เตี้ยนักจะรักปะล่ะ? – My Dearest 20 cm.
ตอนที่ 50. ไอ้เตี้ยผู้ไม่เคยหึงแฟน
[ตงฉิน]
ผมหัวเราะจนท้องแข็งเมื่อได้เห็นหน้าบอกบุญไม่รับของไอ้เตี้ยที่นั่งข้างตัวบนโซฟาห้องรับแขกหลังกลับมาจากกิจกรรมรวมญาติสาม “เอก” อันได้แก่ เอกภพ เอกภาพและเอกราชเมื่อช่วงบ่ายของวัน ผมเปิดห้องเข้ามาก็เห็นคนหน้าบูดนอนกลิ้งอยู่แล้ว พี่ต่อส่งไลน์มาเล่าเรื่องคร่าวๆให้ฟังน่าจะได้ยินจากพี่เอกแฟนแกอีกที เลยทำให้ผมกลั้นขำไม่อยู่
“มึงจะหัวเราะอีกนานมั้ย” หนึ่งถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ขอโทษที หยุดขำไม่ได้จริงๆ พี่เอกกับไอ้โทด่าว่าไงนะ จ๊าดงาว งั้นเหรอ ฮ่าๆๆๆ” จ๊าดง่าว ภาษาเหนือแปลว่า โคตรโง่
ตุบ!... หมอนพิงหลังจากมือคนตัวเล็กฟาดเต็มหน้า ถึงจะเจ็บแต่ผมยังไม่หยุดหัวเราะ
“มึงไม่เข้าข้างกู” ไอ้หนึ่งงอน หน้าตาตอนงอนไม่ได้ดูดีเลยสักนิด
“กูเข้าข้างมึงตลอดแหละ แต่เรื่องนี้ขอเข้าข้างพี่เอกนะ ฮ่าๆๆๆ”
“คืนนี้มึงไม่ต้องมาให้กูกอดเลย” มันยื่นคำขาด
“ได้” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ
“ไม่ได้ งื้ออออออออออ” เอกราชหน้าเบ้เพราะถูกผมขัดใจ
“ก็มึงพูดเอง” ผมกวน
“กูไปอาบน้ำละ” สิ้นคำ คนตัวเตี้ยก็กระโดดลงจากโซฟากระทืบเท้าเข้าห้องนอนโครมคราม ผมไม่กลัวพื้นห้องสึกหรอกนะ กลัวส้นเท้ามันจะแตกเสียมากกว่า งอนสะบัดเหมือนเด็กไปโน่นแล้ว#### ####
ห้องเรียนรวมของวิชาบังคับสำหรับพวกปี 2 คลาคล่ำไปด้วยนักศึกษาจำนวนมาก ถึงแม้จะใช้คำว่าวิชาบังคับ แต่ก็มีคนจากสาขาอื่นและคณะอื่นมาร่วมเรียนด้วยอยู่ดี ตรงมุมหนึ่งของห้องเป็นกลุ่มนศ.แพทย์ที่กระชากมีนพุ่งพรวดจากการสอบกลางภาคที่ผ่านมา ทั้งที่ปกติแล้วอาจารย์จะตัดเกรด A ที่ 85 คะแนน แต่เทอมนี้น่าจะตัดที่ 95 คะแนน เพราะมีคนได้คะแนนเต็มหลายสิบคน และทุกคนล้วนมาจากคณะแพทย์ที่ผมแอบมองด้วยความโมโหว่าทำไมต้องเรียนร่วมคลาสกันด้วย
“เป็นอะไรตง ทำไมหน้าดูเหนื่อย” เพื่อนร่วม section ถาม
“ง่วงนิดหน่อย” หน้าตาผมคงดูเหม่อลอยไปหน่อย
“โหมถ่ายละครอีกอะดิ”
“อื้ม” ผมตอบแบบขอไปที ใครจะกล้าบอกตรงๆวะว่าโดนผัวจัดหนักจัดเต็มยันเช้า โทษฐานไปกวนตีนมันเมื่อเย็นวาน
