ลิขิตครั้งที่ 14
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมทดลองทฤษฎีการฝันของไอ้กาลโดยไม่บอกมันถึงจะตกลงร่วมมือกันไปแล้วก็ตาม แต่ผมกลับคิดว่าถ้าทำโดยไม่บอกน่าจะได้ผลกว่า ทุกคืนพอมันหลับสนิทผมจะแอบย่องออกมา ตอนเช้าก็บอกมันว่าตื่นก่อน สามคืนแรกทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี จนเข้าสู่คืนที่สี่มันก็รู้ตัวและนอนฝันร้ายในคืนนั้น เท่ากับว่าถ้าไอ้กาลไม่รู้ตัวว่านอนคนเดียวฝันร้ายก็จะทำอะไรมันไม่ได้
ส่วนผมก็ได้ทดสอบอาการแพ้ของตัวเองเหมือนกัน ตลอดทั้งสัปดาห์มานี้ผมนอนกับล่อนจ้อนทุกคืน แล้วก็แทบไม่เกิดอาการแพ้เลย ผมคิดเอาเองว่าอาจจะชินกับการอยู่กับแมวแล้วซึ่งไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันมีทางเป็นไปได้หรือเปล่า อีกเหตุผลที่คิดได้คือปัญหาที่เผชิญอยู่เริ่มดีขึ้นอาการเลยดีขึ้นตาม คิดมาถึงตรงนี้ผมก็พอจะคิดอะไรออกอีกอย่าง พ่อเคยบอกว่าปัญหานี้จะช่วยให้ชีวิตผมดีขึ้น ปัญหาที่ว่าอาจจะเป็นอาการแพ้แมวด้วยก็ได้
หลังจากสัปดาห์ที่แล้วโกรธกันงอนกันสลับไปมาจนวุ่นวาย วันหยุดนี้ผมก็ได้โอกาสแก้ตัวใหม่ เราช่วยกันเก็บกระเป๋าตั้งแต่เมื่อวาน ไอ้กาลเป็นคนขับรถ นัดลุงพิทักษ์ไว้แล้วเรียบร้อยว่าจะไปหา พอเจ็ดนาฬิกาก็ได้เวลาออกเดินทางสู่จังหวัดจันทบุรี
ถึงตัวเมืองใช้เวลาสองชั่วโมง แต่กว่าจะถึงสวนต้องบวกเพิ่มความซับซ้อนไปอีกนิดหน่อย เรามาถึงกันตอนสิบโมง ผมปลุกล่อนจ้อนที่หลับอยู่เบาะหลังตลอดทาง พอเห็นบ้านที่ตัวเองคุ้นเคยสมัยเด็กก็ยิ้มกว้างออกมา
"คิดถึงมั้ย" ผมลองถาม ล่อนจ้อนเอามือทาบกระจกรถมอง กวาดสายตาไปรอบๆ เหมือนอยากมองให้เห็นทั่วทั้งสวน แต่เมื่อรถจอดสวนก็หายไปจากสายตา มองเห็นแค่บ้านใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเนินกับทะเลสาบหน้าบ้านเท่านั้น ที่จริงมันเป็นสระน้ำขุดแต่ผมเรียกให้ดูดีขึ้นมาหน่อย
"คิดถึง"
"ที่นี่คือ" ผมชี้ไปที่คือบ้าน อีกคนก็รีบตอบทันที
"บ้านใหญ่ไง"
"เข้าบ้านกัน อาพิทักษ์เดินลงมารับแล้วนู่น" ผมลงจากรถเดินไปเปิดประตูให้ล่อนจ้อน ก่อนคนขับจะตามลงมา
"เข้าได้เหรอ" เด็กที่ไม่เคยขึ้นบ้านใหญ่ถามผมตาแป๋ว กิตติศัพท์ของอาพิทักษ์สมัยก่อนก็ดุใช่ย่อย ดูกว่าปู่อีก ไม่แปลกที่ล่อนจ้อนจะกลัว
"ขึ้นได้ดิ ก็มาด้วยกัน ลงมาเร็ว" ผมต้องจับมือแมวขี้กลัวไว้ถึงได้ยอมลงมา
อาพิทักษ์เดินมาถึงรถพอดี ผมกับไอ้กาลยกมือไหว้ทักทาย ล่อนจ้อนทำตามเป็นคนสุดท้าย อายกมือรับไหว้ยิ้มแย้มอย่างใจดี แต่หนวดงามๆ ของแกน่าจะกำลังทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างผมกลัว
"ไปๆ ขึ้นบ้านกันก่อน" อาพิทักษ์ตบไหล่ไอ้กาลเบาๆ ก่อนเดินนำไปยังบ้านไม้ทรงไทยประยุกต์หลังใหญ่ บ้างหลังนี้ยังดูไม่เปลี่ยนไปจากครั้งล่าสุดที่ผมมานัก บ่งบอกได้ว่าเจ้าของคนใหม่ดูแลมันอย่างดี
