เช้าตรู่ของอีกวัน ร่างอันใกล้แหลกสลายของผมก็รวดร้าวจนนอนต่อไม่ไหว มันร้าวรานตั้งแต่ปลายเท้าไปยันรากผม “เมื่อคืนกูโดนยานอวกาศพุ่งชนหรือไงวะเนี่ย” บ่นไปพลางขยับตัวอย่างยากลำบาก “พี่บั๊ค พี่บั๊ค” ลืมตาแทบจะไม่ขึ้นแต่ก็พยายามปรือตามองและเรียกคนที่นอนอยู่ใกล้ๆ แขนของมันก่ายเอวผมไว้หลวมๆ
ผมค่อยๆ หรี่ตามองให้ชัดขึ้นเมื่อไม่เห็นมีปฏิกิริยาจากร่างนั้น “หลับหรือตายวะมึง” บ่นแล้วยกแขนมันออกจากตัว
“แดกไวน์แพง มันมีไซด์เอฟเฟ็กต์ขนาดนี้เลยเหรอวะ..โอ๊ยย” ผมร้องลั่นเมื่อลุกขึ้นนั่งแล้วสะท้านตั้งแต่รูตูดยันท้ายทอย
เกิดอะไรขึ้นกับช่วงล่างอันแข็งแกร่งของกู ทำไมรู้สึกเหมือนตอนโดนเอาครั้งแรกเลยวะ!
ไม่นะ!! หรือว่า!!??
ผมเปิดเสื้อขึ้นและก้มมองสารรูปตัวเอง “ไอ้เหี้ยพี่บั๊ค!” หันไปด่าผู้ชายที่นอนหล่ออยู่ใกล้ๆ แต่มันก็ไม่หือไม่อือ
“เอากูซะจนหมดแรงเลยไอ้เหี้ย ไอ้เหี้ย ไอ้เหี้ย” ไม่รู้จะด่าคำไหน มันอัดอั้นจนอยากลุกถีบซะมากกว่า แต่สังขารแบบนี้แค่นั่งยังน้ำตาเล็ด
ผมพยายามลุกจากเตียงและคลานเข้าห้องน้ำด้วยความเร็วที่น้อยกว่าเต่าเป็นอัมพาต แก้ผ้าแล้วส่องกระจกดูสารรูปตัวเองอีกครั้งก็ถึงกับผงะ
“อย่างกะโดนลงแขกทั้งหมู่บ้านเลยไอ้เหี้ยเอ้ย” น้ำตาไหลออกมาด้วยความเจ็บใจแต่แล้วก็พยายามปลงกับสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งก็ใช้เวลาอยู่นานพอสมควร ที่ใช้เวลานานก็เพราะข้อความบนแขนซึ่งเป็นลายมือตัวกูเองเนี่ยแหละ
“กูคงเมาแล้วไปอ่อยมันเหมือนที่ไอ้เดย์เคยเล่าบ่อยๆ เฮ้อ ถ้าเป็นกูก็คงทำเหมือนมันนั่นแหละ” นี่คงเป็นเวรเป็นกรรมที่กูไปฟันหญิงโดยที่ไม่ได้รัก คิดไปก็ยิ่งช้ำ ได้แต่พยายามข่มอกข่มใจอย่างหนักหน่วงพลางจัดการขัดข้อความอับปรีย์ออกจากแขนซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นเกินไปนัก
หึ.. ลบที่แขนน่ะมันลบไม่ยากหรอก แต่ที่มันทิ่มแทงเหมือนถูกสักเข้าไปในใจเนี่ยสิ จะลบยังไงให้หายได้ง่ายๆ
“เป็นชู้กับผัวคนอื่น เจริญล่ะไอ้จ้าว” แค่นน้ำคำส่อเสียดใส่ตัวเองแล้วแต่งตัวด้วยความยากลำบาก หยิบข้าวของใส่กระเป๋าแล้วโซซัดโซเซมาหยุดที่หน้าประตู