“จริงเหรอวะ” ไอ้คิ้วหันมากระซิบและยักคิ้วกวนๆให้ ผมหน้าแดงซ่านลืมไปว่ามีคนรู้เรื่องนี้นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อตอบโต้อะไรไม่ได้ก็กระทุ้งศอกเข้าชายโครงมันจนจุก
“คิ้วเป็นไร” เพื่อนคนเดิมที่ถามผมเมื่อครู่หันไปสนใจไอ้เพื่อนทรยศเสียแล้ว พอขึ้นปีสองเราต้องเรียนตามเมเจอร์ของตัวเองเสียส่วนใหญ่ ในกลุ่มนี้นอกจากไอ้คิ้วแล้วก็ไม่มีใครมานั่งเรียนด้วย จึงจำเป็นต้องผูกมิตรกับเพื่อนร่วมรุ่นเอาไว้เพื่อทำงานกลุ่มกัน หนึ่งในเด็กการค้าระหว่างประเทศที่พอจะเข้าขากันได้ก็คือ นน หรือ ธนนท์ คนนี้
“ปละ เปล่า” คิ้วตอบแบบจุกๆ
“เออนน รายงานส่วนของเราส่งไปแล้วนะ ลืมบอก” ผมหันกลับมาบอก
“อ้าว ตงส่งมาตอนไหน เราไม่เห็นเมล์ตงเลย” ธนนท์รีบเปิดโน้ตบุ๊กเพื่อเช็คอีเมล์ ผมกวาดตามองตอนที่เลื่อนหน้าจอลงเรื่อยๆ
“นี่ไง” ผมชี้ไปที่อีเมล์นั้น
“อ้าว นี่อีเมล์ตงเหรอ แต่ทำไมมันชื่ออะไรเนี่ย อัก กะ ราด เหรอ” ชิบหาย... ลืมไปว่างานนี้ให้หนึ่งทำและส่งให้
“เปล่า ของ ผะ...อุ๊ปส์” ผมใช้สันมือฟาดเข้าที่กล้ามท้องไอ้คิ้วจนมันต้องหุบปากก่อนหลุดคำว่าผัวออกมา ถึงแม้จะไม่ได้ปกปิดว่าคบกับผู้ชาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาป่าวประกาศไหม ถ้าหลุดถึงหูนักข่าวยังคิดคำตอบดีๆไม่ได้เลย
“ของรูมเมตเราน่ะ พอดีเราลืมรหัสเข้าอีเมล์” ดีนะกูเป็นดารา การแสดงเลยเนียน
“อ่อ โอเค งั้นเดี๋ยวเราดาวน์โหลดและเอามารวมไฟล์เลย” ธนนท์ตอบ แล้วบทสนทนาของเราก็หยุดเมื่ออาจารย์เดินเข้าห้องมา
คลาสบรรยายนี้เป็นวิชาหลักของเด็กระหว่างประเทศ เนื้อหาอัดแน่นและต้องนั่งเรียนครั้งละ 3 ชั่วโมง เมื่อหมดเวลา นักศึกษาแต่ละคนต่างก็แตกฮือเพราะความง่วงและเบื่อหน่าย ผมบิดขี้เกียจและหยิบมือถือขึ้นมาดู ไม่มีข้อความจากไอ้แฟนตัวดีเลยสักข้อความ สงสัยจะเรียนหนัก หรือไม่ก็ยังไม่ตื่นเพราะเมื่อคืนมันเล่นผมจนระบมไม่หาย
“เที่ยงแล้ว กินอะไรดี” คิ้วถาม เพื่อนที่นั่งรอบๆต่างเสนอสิ่งที่อยากกิน สุดท้ายก็จบที่โรงอาหารคณะเพราะมีเรียนกันต่อช่วงบ่าย ถ้าออกไปทานข้างนอกจะกลับมาไม่ทัน
“ตงๆ เราขอถ่ายรูปด้วยหน่อยสิ แม่เราไม่เชื่อว่าเพื่อนเราเป็นดารา” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งขอถ่ายรูปด้วย ผมไม่ว่าอะไรเพราะชินกับเรื่องนี้อยู่แล้ว พอถ่ายคนแรก คนต่อๆไปเลยตามมาไม่ขาดกว่าจะจบก็เกือบ 20 นาที ยังดีที่ไอ้คิ้วและธนนท์ยังยืนรออยู่
