.•:*´¨`*:•.☆ ► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
ต อ น ที่ 22 : ภ า ว ะ ชุ่ ม ฉ่ำ
สองสัปดาห์ผ่านไป ผมยังใช้ชีวิตปกติ ตื่นเช้าตักบาตรหน้าบ้านบ้าง สายๆ ออกไปทำงานและกลับบ้านประมาณหกโมงเย็น ไปฟิตเนสบ้าง ว่ายน้ำบ้าง ทานอาหารฝีมือคุณแม่เสียเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อวนมาถึงคืนวันเสาร์อีกครั้ง ผมก็เริ่มกระวนกระวาย
sweetyDOTcom : พรุ่งนี้ผมจะเข้าไปดูงานนะครับ ทั้งสองคนสะดวกคุยพร้อมกันตอนกี่โมง
ผมเข้ากรุ๊ปไลน์เพื่อนัดเวลาดูงาน ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เพราะหลังจากวันนั้นหมอวรรตก็หายเงียบ ครึ่งเดือนแล้วที่ไม่ส่งงานไม่ทักไลน์ไม่อ่านไลน์ส่วนตัวที่ผมแกล้งออร์เดอร์งานไปให้ และมันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด
SuperWay : นายวรรตขอถอนตัวแล้วครับ ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่รับโทรศัพท์แค่ส่งไลน์มาบอกให้ผมดูแลจัดการเองทั้งหมด แต่ที่ผมยังไม่บอกเพราะคิดว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจกลับมาเอง
ใจหาย..
ถึงกับนิ่งช็อคไปเลย อยากถามอยากเคี่ยวเข็ญพี่เวย์ให้ไปลากคอเขากลับมาทำงานต่อแต่ผมคิดว่าคงไม่สมควร
sweetyDOTcom : งั้นคุณสะดวกกี่โมงครับ
ผมตัดใจคุยงานต่อเพราะคงไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ถ้าหมอวรรตไม่อยากทำ ใครจะบังคับเขาได้ล่ะ
SuperWay : ผมอยู่ที่ไซต์ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงหกโมงเย็น Read
sweetyDOTcom : งั้นสิบโมงเช้าวันอาทิตย์นะครับ
SuperWay : โอเคครับ Read
หลังจากพี่เวย์ตอบรับ ผมก็โยนโทรศัพท์มือถือลงบนเตียง รู้สึกเซ็งขึ้นมาตงิดๆ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ
แต่อยู่ๆ หน้าจอก็โชว์ข้อความของพี่เวย์ขึ้นอีกครั้ง ผมกดดูจึงเห็นว่าไม่ใช่ในแชทกรุ๊ปไลน์แต่เป็นห้องแชทส่วนตัว
SuperWay : วันอาทิตย์เราไปทานข้าวเที่ยงกันดีไหม Read
อะไรคือชวนทานข้าว!? แล้วยังแอบมาชวนส่วนตัวซะอีก พี่เวย์ทำผมวุ่นวายใจอีกแล้ว
sweetyDOTcom : ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่สะดวกใจ
SuperWay : งั้นพี่เวย์จะเรียกว่าน้องเหมือนเดิมนะ
ก็คุยไปแล้วนี่ว่าไม่ให้เรียกน้อง เขาก็น่าจะเข้าใจแล้วว่าผมปฏิเสธที่จะสานสัมพันธ์ แล้วทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้
sweetyDOTcom : อย่าทำให้ผมลำบากใจสิครับ
SuperWay : งั้นก็ตกลงไปทานข้าวด้วยกัน ผมจะคุยงานไม่คุยเรื่องอื่น รับรองได้
พี่เวย์จะมาไม้ไหน อยู่ดีดีทำไมขี้ตื้อขึ้นมาได้ล่ะ ไม่ทานข้าวด้วยก็ขู่จะเรียกน้องเนี่ยนะ อะไรของเขากัน
ผมกลอกตาเป็นเลขแปดใส่โทรศัพท์ จะปฏิเสธอีกก็ดูน่าเกลียด ถ้าเขาต้องการคุยงานและไม่ได้คิดอย่างอื่นแล้วผมดันเล่นตัวก็จะดูงี่เง่าเกินไป
sweetyDOTcom : ร้านไหนครับ
SuperWay : มาถึงไซต์แล้วผมพาไปดีกว่า ขอตัวไปทำธุระก่อนนะครับ
พี่เวย์ตัดบทซะแบบนี้แล้วผมจะทำยังไงล่ะ มีแต่คนเอาแต่ใจตัวเอง โลกนี้ทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันนะ
และแล้ววันอาทิตย์ผมก็มาถึงไซต์งาน ตอนนี้มุงหลังคาเสร็จเรียบร้อยทั้งออฟฟิศด้านหน้าและตัวบ้านตรงด้านหลัง
“น้าเวชกลับไปก่อนได้เลยนะครับ เดี๋ยวถ้าจะกลับแล้วดอทจะโทรเรียก” ผมบอกและรอให้น้าเวชขับรถลับตาไปก่อนแล้วค่อยเดินเข้าไปหาพี่เวย์ที่คุมงานอยู่ด้านในของออฟฟิศ
เหมือนกำลังจะทำความผิดแต่หลอกตัวเองว่าแค่มาคุยงาน ชนม์แดนๆๆ ทำไมถึงไม่ปฏิเสธเขาไปนะ ทำไมต้องตามใจเขาด้วย!
