(ครึ่งหลังมาแย้ววววว)
“อีกไหมครับ” คะน้าเอานิ้วมือที่ล้างน้ำสะอาดส่งก้อนน้ำแข็งให้อีก
ยิ้มน้อยๆ มองคนตรงหน้าอย่างขบขัน
อารามเผ็ดจัด ตุลเหมือนคนตายอดตายอยากอยู่กลางทะเลทรายแรมปีก่อนจะเจอโอเอซิส
คนใส่แว่นรีบบ้วนก้อนน้ำแข็งที่กำลังหมดทิ้งไป แล้วรีบโน้มตัวมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ริมฝีปากมีแดงสดนั้นงับลงบนปลายนิ้วของคะน้าเบาๆ
ปลายลิ้นนุ่มดุนตวัดเอาก้อนน้ำแข็งไปไว้ในปากแล้วหันไปเอาทิชชูซับหน้าตัวเองต่อ
ไม่ได้สนใจอะไรไปกว่าจะเอาชีวิตรอดจากมหันตภัยเผ็ดร้อนในปาก
...สัมผัสของริมฝีปากบนปลายนิ้วนั้น
...เริ่มจะไม่ขำแล้วสิคะน้า
ชายหนุ่มมองคนใส่แว่นที่นั่งอยู่ตรงหน้า เสื้อยืดชุ่มเหงื่อถูกยกกระพือขึ้นเป็นจังหวะ
เปิดเผยผิวขาวจัดของผู้ที่สวมใส่ หน้าอกที่เป็นกล้ามเนื้อชัดเจน ไล่ไปถึงท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม
เม็ดเหงื่อเล็กๆ ที่ซึมอยู่ทั่วร่างกายสะท้อนเป็นแสงวาวชวนมอง คะน้ากลืนน้ำลายลงคออย่างไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มก้มหน้างุดแล้วค่อยๆ ดื่มน้ำจากหลอดเงียบๆ ด้วยลมหายใจที่เริ่มติดขัด ...หัวใจมันเต้นแปลกๆ
คงต้องเรียกว่าอาหารช่วยชีวิต! ครู่หนึ่ง จานอาหารที่ตุลสั่งก็ถูกวางลงตรงหน้า
คะน้าจึงหยิบช้อนส้อมขึ้นมาเตรียมพร้อมจะกิน
...แก้เขินหรอก ไม่ได้ตะกละนะ ...จริงๆ
“ไหนๆ สั่งอะไรมาทานครับ” เมื่อจานกับข้าวถูกวางลงคะน้าก็ชะงัก
...จริงอยู่ ผักสีเขียวในจานถูกหั่นเป็นท่อนๆ นั้นหอมฉุย ดูน่ากินเชียวล่ะ
“ผัดน้ำมันหอยครับ ไม่ใส่พริก ไม่ใส่เนื้อสัตว์”
ตุลยิ้มนิดๆ แล้วเอาส้อมจิ้มผักจากจานขึ้นกัดดังกร่วม
“ผักคะน้า” อีกคนที่มีชื่อพ้องกับผักสีเขียวในจานเอ่ยขึ้นเบาๆ ตุลยิ้มแล้วจิ้มขึ้นทานอีก
“ครับ ...ผมชอบ”
คนที่ทานอาหารอยู่เงยหน้าขึ้นมาสบตา ริมฝีปากเจ่อนิดๆ ที่มีสีแดงระเรื่อนั้น เจือไปด้วยรอยยิ้มชวนมอง
ท้องฟ้าในคืนนี้มืดสนิท และเพราะความมืดมิดนั้น แสงของดวงจันทร์จึงนวลสวยกว่าค่ำคืนไหนๆ
อากาศยามค่ำคืนไม่ร้อนอบอ้าว ผมเส้นเล็กๆ ของตุลหยอกล้อกับสายลมที่พัดไสว
ดวงดาวทอแสงประกายวับวาวกว่าทุกๆ วัน ดึงดูดให้ทุกสายตาจ้องมองไปที่ประกายแสงนั้น
วูบหนึ่ง คิดว่าหากมีดาวสักดวงหล่นอยู่บนผืนดิน ความสุกใสเจิดจ้านั้นคงไม่ต่างอะไรกับแววตาของตุลในเวลานี้เลย