“เกิดมาดังอะเนอะ เลยต้องเหนื่อย”
“ชิลๆ” ผมตอบไอ้คิ้ว “ขอโทษนะนน ทำให้รอนานเลย”
“โอ๊ย ไม่เป็นไร เราไม่รีบอยู่แล้ว” เพื่อนคนนี้ตอบ พอร่างผมยืนประชิด ความสูงของเขาก็ลดเหลือแค่ระดับไหล่เท่านั้น
“ไปเหอะ กูหิว” ไอ้คิ้วตัดบท พวกเราเดินอ้อยอิ่งออกจากห้องเรียนไปยังลิฟต์ที่อยู่ไม่ไกล รอบเที่ยงมีคนใช้ลิฟต์เยอะ แต่ก็รอไม่นานเนื่องจากมีหลายตัว แถมยังเสียเวลาเซอร์วิสแฟนคลับอยู่นาน คนเลยเบาบางลงไปพอสมควร
“เอ่อ ตงครับ” ผมหันไปตามเสียงเรียก แม้จะอยู่ในลิฟต์แคบๆ คนแน่นๆก็เหอะ
“ครับ”
“พอดีมีคนฝากของมาให้น่ะครับ” ผมทำท่าจะรับของจากผู้ชายหน้าตาดีที่พิงหลังอยู่ด้านในสุด แต่เพราะพื้นที่มันแคบเขาจึงเอาของให้ไม่ได้ คนที่อยู่ในลิฟต์ไม่ได้สนใจเรื่องที่มีผู้ชายเอาของมาให้ผมเท่าไหร่ เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ชาวคณะบริหารฯเห็นจนคุ้นตา แฟนคลับหลากหลายวัยมักจะเข้ามาเพื่อขอถ่ายรูปหรือไม่ก็เอาของมาให้เสมอ เราเงียบไปจนลิฟต์ถึงชั้น 1
“อ่อ ขอบคุณครับ” ผมหยิบถุงผ้าขนาดใหญ่จากมือเขาหลังออกมาจากลิฟต์แล้ว ดูระยะใกล้ๆนึกว่าเป็นดาราเหมือนกันซะอีก หน้าตาหล่อออร่าที่สาวๆต่างหันมามองตอนที่เราอยู่กันสองคน หุ่นก็สูงและดูดี ไหล่กว้างเหมือนนักกีฬา
“พี่ชื่อเวลล์ (Well) นะครับ อยู่อีคอนปี 4” หืม หน้าตาไม่ได้ดูแก่แบบพวกปี 4 ที่รู้จักเลยแฮะ
“อ่อ ครับพี่เวลล์ ขอบคุณสำหรับของขวัญนะครับ” ผมกล่าวอย่างเกรงใจ คิ้วและธนนท์เดินลิ่วไปที่โรงอาหารแล้วเพื่อจองที่นั่ง
“คือ..” ใบหน้าหล่อๆนั้นดูลังเล ผมได้แต่นึกหาประโยคเพื่อจะขอตัวแต่ก็นึกไม่ออก “... เมื่อกี้ที่พี่บอกว่ามีคนฝากมาน่ะ จริงๆพี่เองแหละที่เอามาให้”
“ขอบคุณมากเลยนะครับพี่เวลล์” คิดแล้วไม่ผิด มาแนวนี้คือจะมาจีบอีกล่ะสิ ทำไมช่วงหลังๆผู้ชายเข้าหาเยอะกว่าผู้หญิงอีกนะ หรือว่ากลิ่นไอ้หนึ่งติดตัวมา คนเขาเลยกล้าเข้ามาจีบกัน พอมองดูดีๆพี่เวลล์หล่อมากเหมือนกันนะ
“เอ่อ จะเป็นอะไรมั้ยครับถ้าพี่จะขอไลน์น้องตง เอาไว้...” มือถือราคาแพงรุ่นล่าสุดถูกล้วงและยื่นมาให้ ปกติแล้วผมไม่ค่อยให้ข้อมูลติดต่อพวกไลน์ เฟซบุ๊ก ไอจี ส่วนตัวกับใครหรอก ที่เปิดให้ตามๆกันส่วนใหญ่จะเป็นแบบเอาไว้ติดต่องานมากกว่า