การพูดคุยเริ่มจากไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ เราสองพี่น้องไม่ได้เจออาพิทักษ์มาหลายปีใหญ่แล้ว เหตุที่ทำให้พวกผมกลับมาที่นี่ผมเลือกบอกอาไปตามตรง ครอบครัวของเราต้องเคยเจอเรื่องราวแปลกๆ นี้กันทุกคน อาพิทักษ์ก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่ไม่สามารถเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวที่จบไปแล้วในอดีตให้ใครฟังได้ พ่อผมบอกว่ามันเป็นภารกิจปกปิดความลับของตระกูลที่ห้ามให้คนนอกล่วงรู้ แม่ผมก็ไม่รู้เรื่องนี้ ส่วนเหตุผลนั้นพ่อบอกว่าเดี๋ยวผมก็จะเข้าใจเองเมื่อเรื่องราวนั้นจบลง
"ว่าแต่พ่อหนุ่มคนนี้เป็นใครล่ะ สีผมเท่เชียว" คุยเล่นกับพวกผมอยู่สักพักอาพิทักษ์ก็พุ่งประเด็นไปที่ล่อนจ้อน คนโดนถามรีบยืดตัวนั่งหลังตรง เหล่มองผมอย่างไม่รู้ว่าจะตอบยังไง
"ก็เกี่ยวกับปัญหานั่นแหละครับ คิดว่าอาน่าจะรู้จัก"
"คนนี้เหรอ" อาพิทักษ์พยักหน้าแล้วอมยิ้ม ดูมีเลศนัยแปลกๆ
"อาคุ้นหน้าบ้างมั้ยครับ"
"ไม่คุ้นนะ"
"อาลองจ้องดูดีๆ เผื่อจะนึกออก"
รู้ว่าล่อนจ้อนกลัวผมเลยแกล้ง อาพิทักษ์ก็เล่นตาม ขมวดคิ้วจ้องจนคนกลัวตัวหด ผมว่าถ้าทำได้มันคงอยากกลับร่างแมวแล้ววิ่งหนีออกไปจากบ้านมันซะตอนนี้
"ไม่คุ้นอยู่ดี"
"ถ้าอาจำได้มันจะแปลกมาก เพราะผมยังจำไม่ได้เลย"
"แสดงว่าเป็นคนรู้จัก"
"จากข้อมูลที่หามาได้ก็ใช่ครับ"
"แล้วเราจำอาได้มั้ย" อาพิทักษ์ถามล่อนจ้อน มันพยักหน้ารับเบาๆ ท่าทางหวาดๆ เหมือนเด็กกลัวโดนผู้ใหญ่ดุ ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกิน
"มันจำได้ ไม่งั้นไม่กลัวอาขนาดนี้หรอก"
"อาน่ากลัวเหรอ" อาพิทักษ์ถามล่อนจ้อนอีกรอบ พอมันพยักหน้ารับอาก็หัวเราะชอบใจ
"ก็ไปแกล้งมัน" แล้วก็โดนไอ้กาลว่าเข้าให้ทั้งผมทั้งอา
"แต่ตอนพี่ภพโทรมาบอกอาไม่เห็นบอกนะว่าจะพาเพื่อนมาด้วย พ่อยังไม่เคยเจอพ่อหนุ่มคนนี้เหรอ"
"ยังครับ ยังไม่เคยพาไป เพราะปัญหาดูเหมือนจะเกิดจากที่นี่ผมเลยพามาที่นี่แทน"
อาพิทักษ์พยักหน้ารับ ไม่ออกความเห็นหรือแนะนำแนวทางอะไรให้เหมือนพ่อผมเลย แกแค่รับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น แต่เข้ามาช่วยเหลือไม่ได้ คนที่ดูจะเข้ามาพัวพันกับปัญหาของผมมากสุดก็เห็นทีจะเป็นเหนือกาล ผมไม่รู้ว่ามันจะเกิดผลกระทบตามมาทีหลังมั้ย แต่ถ้าไม่มีมันคอยช่วยปัญหาของผมอาจจะยังไม่คืบหน้าถึงขนาดนี้ก็ได้ เพราะไม่มีคนขับรถมาส่ง
"อาครับ พวกคนงานเก่าๆ ของสวนยังทำงานกันอยู่ที่นี่หรือเปล่า"
"ลาออกก็มี ที่ยังอยู่ก็มี อาว่าลิขิตลองไปดูเองดีกว่า"
"แล้วพวกลูกคนงานล่ะครับ"
"พวกที่เคยเล่นด้วยกันตอนเด็กๆ น่ะเหรอ"
"ครับ"
"เข้ามหาลัยกันหมดแล้ว ไม่มีใครอยู่ที่สวนหรอก จะเหลือก็แค่เจ้าแม็ก ไอ้นี่มันขี้เกียจ จบม.ปลายแล้วไม่เรียนต่อ ออกมาช่วยงานพ่อแม่มันแทน"