ผมคุยเรื่องการก่อสร้างแล้วเดินดูความคืบหน้าไปเรื่อยๆ มองไปที่ต้นฉำฉาแล้วใจหายเบาๆ ที่มันยังคงค้างคาอยู่เท่าเดิมไม่มีอะไรเพิ่มใหม่
จากนั้นประมาณสิบเอ็ดโมง พี่เวย์ก็ชวนออกไปทานข้าวซึ่งผมก็แค่ยิ้มแห้งๆ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร
“ลืมบอกว่าไปรถมอเตอร์ไซต์นะครับ นั่งได้ไหม” คำพูดสุภาพกับท่าทางนิ่งๆ ดูเหมือนเป็นประโยคคำถามธรรมดา แต่ผมคิดว่าเขาแค่กวนตีน
“ไปไหนครับ” ผมไม่ตอบแต่ถามกลับไป
“ขึ้นรถเลยดีกว่าครับเดี๋ยวผมพาไป” เขายื่นหมวกกันน๊อกมาให้แล้วขึ้นคร่อมรถคู่ใจใส่หมวกเสร็จก็สตาร์ทรถรอให้ผมขึ้น และผมก็ขึ้นไปนั่งซ้อนตามคำสั่งในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา
พี่เวย์เหมือนมีเวทย์มนตร์ เหมือนตัวเขามีรังสีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมจังงัง งงงวย รู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่เหยื่อโง่ๆ ที่โดนต้อนได้ง่ายดายจนเกินไป
“ร้อนหน่อยนะ หลบหลังก็ได้ถ้ากลัวแดด” เขาหันมาบอกขณะที่จอดติดไฟแดง
ใครจะไปหลบหลังแค่นั่งโดยพยายามไม่ให้ไถลไปโดนตัวก็ยากแสนจะยาก ถ้าต้องหลบก็เสียสมาธิในการทรงตัวหมด
เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ทำตาม พี่เวย์ก็แค่หันกลับไปและไม่พูดอะไรอีก พอสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวก็ออกรถต่อไป
เอี๊ยด!!
“อ๊ะ!?” ตัวผมไถลไปข้างหน้ากระแทกเข้ากับหลังพี่เวย์อย่างแรงเมื่อเขาเบรกกะทันหัน “เกิดอะไรขึ้น!” ผมถามอย่างตกใจแล้วชะโงกดูทาง
“เด็กข้ามถนนครับ พี่นึกว่าเขาจะไม่ข้ามเพราะไฟทางข้ามฝั่งเรายังเขียวอยู่” พี่เวย์บอกและผมก็เห็นเด็กนักเรียนคนหนึ่งทำหน้าซีดก้มหัวขอโทษพี่เวย์แล้วรีบวิ่งข้ามถนนไป
“ระวังหน่อยนะครับ”
ร่างสูงพยักหน้ารับคำ “น้องเกาะดีดีนะ คราวหลังไม่พาซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้ว นั่งรถยนต์เอาดีกว่า” พี่เวย์ดึงมือผมไปเกาะสะโพกเขาแล้วหันมาทำหน้ารู้สึกผิด
รู้สึกร้อนรุมขึ้นตรงบริเวณผิวเนื้อที่ฝ่ามือพี่เวย์เกาะกุม ผมรู้ว่าเขาแค่เป็นห่วงแต่ไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้มันไม่เหมาะ ทำแบบนี้ผมใจคอไม่ดีเลย
“ผมว่า..” กำลังจะปฏิเสธแต่พี่เวย์ก็แทรกขึ้น
“รีบไปดีกว่า จับแน่นๆ นะครับ” เขาเหยียบเกียร์แล้วออกรถทันที
นี่รู้ใช่ไหมว่าผมจะเข้าโหมดดาร์ก รู้ใช่ไหมว่าผมจะใช้การ์ดเฮียมากันท่า เฮ้อ เอาไว้คุยงานเสร็จแล้วผมจะพูดกับเขาให้เด็ดขาด ความสัมพันธ์ของเราต้องเป็นแค่นายจ้างกับลูกจ้างเท่านั้น
พี่เวย์ขี่รถช้าลงกว่าเดิมอาจเพราะกลัวเกิดอุบัติเหตุ เขาขี่ผ่านโรงเรียนเก่าของเราตอนเรียนมัธยมแล้วชี้ให้ดูตึกที่เขาชอบไปเฝ้าผมทำงานพิเศษ
“ผ่านตึกนี้ทีไรอยากย้อนเวลากลับไปทุกที”
“ย้อนเวลาไปทำไมเหรอครับ” ผมถามด้วยความอยากรู้
พี่เวย์ไม่ตอบแต่ขี่รถเลี้ยวเข้าซอยเยื้องกับโรงเรียน เข้ามาอีกห้านาทีก็เลี้ยวอีกครั้งเข้าไปในหมู่บ้านจัดสรร หมู่บ้านนี้ค่อนข้างสงบ หน้าหมู่บ้านมียามนั่งหลับอยู่หนึ่งคนและพี่เวย์ขี่ผ่านเข้าไปโดยที่ยามคนนั้นไม่ตื่นขึ้นมาชำเลืองมองแม้แต่นิดเดียว