“รีบๆให้พี่เค้าสิ หิวแล้ว” เสียงคุ้นๆดังมาจากด้านหลัง ผมหันขวับ
“ต้องขอโทษทีนะครับพี่เวลล์ พอดีผมไม่สะดวกจริงๆ ขอโทษนะครับ” ผมมองใบหน้าราบเรียบของมนุษย์แฟนที่ยืนไม่ห่าง สงสัยไอ้คิ้วใช้ให้มาตามเพราะยังไม่ได้เดินไปที่โรงอาหารเลย พี่เวลล์ไม่ว่าอะไรนอกจากยิ้มเก้อๆก่อนจะขอตัวเดินจากไป
“ทำไมไม่ให้พี่เค้าไปล่ะ หล่อดีออก” ไอ้หนึ่งถามตอนที่เดินจ้ำไปด้วยกัน
“ให้ทำไมวะ เค้ามาจีบกูนะ มึงไม่เห็นเหรอ” ผมละทึ่งที่ได้ยินคำถาม
“เห็น”
“เห็นแล้วทำไมยังบอกให้กูเอาให้อีกล่ะ” ดันกลายเป็นผมที่หงุดหงิดเสียแล้ว
“ก็ให้ๆจะได้จบๆ กูรอนานจนหิวแล้วเนี่ย” มันตอบหน้าตาเฉย เสียงจอแจของโรงอาหารดังมาแต่ไกล
“มึงไม่หึงกูเลยเหรอวะ มีผู้ชายหน้าตาหล่อมาจีบกูนะ”
“ไม่อะ กูชิน ถ้ากูต้องคอยหึงกับคนมาจีบมึงทุกคนนะปวดหัวตายห่..พอดี เอามายืนเรียงแถวกันคงยาวไปถึงคณะวิศวะได้เลยมั้ง” จากคณะผมไปวิศวะก็แค่ 2 กิโลเมตรเองนะ
“กวนส้นตีน นี่มึงไม่หึงจริงดิ”
“อื้ม คิดมากก็ปวดหัว คนจีบมึงมีทุกวัน ขืนกูคอยวิ่งไล่ต้อยๆก็ไม่ต้องทำอะไรมันละวันๆน่ะ”
“ชิ” ผมจิ๊ปาก คำตอบของมันก็จริงอยู่นะครับ แรกๆหนึ่งยังมีท่าทางงุ่นง่านอยู่บ้าง แต่พอคบกันมาสักระยะมันก็เริ่มชินชา เลยกลายเป็นว่าเราไม่เคยทะเลาะกันเรื่องหึงหวงเลยสักครั้ง “มึงมีเรียนด้วยเหรอวันนี้”
“ไม่มี แต่อาจารย์นัดคุยเรื่องโครงงานเลยต้องมา” มิน่าล่ะถึงแต่งตัวเต็มยศ ตอนผมออกมาเมื่อเช้ามันยังนอนอุตุอยู่เลย
“โอ๊ย กว่าจะมานะพวกมึง” ไอ้ชัยปากเปราะส่งเสียงด่า ท่าทางจะรอนานจริงๆนั่นแหละเพราะจานข้าวแต่ละคนว่างเปล่าไปแล้ว
“เออดิ ไอ้ตงมันลีลาไม่ยอมให้ไลน์คนมาจีบ” ไอ้หนึ่งสาธยายเหมือนเป็นเรื่องปกติ
“เนื้อหอมนะเราน่ะ” ไอ้โทแซว หน้าตากรุ้มกริ่มของมันทำให้อยากโบกสักป๊าบ
“เอาไร เดี๋ยวกูไปซื้อให้” ไอ้หนึ่งถาม สีหน้าแววตาของมันปกติทุกอย่าง ผมตอบสิ่งที่อยากกินแล้วมองตามก้นคนตัวเตี้ยที่วิ่งไป
“ตงสนิทกับหนึ่งจังเลย” ผมลืมไปเลยว่าวันนี้ธนนท์มานั่งด้วย ผมยิ้มแหยๆแต่ไม่ตอบอะไรไปให้
“เออ นน ข้อมูลส่วนของกูน่ะ เดี๋ยวส่งให้คืนนี้นะ” ไอ้คิ้วพูดไปด้วยเคี้ยวข้าวไปด้วย มารยาทมันทรามขัดกับความหล่อชิบหาย