"แล้วอาจะเข้าสวนมั้ยวันนี้"
"วันนี้อาจะไปทำธุระในเมือง นัดไว้ในเมืองตอนสิบเอ็ดโมง ลิขิตกับกาลจะไปเดินเล่นในสวนเลยก็ได้นะ ตอนเที่ยงค่อยกลับมากินข้าว เดี๋ยวอาให้แม่บ้านเตรียมมื้อเที่ยงไว้ให้"
"ได้ครับ"
หลังจากอาพิทักษ์ขับรถออกไปไอ้กาลก็ตัวขอไปนอน ผมกับล่อนจ้อนเดินเลียบริมน้ำเพื่อเข้าไปในสวน ริมขวาของสระมีบ้านพักคนงานตั้งอยู่หลังหนึ่ง อีกส่วนอยู่ด้านในซึ่งเป็นที่ที่ล่อนจ้อนเคยอาศัยอยู่ตอนเด็ก
ที่นี่เป็นสถานที่ที่เราต่างคุ้นเคย แม้จะไม่ได้มาเยี่ยมเยือนนานแล้วแต่ยังจำรายละเอียดต่างๆ ได้ดี บรรยากาศของสวนนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก พื้นที่ทั้งหมดราวๆ หนึ่งร้อยไร่ ปลูกมังคุดกับลองกองเป็นหลัก พวกเงาะกับลำไยก็มี
เดินเข้ามาบริเวณสวนก็เริ่มเจอคนสวนกำลังทำงาน ถึงตอนเด็กๆ ผมจะมาที่นี่บ่อยแต่ความจริงแล้วแทบไม่มีความรู้เกี่ยวกับการทำสวนเลย เป็นเด็กก็ห่วงแต่เล่น ยิ่งเป็นหลานจ้าของสวนด้วยเลยไม่ค่อยได้มาคลุกคลีงานแบบจริงๆ จังๆ มีบ้างที่ถูกปู่ใช้ให้รดน้ำกับถอนหญ้า สอนทำปุ๋ยก็เคย แต่ทุกความรู้อันน้อยนิดที่ได้เรียนรู้มาได้หายไปตามกาลเวลาแล้วเรียบร้อย
เราเดินผ่านต้นมังคุดที่ปลูกเรียงรายเป็นแถว ถ้าผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าตรงนี้ปลูกมังคุดผมก็คงไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือต้นอะไร ช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูกาลของผลไม้ชนิดนี้ เลยมีแค่ลำต้นกับใบเขียวๆ ดูร่มรื่นเย็นสบายจนอยากเอาเสื่อมาปูนอน
สมัยเด็กที่ผมมาบ่อยๆ บ้านสวนแห่งนี้มีคนงานไม่ถึงสามสิบคน ตอนนี้ก็น่าจะยังคงเป็นอย่างนั้น ดูเป็นสวนที่สงบร่มรื่น ใช้ชีวิตแบบสบายๆ อยู่กับธรรมชาติ กินของที่ปลูกเอง แต่เงินจะพอใช้หรือเปล่าอันนี้ผมก็ไม่รู้ แต่ผมอยู่ไม่ได้แน่เพราะใช้เงินโคตรเปลืองจนบางเดือนพ่อยังบ่น
"พ่อชื่อดอกรัก แม่ชื่อบุหงาใช่มั้ย" ผมถามล่อนจ้อนเพื่อยืนยันอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ก็ลืมถามอาพิทักษ์ว่ามีคนงานชื่อนี้หรือเปล่า พออาบอกให้ลองมาดูเองผมก็เออออตามไปเลย
"ใช่ ลิขิตจำได้ด้วย"
"ก็ต้องจำได้ดิ เรื่องสำคัญขนาดนี้"
ล่อนจ้อนอมยิ้ม เราเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ มองต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ แล้วก็ทำให้ผมนึกบางอย่างที่เกี่ยวกับชื่อพ่อแม่ของล่อนจ้อนขึ้นมาได้
"บุหงานี่ใช่บุหงาส่าหรีมั้ย งั้นก็ชื่อดอกไม้ทั้งคู่เลยดิ"
"มั้งนะ" ล่อนจ้อนพยักหน้าเบาๆ เหมือนไม่ค่อยเข้าใจ หรือว่าไม่รู้จักชื่อดอกไม้
"รู้จักดอกไม้ป้ะเนี่ย"
"รู้จักดอกรัก เอาไว้ไหว้ครู"
"ส่วนนี่ดอกบุหงา เอาไว้ทำอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน" ผมเข้ากูเกิ้ลเปิดรูปดอกบุหงาส่าหรีให้ล่อนจ้อนดู ดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ เรียงกันเป็นพวง