ร่างสูงกำลังนิ่งงัน กับดวงตาคู่นั้นที่มองลอดกระจกแว่นตามาจับจ้องที่ใบหน้าเขาพร้อมรอยยิ้มจางๆ อย่างไม่วางตา
รู้สึกร้อนวูบ ชาไปทั่วร่าง บางครั้งการคุยกับผู้ชายคนนี้ก็ทำให้หัวใจเขารู้สึกเหนื่อยเกินกว่าที่ควรจะเป็น
ดูเหมือนอาการแพ้ของเผ็ดของตุลจะค่อยๆ ทุเลาลงแล้ว คนใส่แว่นเริ่มทานอาหารสบายขึ้น
ตุลยกน้ำขึ้นดื่มเป็นระยะๆ ดวงตาคู่นั้นที่ยังคงทอดมองมายังคะน้าอยู่อย่างนั้น ...หยอกล้อและออดอ้อนในที
“รู้ไหมครับว่าทานอาหารเผ็ดมากๆ แล้วไตจะมีปัญหาเอานะ พยายามลดๆ ลงก็ดีนะครับ”
คะน้ายังคงก้มหน้างุดรับฟังคนตรงหน้า ...สมกับที่เป็นหมอ ข้อมูลสุขภาพปึ๊กมาก
“น้ำอัดลมก็ด้วยครับ มีน้ำตาลสูง เวลาคนกระหายน้ำมักชอบดื่มน้ำอัดลมเพราะหวานชื่นใจ
แต่จริงๆ น้ำอัดลมจะทำให้เลือดมีความเข้มข้นมากขึ้น ร่างกายจะเรียกน้ำเข้าไปอีกเพื่อไปเจือจาง
นั่นจึงทำให้เรากระหายน้ำไม่หยุดเสียทีเวลาเราดื่มมัน น้ำเปล่าดีที่สุดนะครับ ไม่อ้วนด้วยนะ”
เป็นเกร็ดสุขภาพที่คะน้าสารภาพว่าไม่ได้ฟังเข้าหูสักเท่าไหร่ เมื่อในหัวยังสลัดความคิดแปลกๆ ไม่หลุดเสียที
“เป็นอะไรครับ เงียบๆ ไป อิ่มแล้วง่วงหรือเปล่าครับ จริงสิ เวลาเราอิ่มๆ
อย่าเพิ่งรีบนอนนะครับ จะทำให้เกิดปัญหากรดไหลย้อนได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราทานอาหารมันๆ อย่างพวกหมูกรอบ หรือของทอดต่างๆ เข้าไป”
“เอ่อครับ... ก็ง่วงนิดๆ นะ แหะๆ” พูดไปอย่างนั้นเอง เจอแบบนี้เข้าไป
ใครจะไปง่วงลงกันเล่าไอ้หมอเอ้ย ตุลยิ้ม ค่อยๆ หยิบน้ำขึ้นจิบ
“จริงสิครับ ผมอยากจะถามสักหน่อย ผมมันดูเป็นคนเจ้าชู้หรือเปล่าครับ” จู่ๆ ตุลก็ถามขึ้นมา
“ก็... จะว่ายังไงดี” คะน้ากล่าว “เค้าบอกว่าผู้ชายที่ไม่เจ้าชู้ ก็เหมือนงูไม่มีพิษหรือเปล่าครับ”
“ฮ่าๆๆ เลยกลายเป็นสัตว์ร้ายซะแล้วเรา” ไอ้หมอ ฟอร์มเอ็งเริ่มจะกลับมาแล้วสินะ
“นั่นสินะ จะว่าผมเจ้าชู้ก็ได้นะ ผมไม่ปฏิเสธหรอก แต่ผมจริงใจกับทุกคนนะ ผมพูดความจริง
แสดงออกตามความจริง ผมไม่ได้โกหกคุณหรือใครนะ จะก้อย หรือจิ๋ว เราก็เป็นแค่เพื่อนๆ
เป็นพี่เป็นน้องกันจริงๆ ผมไม่ได้คิดอะไรเกินเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก” ตุลแกว่งขาเตะอากาศเบาๆ
“แต่ผมว่าพวกเค้าไม่น่าจะคิดแบบนั้นเอานี่ครับ มันจะดีเหรอ ยังไงเราก็เป็นผู้ชายนะครับ”
คะน้าเงยหน้าขึ้นสบตา หันมาพูดจริงจัง ...จริงจังซะจนคนใส่แว่นนั่งหัวเราะ
