** **
บทที่ 15 ง้อพ่อ
เป็นเวลาเกือบอาทิตย์แล้วที่ไร้เงาของคิงกอด มันไม่แม้แต่จะสนใจรองเท้าบูตที่ลืมทิ้งไว้ห้องผม แต่ก็อย่างว่า คนรวยขนาดนั้นจะมาแคร์อะไรกับรองเท้าคู่เดียว
สิ้นเปลืองจริงๆ!
อันที่จริง ผมตัดสินมันฝ่ายเดียว
จะว่าไม่เห็นเงาก็ไม่ถูกซะทีเดียว หน้าห้องตรงข้ามยังมีรอยดินบางเวลา แปลว่าคิงไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ไม่มาหาผมเหมือนอย่างที่เคย
โหวงฉิบหาย
ห้องแชท
กั้ง : แดกข้าวไหน
เรามีเรียนบ่ายครับวันนี้ ตามปกติก็จะนัดกันไปกินข้าวเที่ยงที่ไหนสักแห่งก่อนเข้าเรียน แต่ก่อนชอบอดข้าวจนเป็นโรคกระเพาะ ทีนี้ล่ะรู้ซึ้งเลย ปวดทรมานเหี้ยๆ
ผม : เกษตร
เพียง : อีกละ
ผม : เออน่า มึงก็รู้ว่าถ้าช่วงไหนกูชอบกินอะไร กูก็จะกินจนกว่าจะเบื่อ
กั้ง : เหรอ
เพียง : หมายถึงคนแหละ ดูออก
ผม : ยุ่งน่า จะไปมะ ไม่งั้นกูจะไปคนเดียว
เพียง : เออๆ ไปๆ แซวนิดเดียวเอง เดี๋ยวนี้หัวร้อนง่ายจริงหนุ่มน้อย~
ผมกลอกตาขึ้นอีกตลบ ไหนบอกนิดเดียวไงวะ
กั้ง : เขาบอกคนใจน้อย หรรมเล็กนะ
หรรมพ่องง!
สุดท้ายพวกแม่งก็ต้องตามผมมากินข้าวที่โรงอาหารคณะเกษตรอยู่ดี ไอ้กั้งมองหน้าเหมือนรู้จุดประสงค์ ในขณะที่ไอ้เพียงคิดว่าผมติดสาวแถวนี้
เพื่อนโง่ก็มีข้อดีนะครับ อย่างน้อยก็ไม่ต้องปวดประสาทหาข้อแก้ตัว
“มาเนี่ยจะ 5 วันละ กูยังไม่เห็นคนที่มึงเล็งสักที เมื่อไหร่จะเปิดตัววะ” (ไอ้เพียง)
“เออ รอก่อนน่า”
ให้มันเข้าใจแบบนั้นล่ะดีแล้ว จริงๆ ก็ถูกกึ่งนึง เพียงแต่คนที่ว่าไม่ใช่สาวน้อยอย่างที่มันคิด
“บ๊ะ! ลีลาจังวะ นี่ถ้าไม่ติดว่ากูขี้เสือก กูหนีไปกับน้องบอมเบแล้ว” (ไอ้เพียง)
“นั่นชื่อคนหรือหมา” (ไอ้กั้ง)
“หมา เออว่ะ แล้วเจ้าของมันชื่ออะไรวะ จำได้แต่ชื่อหมา” ไอ้เพียงทำท่าคิด
นี่มึงจำชื่อคนไม่ได้จริงๆ เหรอเนี่ย ผมส่ายหน้ากับความเจ้าชู้ประตูดินของมัน แนะๆ อย่ามองผมอย่างนั้น อย่างน้อยผมก็มีสกอร์น้อยกว่าไอ้เพียงละกัน
ผมลุกไปเดินรอบๆ โรงอาหาร ทำเป็นหาอะไรกิน ทั้งที่แม่งก็มีแค่ 5 ร้าน สอดส่ายสายตามองหาใครบางคน ถ้าเจอจริงๆ ผมจะทักมันยังไงดีนะ
‘เฮ้ย! เป็นไง วันนี้อากาศดีปะ’
ร้อนโคตรแม่
‘ผักที่มึงปลูกเป็นไงบ้าง ออกดอกดีปะ’
ผักมีดอกมั้ยวะ
‘รองเท้าที่ลืมไว้ห้องกูอะ จะมาเอาเมื่อไหร่’
ป่านนี้ซื้อใหม่ไปร้อยคู่ละมั้ง
