บทที่ 13 คนที่ชื่อกอด
“อยากรู้อะไร”
“ทั้งหมด”
ด้วยความเหนื่อยล้าจากกิจกรรมโลดโผน (แนะ ผมหมายถึงแข่งรถ) ตอนนี้เลยนอนหมดแรงอยู่บนเตียง โดยมีคิงนั่งพิงหัวเตียงอยู่ข้างๆ
ถ้าจำไม่ผิด ย้อนไปตอนก่อนๆ เหมือนผมเพิ่งหนีมันไปอยู่หอไอ้กั้งนี่หว่า ไหงกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้วะ แถมยังนอนให้มันเล่นหัวด้วย สงสัยผมจะแข่งรถจนหมดแรง
เออ เพราะรถนั่นแหละน่า
“กูกับไอ้โอบเป็นพี่น้องกัน”
“เหยด เฮียโอบเจ้าของสนามไลท์อะนะ”
สนามไลท์ คือชื่อที่ใช้เรียกควบทั้งเกรย์และดาร์ก
“อือ ส่วนใหญ่มันคุมดาร์ก เกรย์ให้เพื่อนคุม”
ผมตาลุกวาวอย่างอดไม่ได้ ถึงจะไม่ใช่คนแข่งรถเป็นประจำแต่ลึกๆ ก็รักความเร็วอยู่เป็นทุน แล้วคำว่า ดาร์ก แค่ฟังก็เท่แล้ว นี่พี่ชายของคิงเป็นถึงเจ้าของโลกแห่งความมืด ทำเอาผมตื่นเต้นสนใจจะฟังเรื่องคิงต่อจนลืมความง่วง
“แล้วที่เขาว่าสนามดาร์กเป็นแหล่งรวมความมืดไว้นี่จริงปะวะ”
ผมเผลอกลั้นหายใจ เหมือนความอยากรู้อยากเห็นมีอิทธิพลกว่าความกลัว จนเผลอถามคำถามที่ไม่สมควรไป คิงจะจับผมไปนั่งยางมั้ยนะ
“เอ่อ ไม่ต้องตอบก็ได้นะ กูแค่ถามไปงั้นๆ ฮะๆ”
“ตอบได้ แค่สงสัยว่ามึงทำหน้าแบบนั้นทำไม นี่คิดไปถึงไหนเนี่ย” คิงขมวดคิ้ว
“เปล๊า ไม่ได้คิดอะไรเลย อย่าอุ้มกูไปฆ่าเลยนะ ยังไม่รู้ความลับอะไรเลยสักนิด”
ป๊อก!
“เชี่ย! เจ็บนะเว้ย!” ผมลูบหน้าผากป้อยๆ เพราะถูกคิงดีดนิ้วใส่
“แค่ผิดกติกาแข่งรถสากล” คิงส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะอธิบาย “คือกติกาหรือเดิมพันขึ้นอยู่กับลูกค้าจะตั้ง เราแค่ให้บริการสถานที่กับเล่นกลโกงนิดๆ หน่อยๆ ในขอบเขตที่รับได้”
ทะ...ทำรถคว่ำนี่คือนิดหน่อยเหรอวะ
“แต่สนามเกรย์นี่ไม่มีอะไรแบบนี้ใช่ปะวะ”
“มีแต่น้อย เพื่อนพี่กูมันหัวธุรกิจ เลยทำให้สนามนั้นเป็นที่จัดงานแข่งรถมากกว่าแข่งเพื่อความสะใจแบบดาร์ก”
ผมพยักหน้ารับ เพราะเคยได้ยินมาว่างานแข่งรถส่วนใหญ่มักจัดที่สนามเกรย์
“ธุรกิจอย่างใหญ่ ทำไมกล้าปล่อยให้เพื่อนคุมวะ”
เขาว่ากันว่าเพื่อนกันไม่ควรทำธุรกิจร่วมกัน เท่าที่ผมได้ยินมาจบไม่ค่อยสวยสักราย
“หรือเรียนจบแล้วมึงจะกลับไปทำ”
“ไม่ กูไม่ชอบ”
ผมสัมผัสได้ว่าเสียงคิงแข็งขึ้น เลยเปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า
“แล้วมึงชอบอะไร”
“ต้นไม้ ดอกไม้ จริงๆ แล้วอยากทำสวนกล้วยไม้” คิงตอบ ประโยคหลังๆ มาเริ่มออกเสียงแผ่ว คล้ายกับว่าเจ้าตัวกำลังเขิน...
