บทที่ 2 Awake
เกิดความอลม่านขนาดย่อมๆ ขึ้นในหอผู้ป่วยอาการหนักวิกฤตเมื่ออาจารย์แพทย์จบใหม่ผู้เป็นที่รักของทุกคนถูกนำมาพักรักษาตัว ทั้งเพื่อนร่วมวิชาชีพและอาจารย์ท่านอื่นที่อยู่ต่างสาขาซึ่งพากันมาช่วยให้การรักษานับตั้งแต่ได้รับการยืนยันชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บในที่เกิดเหตุ มาจนถึงห้องฉุกเฉินจนกระทั่งถูกส่งตัวมาเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดที่นี่ต่างผลัดกันวิ่งเข้าวิ่งออกคนแล้วคนเล่า ทุกคนต่างระดมสมองและใช้การตรวจวินิจฉัยต่างๆ ทุกวิธีที่จะนำไปสู่การรักษาได้
แต่ไม่ว่าจะพยายามเช่นไร ก็ไม่อาจทำให้คนที่นอนอยู่ในห้องหมายเลข 4 นั้นฟื้นขึ้นมาได้เลย
ศาสตราจารย์สรวิญช์กับภรรยามาถึงห้องเป็นคนท้ายๆ คนอื่นๆ เริ่มทยอยกลับกันไปเกือบหมดแล้วเพราะตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้อีกนอกจาก ‘รอ’ เท่านั้น
ทั้งสองมองผ่านกระจกเข้าไปในห้องหมายเลข 4 เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนอนอยู่คล้ายกับหลับอยู่เฉยๆ หากในปากนั้นถูกสอดท่อช่วยหายใจ ใส่สายให้น้ำเกลือและอุปกรณ์เพื่อติดตามค่าสัญญาณชีพต่างๆ เต็มไปหมด พวกเขาหันมองหน้ากัน มันช่างเป็นภาพที่เคยคุ้นตาที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกครั้งเลยจริงๆ และเมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องยิ่งได้เห็นภาพที่ไม่อยากเห็น คือลูกชายคนเดียวของพวกเขาที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างเตียง
วิมลภาหันไปสบตาสามี เธอพูดอะไรไม่ออกและเลือกที่จะเดินอ้อมไปดูคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องบนเตียงใกล้ๆ ใบหน้านั้นซีดเผือดอีกทั้งมือก็เย็นเชียบราวกับคนไม่มีชีวิตทั้งที่สัญญาณชีพปกติ ทุกสิ่งทุกอย่างมันดูสวนทางกันไปหมด
“เป็นไงบ้างลูก” ศาสตราจารย์สรวิชญ์เอ่ยปากถาม ปกติเขาเป็นคุณพ่อที่แสดงอารมณ์ไม่เก่ง ซ้ำยังปากยังไม่ค่อยไม่ตรงกับใจ แต่วันนี้เขาไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิดเผื่อทำให้น้ำเสียงที่แข็งกระด้างนั้นอ่อนโยนลง
“ผล CT พบสมองส่วนหน้าช้ำเล็กน้อย เอ๊กซเรย์ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีกระดูกชิ้นไหนหัก ผลเลือดทุกอย่างปกติครับ” นรกรตอบไปก็รู้สึกเกลียดตัวเองไปพร้อมๆ กัน เกลียดที่มีสมองอันชาญฉลาดซึ่งรู้ทุกอย่าง และเขาก็มีดวงตาที่มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น แต่ไม่ว่าจะความสามารถไหนก็ช่วยคนบนเตียงไม่ได้สักอย่าง ในเมื่อมันไม่มีอะไรผิดปกติให้เขารักษา และไม่เห็นวิญญาณของวินทร์ด้วย