“เฮ้อ” ผมอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
ใครคนนึงมีอิทธิพลต่อเราได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ
“อ้าว ควีนน~ ลมอะไรหอบมาถึงนี่ได้”
“ควีนพ่อง”
ผมหันไปด่าทันทีเพราะรู้ว่าเป็นใคร เสียงกวนตีนและกล้าเรียกผมว่าควีนโต้งๆ แบบนี้มีอยู่คนเดียว ไอ้พากษ์! มันหัวเราะคิกคักอย่างน่าหมั่นไส้ พอด่าเสร็จก็มองหาหัวหน้าแก๊งมันที่ควรจะอยู่ด้วย
“มองหาใครเหรอ” (ไอ้พากษ์)
“เปล๊า”
“เสียงสูงเชียะ” (ไอ้แก้ว)
“ก็เห็นปกติอยู่กัน 3 คน” ผมพยายามนิ่ง ไม่แสดงพิรุธ เก๊กหน้าจนเมื่อยเลยแม่ง
“เห็นมะ กูว่าละมองหาไอ้กอด มึงจ่ายมาเลยไอ้แก้ว” (ไอ้พากษ์)
“กูก็ฟันข้างเดียวกับมึงมั้ยล่ะไอ้สัด” (ไอ้แก้ว)
“รำคาญพวกมึงละ” ผมหาเรื่องหนีออกมาก่อนที่จะโดนพวกมันแซวยับไปมากกว่านี้
“เฮ้ยย! เดี๋ยวดี๊ ใจร้อนจังเลยอ๊ะ” (ไอ้พากษ์)
อ๊ะพ่อง ผมชักจะหงุดหงิด เลยตวัดเผลอตวัดสายตาใส่ไอ้พากษ์ มันผงะไปนิดนึงก่อนจะเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ดังเดิม
“กอดมันอยู่บนห้องเรียนแล้ว” (ไอ้แก้ว)
“แล้วทำไมพวกมึงมาอยู่นี่”
“ก็มากินข้าวดิ ถ้ามึงไม่ใช่ว่าที่ควีน กูจะด่าว่าโง่แล้ว” (ไอ้แก้ว)
มึงด่าแล้วไอ้สัด ผมเลยยกนิ้วกลางให้พวกมันตอบ
“กูชวนมันแล้ว มันไม่ยอมลงมา” (ไอ้แก้ว)
“ไม่รู้ตรอมใจอะไร เห้อมม สงสารเพื่อนอ๊ะ” (ไอ้พากษ์)
กูซื้อ “อ๊ะ” มึงไปทิ้งได้มั้ย
“มึงนั่งโต๊ะไหน”
“ตรงนั้น” (ไอ้แก้ว)
“ไปนั่งรอ อย่าเพิ่งไปไหน เดี๋ยวมา”
ผมเหลือบดูเวลาแล้วเดินตรงปรี่ไปทีร้านสะดวกซื้อ หยิบขนมปังทั้งรสคาวและหวาน เพราะไม่รู้ว่าคนรับชอบอะไรมา 2 – 3 ถุง เลือกเอาอันที่กลิ่นไม่แรง เพราะกะให้อีกฝ่ายแอบกินในห้องเรียน หยิบน้ำเปล่าขวดนึง น้ำหวานอีกขวดนึงแล้วไปจ่ายตังค์ ก่อนจะเดินไปหาไอ้พากษ์กับไอ้แก้วที่นั่งกินข้าวอยู่
“หอบไรมาพะรุงพะรัง เปย์พวกกูอ่อ ควีนใจดีจัง” (ไอ้พากษ์)
“เอาไปให้ลูกพี่มึง” ผมเหนื่อยที่จะด่าพวกมันแล้ว อยากเรียกอะไรก็เรียกไป
“เออ เดี๋ยวเอาไปให้ มีไรจะฝากบอกมันมะ” (ไอ้แก้ว)
“...”
ผมเม้มปากระหว่างใช้ความคิด ในสถานการณ์แบบนี้เราควรพูดอะไร
“เก็บฝาโออิชิไว้ให้กูด้วย จะเอาไปส่งชิงโชค”
ไอ้พากษ์ถึงกับทิ้งหัวลงฟุบโต๊ะ ส่วนไอ้แก้วหัวเราะจนไหล่สั่น
“เออก็กินด้วยละกัน เดี๋ยวปวดท้อง”
.