“อื้อได้ๆ ส่งมาแล้วก็ไลน์บอกเราด้วยนะ” ธนนท์เป็นคนสุภาพ หน้าตาไม่ได้โดดเด่นและเพื่อนน้อย ตอนแรกที่เจอในห้องเรียนผมนึกว่าเขาเป็นคนหยิ่ง มารู้ทีหลังว่าเป็นเด็กเนิร์ดคนเลยไม่ค่อยเข้าหาก็เลยชวนมาทำงานกลุ่มด้วย หลังจากนั้นก็คุยกันมากขึ้นเลยพามาแนะนำให้ไอ้พวกนี้รู้จัก เนื่องจากทุกคนไม่ได้เป็นคนเข้าถึงยากเจอใครใหม่ก็คุ้นเคยได้แทบทันที
“ขาดของใครอีกมั้ย” ผมถาม
“นอกจากของคิ้วก็มีอีก 2 คน” ธนนท์ตอบอย่างอารมณ์ดี ถึงแม้จะใกล้เวลาส่งงานแล้วก็ตาม แต่ยังใจเย็นได้ทุกขณะ
“อิจฉาว่ะ ทำไมเอกกูไม่มีคนเก่งแบบธนนท์บ้างวะ ทำรายงานทีมีแต่ตัวอะไรไม่รู้ เอกราชงี้ เอกภาพงี้” ไอ้ชัยบ่น เอกภาพหรือโทเหลือบตามองอย่างเหยียดหยามคนที่เพิ่งเปล่งคำออกมา
“ทำไมวะ อยู่กลุ่มเดียวกับกูไม่ดีตรงไหน อย่างน้อยกูก็ฉลาดกว่าไอ้หนึ่งนะเว้ย” นั่นไง ไอ้โท เกทับน้องชายตัวเองซะงั้น
ป๊าบ...
“สัส กูไม่อยู่แป๊บเดียวนินทากูใหญ่เลยนะ แฟนไม่อยู่เหงาปากเหรอมึง” หนึ่งเดินถือข้าวมาสองจาน เสียงป๊าบที่ได้ยินคือการสะกิดจากปลายเท้ากับแผ่นหลัง เรียกง่ายๆคือ ถีบหลังนั่นเอง
“ไอ้เชี่ยเตี้ย ถีบมาได้ หน้ากูเกือบคว่ำลงชามก๋วยเตี๋ยว” โทโวยวาย
“กูถีบหลัง ไม่ได้ถีบยอดหน้ามึงซะหน่อย” หนึ่งวางจานและนั่งข้างผมอย่างไม่ทุกข์ร้อน ผมมองภาพสองพี่น้องแยกเขี้ยวใส่กันอย่างนึกขำ ยิ่งมีไอ้คิ้ว ไอ้ชัยคอยยั่วยุโดยการปาขนมใส่ทั้งคู่อีก ดูแล้วเหมือนอยู่โรงเรียนอนุบาล
“พวกมึงหยุดเล่นดิ๊ กูจะกินข้าว เกรงใจธนนท์บ้าง” ผมปราม
“มึงโอเคมั้ยนน” ใครสักคนถามแบบกันเอ๊งกันเอง
“อะ อื้ม เราโอเค สนุกดี” ธนนท์นั่งเงียบมาตลอดตอบ ถ้าไม่มีเรียนวิชาเดียวกันผมก็ไม่เคยเห็นเขามานั่งทานข้าวที่โรงอาหารเลยสักครั้ง เคยคิดจะถามแต่ก็กลัวจะไปสะกิดปมในใจเรื่องเพื่อนน้อยของเขา
“เห็นมั้ย มึงอะคิดมากไอ้ตง รีบแดกมึงมีเรียนต่อนะ” ไอ้คิ้วเตือนสติ ตารางเรียนวันนี้โหดมากเพราะต้องเรียนแต่เช้ายันเย็น
“เออ แป๊บ” ผมรีบจ้วงอาหารเข้าปาก “หนึ่งมีเรียนอีกมั้ย”
“ไม่มีแล้ว คาบบ่ายอาจารย์งด” แฟนตัวดีหันมาสนใจ
“ฝากของกลับไปด้วยได้ปะ” ผมเหลือบตามองถุงผ้าใบใหญ่ที่วางกับพื้นอย่างไม่มีใครใยดี ความจริงคือผมยังไม่ได้เปิดดูด้วยซ้ำว่าข้างในเป็นอะไร เพราะกลัวว่าไอ้หนึ่งมันจะหึงตอนที่พี่เวลล์จีบซึ่งๆหน้า