จะดีจะชั่วยังไงก็ไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นชู้หรอกนะ มันเหมือนลดค่าของตัวเองด้วยตัวของตัวเอง
“แต่กูไม่โทษมึงหรอกพี่บั๊ค กูคงต้องโทษตัวเองที่เมาแล้วเอาตัวไม่รอด ครั้งแรกก็ยังพอทำใจ ครั้งที่สองนี่แก้ตัวยังไงก็ฟังไม่ขึ้น ที่สำคัญ เสือกจำเหี้ยห่าอะไรไม่ได้เลยซักอย่าง” ยืนทอดสายตามองร่างสูงใหญ่ที่นอนแผ่หมดสภาพอยู่บนเตียง “งานที่มึงจ้างกูจะทำให้สำเร็จ แต่ตอนนี้ขอไปปรับทัศนคติตัวเองก่อนก็แล้วกัน” พูดจบก็ปิดประตูเดินลากขาถ่างๆ ออกมาจากห้องนอนใหญ่
ใช้เวลาชาติกว่าๆ ในการเดินลงบันได โอ๊ยยย อีบันไดไฮโซ อีโก้หรูดูดี มึงจะวนหาพ่อมึงทำไมนักหนา ถ้ามึงทิ่มตรงๆ ลงข้างล่างมันจะทำให้เสียชาติเกิดบันไดหรือไง มึงไปเกิดใหม่เป็นเขาวงกตมั้ย จะได้วนให้สาแก่ใจมึงอีบันไดอ้อมโลก!!
“บ่นอะไรอุบอิบตลอดทาง” ผมสะดุ้งเมื่อถึงบันไดขั้นสุดท้ายแล้วมีเสียงทักดังขึ้นที่ด้านหลัง
หันกลับไปมองก็เจอร่างท้วมของแม่พี่บั๊คค่อยๆ เดินลงมาหยุดยืนประจันหน้ากับผม
“เปล่าครับ จ้าวแค่อยากทุบบันไดทิ้งแล้วทำใหม่ให้มันตรงๆ เวลาแม่จ๋าขึ้นลงจะได้ไม่ต้องเดินเยอะ” นี่ขนาดกูบอกว่าเปล่านะยังฮาขนาดนี้ ก้ากก ไอ้จ้าวนี่มันฮาไม่เลือกเวลาจริงๆ
แต่เรื่องอื่นช่างมันก่อน ที่กำลังสงสัยตอนนี้ก็คือ “แม่จ๋าพึ่งลงมาเหรอครับ” ผมจำได้ว่าไม่ได้ยินเสียงใครเดินตามหลังนะ หรือมัวแต่หัวเสียก็เลยไม่ทันสังเกต
“ฉันก็ตามลงมาตั้งแต่เธอลงมาได้สี่ห้าขั้นนั่นแหละ เห็นท่าทางไม่ค่อยดีก็เลยตามดูห่างๆ” หืมม อย่าบอกนะว่าเป็นห่วง “ไม่ได้อะไรหรอก ฉันแค่ไม่อยากให้มีคนมาตายในบ้านเท่านั้นแหละ” แน่ะ ร้อนตัว จ้าวยังไม่ได้พูดอะไรเลยเหอะ “แล้วเป็นอะไร ทำไมหน้าซีดๆ เดินก็ไม่ตรง แถมมีแผลที่คิ้วด้วยน่ะ” ผมสังเกตเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของเธอ แม่พี่บั๊คที่เคยมองเหยียดด้วยสายตาดูแคลนทว่าตอนนี้กลับดูเป็นห่วงเป็นใยแต่ก็ยังติดหน้านิ่งและไว้ตัวอยู่นิดหน่อย
“เมื่อคืนคงเมามาก น่าจะตกบันไดหรือไม่ก็หกล้มมั้งครับ” แผลที่คิ้วก็ไม่ได้ใหญ่อะไร มีพลาสเตอร์อันเล็กแปะไว้แค่อันเดียวแต่มันระบมและปูดขึ้นมาเยอะเหมือนกัน