"สวยดี"
"แบบนี้ชื่อล่อนจ้อนก็มีสิทธิ์เป็นชื่อดอกไม้เหมือนกันดิ เริ่มคุ้นๆ ขึ้นมาบ้างยัง"
เจ้าตัวพยายามทำหน้านึกก่อนจะส่ายหน้า มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่อยู่ๆ จะนึกออกขึ้นมา
เราพับเก็บเรื่องชื่อกันเอาไว้ก่อนแล้วเดินไปหาคนงานคนหนึ่งที่เพิ่งเดินผ่านหน้าไป เขามองผมด้วยสีหน้าสงสัย วัดจากความคุ้นเคยที่แทบไม่รู้สึกเลยของผมแล้วน่าจะเป็นคนงานใหม่ที่ผมไม่รู้จัก แล้วคุณน้าคนนี้ก็เป็นฝ่ายทักพวกเราขึ้นมาก่อน
"คุณลิขิตหรือกับคุณกาลเปล่าครับ"
"ใช่ครับ" คุณลิขิตน่ะใช่ แต่คุณกาลนอนอืดอยู่ที่บ้านใหญ่นู่น รู้จักกันแบบนี้แสดงว่าอาพิทักษ์คงบอกคนงานไว้แล้วว่าพวกผมจะมา
"ตามสบายเลยนะครับ เสียดายที่มาเดือนนี้ จะมีก็แต่กล้วยน้ำว้า" น้าแกยิ้มปลอบใจผมหนึ่งที มาช่วงไม่ดีไม่ใช่ฤดูเก็บเกี่ยวของสวนเลยไม่มีผลไม้ให้กิน
"ไม่เป็นไรครับ"
"ถ้างั้นต้องการอะไรก็เรียกผมได้เลยนะครับ" น้าแกยิ้มให้ผมอีกรอบ ทำท่าจะหมุนตัวเดินหนีผมเลยต้องรีบรั้งไว้ก่อน
"น้าครับ ผมขอถามอะไรหน่อย"
"ครับ"
"น้าบุหงากับน้าดอกรักยังทำงานอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ"
"อ๋อ ถ้าบุหงาอยู่บ้านใหญ่นู่นครับ ส่วนดอกรักเสียไปได้สามปีแล้ว"
"เสียแล้วเหรอครับ"
"ครับ"
"แกเป็นอะไรเสียเหรอครับ"
"ปอดติดเชื้อล่ะมั้งครับ ผมเองก็ไม่แน่ใจ"
ผมหันไปมองล่อนจ้อนที่ยังยืนนิ่ง แต่เหมือนสติจะหลุดลอยหายไปแล้วเมื่อได้ฟังข่าวร้ายที่ไม่คาดคิด การหายออกจากบ้านไปเป็นสิบปีทั้งยังต้องอาศัยอยู่ในร่างแมว ไม่มีใครจำได้ ไม่มีคนสนใจ แล้วต้องกลับมาพบกับความจริงว่าพ่อของตัวเองจากไปโดยที่ไม่ได้ล่ำลามันต้องเจ็บปวดขนาดไหน ผมโคตรเกลียดตัวเองเลยที่ทำให้ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้
"ขอบคุณครับ"
"ครับ" น้าแกยิ้มให้อีกรอบก่อนกลับไปทำงาน
ผมคว้ามือล่อนจ้อนมาจับไว้ ไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายเมื่อความรู้สึกผิดจุกอยู่เต็มอก เป็นเพราะผมเองที่พรากมันไปจากพ่อแม่ เพราะผมเองที่ทำให้ชีวิตมันไม่ปกติ ทุกอย่างเป็นเพราะผม เพราะความแปลกประหลาดบ้าๆ ที่หาเรื่องดีๆ จากเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้เลย
"ลิขิต" คนเรียกบีบมือผมเบาๆ ล่อนจ้อนยังคงยิ้มแม้แววตานั้นจะเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ผมยกมือข้างที่ว่างวางบนหัวคนตรงหน้า ถ้าผมจะมีพลังอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้อย่างการดึงความเศร้าออกจากผู้คนได้คงจะดี
"ขอโทษนะ"
"ขอโทษทำไม"
"ขอโทษที่มันกลายเป็นแบบนี้"
ล่อนจ้อนส่ายหน้าเบาๆ จับมือทั้งสองข้างของผมไปกุมไว้ ส่งยิ้มให้อย่างไม่คิดโกรธเคือง
"ไมใช่ความผิดของลิขิตเลย"
"แต่เรา..."