“เอาเดะ เดี๋ยวไอ้ชัยไปส่ง กูเก็บให้” ยังดีนะที่มีรถยนต์ขับไปส่ง ปกติมันจะเอารถผมไปแล้วค่อยกลับมารับตอนเรียนเสร็จหรือไม่ก็ไปเตร็ดเตร่ที่ร้านโมเอะหลังมอเพื่อเล่นเกมหรืออ่านหนังสือรอกับเพื่อนๆ
“มึงจะพากันเล่นเกมอีกแล้วใช่มั้ย” ผมถาม ไอ้หนึ่งเบ้หน้าเหมือนโดนจับได้
“เออดิ ตีป้อมหน่อย ไอ้หนึ่งแม่งโคตรอ่อน เล่นด้วยแล้วหัวร้อน” โทเป็นคนตอบ
“ก็พวกมึงให้กูเล่นตำแหน่งอะไรล่ะ กูถนัดฟาร์ม มาให้กูเล่นแครี่ ไหวไหมบอก” ไอ้หนึ่งเถียง
“มึงมันกาก” ผมสำทับ เพราะเห็นฝีมือมันเล่นแล้วก็ช่วยเถียงไม่ได้จริงๆ
“ตงๆ ทิชชู่” ผมหันไปทางธนนท์ที่นั่งติดกัน กระดาษสีชมพูถูกยื่นมา และมืออีกข้างของเขาชี้ไปที่มุมปากตัวเอง ผมรีบรับและซับตรงตำแหน่งที่เพื่อนบอก
“ขอบใจมากนะนน” คราบสีส้มๆจากพะแนงหมูถูกเช็ดเกลี้ยง เป็นดาราไม่จำเป็นต้องอดๆอยากๆเนาะ แพนงหมูไม่ได้ทำให้เราอ้วน ที่ทำให้เราน้ำหนักขึ้นคือตาชั่งต่างหาก ... คำพูดปลอบใจของไอ้หนึ่งมันน่ะ
“กูไปซื้อน้ำก่อนนะ” อยู่ๆมนุษย์แฟนก็ลุกพรวด ทั้งๆที่มีน้ำแดง ชามะนาว นมเปรี้ยวที่คนอื่นซื้อมาวางอยู่เต็มโต๊ะ
“มันเป็นอะไรของมันวะ” โทกันมาถาม
“ไม่รู้ดิ สงสัยเจ้าเข้า” ผมตอบ ไม่ได้เห็นท่าทางฟึดฟัดแบบนี้มานานแล้ว#### ####
ผมเรียนเสร็จเกือบสองทุ่มเพราะอาจารย์ขออัดเนื้อหาเนื่องจากจะมีการงดคลาสอาทิตย์หน้า เพื่อนแต่ละคนต่างร้องโอดโอยลั่นห้องไม่เว้นตัวผมเอง แกบอกว่าไม่ได้บังคับ ใครอยากเลิกตามเวลาก็ทำได้ ผมคงจะรีบลุกไปแหละแต่ดันมีการเช็คชื่อรอบสอง ซึ่งมันพัวพันกับคะแนนจิตพิสัย 10% ของคะแนนตัดเกรดร่วมด้วย ต้องจำใจนั่งต่อและส่งข้อความไปหาไอ้หนึ่งที่หายเงียบไปตั้งแต่บ่าย
“ช่วยลากกูทีไอ้ตง หมดพลัง” ไอ้คิ้วนอนคว่ำหน้ากับโต๊ะเรียนสีขาวขนาดเล็ก พวกเราแต่ละคนต่างรู้สึกไม่ต่างกัน
“เรียนขนาดนี้ สมองกูต้องบวมไปแล้วแน่ๆ” วิชานี้มีไอ้โทร่วมด้วย มันเข้าเรียนแทนขวัญใจที่ติดธุระกับที่บ้าน ดีนะที่สมัยนี้เทคโนโลยีการเช็คชื่อมันดี แค่สแกนคิวอาร์โค้ดก็จบแล้ว ถ้าอาจารย์ขานชื่อทีละคนไอ้โทคงโดนจับได้
“มึงกับไอ้หนึ่งนิสัยเดียวกันเป๊ะ” ไอ้คิ้วแซว
“แต่กูฉลาดกว่ามันนะ ใช่มั้ยตง”
“ไม่ต้องลากกูไปยุ่งเลย” ผมชิ่ง
“มึงนี่แม่ง” ไอ้โทด่า มันขยับปากแบบไร้เสียงซึ่งสามารถอ่านได้ว่า คนกลัวผัว ...