“แล้วจะไปไหน ทำไมไม่ให้ตาบั๊คพาไปหาหมอ” นางทำหน้าไม่ค่อยพอใจนัก
“เอ่อ คือ.. พี่บั๊คยังไม่ตื่น จ้าวจะกลับบ้านครับ เดี๋ยวไปเอง จะนั่งแท็กซี่ไป” แม่พี่บั๊คขมวดคิ้วไม่พอใจหนักขึ้น
“เป็นถึงขนาดเดินยังจะไม่ไหวแล้วจะไปเองได้ยังไง งั้นรออยู่ตรงนี้นะ จะไปจัดการไอ้ลูกชายตัวดี ดูแลน้องยังไงให้เป็นขนาดนี้ก็ไม่รู้!” หืมม รู้สึกแปลกๆ เหมือนที่ผมรู้สึกมั้ยครับ
“เอ่อ คุณแม่ครับ ผมไหวจริงๆ ให้พี่บั๊คพักผ่อนเถอะเขาคงเพลียมากน่ะครับ” ไม่เพลียทนไหวเหรอ สภาพผมขนาดนี้คิดดูว่าไอ้คนทำมันจะต้องใช้แรงมากแค่ไหน
ผมอ้อนวอนด้วยสายตาอย่างที่ไม่เคยทำกับแม่พี่บั๊คมาก่อน เธอหยุดชะงักแล้วเดินลงมาหา “งั้นก็ตามใจ แต่แม่จะไปส่ง”
อะไรซิ!!??
แม่!!??
แม่จะไปส่ง??
“คุณแม่อย่าลำบากเลยครับ” ผมทัดทานไปพร้มกับความไม่เข้าใจในอากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปของแม่พี่บั๊ค
“ทำไมอยู่ๆ ก็เรียกแบบนี้ล่ะ เคยเรียกยังไงทำไมไม่เรียกเหมือนเดิม” เธอทำเสียงเขียว
“ห..หา?” ผมได้แต่เอ๋ออ้าปากหวอมองแม่พี่บั๊คแบบงงสุดชีวิต
“ผู้ใหญ่พูดอะไรก็ทำตามเถอะน่า มัวแต่ยืนเอ๋ออยู่ได้”
“อ..เอ่อ ค..ครับ ครับแม่จ๋า” ตอบไปเพราะโดนดุ ไม่ใช่เพราะเข้าใจหรอกนะ
“งั้นไปขึ้นรถ เดี๋ยวแม่จะพาไปแวะคลินิกแล้วค่อยไปส่งที่บ้าน” ว่าแล้วเธอก็มาแตะที่แขน ตอนแรกก็เหมือนจะไม่ค่อยกล้าจับ แต่สักพักก็จับแบบประคองผมแบบเต็มไม้เต็มมือ
ไอ้เหี้ย นี่กูอยู่ในความฝันเหรอวะ “โอ๊ยย” ผมร้องลั่นเมื่อจิ้มที่แผลตัวเองแล้วเจ็บจนน้ำตาเล็ด
“อยู่ๆ ก็ไปจิ้มแผลตัวเอง ติงต๊องนักไอ้เด็กคนนี้” แม่พี่บั๊คเปิดประตูข้างคนขับให้แล้วดันผมเข้ามาในรถพร้อมกับเอ็ดเบาๆ เมื่อเห็นผมจิ้มแผลตัวเอง
“ผ..ผมนึกว่าฝันอยู่อะครับ” ทำหน้าแหยๆ เพราะยังเจ็บไม่หาย
“ตื่นมาแล้วก็อยู่ในโลกของความจริง แม่ก็พึ่งมองเห็นโลกของความจริงเหมือนกัน” พูดจบก็ปิดประตูแล้วขึ้นมาขับรถออกจากบ้านอย่างคล่องแคล่ว
“ทำไมแม่จ๋าขับรถเองล่ะครับ” อดไม่ได้ที่จะถามเพราะรวยระดับนี้ จะมีคนขับเป็นร้อยคนก็ยังได้