"กลับบ้านใหญ่กันเถอะ"
แต่ผมก็ไม่อาจให้อภัยตัวเองได้อยู่ดี
เราเดินทอดน่องจับมือกันมาถึงบ้านใหญ่ตอนใกล้เที่ยง ไอ้กาลตื่นแล้ว กำลังนั่งเล่นมือถืออยู่ที่ระเบียงบ้าน บรรยากาศช่างเงียบเหงาเพราะไม่มีใครอยู่บ้านเลยนอกจากพวกเรา อาพิทักษ์กับภรรยาเข้าไปทำธุระในเมือง ลูกชายคนโตกับลูกสาวคนรองไปเรียนมหาวิทยาลัยอยู่จังหวัดอื่น จะเหลือก็แค่แม่บ้านที่คงกำลังจัดเตรียมมื้อเที่ยงให้พวกเรา ซึ่งผมยังไม่เห็นหน้าเลย
"เป็นไงบ้างวะ" ไอ้กาลวางมือถือหันหน้ามาคุย มันนั่งขัดสมาธิ ข้างๆ มีจานขนมวางอยู่
"คนงานที่สวนบอกว่าแม่ล่อนจ้อนอยู่ที่บ้านใหญ่" ผมตอบ ขณะที่ล่อนจ้อนยังนั่งเหม่ออยู่
"ที่นี่เหรอ"
"เออ แล้วขนมนั่นใครเอามาให้มึง"
"ป้าสักคน แม่บ้านมั้ง กูไม่คุ้นหน้า แกบอกกับข้าวใกล้เสร็จแล้ว เดี๋ยวมาเรียกอีกที" ไอ้กาลบอกพร้อมกับเลื่อนจานขนมมาให้ คำตอบของมันทำให้ผมไม่แน่ใจว่าป้าแม่บ้านที่ว่าจะใช่บุหงาแม่ของล่อนจ้อนหรือเปล่า ถึงตอนเด็กจะแวะมาบ้านสวนบ่อยๆ ก็ใช่ว่าเราจะรู้จักคนงานทุกคนเหมือนกัน
"อยู่ในครัวใช่มั้ย"
"ทำกับข้าวก็ต้องในครัวดิ อย่าบอกนะว่าเป็นแม่ล่อนจ้อน"
"ยังไม่แน่ใจ มึงรู้ชื่อป้าเขามั้ย"
"ไม่อ่ะ กูไม่ได้ถาม"
"งั้นคงต้องไปดูก่อน ไปดูกันเลยมั้ย" ตอบไอ้กาลแล้วผมก็สะกิดเรียกล่อนจ้อน มันหันมามองก่อนพยักหน้าตกลง
"แต่ป้าแกมีเด็กอยู่ด้วยนะ เป็นเด็กผู้หญิง น่าจะซักสามสี่ขวบมั้ง" ไอ้กาลพูดเสริมขึ้นมา
"ลูกป้าแกเหรอ"
"มั้งนะ อยู่ด้วยกันก็คงลูกแหละ เออ แล้วพ่ออ่ะ เจอมั้ย"
ผมเหลือบมองคนข้างๆ ล่อนจ้อนหันกลับมานั่งดีๆ แล้วหลังจากนั่งมองสระหน้าบ้านเมื่อครู่ รอยยิ้มบางๆ ถูกส่งให้ไอ้กาล ความเศร้ายังไม่จางหายไปจากแววตา ก่อนจะเป็นคนตอบคำถามนั้นออกมาเอง
"พ่อเสียแล้ว"
คนถามนิ่งไป พวกเรายังไม่เคยสูญเสียคนในครอบครัวเลยบอกไม่ได้ว่าความรู้สึกที่ได้รับรู้ข่าวร้ายนั้นเป็นยังไง มันคงจะเหมือนโลกใบหนึ่งของเราหายไปล่ะมั้ง โลกที่อยู่ห่างไกล โลกที่เมื่อมีโอกาสโคจรมาใกล้กันอีกครั้ง แต่โลกใบนั้นก็ไม่อยู่แล้ว
"เสียใจด้วย"
"เราไม่เป็นไร"
"ไปในครัวกันมั้ย เผื่อแม่จะอยู่ที่นั่น"
ผมชวนอีกครั้งล่อนจ้อนก็พยักหน้ารับ ตอนเราลุกขึ้นยืนเป็นจังหวะเดียวกับที่มีคนเดินมาหาพอดี เป็นผู้หญิงอายุน่าจะสักสี่สิบกว่า ผมยาวรวบเป็นหางม้าด้านหลัง ข้างๆ มีเด็กผู้หญิงเกาะขากางเกงเดินตามมาด้วย