อืม.. น่าอยู่สุดๆ
ในที่สุดพี่เวย์ก็หยุดรถดับเครื่องเมื่อเลี้ยวเข้ามาในซอยสุดท้าย บ้านหลังในสุดซ้ายมือ
“ที่ไหนครับ” ผมลงจากรถแล้วถอดหมวกคืนให้อย่างงงๆ
“บ้านผมเอง” ร่างสูงก้าวขาลงจากรถ ถอดหมวกแล้วสะบัดหัวสองที ทรงผมก็กลับเข้าทรงซึ่งเป็นอะไรที่เท่ไม่เสื่อมคลาย
“บ้านคุณ.. แล้วพาผมมาทำไมครับ” ผมย่นคิ้วอย่างเป็นกังวล ชักไม่เข้าท่าแฮะ
“ทานข้าวกลางวันไง คุณรับปากจะทานด้วยกันนี่ครับ” พี่เวย์ไขกุญแจประตูรั้วแล้วเปิดอ้าไว้ “เข้ามาสิ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก บ้านตรงข้ามเป็นตำรวจ ถ้าเกิดอะไรขึ้นคุณก็ร้องเสียงดังๆ ได้เลย”
น่าเชื่อถือไหมเนี่ย ขนาดยามยังหลับแล้วตำรวจจะหลับด้วยหรือเปล่า
ผมยืนชั่งใจอยู่พักหนึ่ง แต่พี่เวย์เป็นสุภาพบุรุษมาตลอดน่าจะเชื่อถือได้ ขนาดในป่ายังไม่ทำอะไร นับประสาอะไรกับที่บ้านล่ะ
ตัดสินใจเดินตามเข้าไปในบ้าน เมื่อเห็นว่าผมเข้ามาเขาก็ยิ้มพรายด้วยความดีใจรีบเข็นรถเข้าบ้านแล้วปิดประตูรั้ว หลังจากนั้นก็เปิดประตูเข้าบ้านอย่างอารมณ์ดี
“บ้านเล็กๆ นะครับ อาจจะอึดอัดหน่อยแต่อบอุ่นนะ” โฆษณาอย่างกับเป็นนายหน้างั้นแหละ
“ผมแค่มาทานข้าวครับไม่ได้อยากจะซื้อบ้าน” ดักคอเขาไปในขณะที่มองไปรอบๆ
บ้านหลังนี้เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น พื้นที่ค่อนข้างน้อยแต่ถูกจัดแจงให้เป็นสัดส่วนอย่างลงตัว มีทั้งสนามหญ้าและโต๊ะสนามใต้ต้นมะม่วงใหญ่ แถมมีบ้านต้นไม้ที่มีสะพานลื่นโดยฐานรองเป็นกระบะทราย ปลูกต้นไม้โปร่งตาไว้โดยรอบทำให้โล่งสบายตาและดูกว้างขึ้นทั้งๆ ที่บริเวณทั้งหมดไม่น่าจะไม่เกิน 120 ตารางวา
พี่เวย์กลั้นยิ้มแล้วพาเข้าไปนั่งรอที่ห้องรับแขก
“บ้านนี้ไม่ขายแต่ถ้าชอบก็มาอยู่ฟรีได้เลย แถมวิศวกรหนุ่มโสดกับลูกติดอีกหนึ่งคน”
รู้สึกใจเต้นแปลกๆ พี่เวย์ชักจะพูดมากผิดฟอร์มปกติ นี่สินะที่เขาว่าเสือมันชอบซ่อนเขี้ยวเล็บ
“แล้วไหนละครับอาหารกลางวันที่ว่า หรือผมต้องเป็นคนไปทำในครัว” ผมประชด
“สิบคะแนนสำหรับคุณชนม์แดน นี่ครับรางวัลของคนที่ตอบถูก” ผ้ากันเปื้อนลายสตรอเบอร์รี่สีชมพูอ่อนถูกส่งมาให้
“นี่มันไม่ตลกเลยนะครับ” พูดด้วยเสียงติดจะไม่พอใจ
“ขอโทษทีครับ ผมต้องใส่ให้ใช่ไหม แหม บอกดีดีก็ได้ไม่เห็นต้องโกรธเลย” ร่างสูงก้าวเข้ามาพร้อมคลี่ผ้ากันเปื้อนออกเตรียมจะสวมให้
“ย..หยุดอยู่ตรงนั้นเลยครับ เอามานี่เดี๋ยวผมจะใส่เอง” แล้วผมก็หยิบผ้ากันเปื้อนมาใส่ลวกๆ โดยไม่สนใจจะมัดเชือกด้านหลัง
“ผมทำกับข้าวไม่เป็นหรอก ถ้ากินไม่ได้ก็อย่ามาบ่นแล้วกัน” ว่าแล้วก็เดินตึงๆ ไปเปิดประตูที่อยู่ทางด้านซ้าย
“นั่นห้องน้ำครับ” พี่เวย์บอกเสียงใส
ผมแอบค้อนใส่ร่างสูงแบบไม่เต็มตานัก “แล้วทำไมไม่ยอมบอกก่อน”
“ไม่เอาสิครับอย่าหัวร้อน เดี๋ยวผมพาไปดีกว่านะ” เจ้าของบ้านเดินนำไปประตูขวาสุด “ของสดอยู่ในตู้เย็น เอาออกมาทำได้เลยเดี๋ยวผมจะไปเตรียมงานที่เราต้องคุยหลังกินข้าวเสร็จ” พูดง่ายๆ แค่นั้นแล้วปิดประตูออกไปจากห้องครัวทันที
นี่มันอะไรกันเนี่ย!