“อืม” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พยักหน้า เขาอ่านผลการตรวจทุกอย่างมาอย่างละเอียดละออดีแล้วก่อนเข้ามาคุยกับลูกชาย และคำถามที่ย้อนถามต่อมาก็เป็นคำถามที่เขาก็กำลังถามตัวเองอยู่เหมือนกัน
“แล้วทำไมเขาไม่ฟื้นครับพ่อ” นรกรคาดหวังว่าจะได้รับการอธิบายเชิงทฤษฎีหรือผลงานวิจัยอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะจากปากอาจารย์ด้านศัลยกรรมประสาทและสมองที่เขานับถือ หากตอนนี้ศาสตราจารย์ได้ถอดเสื้อกาวน์ของครูแพทย์วางทิ้งไว้แค่หน้าประตู เหลือแค่คนเป็นพ่อคนหนึ่งที่เดินเข้ามาปลอบโยนลูกชาย
“พ่อไม่รู้”
นรกรเม้มปากแน่นพร้อมกับก้มหน้าลงต่ำ
“แต่ถ้าสิ่งที่เขาบอกกับพ่อไม่ใช่เรื่องโกหก” ศาสตราจารย์สรวิชญ์พูดต่อ “สิบสองปีก่อนเขาตื่นขึ้นมาเพื่อมาหาลูก พ่อคิดว่าครั้งนี้เขาก็คงทำแบบนั้นเหมือนกัน”
นรกรเงยหน้าขึ้นสบตาคนเป็นพ่อ “ทำไมพ่อถึงมั่นใจแบบนั้นครับ”
“เปล่า พ่อไม่ได้มั่นใจ แต่พ่อเชื่อใจ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์บอกพร้อมกับยื่นมือออกไปบีบบ่านรกรครั้งหนึ่ง “และพ่อคิดว่าฮาร์ฟคงจะทำสิ่งนี้ได้ดีกว่าพ่อในตอนนั้นอีก... อยู่ข้างๆ เป็นกำลังใจให้เขานะลูก เรื่องงานเรื่องสอนไม่ต้องเป็นห่วงเดี๋ยวพ่อกับแม่จัดการให้เอง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมทำได้ อย่าทำให้ทุกคนต้องลำบาก...”
“ปกติไม่ดื้อกับพ่อไม่ใช่เหรอ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กล่าว “ถือซะว่าเป็นของเยี่ยมไข้นะ ไม่ต้องห่วงหรอกไว้เขาฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ พ่อเอาคืนหนักแน่”
“ขอบคุณครับ” นรกรยกมือไหว้
หลังจากพ่อกับแม่ออกไปก็ไม่มีมีใครมาเยี่ยมวินทร์อีก ทำให้ห้องนั้นกลับมาเงียบเชียบมีเพียงเสียงตีลมจากเครื่องช่วยหายใจที่ดังเป็นจังหวะ คุณพยาบาลเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงว่าต้องการเพิ่มไหมพร้อมกับรีบบอกว่าให้อยู่นานเท่าได้ที่ต้องการทั้งยังช่วยปิดม่านให้เพื่อความเป็นส่วนตัว
นรกรสอดมือเข้าใต้ผ้าห่มและกำมือข้างหนึ่งของวินทร์ไว้ตลอด ไม่ใช่แค่ต้องการบอกให้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้ แต่ตอนนี้เขารู้สึกไม่ไว้ใจอะไรเลยแม้แต่กราฟที่แสดงอัตราการเต้นของหัวใจ เขาแค่อยากสัมผัสให้ได้มากขึ้นอีกนิดถึงจะเป็นแค่แรงเต้นของชีพจรที่มากระทบโดนปลายนิ้วว่าวินทร์ยังอยู่กับเขาจริงๆ ไม่ได้หนีไปไหน