"กับข้าวเสร็จแล้วนะคะ ไปทานกันได้เลย" ป้าแกบอก เวลายิ้มตาจะหยีมีหนวดแมวเหมือนใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงนี้เลย
"ป้าบุหงาหรือเปล่าครับ"
"ใช่ค่ะ"
ผมหันมองล่อนจ้อน ปากมันยิ้ม แต่ตาเริ่มฉ่ำเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ ผมเคยคิดว่าหากได้เจอแม่แล้วมันจะรีบวิ่งเข้าไปกอดแล้วร้องไห้เหมือนเด็กหลงทางเสียอีก แต่เจ้าตัวกลับคว้ามือผมไปจับไว้แล้วบีบแน่น พอคิดดูอีกทีมันคงไม่ใช่ความประทับใจแรกที่ดีถ้าอยู่ดีๆ ก็มีเด็กที่ไม่รู้จักวิ่งไปกอดแบบนั้น
"ลูกสาวป้าเหรอครับ" ผมลองถาม เพื่อยืนยันด้วยว่าลูกชายที่หายไปเมื่อสิบปีก่อนนั้นถูกลืมจริงๆ
"ค่ะ ชื่อโบตั๋น ไหนโบตั๋นสวัสดีพี่ๆ สิคะ" เด็กน้อยทำตามที่แม่บอกก่อนจะไปหลบอยู่หลังแม่ เป็นเด็กที่หน้าตาคล้ายล่อนจ้อนอยู่เหมือนกัน
"ป้ามีลูกคนเดียวเหรอครับ"
การตอบคำถามที่รู้อยู่แล้วและมีคำตอบที่แน่นอนควรตอบออกมาได้ในทันที แต่เมื่อผมถามออกไปป้าบุหงากลับขมวดคิ้วแล้วเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบ
"ใช่ค่ะ คนเดียว"
แรงบีบที่มือผมหนักกว่าเดิม ล่อนจ้อนยังคงยิ้ม ยิ้มให้กับแม่ที่จำตัวเองไม่ได้ ยิ้มให้กับความตายที่พรากพ่อไป ผมอยากดึงมันเข้ามากอดและบอกว่ามันคือแมวที่เข้มแข็งที่สุดในโลก เก่งมากที่ยังยิ้มได้ เก่งมากที่ยังไม่ร้องไห้ออกมา
"ไปกินข้าวกันค่ะ" ป้าบุหงาชวนอีกรอบก่อนเดินจากไป
"มึงไปก่อนเลย" ผมบอกไอ้กาล มันเองก็เข้าใจเดินออกไปก่อนโดยไม่ถามอะไร
ล่อนจ้อนปล่อยมือแล้วเปลี่ยนมาใช้สองแขนกอดรอบเอวผมไว้ ซุกหน้าลงที่ไหล่ ไม่มีคำพูด ไร้น้ำตาและเสียงสะอื้น ผมกอดตอบ กอดไว้ให้แน่นที่สุด บอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าที่ตรงนี้ยังมีผมอยู่ คนที่จะทวงคืนสิ่งที่เป็นคนพรากไปกลับมาให้เอง
หลังกินข้าวเสร็จล่อนจ้อนอาสาไปช่วยป้าบุหงาล้างจาน แต่ในฐานะแขกของบ้านป้าแกเลยให้มันอยู่เฉยๆ แล้วคุยเป็นเพื่อนแทน ผมเองก็นั่งสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ ห่างมากไม่ได้เพราะถ้าเกิดอยู่ๆ ล่อนจ้อนกลับร่างแมวขึ้นมาจะแย่เอา ส่วนไอ้กาลกลับไปนอนเล่นอยู่ที่ระเบียงบ้านมุมโปรดของมัน
"ไม่ได้แวะมาที่นี่นานเลยนะคะ เข้ามหา’ลัยหรือยัง" ป้าบุหงาหันมายิ้มให้ผมตอนถามขณะที่มือสาละวนกับการล้าง โดยมีลูกน้อยวัยสามขวบเกาะแกะอยู่ไม่ห่าง