.
พากษ์เพียร รักเรียนครับ
เพิ่งรู้ว่าเพื่อนชอบกินขนมปังมากขนาดนี้ (แนบรูปคิงกินขนมปัง กับถุงขนมที่ถูกฉีกแล้ว 3 ถุง)
แก้วแคล้วเอฟ : เขาชอบคนให้อะป่าววว
ปั๊ว ปั๊ว ปั๊ว : กรี๊ด ขนาดแอบถ่ายยังหล่อ
เรนเรนคนเดิม เพิ่มเติมคือหน้าบาน : จะซื้อหุ้นฟาร์มเฮ้าส์เดี๋ยวนี้เลย
พากษ์เพียร รักเรียนครับ : คิงฝากบอกเอฟซีว่า ไม่ต้องซื้อขนมมาให้นะค้าบ ไม่อยากรบกวน แต่หน่องพ้ากอยากกินค้าบ
มุมปากผมกระตุกเพราะพยายามกลั้นยิ้ม ไม่รู้ว่าคิงโกรธหรือเคืองเรื่องอะไร แต่พอเห็นว่ามันยอมกินของที่ซื้อให้ ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี
ติ๊ง
ไม่ทันขาดคำ เจ้าของเฟซบุ๊กพากษ์เพียร รักเรียนครับ (ไอ้พากษ์นั่นแหละ) ก็เด้งแมสเซนเจอร์ขึ้นมา มันส่งรูปแอบถ่ายคิงในจังหวะที่ขนมปังก้อนใหญ่คาปาก หน้าตาดูกระอักกระอ่วนเพราะน่าจะอิ่ม ก็ดูจากถุงขนมในโพสต์ที่มันกินไปสิ ใครใช้ให้กินคราวเดียวกันเล่า
พากษ์ : เอกคูลซีฟสุดๆ เพื่อควีนเลยน้า ><
ผม : สัด เกลียดอิโมมึงว่ะ
พากษ์ : ลืมไปว่าชอบเข้มๆ หุหุ
ผม : (อิโมติคอนนิ้วกลาง)
.
.
พากษ์เพียร รักเรียนครับ
อีกไม่นานข้าวโพดก็จะออกฝักแล้ว เพิ่นๆ พี่ๆ อดใจรอข้าวโพดต้มจากพวกเราเด็กเกษตรด้วยนะค้าบ บอกว่างานนี้ทุ่มเทสุดๆ
ปล. ดูจากตีนคิงดิค้าบ (แนบรูปรองเท้าผ้าใบที่มีขาดจนนิ้วก้อยที่ถูกพันด้วยพลาสเตอร์โผล่ออกมา)
แก้วแคล้วเอฟ : โธ่ บี้ ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย
นิจนิรันดร์ : หยอดออมสินไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วเพื่อฝักของคิงเลยย
เรนเรนคนเดิม เพิ่มเติมคือหน้าบ้าน : ขายหุ้นรอซื้อข้าวโพดแป๊บ
รองเท้าผ้าใบถูกแปรสภาพเหมือนเอาขยะเปียกมาหุ้มตีน เพราะเป็นเนื้อผ้าถึงล้างทำความสะอาดได้ไม่ง่ายเหมือนรองเท้าบูต เพิ่งรู้ว่าเกษตรลงแปลงหนักขนาดนี้
แล้วก็เพิ่งรู้ด้วยว่าคิงไม่ได้ไปหารองเท้าบูตคู่ใหม่...
หรือผมควรจะเอาไปรองเท้าไปคืน
ผมนั่งครุ่นคิดจนหมดคาบ สิ่งที่อาจารย์สอนเข้าหัวบ้างไม่เข้าบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะชนสมองแล้วกระดอนออกไป
ผมปฏิเสธที่จะไปเล่นบาสกับไอ้กั้ง ไอ้เพียง เพราะตั้งใจจะเอารองเท้าไปคืนให้คิงที่แปลง ทั้งที่จะรอมันกลับมาห้องก่อนก็ได้ ผมใจร้อนกว่าที่เคยเป็นพอรู้ว่าอีกคนไม่ได้หาคู่ใหม่มาใส่ลงแปลงจนเกิดแผล งานจำพวกทำกลางแจ้งอย่างพวกวิศวกร เกษตรกร เป็นงานที่เกิดอุบัติเหตุให้เลือดตกยางออกได้ง่าย ฉะนั้นจึงต้องแต่งกายให้มิดชิดและปลอดภัย
หมวกของวิศวกรสำคัญอย่างไร รองเท้าบูตของเกษตรกรก็สำคัญฉันนั้น
เอาวะ! ที่เอาไปให้ก็เพราะเห็นแก่มวลมนุษยชาติเฉยๆ หรอกนะ
.