ต่อไปนี้จะไม่หลวมตัวเชื่อใจพี่เวย์อีกเด็ดขาด คนอะไรก็ไม่รู้ทำตัวเหมือนนิสัยดีแต่ที่จริงดีแล้วเพิ่งจะไม่ดีหรือไม่ดีมาก่อนแล้วเพิ่งมาเสียก็ไม่รู้ โอ้ย ทำไมคิดอะไรวกวนแบบนี้นะชนม์แดน บ้าบอที่สุดเลย
“ทำอะไรดีล่ะ มีไข่ไก่ หมูบด เนื้อไก่ เต้าหู้ไข่ ไส้กรอก ผักกาดขาว คะน้า แล้วก็แครอท โอ้ย ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง” ผมมองวัตถุดิบที่หยิบออกมาจากตู้เย็นด้วยความเคร่งเครียด “ไข่เจียวกับแกงจืดก็แล้วกัน”
ตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน เปิดแก้ส “เอ๊ะ เปิดยังไงเนี่ย” เมื่อพยายามแล้วแต่ก็เปิดไม่ติด ผมจึงเดินออกไปที่ห้องรับแขกเพื่อบอกพี่เวย์ให้มาเปิดแก้สให้
แต่พอเห็นเขากำลังตั้งใจเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คก็เลยไม่กล้าเรียก หน้าพี่เวย์ตอนตั้งใจทำอะไรสักอย่างนี่ดูดีชะมัด จมูกโด่งที่คดปลายเล็กน้อย สีหน้าจริงจัง คิ้วเข้มๆ พอขมวดชนกันแบบนี้แล้วมีเสน่ห์จนเผลอยืนมอง
“ทำกับข้าวเสร็จแล้วเหรอครับ” พี่เวย์หันมาตั้งแต่ตอนไหน นี่ผมยืนเหม่ออยู่ตรงนี้นานแล้วหรือแค่แป๊บเดียว
“ส..เสร็จ เอ้ยยังครับ คือ..ผมเปิดแก้สไม่เป็น” ถึงกับสะดุ้งแล้วติดอ่างขึ้นมาทันที
พี่เวย์ยิ้มเอ็นดูแล้วเดินเข้ามาหา “เดี๋ยวผมสอน มานี่สิ” เขาดันหลังเบาๆ เพื่อดันให้ไปยืนหน้าเตา “เปิดหัวแก้สตรงนี้ก่อนนะ แล้วจับตรงนี้กดลงไปตรงๆ แล้วบิดเร็วๆ” เขาสาธิตแล้วมันก็ติดอย่างง่ายดาย
“ลองดูสิ”
“ไม่เห็นได้เลยครับ” ผมลองทำสองรอบแต่ไม่ติดจึงทำหน้ามุ่ยหันไปฟ้อง
พี่เวย์เข้ามายืนซ้อนด้านหลังแล้วจับมือผมไปลองทำ “แบบนี้นะ จับ..กด..บิด”
ถึงกับสะท้านสั่นเมื่อรู้สึกร้อนรุมตรงหลังมือ โดยเฉพาะเสียงพูดข้างหูที่เหมือนจงใจให้แปลได้แบบสองแง่สองง่าม
“ข..ขอบคุณครับ คุณไปทำงานต่อเถอะ” ผมกระเถิบหนีออกห่างทันที ส่วนพี่เวย์เพียงแค่ยิ้มพรายแล้วพยักหน้า
“ถ้าสงสัยอะไรก็ไปถามได้นะครับ” ร่างสูงเปิดแก้สทิ้งไว้ให้แล้วพูดด้วยสีหน้าราบเรียบดูสุภาพแล้วก็ออกจากห้องไป
พี่เวย์นี่ยังไงนะ ตกลงเป็นคนยังไงกันแน่ ผมงงไปหมดแล้ว
ผมเริ่มตั้งใจทำไข่เจียวจนเสร็จ ต่อไปก็ต้มน้ำทำแกงจืด ใส่ซุปก้อนแล้วหย่อนหมูที่หมักซอสกับพริกไทยลงไป พอเห็นมันสุกก็ใส่แครอทและผักกาดขาวที่หั่นแล้วลงไป
“มันต้องมีอะไรอีกนะ ใส่แค่นี้มันดูจืดๆ ยังไงก็ไม่รู้” เมื่อปรุงรสแล้วชิม ซึ่งมันก็เข้าท่าแล้วนะแต่หน้าตายังไม่โอเค “ผักชี! ใช่ๆ ต้องใส่ผักสีเขียว!” และใบอะไรสักอย่างที่เหมือนผักชีแต่ใบใหญ่ๆ จึงลองหาในตู้เย็นก็เจออย่างที่คิด มันทำให้เริ่มสนุกเมื่อคิดออกและได้ลงมือทำ
“กับข้าวเสร็จแล้ว” ผมออกไปเรียกพี่เวย์ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ทำกับข้าวด้วยตัวเอง