“เขินเหรอ ฮ่าๆ”
“อย่าหัวเราะดิวะ อย่าบอกใครด้วย”
ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ผมหัวเราะกว้างเมื่อเห็นคิงหูแดง เหมือนเด็กโดนจับได้ ใครจะไปคิดว่าดูโหดๆ เถื่อนๆ อย่างมันจะชอบกล้วยไม้วะ
“ชอบเหมือนแม่กูเลย ฮ่าๆ อย่างนี้น่าจะคุยกันถูกคอ”
“จะพากูไปหาแม่เหรอ หื้ม”
ไอ้คำว่า หื้ม ทำไมต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ด้วย กลายเป็นว่าจากที่ผมได้แต้มนำ กลับถูกคิงตีตื้นขึ้นมาซะอย่างนั้น
“เอ่อ ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ก็...ก็แค่เปรียบเทียบเฉยๆ”
“ไม่รู้ล่ะ มึงพูดแล้ว”
คิงพลิกตัวโน้มหน้ามาใกล้ แล้วขังผมไว้ด้วยอ้อมแขน ท่าทางที่เหมือนจะขึ้นคร่อมนี่มัน...
“ยะ..อย่าเพิ่งหื่นดิวะ! ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย” ผมตะโกนโวยวายแล้วผลักอกมันออกเบาๆ ไม่กล้าทำแรงครับ กลัวมันจับหักคอ นี่ผมกำลังคุยกับน้องมาเฟียอยู่รึเปล่าเนี่ย ดีที่คิงยอมง่ายๆ ในแววตาฉายแววขบขันไม่น้อย นี่มันแกล้งผมเหรอ!
“อยากรู้อะไรก็ถามมา” น้ำเสียงสบายๆ นั่นทำให้รู้ว่าเจ้าตัวจงใจแกล้งผมให้ตื่นกลัว
“ไม่อยากรู้แล้วเว้ย!” ผมพลิกตัวหันหลังให้คิงเพื่อจบบทสนทนาที่ผมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่กลับกลายเป็นว่ามีมือดีมาลูบคลำแถวสะโพกผมแทน
“คิง!” ผมปัดมือมันออก ง่วงจะตายอยู่แล้ว
“ดุจังครับ”
“ไม่ใช่ตอนนี้ ง่วง”
เหมือนอยู่ๆ ก็แพ้คำว่าครับ เสียงผมอ่อนลงจนตัวเองยังขนลุก เอ๊ะ ตกลงนี่ผมปฏิเสธจริงรึเปล่า
“โอเคๆ งั้นฝันดี”
สิ้นคำว่าฝันดี ผมก็หลับตา ปล่อยให้ความมืดเข้าครอบงำ สัมผัสอุ่นจากวงแขนของคนข้างๆ พาดมาบริเวณเอว ด้วยความที่ไม่เคยโดนใครกอดแบบนี้ทำให้ผมสะดุ้ง คิงลูบเอวผมเบาๆ ให้รู้สึกผ่อนคลาย ต่างจากเวลาที่เราเล้าโลมกัน
สุดท้ายคืนนี้ผมก็หลับไปในอ้อมกอดของคิงจนเช้า
.
.
.
“เออตกลงเมื่อวานเป็นไงวะ”
“...”
ผมกับคิงแลกเบอร์กันแล้ว
God : หนาว
N’ : ว่า?
“กูเห็นตอนเขาหิ้วไอ้กายออกจากสนามด้วยนะมึง นอนหน้าแหย โคตรตลกอะ ฮ่าๆ”
“มึงก็ไปขำมัน ไอ้เพียง น่าสงสารออก”
“มึงใจดีไปละไอ้กั้ง มันเป็นคนมาหาเรื่องเพื่อนเราก่อนนะเว้ย! เนาะไอ้ป๋า”
“...”