“ไอ้สัส” ผมด่าสั้นๆเพราะไม่รู้จะสรรหาคำไหนแล้วเนื่องจากมันจี้ใจดำ ปกติแล้วผมไม่ใช่คนหยาบคายแบบนี้เลยนะเพราะต้องรักษาภาพพจน์ดารา แต่พอคบพวกนี้นานเข้านิสัยก็เริ่มเปลี่ยน ตอนนี้เริ่มกลัวแล้วว่าจะโดนเอาไปโพสต์ลงโซเชียลหรือเปล่า
“โห เพิ่งเห็นตงฉินเวอร์ชั่นนี้” ธนนท์โพล่งมาจนสะดุ้ง นึกว่าอยู่กับวิญญาณ
“เวอร์ชั่นอะไรเหรอ”
“ก็เวอร์ชั่นด่าคนอื่นไง เรานึกว่าเป็นดาราต้องรักษาภาพลักษณ์ซะอีก” นี่ไปอยู่หลังเขาลูกไหนมาครับธนนท์
“โห มึงรู้จักมันน้อยไปไอ้นนท์” ไอ้คิ้วตัวแสบรีบเสริม
“กูกลับดีกว่า ไอ้หนึ่งมารอแล้ว มึงจะกลับมั้ยไอ้โท” ผมรีบลุก ไม่อยากโดนทำลายภาพพจน์ดีๆในสายตาเพื่อนร่วมชั้นมากไปกว่านี้ นอกจากธนนท์แล้วยังมีคนอื่นๆที่นั่งเรียนด้วยกันอีกหลายคน ถึงไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่แต่ก็รู้จักกันหมด
“ไปดิ”
“เจอกันคลาสหน้านะนน ไปไอ้คิ้วมึงจะนอนอีกนานมั้ย” ผมบอกลาคนอื่นๆที่นั่งด้วยกันแล้วเดินออกไปจากห้องเรียนอย่างรีบเร่งจนถึงรถยนต์ที่จอดนิ่งในความมืดตรงลานจอดรถ
“ไหนมึงบอกไอ้หนึ่งมารับไม่ใช่เหรอวะ ไหนล่ะ” ไอ้โทถาม
“กูลืมว่าวันนี้มันกลับไปกับไอ้ชัยแล้ว” ผมตอบเสียงเรียบ ปกติไอ้หนึ่งจะมารับ มันเลยทำให้ผมชินกับเหตุการณ์นี้ เลยติดปากลืมตัวบอกคนอื่นไปแบบนั้น
“มึงก็เอ๋อนะเนี่ย สงสัยไอ้หนึ่งให้แดกสมอง” นี่มันว่าหนึ่งโง่หรือผมติดเชื้อโง่จากแฟนตัวเองมากันแน่นะ
“สมองพ่อง” ผมเปิดรถ
“ถ้าไม่ให้แดกสมอง มันจะให้แดกอะไรว้าาาาาาาาาาาาา” น้ำเสียงโคตรล้อเลียน ผมล่ะเกลียดมันจริงๆที่รู้เรื่องส่วนตัวของผมกับไอ้หนึ่งเยอะจนเกินไป ไอ้พี่น้องสองคนนี้เหมือนจะทะเลาะกันตลอด แต่ก็ดันสนิทกันมากจนเล่าอะไรต่อมิอะไรกันอย่างไม่มีอาย ผมกดปุ่มสตาร์ทรถและไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเพื่อนคนนี้อีก มีแต่เสียกับเสีย ภาพประกอบเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านเท่านั้น
มิได้เกี่ยวข้องกับบุคคลในภาพและเนื้อหาในนิยายแต่อย่างใด