เอ่อ.. นทขออนุญาติแนะนำนะครับ.. คุณภพ.. นี่คุณนภทีป์ครับเป็นรุ่นพี่สมัยมหาวิทยาลัยของผม -- ส่วนนี่คุณภวินท์ครับพี่เมฆเป็นหลานชายคนเดียวของอากงแล้วก็เป็น.. สามีของนทครับ”
นทีรินพยายามบังคับเสียงให้เป็นไปตามปกติเพื่อแนะนำสามีและรุ่นพี่ให้รู้จักกัน สายตาคมดุของภวินท์ที่มองมามันทำให้เขารู้สึกหวั่นใจอย่างไรชอบกล เพราะเขาทราบว่าภวินท์เอ่ยลั่นวาจาให้เขาเลิดคบหากับนภทีป์มาก่อนแต่ด้วยความที่เขาตระหนักเสมอว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังกระทำนั้นมันไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดเขาก็ไม่รู้ว่าเขาต้องกลัวไปทำไม
“สวัสดีครับคุณภวินท์ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
นภทีป์ทักทายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มตามประสาคนอารมณ์ดีพร้อมยื่นมือออกไปค้างรอ ภวินท์จับมืออีกฝ่ายตอบก่อนตจะทักทายกลับด้วยเสียงที่เรียบนิ่งพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ติดทำเป็นประจำ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณนภทีป์ เรียกผมว่าภพก็ได้”
“ผมเคยซื้อซูเปอร์คาร์ที่บริษัทของคุณภพด้วยนะครับ รถที่บริษัทคุณภพนำเข้ามามีแต่รุ่นเจ๋งๆแล้วก็สวยทุกคันเลยนะครับ” นภทีป์ชวนคุยตามประสาคนที่มีนิสัยเป็นมิตรทั่วไป
“ถึงว่าทำไมผมถึงคุ้นๆรถของคุณ ที่แท้ก็เป็นลูกค้าของผมนี่เอง ถ้าผมรู้สักนิดว่าคุณเมฆเป็นรุ่นพี่ของนท ผมก็คงจะบริการคุณเมฆให้ดีกว่านี้” ภวินท์เอ่ยบอกพลางยิ้มรับ เขาคิดอยู่ว่าทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยซูเปอร์คาร์ยี่ห้อดังที่จอดอยู่ด้านล่างเหลือเกิน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่คุณภพอัพเดทผมเรื่องซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ๆก็เพียงพอแล้วครับ ผมยังมือใหม่อยู่น่ะครับสงสัยต้องรบกวนให้โปรเฟสชันแนลแบบคุณภพแนะนำให้บ้างแล้วครับ”
“ครับ ได้อยู่แล้ว.. ผมชอบนะครับเป็นมือใหม่แต่ก็ขวนขวายที่อยากจะเรียนรู้ เพราะลูกค้าบางคนที่ซื้อไปก็สักแต่ว่าจะขับให้ดูเท่ไปวันๆ”
ภวินท์เอ่ยบอกตามใจคิดเพราะมีไม่กี่คนหรอกที่ขับซูเปอร์คาร์เพราะความชอบและมีแพชชั่นในสิ่งนี้ บางคนก็ขับเพราะมีเงินซื้อแต่ไม่ใส่ใจจะดูแล
นภทีป์พยักหน้าเห็นด้วยและก็ได้ฝากเนื้อฝากตัวเป็นคนขอคำแนะนำจากภวินท์เรียบร้อย ภวินท์เองก็เต็มใจที่จะให้คำแนะนำเพราะต่อให้เขาไม่พอใจในตัวของนภทีป์เพราะเหตุผลบางอย่างที่ติดอยู่ในใจแต่เขาก็เป็นคนมีเหตุผลพอที่จะไม่เอามันมาปนกัน
การที่สามีและรุ่นพี่คุยกันได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆทำให้นทีรินโล่งใจไม่น้อยเพราะอย่างน้อยเขาก็สบายใจที่ภวินท์ไม่ได้แสดงท่าทีร้ายกาจใส่นภทีป์อย่างที่เขาเคยคิด
“วันนี้อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะเมฆ” เจ้าสัวพีระเอ่ยชวนนภทีป์อย่างที่ทำประจำเวลาอีกฝ่ายมาเยี่ยมเยียน
“ผมก็กะว่าจะมาอาศัยฝากท้องที่นี่อยู่แล้วครับอากง คิดถึงกับข้าวฝีมือนทกับพี่นวลจะแย่อยู่แล้วครับ ฮ่ะๆ” นภทีป์เอ่ยบอกเสียงกลั้วหัวเราะ
“ถ้าอย่างนั้นพี่เมฆอยากทานอะไร รีเควสต์มาได้เลยนะครับ” นทีรินเอ่ยบอกรุ่นพี่พร้อมรอยยิ้มกว้าง
“อะไรก็ได้ครับที่นททำพี่กินได้หมดทุกอย่าง” นภทีป์พูดเอาใจรุ่นน้องอย่างที่ทำประจำ
ทั้งนทีรินและนภทีป์พูดคุยกันเป็นไปตามธรรมชาติอย่างเช่นเคยรอยยิ้มที่ติดอยู่บนใบหน้าของคนทั้งคู่ทำให้มีอีกคนในห้องเริ่มจะไม่พอใจขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ดวงตาหวานเป็นประกายเมื่อได้พูดคุยกับใครอีกคนที่ไม่ใช่เขา น้ำเสียงทุ้มหวานที่ถูกใช้กับใครที่ไม่ใช่เขา มันทำให้ภวินท์รู้สึกว่าเขากำลังหึงหวงอีกฝ่าย
ใช่ เขาหึงนทีรินและก็หึงมากๆแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รับรู้มันเลยเพราะอีกฝ่ายไม่ได้คิดจะสนใจเขาเลยด้วยซ้ำ
“ผมขอตัวก่อนนะครับอากง ผมอยากนอนพัก” ภวินท์เอ่ยบอกเจ้าสัวพีระด้วยเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะสาวเท้าเตรียมเดินออกไป
“ไม่รอกินข้าวด้วยกันก่อนล่ะภพ แล้วค่อยไปนอนพัก” เสียงชายชราขัดขึ้นมาก่อนที่หลานชายจะเดินพ้นไปยังประตู
“ไม่เป็นไรครับอากง เดี๋ยวผมให้โต๋จัดอาหารไปให้ที่ห้อง” ภวินท์เอ่ยบอกโดยไม่หันมามองผู้ใดในห้องเลย
สิ้นคำพูดนั้นร่างสูงก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่สนใจเลยว่ามีดวงตาหวานคู่หนึ่งมองตามไปอย่างห่วงใยเพียงเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังไม่สบาย
To be continue
___________________________________________________________________________________________
TALK WITH WRITER :: โอ๊ะโอ... มีใครบางคนกำลังหึงน้องอยู่น้าาาา สงสารดีไหมน้าาา 55555555555 พาพี่เมฆมาให้หายคิดถึงแล้วนะคะ บอกแล้วว่าเรื่องนี้พระเอกคือตัวร้าย ส่วนพระรองก็คือพระเอกที่แท้ทรู 5555555555
เจอกันตอนหน้านะคะ