“เฮ้อ” นางถอนหายใจทำหน้ามุ่ย “ก็ตาแมวน่ะสิ ชอบคิดว่าตัวเองยังหนุ่มเหมือนแต่ก่อน พอฉันจ้างคนสวนคนขับรถมาใหม่ก็เที่ยวไปแย่งงานเขาทำ พอฉันเอ็ดให้ก็ทำหงอย ข้าวปลาไม่ยอมกินจนกว่าฉันจะใช้ให้แกทำงานนั่นแหละถึงจะดีขึ้น” นางหยุดเล่าครู่หนึ่งเมื่อถึงทางเลี้ยวออกสู่ถนนใหญ่ จากนั้นก็เล่าต่อ “ที่อยากให้กลับไปอยู่บ้านนอกเพราะอยากให้บั้นปลายชีวิตแกได้อยู่กับธรรมชาติ ได้อยู่กับลูกกับหลานและได้พักผ่อนซะที ที่ไม่อยากให้ตาบั๊คไปสนิทชิดเชื้อมากเพราะแกจะผูกพันอยู่อย่างนั้น ตัดใจกลับไปไม่ได้และต้องทำงานอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้พักได้ผ่อน ทั้งๆ ที่บอกแล้วว่าไม่ต้องทำอะไร ขนาดอ้างว่ากลัวข้าวของเสียหายแกก็ไม่ฟัง เผลอไม่ได้เป็นต้องหยิบจับทำนั่นทำนี่ไม่ได้หยุด ไม่รู้จะทำยังไงดีกับคนแก่หัวดื้อแบบนั้น” อันนี้คือความรู้ใหม่แฮะ ที่เขาบอกว่าทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง มันคงจะจริงสินะ “ทุกวันนี้ก็ได้แต่รอให้แกรู้ตัวซะทีว่าทำไม่ไหวแล้วค่อยจ้างคนมาใหม่ ไม่งั้นก็อดสงสารไม่ได้เวลาเห็นแกมองตาละห้อยที่เห็นคนอื่นขับรถให้แม่” ผมหันมองผู้หญิงจิตใจดีที่อยู่ข้างๆ คิดไว้อยู่แล้วว่าแม่จ๋าเป็นคนน่ารัก เพียงแต่ชอบปกปิดไว้ด้วยมาดคุณหญิงคุณนายเพื่อเป็นเกราะไว้ป้องกันตัวเองและลูกชายสุดที่รักของเธอ
“แม่จ๋าใจดีกว่าที่ใครๆ เข้าใจ” ผมบอก
เธอหันมาแล้วยิ้มบาง “แม่เคยคิดว่าจะหาคนที่คู่ควรให้ตาบั๊คเองกับมือเพราะเป็นสิ่งสุดท้ายที่แม่จะมอบเป็นของขวัญกับลูกได้ อยากให้เขามีคนที่ดีคอยอยู่เคียงข้างทั้งยามสุข ยามทุกข์ ยามขัดสน” รอยยิ้มสวยๆ เริ่มดูหม่นขึ้นเมื่อมีน้ำตารื้นขึ้นที่ดวงตา “แต่แม่ก็คิดผิด ผิดที่ดูถูกลูกตัวเอง ไม่คิดว่าจะหาคนที่ดีได้ถึงขนาดนี้” ผมยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก แต่เหมือนว่าจะถูกชม เอ๊ะ หรือว่าแม่พี่บั๊คจะรู้เรื่องแฟนตัวจริงของพี่มันแล้วชมตัวจริงซึ่งไม่ใช่ผม