ระหว่างที่นั่งรอให้วินทร์ฟื้นอยู่เงียบๆ นั้นนรกรก็คิดอะไรหลายอย่าง มีสิ่งหนึ่งที่เป็นแค่เหตุการณ์เล็กๆ ทั้งที่ตัวเองก็รู้ในระเบียบข้อนี้ดี หากพอเจอเข้ากับตัวมันก็ทำให้เขาจุกจนพูดไม่ออกไปเหมือนกัน เมื่อมีการนำส่งคนไข้ที่ไม่รู้สึกตัวมายังโรงพยาบาลจะต้องมีการตามหาญาติให้เร็วที่สุดเพื่อแจ้งข่าวและให้มาช่วยทำหน้าที่ตัดสินใจแทนคนไข้ วินทร์ซึ่งพ่อแม่เสียหมดแล้วและไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก จึงไม่สามารถตามคนเหล่านั้นมาได้ แล้วตอนนั้นเองที่ตัวเขาซึ่งทุกคนรู้ดีว่ามีสถานะเป็นคนรักและอยู่ด้วยกันมานานพอสมควร ซึ่งเขาควรเป็นคนที่สามารถมีสิทธิ์ตัดสินใจแทนได้ แต่ตามกฏหมายแล้วเขาไม่อาจทำอะไรได้เลย สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่ส่งเอกสารคืนคุณพยาบาลที่ยิ้มแห้งๆ อย่างรู้สึกผิดมาให้ก่อนจะขอตัวไปทำการพิมพ์ลายนิ้วมือแทน
นี่เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้นรกรรู้สึกว่าไม่อยากขยับไปไหน เพราะตอนนี้ดูเหมือนแทบไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าเขากับวินทร์เชื่อมโยงกันไว้เลย และเพียงแค่ปล่อยมือหรือละสายตาไปแม้แต่วินาทีเดียวคราวนี้วินทร์อาจจากเขาไปไม่กลับมาเลยก็ได้
นั่งไปสักพักเขาก็ลุกขึ้นชะโงกตัวเหนือคนที่นอนหลับตาพริ้ม คอยดูแลจัดผ้าห่มให้ทั้งที่มันก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนอะไร ใช้ปลายนิ้วไล้ไปตามปลายคางที่หนวดเคราเริ่มขึ้นเป็นตอแข็งที่เขาสัญญาว่าจะโกนให้เมื่อคืน แตะเรื่อยไปจนถึงริมฝีปากที่เขาชอบอิดออดเวลาจะโดนจูบ นึกถึงอ้อมแขนสุดท้ายที่เขาสะบัดทิ้งก่อนจะเดินหนีไปขึ้นรถตอนอยู่ที่วัดและนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ทะเลาะกันก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ
ถ้าหากรู้ว่านั่นจะเป็นจูบสุดท้าย เขาจะไม่ปฏิเสธเลยแม้จะต้องยอมบาปไปด้วยกัน
ถ้าหากรู้ว่าเมื่อคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน เขาคงไม่รีรอที่จะกลับไปขึ้นเตียง
ถ้าหากรู้ว่ากอดนั้น... อาจจะเป็นการกอดกันครั้งสุดท้าย เขาคงจะกอดให้แน่นและยาวนานที่สุด
ถ้าหากว่า... มันไม่มีโอกาสที่จะแก้ตัวอีกครั้งล่ะ
ถ้าหากว่าสุดท้ายแล้ว วินทร์ไม่กลับมา...
นรกรกัดฟันลงบนริมฝีปากจนห้อเลือด บอกตัวเองหนักแน่นว่าห้ามร้องไห้เด็ดขาดเพราะวินทร์ยังไม่ตาย เขาจะไม่ทำเหมือนกับว่าวินทร์กำลังจะจากเขาไป เขาต้องเข้มแข็งและรอวันที่วินทร์จะกลับมา
นรกรใช้มือเสยผมที่ลู่ลงมาปรกหน้าผากคนที่นอนหลับอยู่ให้เข้าที่ อย่างน้อยวินทร์จะต้องดูดีตอนที่ทุกคนมาเยี่ยม พรุ่งนี้เช้าเขาจะกลับบ้านไปเอาที่โกนหนวดอันที่ใช้ประจำมาและจะแวะซื้อลิปมันมาด้วยที่ร้านสะดวกซื้อมาด้วย
“รีบตื่นได้แล้วนะครับ ผมรออยู่นะ”
เขากระซิบที่ข้างหูก่อนจะกดริมฝีปากลงกลางหน้าผากครั้งหนึ่งแล้วนั่งลงที่เดิมก่อนจะเผลอฟุบหลับไปทั้งที่ยังกุมมืออีกฝ่ายไว้แบบนั้น
.
.
.
.
.