"ปีสองแล้วครับ ว่าแต่ป้าทำไมถึงได้มาอยู่บ้านใหญ่ล่ะครับ"
"ช่วงนั้นแม่บ้านคนเก่าลาออกพอดีค่ะ สามีป้าก็เพิ่งเสีย โบตั๋นก็เพิ่งเกิด คุณพิทักษ์เลยให้ป้ามาดูแลบ้านใหญ่แทน จะได้มีเวลาเลี้ยงลูกด้วย"
"แย่เลยนะครับ"
"ตอนนี้ก็ดีเยอะขึ้นแล้วค่ะ ไม่ได้ลำบากอะไร"
"สามีป้าชื่อดอกรักใช่มั้ยครับ"
"ใช่ค่ะ จำได้ด้วยเหรอ" ป้าบุหงาหันมายิ้มให้อีกครั้ง
"ก็พอจำได้ครับ"
"แกเป็นปอดติดเชื้อค่ะ นอนโรงพยาบาลได้สัปดาห์เดียวก็เสีย สมัยหนุ่มๆ แกสูบบุหรี่หนักด้วย มาเลิกจริงจังเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว"
"สิบปีที่แล้วเหรอครับ" ผมกับล่อนจ้อนหันมองหน้ากัน บางทีสาเหตุการเลิกบุหรี่ของลุงดอกรักอาจจะเกี่ยวกับล่อนจ้อนก็ได้
"ใช่ค่ะ อยู่ๆ แกก็อยากเลิก ป้าดีใจมากตอนที่แกตั้งใจแบบนั้น แต่ปอดมันก็แย่ไปแล้ว"
"เราเคยบอกให้พ่อเลิกบุหรี่" ล่อนจ้อนพูดขึ้นมาเบาๆ ป้าบุหงาหันมายิ้มให้อย่างเข้าใจ โดยไม่รู้เลยว่าพ่อของล่อนจ้อนก็คือสามีของตัวแกเอง
"ดีแล้วค่ะ อย่าไปสูบมันเลย"
บรรยากาศชวนเศร้ากลับมาอีกครั้ง ล่อนจ้อนนั่งมองแผ่นหลังของแม่ไม่ละสายตาไปไหน อยากจะดึงบรรยากาศให้ดีขึ้น แต่เมื่อพูดถึงเรื่องครอบครัวกลับมีแต่เรื่องชวนให้เศร้าอยู่ดี คนที่ร่าเริงที่สุดในนี้เห็นทีจะเป็นน้องโบตั๋นที่ยิ้มโชว์ฟันน้ำนมให้พี่ชายอยู่ล่ะมั้ง
"ผมเพิ่งสังเกต ครอบครัวป้าชื่อเป็นดอกไม้กันทุกคนเลยนะครับ" เห็นสองพี่น้องยิ้มแมวใส่กันผมก็นึกเรื่องชื่อขึ้นมาได้ เราคุยเรื่องนี้กันที่สวน ถ้าโบตั๋นชื่อเป็นดอกไม้ ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้สูงที่ล่อนจ้อนจะมีชื่อเป็นดอกไม้เหมือนกัน
"ใช่ค่ะ ช่างสังเกตนะเนี่ย"
"โบตั๋นเป็นผู้หญิง แล้วถ้าเกิดป้าบุหงามีลูกเป็นผู้ชายจะตั้งชื่อว่าอะไรครับ"
"ถามแบบนี้ป้าคิดไม่ทันเลย"
"ถ้าคิดได้แล้วบอกผมทีหลังก็ได้ครับ"
ป้าบุหงาหันมายิ้มให้ สิ่งที่ผมคิดไว้จะเป็นจริงมั้ยไม่รู้ แต่ชื่อที่ป้าบุหงาคิดอาจจะเป็นชื่อของล่อนจ้อนจริงๆ ก็ได้ หากรู้ชื่อจริงๆ ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้ที่จะทำให้ความทรงจำอันเลือนรางชัดเจนขึ้นมา
หลังจากล้างจานเสร็จป้าบุหงาก็ขอตัวไปทำงานอย่างอื่นต่อ เราโบกมือให้น้องโบตั๋นที่บ๊ายบายกลับแบบเขินๆ ล่อนจ้อนยิ้มค้าง แม้สองแม่ลูกจะเดินลับสายตาไปแล้วรอยยิ้มก็ยังคงแต้มที่ริมฝีปาก