“เขาคงดีจริงๆ พี่บั๊คถึงได้รักมากขนาดนี้” รักจนถึงขนาดลงทุนหลอกแม่ตัวเองว่ามีผมเป็นเมีย รักถึงขนาดไม่ยอมให้มาทนถูกแม่จ๋าเกลียดขี้หน้า รักถึงขนาดพูดถึงทุกทีก็อมยิ้มเขินจนน่าหมั่นไส้
“แต่แม่ว่าตาบั๊คน่ะรักแม่มากกว่า” เธอพูดแล้วเลี้ยวเข้าจอดในซองจอดรถหน้าคลินิกแห่งหนึ่ง “ตามันแหลมนะ เลือกลูกสะใภ้ที่รักแม่สามีได้ขนาดนี้น่ะ” พูดจบก็เปิดประตูลงจากรถแล้วมาประคองผมเข้าไปในคลินิก
ไม่รู้เป็นเพราะแผลอักเสบที่ตูดหรือที่หัวกันแน่ที่ทำให้ผมรู้สึกโง่แล้วโง่อีก ไม่ค่อยเข้าใจอะไรที่แม่จ๋าพูดสักนิด
“ฉีดยาดีกว่านะกลับถึงบ้านจะได้พักผ่อนเต็มที่ ช่วงนี้งดมีเพศสัมพันธ์เด็ดขาด ถ้าไม่อยากหูรูดเสื่อมไปตลอดชีวิต อ้อฝากไปบอกไอ้ผัวหื่นของน้องด้วยว่า ‘ดีนะที่กูไม่เอามึงมาทำผัวตอนที่คุณป้ามาทาบทามเมื่อคราวก่อน’” หมอสาวสวยระดับมิสเวิล์ดแต่ฝีปากอย่างกับมีดผ่าตัด สวยๆ แบบนี้ทำไมเถื่อนนักวะ ขนาดไม่เคยรู้จักกันยังพูดขนาดนี้แล้วถ้าคนสนิทกันจะขนาดไหน บรื๋ออ ผู้หญิงเป็นเพศที่ฮาร์ดคอร์สุดๆ
ระดับความฮาร์ดคอร์ของนางก็เริ่มตั้งแต่การตรวจร่างกายแม้กระทั่งส่องตูด ซอกขา มุมอับ มุมตรงมุมทแยง ทุกมุมทุกองศาแล้วพร่ำพูดบรรยายให้ฟังแบบละเอียดยิบจนต้องทำหน้ายี้ตลอดเวลา แล้วนี่ยังมาฝากข้อความแปลกๆ ถึงพี่บั๊คซะอีก ผมเดาเอาว่า ครอบครัวพี่บั๊คคงรู้จักกับหมอคนนี้แล้วแม่พี่บั๊คก็คงหวังให้หมอมาเป็นสะใภ้นั่นแหละแต่หมอฮาร์ดคอร์นี่คงปฏิเสธ
แต่อย่างอื่นช่างมันก่อนตอนนี้ขออายก่อนละกัน หน้านี่เจื่อนแล้วเจื่อนอีกไม่ไหวจะอายแล้วเนี่ย “ถ้าคุณป้าไม่บอกว่าเป็นแฟนพี่บั๊ค หมอจะแจ้งตำรวจเพราะคิดว่าน้องไปโดนลงแขกมานะเนี่ย” โอย พอเถอะหมอ ผมไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว
เมื่อฉีดยาเสร็จก็ออกมานั่งรอยากับแม่จ๋าที่ด้านนอก “หมอเกดว่าไงมั่ง” หมอเกดหรือหมอกามกันแน่ พูดแต่ละอย่างกูเห็นภาพเป็นฉากๆ เลย นี่มันเลยคำว่าบริการข้อมูลด้านการแพทย์แล้วนะ
“หะหะ” ผมหัวเราะเก้อๆ “ก็บอกว่าให้พักเยอะๆ น่ะครับ” จะบอกได้ยังไงว่าหมอเกดของแม่จ๋า พูดแม้กระทั่งว่า ‘จู๋ใหญ่ขนาดนี้ยังเป็นรับเหรอเนี่ย’ กูไม่รู้จะภูมิใจหรือเสียหน้าดีกับข้อความของนาง ฮือออ หมออะไรแบบนี้วะ!