“ที่นี่ที่ไหน” วินทร์ถามกับตัวเอง ตอนนี้ที่ๆ เขาอยู่มันมืดสนิทจนมองไม่เห็นแม้มือของตัวเอง เขาเดินสะเปะสะปะไปตามทางที่ราวกับไม่มีจุดหมายเรื่อยๆ แล้วตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยกระซิบขึ้นข้างหู
“รีบตื่นได้แล้วนะครับ ผมรออยู่นะ”
“นั่นเสียงฮาร์ฟนี่นา นายอยู่ที่ไหนน่ะ” เขาร้องเรียกพร้อมกับวิ่งไปทางที่น่าจะเป็นที่มาของเสียง เขาวิ่งไปเรื่อยๆ เร็วที่สุดเท่าที่สองเท้าจะมีกำลังพาไปได้ แล้วเขาก็เห็นจุดแสงสีทองเล็กๆ ที่สว่างเรืองๆ ตรงสุดทาง แสงที่เขาเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน เขาวิ่งเข้าหาไปมันอย่างไม่ลังเล
“ตื่นสิฮาร์ฟ ฉันกลับมาแล้ว”
นรกรสะดุ้งตื่น เขาตกใจเล็กน้อยที่ตัวเองเผลอหลับไปและพยายามรวบรวมสติเข้าด้วยกัน นัยน์ตาสีอ่อนจับจ้องไปยังฝ่ามือที่เขาจับไว้ทั้งคืนมันไม่ได้ดูอ่อนระโหยโรยแรงหากกำลังเกาะกุมมือเขาไว้เช่นกัน หัวใจเต้นแรงขึ้นทันที เขารีบมองไล่ไปตามลำแขน ผ่านหน้าอก ไปจนถึงใบหน้าของคนบนเตียงที่กำลังลืมตาและมองมาที่เขา
“หมอวินทร์ฟื้นแล้วเหรอคะ” พยาบาลประจำห้องไอซียูที่เดินเข้ามาดูเป็นระยะร้องทักขึ้น และรีบเรียกเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ให้มาช่วยกัน
นรกรชักมือที่จับไว้แน่นออกและลุกขึ้นยืนหลบฉากเพื่อให้พวกเธอได้ทำงานกันอย่างเต็มที่
หลังจากที่หลับไปหนึ่งวันเต็มๆ วินทร์ก็ฟื้นขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์ และสามารถถอดท่อช่วยหายใจออกได้ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
“เป็นไงบ้าง” ศาสตราจารย์สรวิชญ์กลับมาเยี่ยมพร้อมกับภรรยาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ยินดีต้อนรับกลับมาอีกครั้งนะ”
“ขอบคุณครับ” วินทร์ตอบ
“ดูเงียบๆ ไปนะ ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าจ๊ะ” วิมลภาที่สังเกตเห็นความผิดปกติถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรครับผมแค่เจ็บคอนิดหน่อย” วินทร์บอกพลางยกแก้วน้ำอุ่นที่พยาบาลเตรียมไว้ให้ขึ้นจิบ “เอ่อ... แล้วคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องไปทำงานเหรอครับวันนี้”
“ปากดีแบบนี้หายแล้วล่ะคุณ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์หันไปพยักเพยิดกับภรรยา “เพิ่งสอนเสร็จน่ะ พอดีฮาร์ฟส่งข่าวว่าคุณฟื้นแล้วเลยรีบแวะมาดูอาการ เห็นแบบนี้ค่อยเบาใจไปเยอะ อยากกลับบ้านหรือยังล่ะ”
“ก็อยากกลับแล้วครับ แต่ไม่แน่ใจว่าหมอเขาจะให้อยู่ดูอาการอะไรอีกหรือเปล่า” วินทร์ตอบ
“ถ้างั้นกลับเลยไหมล่ะ” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ถาม “เดี๋ยวผมอนุญาตเอง”
“จะดีเหรอครับ”