God : ลืมบูทไว้ที่ห้องมึง”
N’ : เดี๋ยวค่อยมาเอาตอนค่ำสิ
God : อาจารย์จะเก็บคะแนนที่แปลงเย็นนี้
N’ : อ้าว กูมีเรียนถึง 5 โมงเย็นว่ะ ทันมั้ยล่ะ
God : ไม่เป็นไร
N’ : มึงขอกุญแจสำรองห้องกู เข้าไปเอาก็ได้นะ
“ป๋า ไอ้ป๋า!!!”
“เฮ้ย! จะตะโกนทำไมวะ”
ผมผลักหน้าเพียงดินที่ยื่นมาจนแทบจะสิงอยู่รอมร่อ ไอ้คนโดนผลักทำหน้ามุ่ยก่อนจะกอดอกมองผมด้วยสายตาจับผิด
“กูเรียกตั้งนานสองนานแล้ว มึงมัวแต่คุยกับใครอยู่” ไอ้เพียงหรี่ตาด้วยความสงสัย ก่อนจะชะโงกหน้ามาดูหน้าจอโทรศัพท์ แต่ผมเอาหลบทัน
“ไม่เสือกดิ”
“ก็คุยกับเพื่อนเด้ ถ้าไม่อยากให้เสือกอะ”
เป็นครั้งแรกเลยที่ผมภาวนาให้อาจารย์รีบกลับเข้ามาในห้องเรียน
“จะถามไรก็ถามมา”
“เล่าเรื่องเมื่อวานมาให้หมด ทำไมเฮียถึงช่วยมึง”
คำถามนี้ทำให้ไอ้กั้งหันมาสนใจ และถ้าพวกมันทั้งสองคนต้องการคำตอบ ผมก็เลี่ยงไม่ได้ เพราะไม่มีไอ้กั้งช่วยเบี่ยงประเด็นหนีอย่างทุกที
“ก็...เฮียคุ้นเคยกับเรามากกว่าไอ้กายไง แกก็เลยช่วยเราแค่นั้น”
“แค่เนี่ย ?”
“เออก็เฮียเขาบอกมาแค่นี้ อยากรู้ มึงก็ไปถามเขาเองดิ”
พอผมโบ้ยให้เฮีย พวกมันเลยเลิกถามแต่หน้าตาก็ยังไม่คลายความสงสัย โชคดีที่อาจารย์เข้ามาพอดี กั้งกับเพียงดินจึงต้องหยุดคำถามไว้เท่านี้
“หัวหน้าชั้นอย่าลืมประสานงานกับรุ่นพี่นะ แล้วก็อย่าลืมทบทวนเนื้อหาด้วย”
“คร้าบ / ค่า”
“เลิกคลาสได้ครับ”
“ขอบคุณคร้าบ / ขอบคุณค่า”
เมื่อคาบเรียนจบลง เหล่านักศึกษาต่างก็เฮโลออกจากห้องเรียน ราวกับว่าถ้าอยู่ต่อนานกว่านี้อีกนิดจะขาดใจตาย
“หิวน้ำว่ะ แวะเซเว่นแป๊บ”
ไอ้เพียงลากพวกเราเข้าเซเว่น ผมเลยถือโอกาสหาซื้อของไปติดห้องด้วย ของที่คิงซื้อมาให้น่ะผมซัดเรียบไปหมดแล้ว
“หนาว”
“อ้าว แพร”
แพร ดาวบัญชีปีเดียวกับผม เราเคยคุยกันอยู่พักนึง ก่อนจะห่างหายกันไปเพราะต่างคนต่างมีกิจกรรมเยอะ
“ดีใจจังได้เจอหนาวด้วย เราไม่เจอกันนานเลยเนาะ”
“นั่นสิ งั้นเราไปหาที่เย็นๆ คุยกันดีมั้ยครับ”
“อื้อ ไปสิ”
ผมยื่นมือไปรับกระเป๋าเธอมาถือ ก่อนจะหันไปโบกมือลาเพื่อน อันมีความหมายเชิงนัยยะว่า กูไปก่อนนะ ถ้าหายไป ไม่ต้องตามหา
“เชี่ยป๋า ได้สาวอีกแล้วแม่ง”
LingLom : เสือยังไม่สิ้นลายนะจ๊ะ