พี่เวย์พับจอคอมพิวเตอร์เคลียโต๊ะรับแขกจนโล่งแล้วเดินเข้ามาหา
“เดี๋ยวผมช่วยยก คุณเตรียมน้ำตามไปนะ น้ำแข็งอยู่ในช่องฟรีซ ส่วนน้ำดื่มก็อยู่ข้างตู้เย็น”
ผมรีบเติมน้ำแข็งใส่แก้วแล้วหยิบขวดน้ำไปที่โต๊ะโซฟารับแขก พี่เวย์ขยับโต๊ะออกห่างจากโซฟาเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้กว้างขึ้นแต่โต๊ะมันก็เล็กเกินไปอยู่ดี
“ทำไมไม่ทานที่โต๊ะทานข้าวล่ะครับ”
“ตรงนี้มันนั่งสบายดี” พี่เวย์บอกแล้วขยับพื้นที่ให้ผมวางแก้วกับขวดน้ำ “นั่งสิ เรามาชิมกันว่าจะตายหรือเปล่า” เขายิ้มออกมาแล้วใช้ช้อนตักน้ำซุปเข้าปาก
ผมค้อนขวับแต่ก็มองตามแล้วลุ้นระทึก พอเห็นว่าเงียบไปก็รู้สึกไม่ค่อยดี
“เป็นไงบ้าง มันไม่โอเคเหรอครับ”
พี่เวย์นิ่งคิดเล็กน้อยแล้วยิ้มออกมา “อร่อย”
พอได้ยินผมก็ยิ้มออกทันที “จริงเหรอครับ อร่อยจริงเหรอ” ผมถามย้ำ
พี่เวย์ตักน้ำซุปขึ้นเป่าแล้วยื่นมาตรงหน้า “อร่อยจริงๆ ไม่เชื่อชิมสิ”
ผมลืมตัวมัวแต่ตื่นเต้นกับการทำอาหารครั้งแรกก็เลยลองชิมน้ำซุปที่เขาป้อน แต่พอรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นว่ากินอาหารช้อนเดียวกับเขาไปซะแล้ว
“ไม่อร่อยเหรอ ทำหน้าแปลกๆ” ร่างสูงทักแล้วดันจานข้าวมาให้
“ก็พอใช้ได้ครับ” ผมตอบกลางๆ แล้วเริ่มตักอาหารมาใส่ข้าวเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต
“ไข่เจียวข้างในมันไม่ค่อยสุกนะแต่ตรงที่สุกก็อร่อยดี” พี่เวย์ชิมแล้ววิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา แค่รู้ว่ารสชาติมันใช้ได้ถึงจะยังไม่สุกก็ดีใจแล้ว
“ครั้งหน้าคงต้องรอนานอีกหน่อยครับ” ผมบอกเสียงใส ไม่เคยรู้ว่าการทำอาหารจะสนุกและรู้สึกดีแบบนี้
พี่เวย์มองผมแล้วยิ้มบางๆ “คุณเหมาะกับรอยยิ้มนะ คุณเผ่าก็คงคิดเหมือนกัน”
หน้าผมหุบลงทันทีที่ได้ยินชื่อเฮีย ถ้าเฮียยังมีชีวิตอยู่แล้วรู้ว่ามาอยู่กับพี่เวย์สองคนที่นี่ เฮียต้องฆ่าเราแน่
“พูดยังไม่ทันขาดคำก็หยุดยิ้มซะแล้ว คุณนี่มันดื้อจริงๆ” พี่เวย์บ่นแล้วหันมาคุยด้วยสีหน้าจริงจัง “ความสุขของคุณคือสิ่งที่คุณเผ่าต้องการ และตอนนี้เขาไม่ได้อยู่บนโลกแล้ว ไม่ได้อยู่ในภพเดียวกับเรา ถ้าคุณมัวแต่เปรียบเทียบว่าถ้าเขายังอยู่ ถ้าเขายังไม่ตายแล้วจะรู้สึกยังไงอยู่แบบนี้ คุณก็จะทำในสิ่งที่เขาเกลียดไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว”
“เฮียเกลียดอะไร” ผมถามทันที เขาจะมารู้ใจเฮียไปมากกว่าผมได้ยังไงกัน
“เกลียด..ที่คุณไม่มีความสุข” พี่เวย์ตอบทันทีเช่นกัน “เขาจะไม่มีความสุขเลยถ้ารู้ว่าคุณเป็นทุกข์เพราะเขา ตอนนี้เหมือนคุณเอาคุณเผ่ามาเป็นโล่ป้องกันความสุขไม่ให้เข้าหาตัวคุณซึ่งผมว่าคุณเผ่าต้องเกลียดแน่ๆ ที่คุณทำกับคนที่เขารักแบบนี้”
ใช้เฮียเป็นโล่ป้องกันความสุข..
ผมกำลังทำแบบนั้นเหรอ?