“จะกลัวอะไรล่ะ กลับไปบ้านก็มีหมอส่วนตัวเฝ้าอยู่ทั้งคนนี่” ศาสตราจารย์สรวิชญ์ว่า “หรือคุณไม่เชื่อใจลูกชายผม”
ได้ฟังดังนั้นวินทร์ก็หันไปมองคนที่นั่งอยู่อีกด้านของเตียงพร้อมกับส่งยิ้มให้ “ขอบคุณครับ ผมอยากกลับบ้านจะแย่แล้ว”
oooooo
เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา วินทร์ก็กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนโซฟา “ในที่สุดก็ได้กลับบ้านสักที ไม่มีที่ไหนดีเท่าบ้านเราอีกแล้วเนอะ”
“ครับ” นรกรตอบ
“เป็นอะไรทำไมเอาแต่ยืนอยู่ตรงนั้นล่ะ ฉันหายดีได้กลับบ้านแล้วนายไม่ดีใจเหรอ” วินทร์ทำเสียงตัดพ้อพร้อมกับลุกขึ้นจากโซฟาเดินเข้าไปหา ใช้สองแขนวางบนไหล่แล้วโอบรอบตัวไว้หลวมๆ “ไม่คิดถึงกันเลยเหรอ... หืมมม แต่ฉันคิดถึงนะ ขอจูบทีนึงสิ” กระซิบที่ข้างหูก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้
และตอนที่ริมฝีปากกำลังจะสัมผัสกันนั่นเอง นรกรก็ยกมือขึ้นปิดปากอีกฝ่ายไว้ พร้อมกับจ้องตาอีกฝ่ายนิ่ง
“เป็นอะไร หรือว่างอนอะไรฉันอีกเหรอ” วินทร์พยายามง้อทั้งที่คิดว่าตัวเองไม่ได้ผิดอะไร
นรกรลดมือลงก่อนจะหยิบท่อนแขนที่วางพาดอยู่บนบ่าทั้งสองข้างออกจากตัวแล้วถอยหลังห่างออกไปสองก้าว เขายังคงมองสบตาอีกฝ่ายไว้แล้วกล่าวออกไป “คุณเป็นใครกันแน่ครับ”
“นายเป็นอะไรฮาร์ฟ ฉันก็วินทร์แฟนนายไง” เขามีสีหน้าตกใจไม่น้อยกับท่าที่ที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้า วินทร์พยายามจะเดินเข้าไปหา แต่อีกฝ่ายก็ถอยหลังหนีแบบก้าวต่อก้าวจนเขาจนใจที่จะตาม
“คุณไม่ใช่พี่วินทร์” นรกรบอกเสียงดังฟังชัด “ร่างกายคุณอาจเป็นพี่วินทร์ก็จริง แต่วิญญาณไม่ใช่”
“นี่นายจะบ้ากันไปใหญ่แล้วนะ!” วินทร์เริ่มเสียงดัง “มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง ก็ฉันยืนหัวโด่อยู่ตรงหน้านายนี่ยังไง”
“ไม่ใช่ครับ” นรกรพูดซ้ำ “เพราะพี่วินทร์ตัวจริงยืนอยู่ตรงนี้ต่างหาก” พร้อมกับชี้มือไปตรงที่ว่างข้างตัว แต่ในสายตาของเขามีร่างโปร่งแสงร่างหนึ่งซึ่งตามมาตั้งแต่ตอนอยู่โรงพยาบาลยืนอยู่
“ฮาร์ฟ!” ร่างโปร่งแสงหรือวินทร์ตัวจริงร้องเสียงดัง “ถ้าเห็นกันก็ส่งสัญญาณบอกกันบ้างสิ นายรู้ไหมว่าทำฉันใจเสียแค่ไหน ตอนที่เห็นนายนอนจับมืออยู่กับหมอนั่นน่ะ แถมเรียกแทบตายก็ไม่สนใจ”
“ผมเองก็ตกใจไม่แพ้พี่วินทร์น่ะแหละ ที่ลืมตามาเห็นคนอื่นอยู่ในร่างพี่วินทร์” นรกรบอก “แล้วผมจะบอกใครได้ล่ะ ว่านี่ไม่ใช่พี่วินทร์ โรงพยาบาลเราไม่มีหมอสายไสยศาสตร์เสียด้วยไม่งั้นผมคงโทรตามให้มาช่วยแล้ว สุดท้ายก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลยพากลับมาบ้านก่อนนี่ไงครับ”