“โห... ไม่น่าเชื่อเลยว่ายังมีคนแบบคุณอยู่ในโลกด้วย”
ตุลหันมามองด้วยความชื่นชม เล่นเอาคะน้ารู้สึกเก้อเขิน
“เป็นคนดีจังเลยนะครับ ดีจัง”
“ดีอะไรเล่า ใครๆ เขาก็เป็น” ...ไม่ใช่หรือ? คะน้าเอ่ยแย้งเพราะคิดแบบนั้นจริงๆ ตุลเงียบไป
จู่ๆ ก็เหมือนกับความเงียบปกคลุมไปชั่วขณะ แล้วก็เป็นตุลที่ทำลายบรรยากาศที่เงียบนั้นลงเสีย
“จำได้ไหมครับที่ผมบอกว่าผมมีความลับจะบอก
มันไม่ใช่เรื่องแว่นของคุณหรอกนะครับ” คะน้าเงยหน้าขึ้นมอง แปลกใจ
“เอ้อ... เอาจริงๆ มันก็ลำบากแฮะที่จะเราจะเล่าความลับให้ใครสักคนฟังนะ ว่าไหม”
“เอ่อ... ไม่เป็นไรก็ได้ครับ” คะน้ารู้สึกเกรงใจอย่างบอกไม่ถูก
“จะเป็นก้อย เพื่อนผม หรือว่าจิ๋วก็เถอะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่ใช่ว่าผมไม่พยายามจะเริ่มนะ
แต่มันเป็นไปไม่ได้ และผมก็คิดว่าเธอทั้งสองคนก็อาจจะพอรับรู้เช่นกัน ...เอ้อ เราคิดเงินกันดีไหม”
ตุลส่งสัญญาณให้คุณมาเก็บค่าอาหาร คะน้าพยายามจะขอแบ่งจ่ายคนละครึ่ง แต่หมอหนุ่มปฏิเสธ
“ไว้คราวหน้า คุณเลี้ยงผมคืนก็แล้วกันครับ”
คะน้าจึงค่อยๆ เก็บกระเป๋าสตางค์ลงไป ทั้งคู่เดินกลับไปคอนโดด้วยกัน
คะน้าจ้องมองคนที่เดินข้างๆ เงียบๆ คำพูดเมื่อครู่ที่ค้างคานั้นยังวนเวียนในความคิด
“เรื่องคุณก้อยหรือคุณจิ๋ว ผมว่าเค้าสองคนก็เป็นคนที่ดูน่ารักมากๆ เลยนะครับ เหมาะกับคุณดี
...คือผมหมายถึงเค้าก็ดูไม่มีอะไรบกพร่องหรือเปล่าครับ ...คือ ...คือแค่เลือกเอาสักคนน่ะครับ”
ปลายประโยคคะน้ารู้สึกไม่ดีนักที่พูดออกไปแบบนั้นจนดูเหมือนเสียมารยาท
ผิดกับตุลที่ฟังแล้วอึ้งไปนิดๆ ก่อนจะหัวเราะก๊าก
“ฮ่ะๆๆ จริงๆ เลย ไอ้น่ารักเอ้ย” คนใส่แว่นๆ ค่อยๆ เอียงตัวมา
ทิ้งน้ำหนักลงบนแผ่นหลังของคนที่เดินอยู่ข้างหน้า
น้ำหนักและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพูบนผมสั้นๆ ของตุลนั้นทำให้คะน้าชะงักงัน
“เช็ดเหงื่อหน่อย” คนใส่แว่นพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อตั้งสติได้ วูบแรกคะน้านึกจะหันหน้าไปแพ่นกระโหลกคนที่เดินข้างๆ
เมื่อเห็นแววตาที่ดูเหม่อลอยคู่นั้น เขาก็รู้สึกปั้นหน้าไม่ถูก
“วางพักหน่อยนะ ...แป๊บนึง” น้ำเสียงที่ดูอ่อนหล้าของตุลทำเอาคะน้าสะดุดยิ่งขึ้น
เหมือนมีอะไรบางอย่างในใจของคนๆ นี้ที่เก็บซ่อนไว้ในรอยยิ้มที่ร่าเริงนั้นจนใครๆ ก็ดูไม่ออก
“ครับ” แม้จะไม่เข้าใจอะไร และไม่รู้ต้องทำตัวยังไง