“แต่ถ้าสิ่งที่ผมคิดมันถูกล่ะ ถ้าความจริงแล้วเฮียก็อยากให้ผมทำแบบนี้ล่ะ” ผมยังไม่ยอมรับเพราะเรื่องแบบนี้มันพิสูจน์ไม่ได้นี่
“ก็แสดงว่าเขาไม่ได้รักคุณจริง” พี่เวย์ตอบด้วยท่าทางนิ่งขรึมราวกับคุณครูที่สอนเรื่องเดิมมานานมากแล้วแต่นักเรียนก็ไม่เข้าใจเสียที “คุณอย่าดูถูกน้ำใจของคุณเผ่าสิ เขารักคุณมากถึงขนาดเอาชีวิตปกป้องคุณไว้ แล้วคุณคิดว่าคนที่รักคุณขนาดนั้นจะเห็นแก่ตัวจนอยากเห็นคุณต้องทุกข์เพราะเขาไปจนตายอย่างนั้นเหรอ “
ผมนิ่งคิดแล้วเริ่มเห็นไปในทางเดียวกับที่พี่เวย์พูด เฮียอยากเห็นผมมีความสุขและถ้าการมีคนรักใหม่จะทำให้ผมมีความสุข เฮียก็คงจะยินดีด้วยแน่
“อย่าหลอกตัวเองอีกเลยนะ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยตัวเองอีกเลยครับ” พี่เวย์ทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ให้ผมได้ทบทวนแล้วเขาก็นิ่งรอ
คงต้องทิ้งความทุกข์ออกไปจริงๆ สินะ มีหลายเหตุผลที่กำลังผลักดันให้ผมต้องเปลี่ยนทั้งความคิดและการกระทำซึ่งดูเหมือนว่าจะต้องทำแบบฉับพลันทันทีเสียด้วย คุณแม่กับป๋าที่คอยเฝ้าดู หมอวรรตที่รอให้ตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรกับเขา พี่เวย์ที่อดทนมาเนิ่นนานได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะสัญญาที่ให้ไว้กับดินแดน น้องชายต่างสายเลือดที่รักชีวิตอิสระ เขาอุตส่าห์ตัดสินใจละทิ้งชีวิตของเขาเพื่อแลกกับความสุขของผมขนาดนั้น
เฮีย..ดอทขออนุญาตนะครับ
“กินข้าวต่อเถอะครับ ผมไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว” ในตอนนี้ตัดสินใจแล้วที่จะทำตามความตั้งใจของเฮีย ผมจะมีความสุขให้ได้แต่มันจะออกมาในรูปแบบไหนก็คงต้องดูกันอีกที
เพราะความสุขจากความรักอาจจะยากไปนิด ถึงเฮียจะอนุญาตแต่จะให้เลือกใครล่ะ ถ้าเลือกพี่เวย์แล้วหมอวรรตจะเป็นยังไง และยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ที่จะเลือกหมอวรรต ผมทำร้ายพี่เวย์อีกไม่ได้แล้วจริงๆ และที่สำคัญ..ทันทีที่เลือก พี่น้องจะต้องทะเลาะกันอย่างแน่นอน
พี่เวย์ถอนหายใจแล้วหันไปกินข้าวต่อเงียบๆ ผมรู้ว่าเขาคงเหนื่อยหน่ายกับการรอคอยและคงคิดจะถอดใจซึ่งมันอาจจะดีแล้ว มันดีแล้วที่เป็นแบบนี้
คงดีแล้วจริงๆ
“กับข้าวฝีมือตัวเองไม่อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอครับ” พี่เวย์ทักขึ้นเมื่อเห็นผมเขี่ยข้าวในจานโดยไม่ยอมตักเข้าปากเสียที
“ป..เปล่าครับ แค่คิดว่าอาหารมันจืดไป” ผมตอบไปส่งๆ
“งั้น..ลองอันนี้ เดี๋ยวไปหยิบมาให้” เขาหายเข้าไปในครัวครู่หนึ่งแล้วกลับมาพร้อมกระปุกน้ำพริกนรก “ลองดูนะ เจ้านี้อร่อย” ว่าแล้วก็ตักใส่ข้าวให้
ผมมองน้ำพริกสีแดงในจานข้าวตัวเองแล้วกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ดูท่าว่ามันจะเผ็ดมากเพราะสีแดงจัดจนน่ากลัว
“ข..ขอบคุณครับ” เห็นหน้าพี่เวย์ที่ลุ้นให้ผมกินแล้วคงต้องตอบรับไปตามมารยาทตักข้าวคลุกน้ำพริกนรกใส่ปากด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ
“เป็นไงอร่อยใช่ไหม” พี่เวย์ถามด้วยสีหน้าลุ้นหนัก ถ้าบอกว่าเขาเป็นเจ้าของแบรนด์มาขายเองก็คงเชื่อ
น้ำตาผมรื้นขึ้น และจับแขนหนาเขย่าแทนคำตอบ