.
แปลงเกษตร
“วู้ๆ คิง ดูซิ ใครมาหา”
“หุ้ยย ป๋าหนาววิดวะ น่ารักอ๊า”
“เดี๋ยวก็โดนคิงเขมือบหัวเอาหรอกยัยดาว”
แม่งเอ๊ย อายฉิบหาย...
ผมโดนพวกเด็กเกษตรแซวจนอยากเอาหน้ามุดดิน อยากปารองเท้าบูตใส่พวกแม่งแล้ววิ่งหนี เหมือนไอ้พากษ์ที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ของแปลงล่วงรู้ความคิด มันวิ่งมาจับมือผมแล้วลากไปหาลูกพี่มันที่ยืนทำเอ็มวีอยู่กลางแปลงข้าวโพดโดยไม่หันมามองผมสักนิด
“ไอ้กอด ดูดิว่าใครมา คิคิ” (ไอ้พากษ์)
กูจะนับ คิคิ มึงไว้ในใจก่อน คิงหายงอนเมื่อไหร่จะกลับมาด่า
“เชี่ยพากษ์มากับกู ให้มันคุยกันเอง” (ไอ้แก้ว)
ผมนึกขอบใจไอ้แก้วที่หนีบเอาเพื่อนตัวเองออก เมื่อเห็นว่าทั้งผมและคิงไม่มีใครเริ่มปริปากพูดก่อน
“เฮ้ยยย! พวกมึงอะ อย่ามาในรัศมีนี้นะเว้ยย คิงกับควีนเขาจะคุยกัน” (ไอ้แก้ว)
สัด! เอาความซึ้งน้ำใจกูกลับคืนมา
แก้ว ขึ้นแบล็กลิสคนที่สองที่ต้องจัดการ
พอไม่มีใครช่วยบิ๊ว ความเงียบก็เข้าครอบครองเต็มๆ ดูยังไงคิงก็ไม่น่าจะเปิดปากพูดก่อน มันยังคงรดน้ำต่อจนหมดแล้วหันตัวจะเดินไปจากตรงนี้ จนผมต้องรีบคว้ามือไว้เพราะกลัวมันจะไม่กลับมา
“เดี๋ยว”
“...”
“อะ...เอารองเท้ามาคืน”
จู่ๆ ก็เกิดอาการประหม่า คิงหันมามองมือที่ถูกกอบกุม ผมรีบชักมือออกอย่างประดักประเดิก
“ขอบใจ”
“เอามาคืนแล้วก็ใส่เลยดิ ผ้าใบมึงขาดแล้วอะ”
“เดี๋ยวค่อยใส่ ขี้เกียจก้ม”
“...”
ผมเม้มปากก่อนจะตัดสินใจย่อเข่าลง ยื่นมือไปจับข้อเท้าของคิงให้ยกขึ้น
“ไอ้หนาว! จะทำอะไร!” คิงชักเท้ากลับทันที ก่อนจะตะคอกถามด้วยความตกใจ
“...ก็จะเปลี่ยนรองเท้าให้ไง”
ผมเม้มปากพลางเงยหน้ามอง ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองทำหน้าแบบไหน คิงถึงได้ถอนหายใจแล้วดึงให้ยืนขึ้น แววตาที่ว่างเปล่าแปรเปลี่ยนมาสะท้อนตัวผมดังเดิม
“อย่าทำแบบนี้”
“ก็มึงงอนกู”
“กูไม่ได้งอน”
“มึงงอน มึงหายไปตั้งหลายวัน”
คิงยื่นมือมาขยี้หัวจนผมอย่างแรงด้วยความมันเขี้ยว สายตาที่กลับมาอบอุ่นเหมือนเดิมทำให้ผมยอมยืนนิ่งๆ ให้คิงทำอย่างนั้น
“ดื้อเอ๊ย!”
“...”
“กลับห้องค่อยคุยกัน”
LingLom : คนเม้นมากขึ้นอ๊ะะะ ขอบคุณนะคะ