แต่คะน้าก็อยากที่จะช่วยอะไรสักนิด ถ้าเขาพอจะช่วยได้
ลงท้ายชายหนุ่มก็ยืนนิ่งเป็นเสาโทรเลขพร้อมที่จะแบกรับทุกน้ำหนักจากคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
คนผ่านไปผ่านมาคงมองเขาสองคนเป็นตัวประหลาด
ไม่ใช่ภาพที่ดูน่ามองหรือเปล่าที่ชายหนุ่มสองคนจะทำอะไรแบบนี้
แต่เอาเข้าจริง คะน้าก็ไม่ได้ใส่ใจสายตาของคนรอบตัวอะไรนัก
ความรู้สึกบางอย่างของเขากำลังบอกว่าชายคนนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่ใครต่อใครเห็นเลย
กระนั้น กลิ่นตัวหอมๆ ของตุลปะปนมากับกลิ่นแชมพูอ่อนๆ ที่ลอยมากับสายลมคะน้ารู้สึกหวาดหวั่น
เงาสะท้อนของกระจกข้างทางทำให้เขามองเห็นว่าวงหน้าของคนที่ซบอยู่มองเหม่อไปบนท้องฟ้า
จ้องมองไปที่สีมืดดำเบื้องบนอย่างไร้จุดหมาย แววตานั้น เป็นแววตาที่คะน้าคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ดวงตาของคนที่มีความเหงาเป็นเพื่อนสนิทจนชาชิน ตุลกำลังเหงาอยู่สินะ
“ขอบคุณนะ ผมทานข้าวคนเดียวทุกวันเลยครับ” จู่ๆ ตุลก็พูดขึ้น น้ำเสียงดูแผ่วเบากว่าทุกที
“เอ่อ... ถ้าไม่เบื่อซะก่อน ผมทานเป็นเพื่อนได้นะ
หรือถ้ามีพอช่วยอะไรได้ ผมอยู่ตรงนี้นะ ใกล้ๆ นี่เอง”
“จะไม่รำคาญผมเหรอ”
“ไม่หรอกคร้าบบบ...” คะน้าพูดพร้อมกับยิ้มให้ เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ จากคนข้างหลัง
“ทุกๆ เรื่องเลยน่ะเหรอ” ตุลค่อยๆ ยกศีรษะขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ทว่าดวงตาคู่นั้นยังมองเหม่อ
“ครับ ...ทุกเรื่อง” คำพูดที่ชัดถ้อยชัดคำของคะน้าทำให้คนใส่แว่นหันมามอง
“สัญญาได้ไหมล่ะ”
“ผมสัญญา”
โดยไม่ลังเล น้ำเสียงที่มุ่งมั่นนั้นทำให้รอยยิ้มตุล
กลับมาสดใสอีกครั้ง เห็นดังนั้น คะน้าก็ค่อยๆ ยิ้มตาม
“ขอบคุณนะครับ” ตุลกล่าวขอบคุณคนที่ตัวเล็กกว่า คะน้าอมยิ้มนิดๆ ไม่รู้จะวางตัวยังไง
“จริงสิครับ ผมก็ต้องขอบคุณคุณเหมือนกัน” คำพูดของคะน้าทำให้ตุลหันกลับมามองสงสัย
“เรื่องอะไรครับ”
“ผมได้รับข้อความ เอ่อ... จากคุณใช่ไหมครับ”
“ข้อความ?” ตุลขมวดคิ้วขึ้นสูง
“ครับ เมื่อคืนก่อน” คนใส่แว่นส่ายหน้าเชิงปฏิเสธ พร้อมใบหน้าที่เจือความสงสัย
“เอ... ทำไมถึงคิดว่าเป็นผมล่ะครับ”
“ก็เป็นเบอร์ที่ผมไม่ได้เมมไว้ในเครื่อง”
“อาจจะเป็นคนอื่นหรือเปล่าครับ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ หรือว่าอยากให้ผมส่งนะครับ”