“อั๋งอะอะ” อมข้าวไว้ในปากโดยไม่กล้าเปิดปากพูดออกมาเพราะถ้าอ้าปากแล้วของที่อยู่ในนั้นต้องพุ่งออกมาหมดแน่ๆ
“เป็นอะไร เอาอะไร อั๋ง? อ๋อ จะคายเหรอ ถังขยะใช่ไหม” พี่เวย์เดาออกในที่สุดแล้วเอื้อมหยิบถังขยะใบเล็กมายื่นให้
“ฮื้ออ เผ็ด! เผ็ดๆๆ” ผมยกน้ำของตัวเองดื่มจนหมดแก้วแล้วเคี้ยวน้ำแข็งในแก้วเพื่อลดความแสบร้อนในช่องปาก
“อ้าว กินเผ็ดไม่ได้เหรอ พี่ขอโทษ เห็นเมื่อก่อนชอบสั่งอาหารแซ่บๆ” ร่างสูงทำหน้าตื่นรีบดึงกระดาษทิชชูส่งให้แล้วโบกมือพัดเพื่อช่วยให้เย็นขึ้นแต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ไม่อยากบอกเลยว่าเนมเป็นคนออร์เดอร์เวลาพี่เวย์ถามว่าจะกินอะไร และพอพี่เวย์ซื้อมาเนมก็กินคนเดียวทุกที
“ผ..ผมกินน้ำนี่นะ” ผมชี้ไปที่แก้วน้ำของเขาแล้วยกดื่มหมดแก้วโดยไม่รอคำอนุญาต กินน้ำแข็งของเขาจนเหลือก้อนสุดท้ายแล้วก็ยังไม่หายเผ็ด
“ไม่หายเผ็ดเลย แฮ่กๆๆ” แลบลิ้นออกมาแล้วใช้มือพัดรัวๆ “ขอ.. ขอหมดเลยนะครับ” พูดจบก็เอื้อมมือคว้าแก้วแต่จู่ๆ ก็มีแสงวับวาวออกมาจากดวงตาคู่นั้น
มือหนาคว้าแก้วตัดหน้าผมไปยกดื่มน้ำแข็งในแก้วเข้าปากหน้าตาเฉย
“ใจร้าย! ไปเอาใหม่ก็ได้” ไม่สนแล้วจะพี่เวย์หรือใคร อารมณ์นี้ใครมาขวางคือพ่นไฟใส่ไม่มีเว้น
“ไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้ซะหน่อย พี่แค่จะป้อน” ร่างสูงปราดเข้ามาคล้องเอวพาไปนั่งที่โซฟา เขาดันน้ำแข็งก้อนใหญ่ออกมาคาบไว้พร้อมกับเลิกคิ้วเชิญชวน
ถึงกับอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้เห็น สีหน้าที่ดูเจ้าเล่ห์นั้นเซ็กซี่เหลือเกินสำหรับผม หัวใจเต้นกระตุกหนักหน่วงจนเผลอลืมความเผ็ดไปชั่วขณะ
เผ็ดกว่าน้ำพริกนรกก็พี่เวย์นี่แหละ..
“อ๊ะ!?” ผมร้องด้วยความตกใจเมื่อถูกประชิดตัวและนั่นทำให้น้ำแข็งที่อยู่ในปากของพี่เวย์ถูกป้อนเข้ามาในปากของผมได้อย่างง่ายดาย
ร่างกายนิ่งค้างแข็งทื่อขนลุกชันไปทั้งตัว พี่เวย์ล็อคตัวผมไว้อย่างแน่นหนาแล้วใช้ลิ้นกลั้วน้ำแข็งให้มันกลิ้งไปมาในปาก ทั้งเผ็ดร้อนยะเยือกเย็นระคนวาบหวาม
จากที่เกร็งอยู่ก็เริ่มอ่อนระทวยไปตามแรงอารมณ์ น้ำแข็งเริ่มเล็กลงแล้วแต่พี่เวย์ยังคงปรนจูบอย่างต่อเนื่องและค่อยๆ โถมตัวลงมาจนแผ่นหลังสัมผัสกับพื้นเบาะสีเทาเข้มในที่สุด
“อืออ” ผมครางเสียงแผ่ว ไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อสู้แม้แต่น้อย ร่างกายเป็นทาสพี่เวย์ มันยอมศิโรราบไม่อาจขัดขืนผู้ชายคนนี้ได้เลย
น้ำแข็งเจ้ากรรมหมดลงไปแล้วทว่าร่างสูงยังคงไม่หยุดที่จะรุกราน ถึงจะยังไม่หายเผ็ดและหาจังหวะเอียงหน้าหลบแล้วอ้าปากหายใจเอาลมเย็นๆ เข้าช่วย แต่เย็นได้ไม่เท่าไหร่ก็โดนประกบริมฝีปากร้อนรุมบดเบียดอีกครั้งจนต้องเริ่มผลักเบาๆ เพื่อดึงสติให้หยุดการกระทำ
ร่างสูงหยุดให้จริงๆ จนผมนึกโล่งใจ ทว่าแค่เสี้ยววินาทีเขาก็ก้มลงฝังจมูกลงมาที่ซอกคอจนขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“พ..พี่เวย์!?” พยายามรวบรวมความกล้าเปล่งเสียงให้ดังขึ้น พี่เวย์เงยหน้าจ้องตาเป็นมัน ดึงมือสองข้างของผมขึ้นไปเหนือหัวแล้วรวบข้อมือทั้งสองไว้ด้วยมือหนาเพียงข้างเดียวแล้วก้มลงอีกครั้ง
“พี่รอนานมากแล้วคนดี พี่ทนคิดถึงน้องอีกต่อไปไม่ได้แล้ว” พูดพลางซุกไซ้ไปตามซอกคอ “ไม่ว่ายังไง วันนี้น้องจะต้องเป็นของพี่”
!!!!!