"ไม่เห็นถามอะไรแม่เลย" ประโยคเดียวที่ล่อนจ้อนพูดคือบอกให้พ่อเลิกบุหรี่ ตลอดเวลาสิบนาทีมีแค่เสียงผมกับป้าบุหงาต่อบทสนทนากันไปมา
"ก็ลิขิตถามให้หมดแล้ว"
"ไม่มีเรื่องที่อยากรู้เลยเหรอ"
"รู้แค่ว่าตอนนี้แม่สบายดีก็พอ แถมยังมีน้องสาวด้วย"
"เห่อน้องเลยดิแบบนี้ น่ารักด้วย"
"ให้น้องจำได้ก่อนแล้วค่อยเห่อ"
คนเรานะ จี้ใจดำตัวเองก็เป็น
มือผมยื่นไปยีผมสีบลอนด์นั่นอย่างเคยชิน เจ้าแมวที่กำลังเศร้าเลยเอาหัวมาสีมาอ้อนใหญ่ เผลอแป๊บเดียวก็นั่งเบียดกันเสียแล้ว
"อยากไปไหว้พ่อ" ล่อนจ้อนซบหัวลงที่ไหล่ผม บอกเสียงงอแง
"เมื่อกี้ก็ไม่ถาม" แต่พอผมพูดแบบนี้ก็รีบกลับมานั่งตัวตรงทันที ท่าทางแบบนี้เตรียมตัวเถียงกลับชัวร์
"มันจะไม่แปลกเหรอที่อยู่ๆ คนไม่รู้จักจะไปถามแบบนั้นน่ะ ที่จริงก็อยากถามนะ หลายๆ เรื่องเลย แต่แม่จำเราไม่ได้ไง ถามไปก็ดูก้าวก่ายเปล่าๆ มันไม่น่าจะดีถ้าไปถามผู้ใหญ่แบบนั้น"
"พูดคล่องเชียว"
ล่อนจ้อนย่นจมูกใส่ ถ้าเป็นร่างแมวคงกำลังแยกเขี้ยวเตรียมเอาเล็บตะปบหน้าผมอยู่
ผมเข้าใจที่ล่อนจ้อนไม่กล้าถาม เพราะถ้าหากถามอะไรแปลกๆ ออกไปอาจกลายเป็นเด็กไม่ดีในสายตาป้าบุหงาได้ เลยต้องเก็บความสงสัยเอาไว้แล้วให้ผมเป็นฝ่ายถามแทน ความคิดความอ่านที่พัฒนาขึ้นของคนตรงหน้าชวนให้แปลกใจได้ทุกครั้ง จากเด็กสิบขวบตอนนี้เราโตเท่ากันแล้ว ล่อนจ้อนคือคนอายุยี่สิบที่ทำทุกอย่างได้ไม่ต่างจากผมเลย
"งั้นจะลองถามอาพิทักษ์ให้ แต่กระดูกน่าเก็บไว้ในบ้านพักนั่นแหละ เดี๋ยวพาไปไหว้ ไม่เศร้าแล้วนะ"
"อื้ม" ล่อนจ้อนยิ้มกว้าง พยักหน้ารับอย่างแข็งขัน ก่อนเสียงกระแอมของบุคคลที่สามจะเรียกให้เราสองคนหันไปมอง
"กูเบื่ออ่ะ ว่าจะไปเที่ยว ไปด้วยกันมั้ย"
"จะไปไหน"
"ทะเล หาดเจ้าหลาวมั้ง เปิดกูเกิ้ลดูเมื่อกี้"
"ทะเล" คนตื่นเต้นเป็นล่อนจ้อนที่สีหน้าดูเบิกบานขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำว่าทะเล
"แต่ไม่รู้ช่วงนี้มันเล่นน้ำได้หรือเปล่านะ จะไปมั้ย"
"ไป"
"เออ ไปๆ"
ล่อนจ้อนไปผมก็ต้องไปนั่นแหละ ต้องตามไปคุมคนไม่ให้กลายเป็นแมว เดี๋ยวคนกลัวแมวจะช็อกตายเอา
tbc.
มาบ้านใหญ่แล้ว จะทำให้ล่อนจ้อนกลับมาเป็นคนได้มั้ยมาลุ้นกัน
แล้วก็ชื่อของล่อนจ้อน มาทายกันค่ะ (ทายอีกแล้ว ฮ่า)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า