ตุลพูดติดรอยยิ้มแล้วหยิบมือถือขึ้นมาแกว่งโชว์ คะน้าจึงค่อยๆ หยิบมือถือขึ้นมามองจ้อง
แล้วลองกดโทรกลับไปยังเบอร์ที่ส่งข้อความมา เสียงสัญญาณบอกว่าโทรติด
แต่มือถือของตุลที่อยู่ตรงหน้ายังคงนิ่งสนิท ขณะที่ปลายสายก็ไม่มีคนรับ
คะน้ายืนงง ข้อความนั้น คำเรียกแบบนั้น ยังไงๆ ก็น่าจะเป็นตุลหรือเปล่า
ตุลเดินนำหน้าไปนิดหน่อย จนถึงบริเวณหน้าคอนโด
“เดี๋ยวผมขอตัวแวะไปเอาผ้าที่ส่งซักรีดก่อนนะครับ
แล้วพบกันใหม่ครับ ขอบคุณนะที่มาทานอาหารเป็นเพื่อน”
คะน้าตั้งใจจะเรียกตุลไว้ แต่ก็ยังรอปลายสายที่กดโทรออกนั้นก็ไม่ได้กดรับสายเสียที
ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ กระทั่งตุลลับไปจากสายตา คะน้าจึงยืนรอสายต่อ กระนั้นก็ไม่มีผู้รับสายจนสัญญาณถูกตัดไป
ถ้าไม่ใช่ตุล แล้วจะเป็นใครไปได้ หรือว่าจะเป็น...
คะน้าสะบัดหัวไล่ความคิดแปลกๆ นั้นออกไป แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นอีกคน
ที่เขาให้เบอร์ไปที่เป็นคนส่งข้อความนั้นมา ซ้ำท่าทีของคนคนนั้นในตอนบ่ายก็ดูหมางเมินแปลกๆ ด้วยซ้ำ
ขณะที่กำลังนั่งคิดๆ อยู่นั้นเอง โทรศัพท์มือถือของคะน้าก็ดังขึ้น
เป็นเบอร์ที่เขาไม่ได้บันทึกไว้ในเครื่อง แต่ก็ไม่ใช่เบอร์ที่เขาเพิ่งกดโทรออกไป คะน้าตัดสินใจกดรับ
“ผมเองครับ ตุล คุยได้ไหมครับ”
“อ้อ ครับๆ ได้สิครับๆ”
“นี่เบอร์ผมเองนะครับ จริงๆ ก็เพิ่งแยกจากกันเองเนอะ
แต่มีสองเรื่องที่ผมอยากบอกน่ะครับ ดูเหมือนว่าจะเผลอลืมไป”
“ครับ อะไรเหรอครับ”
“อย่างแรก คืนนี้ฝันร้ายนะครับ ไอ้น่ารัก ฮ่าๆๆๆ”
ตุลหัวเราะเสียงใส คะน้าสะดุด ...คำนั้นอีกแล้ว
“เช่นกันครับ ฝันร้ายนะครับ” ฝืนตอบกลับไปด้วยความสงสัย
“อีกอย่างก็คือที่ผมบอกไปเมื่อสักครู่ว่าเรื่องของผมกับก้อย หรือจิ๋วเอง
ก็คงเป็นไปไม่ได้น่ะครับ แม้จะพยายามแค่ไหนก็ตาม”
“อ้อ ครับ” คะน้ารับคำ
“จริงๆ แล้ว คือ... เอ่อ... คุณคะน้าครับ” เสียงของตุลดูตะกุกตะกัก
“ครับ”
“คือ... มันอาจฟังดูประหลาดๆ และแย่อยู่สักหน่อย แต่ผมก็อยากให้คุณได้รับฟังน่ะครับ
ผ...ผมไม่ได้รักผู้หญิงน่ะครับ ...ผม ...คือผมรู้สึกกับผู้ชายมากกว่าน่ะครับ”
ตุลเอ่ยออกมาด้วยเสียงโล่งใจ “เฮ้อ... ออกมาได้สักที”
นี่เป็นเรื่องแปลกประหลาด ...แปลกประหลาดที่สุดในชีวิตที่คะน้าเคยได้ยินมา