หัวใจเต้นกระตุกรัวเร็วกับคำประกาศชัดถ้อยชัดคำ ลมหายใจอุ่นร้อนที่กระทบผิวบริเวณใบหูเร่งให้ความร้อนพุ่งขึ้นจนวูบวาบไปทั้งตัว
“ถ..ถ้าไม่..หยุด ผม..จะร้อง..ให้คน..ช่วย” กว่าจะพูดออกมาได้แต่ละคำแสนยากลำบาก พี่เวย์ไม่หยุดโลมเลียทั่วลำคอและใบหูของผมแม้แต่วินาทีเดียว
แต่เมื่อได้ยินคำขู่ ร่างสูงชะงักอยู่ครู่แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองจ้องผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่งที่ซ่อนความหื่นไว้แทบจะไม่มิด
“ก็ร้องสิครับ ร้องดังๆ ก็ได้”
ผมมองเขม็งพยายามควบคุมอารมณ์ที่เริ่มเตลิดไปไกล เขาคงคิดว่าผมไม่กล้าละสิ ถึงจะกริ่งเกรงออร่าที่ข่มผมอยู่แต่เพื่อเอาตัวให้รอดก็ต้องฝืนตัวเอง
“ช..ช่วยด้วย!! คุณตำรวจ..ช่วยด้วย!! ช่วยด้วยยยยยยย ช่วยผมด้วย!!!” ร้องตะโกนสุดเสียง ทว่าคนที่อยู่เหนือร่างกลับมองแล้วยิ้มในสีหน้า “ทำไมถึงยังไม่ปล่อย! เดี๋ยวคนก็มาช่วยผมแล้วนะ”
“ไม่มีใครมาหรอก”
“ทำไมถึงไม่มา ก็คุณบอกเองว่าบ้านตรงข้ามเป็นตำรวจ”
“ก็ใช่ พี่เขาเป็นตำรวจ” พี่เวย์เลิกคิ้วตอบรับ
“ก็ถ้าเขาเป็นตำรวจ ทำไมเขาจะไม่มาช่วยประชาชนที่ร้องขอความช่วยเหลือล่ะ”
“พี่บอกว่าเขาเป็นตำรวจ..แต่ไม่ได้บอกนี่ว่าเขาอยู่บ้าน”
!!!!!?
“พี่เวย์!!” ผมโวยขึ้นทันทีที่ได้ยินคำตอบ พยายามจะดึงมือที่ถูกรวบไว้เหนือหัวลงมาเพื่อทุบเขาสักทีสองทีแต่ก็ไม่สำเร็จ
“ก็พี่เวย์รักน้อง” สีหน้าไม่สะทกสะท้านกับน้ำคำบอกรัก ดูช่างเอาแต่ใจ
“เกี่ยวอะไรกับที่ต้องมาโกหกด้วย!” พยายามจะดิ้นหนีแต่ถูกคร่อมทับไว้แน่นหนา มือข้างที่ว่างของเขาไล้เกลี่ยไปตามผิวหน้าและลำคอ
“ก็อยากจะทำให้น้องรักพี่เวย์ซะทีไงครับ” ดวงตาคู่สวยดูลึกซึ้งจนต้องลอบกลืนน้ำลาย คำพูดของพี่เวย์เพราะทุกคำ นุ่มละมุนทั้งรูปประโยคและความหมาย
“ผม..” พยายามหาคำคัดค้านแต่ก็นึกไม่ออก ร่างกายยังคงวูบวาบทว่าผมเริ่มจะชินกับมันจนสามารถดึงสติไว้ได้บางส่วน
“เรียกตัวเองว่าน้องเหมือนเดิมสิ นะครับคนดี น้องจะใจร้ายกับพี่ไปถึงไหน” เขาทำหน้าอ้อน
แพ้ทาง..
ผมแพ้พี่เวย์ทุกทาง ไม่ว่าจะโหมดสุภาพ โหมดนิ่ง โหมดร้าย โหมดหื่น ยิ่งโหมดอ้อนแบบนี้ยิ่งทำให้ใจผมอ่อนระทวยไปหมด
“ก็พี่เวย์อย่ารังแกน้องสิครับ ไหนบอกว่ารัก ทำไมไม่รอให้น้องพร้อมก่อนล่ะ” พยายามปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอเพื่อต่อลองเจรจา หวังว่าพี่เวย์จะกลับเข้าโหมดสุภาพบุรุษเหมือนเดิมได้ซะทีนะ
“จำได้ไหมที่เมื่อกี้ผ่านโรงเรียนเก่า พี่ชี้ให้ดูตึกที่น้องไปทำงานพิเศษให้อาจารย์” พี่เวย์เฉไฉเปลี่ยนเรื่อง
“จำได้ครับ พี่เวย์..บอกว่าอยากย้อนเวลา”
“อยากรู้ไหมว่าพี่จะย้อนเวลาทำไม”
ผมส่ายหัวมองเขาอย่างงุนงง “ไม่รู้สิครับ”
“พี่อยากย้อนเวลากลับไปปล้ำน้องครับ”
!!!!!?
ต่อ..