“มุกนี้เฉียบ” วินทร์หัวเราะชอบใจกับคำว่าหมอสายไสยศาสตร์ การที่นรกรยังมองเห็นและพูดคุยกับเขาได้นั่นทำให้โล่งใจจนเกือบจะลืมไปว่าปัญหาจริงๆ คือการที่ร่างของเขาถูกวิญญาณดวงอื่นแย่งไป
“โอ้ นี่นายมองเห็นหมอนั่นจริงๆ สินะ” วิญญาณที่อยู่ในร่างวินทร์ว่า
“ไม่ใช่แค่พี่วินทร์ แต่ผมเห็นทุกอย่างรวมทั้งรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของคุณด้วย” นรกรบอก “แล้วนี่คุณมาสิงร่างพี่วินทร์ได้ยังไง ออกไปเดี๋ยวนี้นะ”
“น่าสนใจนี่” วิญญาณในร่างวินทร์ตอบ “ฉันก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมถึงดีดหมอนี่ออกไปได้ง่ายนัก บางทีอาจเป็นเพราะมีคนมีความสามารถพิเศษอย่างนายอยู่ด้วยก็ได้ เคยได้ยินมาว่าคนพวกนี้มักดูดกินพลังงานชีวิตคนที่อยู่รอบตัว”
“ฮาร์ฟไม่ได้ดูดพลังชีวิตอะไรฉันทั้งนั้น” วินทร์แทรกขึ้น “มันน่าจะเป็นเพราะฉันเคยมีประสบการณ์เฉียดตายมาแล้วครั้งหนึ่งมากกว่า ก็เลยทำให้นายมาสิงได้ง่ายๆ ไม่ได้เกี่ยวกับฮาร์ฟเลยสักนิด”
“เห ปกป้องกันดีจังเลยนะ ชักสนุกซะแล้วสิ”
“บอกความต้องการของคุณมา” นรกรรีบดึงเข้าเรื่อง “คุณเป็นใครแล้วต้องการอะไรกันแน่ถึงได้มาสิงพี่วินทร์แบบนี้”
“ฉันต้องการร่างกาย”
“ไม่มีปัญหา ผมจะไปตามหาร่างคุณให้”
“ฉันไม่ได้อยากตามหาร่าง” วิญญาณในร่างวินทร์บอก “ฉันรู้ดีว่าร่างของฉันอยู่ที่ไหน มันบาดเจ็บสาหัสจนทนพิษบาดแผลไม่ไหวและถูกเผาไปหลายสิบปีแล้ว”
“แล้วคุณต้องการอะไร”
“ฉันก็บอกพวกนายไปแล้วไง” วิญญาณในร่างวินทร์บอก “ฉันแค่อยากได้ร่างของหมอนี่... ฉันต้องการกลับมามีชีวิตอีกครั้ง”
*****************************************TBC************************************************
Talk
คืนค่ะ!
แลดูเอาไว้นานจะเราจะกลายเป็นคนใจร้ายไปจริงๆ 555
ตอนนี้ร้อนมากนะขอบอกระวังมือพอง เพราะเรากลับมาใช้วิธีแต่งสดลงสดในมือถือแบบเดิมอีกแล้ว(หาเรื่องเป็นoffice syndromeอีกรอบ หลังจากรักษาหายไปแล้ว555)
ตอนต่อจากนี้ไป อาจจะไม่ยาวมากดูไม่สมศักดิศรีเราเท่าไหร่นะคะ (ปกติตอนหนึ่งของเราตั้งไว้ที่ 9-12 หน้า) เพราะเราได้รับคอมเมนต์มาพอสมควรเรื่องการตัดเวลาไปมาในภาคที่แล้ว และอันนี้ก็จะมีการดัดเวลาไปมาอีกเช่นกัน เลยจะลองปรับดูนิดหน่อยจะได้อ่านได้ง่ายขึ้น และเราก็คิดว่าอาจจะมีข้อดีตรงที่ไม่กดดันตัวเองมากด้วยความยาวที่ลดลง
เราไม่ได้ลืมCheckmateนะคะยังคงแต่งคู่กัน จะลงสลับๆ กันไป แต่อันนี้อาจจะไวกว่านิดนึงด้วยเหตุผลอย่างที่บอกไปว่ามันติดอยู่ในใจเรานานแล้ว ดังนั้นพวกฉากหรือคำบรรยายมันจึงค่อนข้างลื่นไหลกว่า
ปล.ขอพูดนิดนุงว่าที่แต่งเยอะๆ นี่ไม่ได้ว่างนะคะ แค่อยากลองชาเลนจ์ตัวเองดู มันก็สนุกดีแล้วก็คิดว่าคนอ่านคงสนุกไปกับเราด้วย ถึงเวลานอนจะลดลงก็ตาม555