ชายหนุ่มนั่งอึ้ง เงียบงัน ไม่รู้ว่าจะพูด หรือจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำว่าอะไรดี ลงท้ายก็เลยได้แต่นิ่งเงียบ
“ยังฟังอยู่ไหมครับ คุณคะน้า”
“ครับๆ ฟ...ฟังอยู่ครับ” รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยจะมีเสียงเท่าไหร่ สิ่งที่เขาเห็น ...ก้อยหรือแม้แต่จิ๋ว
ที่พยายามเข้าหาตุลมาโดยตลอด สิ่งที่ตุลบอกว่าฝืนและพยายามดูแล้ว
แต่เป็นไปไม่ได้ ดวงตาที่เหม่อลอยนั่น หรือแม้แต่ความเหงาที่คะน้ารู้สึกได้
...ความลับที่ตุลอยากจะบอกคือเรื่องนี้เองน่ะหรือ
“นานแล้วที่ผมไม่ได้รู้สึกสบายใจแบบในวันนี้ ขอบคุณนะครับ
วันนี้เป็นอีกวันที่ผมมีความสุขมากๆ เลยล่ะครับ”
ตุลค่อยๆ พูดออกมา เสียงทุ้มนั้นดูไม่ได้แสดงออกถึงความสุขแบบคำพูดเลย
“คือผมคิดว่า... บางทีน่ะครับ ผมคิดว่ามันอาจจะดีก็ได้ที่จะพูดออกมาให้หมด
ทุกๆ ความรู้สึก ทุกๆ อย่างที่อยู่ในใจ อย่างน้อยก็สักครั้ง ที่ผมได้เป็นตัวของตัวเอง
ขอโทษนะครับ ผมคงทำคุณตกใจสินะ มันพอจะรับได้ไหม” ตุลอ้ำอึ้ง ติดขัด
“อย่าคิดมากอะไรเลยนะครับ” คะน้ารับคำแม้จะยังรู้สึกแปลกใจ
ขณะนั้นเอง เสียงสัญญาณสายซ้อนก็ดังขึ้นที่มือถือของคะน้า
ชายหนุ่มดึงหูออกมาแล้วจ้องมองที่หน้าจอที่กระพริบ
มันเป็นเบอร์ของคนที่ส่งข้อความมาเครื่องเขาเมื่อคืนก่อน เบอร์ที่เค้าไม่ได้เมมไว้ในเครื่อง
...จะใช่ทิมหรือเปล่า?
และในเวลานั้นเอง ตุลก็พูดบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้คะน้ารู้สึกประหลาดใจมากขึ้นไปอีก
“คือ... คือผมคิดว่า... ผมเจอคนที่ผมรู้สึกดีๆ ด้วยแล้วน่ะครับ”
...ใครกันนะ?+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนนี้มีแบบฝึกหัดบางอย่างสำหรับคนเขียน นั่นก็คือหัดเขียนฉาก...
หลังจากที่พอลองได้เขียนแล้ว คิดว่าน่าจะพอไหวแฮะ ยังไงก็อย่าเพิ่งตกใจนะครับ แหะๆ
คือแค่อยากทดลองเขียนดูมั่ง ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเขียนได้ไหมนั่นเอง เหอๆๆ
ฮิฮิ สำหรับตอนนี้ สรุปว่าเจ้าของ sms นั่นคือ...
แล้วคนที่ตุลบอกว่ารู้สึกดีๆ ด้วยคือ....
(ทายยากมากกกกกกกกกก...)
โปรดติดตามอ่านในตอนต่อไป ก่อนจากกัน ขอแอบกอดทุกคนสักที
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ คำทักทาย คำแนะนำ ติชม ตลอดจนแวะมาอ่านกันนะครับ
ขอรวบยอดตอบคอมเมนต์เพื่อนๆ วันหลังนะครับ คือตอนนี้แอบหิวแล้วอ่ะ แหะๆ
เสร็จสดๆ ร้อนๆ ก็เลยรีบลงน่ะครับ