สักพักพยาบาลประจำเคาน์เตอร์ก็เรียกให้ไปรับยาซึ่งหมอเกดเป็นคนออกมาจ่ายยาเอง “พี่บั๊คไม่ไหวเลยนะคุณป้า” เธอพูดกับแม่จ๋าที่พยุงผมไปรับยาด้วยกัน “จัดหนักขนาดนี้จะเป็นอันตรายนะคะ” เออนะ พอพูดกับผู้ใหญ่ก็เพราะดีนี่นา สงสัยเห็นว่าผมเป็นเด็กและเป็นแฟนของพี่บั๊คล่ะมั้งก็เลยพูดจาแบบนั้น “ดีนะที่เกดไม่หลวมตัวเชื่อคุณป้าตอนนั้น” เธอพูดพลางจัดยาใส่ซองด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
“ก็ป้าอยากหาคนดีให้ตาบั๊คนี่ลูก ตอนนั้นก็ไม่เห็นใครที่จะจริงใจเท่าหนูเกด คุณลุงก็พึ่งเสียไป ตาบั๊คมันก็ทั้งเศร้าทั้งเครียด” ผมมองสองคนคุยกันเรื่องพี่บั๊คด้วยความสนอกสนใจ ทำไมต้องอยากรู้เรื่องของมันขนาดนี้ด้วยนะ โดนเอาทั้งคืนจนกลายเป็นว่าคลั่งรักมันแล้วหรือไง
“แต่ตอนนี้ก็คงหายเครียดแล้วมั้งคะ มีคนมาคลายเครียดให้แบบนี้น่ะ” หมอเกดนี่สวยจริงจัง ตอนทำหน้ากรุ่มกริ่มแซวแม่จ๋ายิ่งมีเสน่ห์ ผมว่าแฟนเธอคงโชคดีสุดๆ เลยละ
หรือไม่ก็ดวงซวยสุดๆ ล่ะนะ
“แม่ก็พึ่งรู้เหมือนกันว่าไม่ใช่แค่คลายเครียด แต่มีดีทุกด้าน ทั้งพูดเก่ง ปากหวาน ขยันเอาใจแล้วยังจิตใจดีด้วยนะ” อื้อหืออ แม่จ๋าชมใคร ที่แน่ๆ ไม่ใช่ผมแน่นอน
“แหมๆๆๆ เห่อสะใภ้คนใหม่สุดๆ เลยนะคะ สงสัยจะมีข่าวดีเร็วๆ นี้แน่เลย” หมอเกดแซวไม่เลิก
“ถ้าตาบั๊คจะแต่ง แม่ก็ไม่ขัดแล้วล่ะ คนนี้ผ่าน” แม่จ๋ายิ้มแก้มจะปริ แต่ผมเนี่ยสิฟังแล้วหัวใจแทบแหก นี่แม่จ๋าจะจัดงานแต่งให้พี่บั๊คกับเมียมันงั้นเหรอ
ทำไมถึงได้เศร้าขนาดนี้วะ
หึ สมน้ำหน้า อยากไปพลาดท่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้เขา รู้ทั้งๆ รู้ว่าเขามีเมียแล้วก็ยังไม่รู้จักระวังตัว แบบนี้จะร้องหาให้ใครมารับผิดชอบก็คงไม่มีสินะ เสียไปฟรีๆ อีกแล้วล่ะเหงี่ยม จ้าวมันงี่เง่าที่สุดเลย
หลังจากอธิบายข้อมูลตามเอกสารกำกับยาแล้วก็ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกันอยู่ครู่หนึ่ง หมอเกดก็ขอตัวไปตรวจคนไข้ต่อ ซึ่งดูๆ ไป ไม่มีคนไข้ผู้ชายเลย มันผิดวิสัยปกติของคลินิกหมอสาวและสวยขนาดนี้ แต่ผมว่าผมรู้ซึ้งถึงก้นบึ้งเลยล่ะว่าเพราะอะไร
“มีหนังเอกซ์ให้ยืมฟรีนะ ทั้งชายหญิงทั้งหนังเกย์ก็เพียบ ถ้าอยากได้ก็มาเอาได้เลย HDทั้งนั้นแหละ” มีการมาแอบกระซิบตอนที่ผมนั่งรอแม่จ๋าจ่ายเงินที่แคชเชียร์ ผมทำหน้าแหยๆ แล้วพยักหน้ารับทราบแต่พอเดินไปสองก้าวก็เดินกลับมากระซิบอีกรอบ “อ้อ แล้วอีกอย่าง อย่าลืมหมั่นขมิบตูดด้วยจะได้ฟิตๆ ผัวรักผัวหลง” ทำหน้าไม่ถูกเลยกู ยัยปีศาจในคราบนางฟ้า!!!
“อะไรกัน นั่งเงียบตลอดทางเลย เจ็บแผลเหรอ” เมื่อใกล้ถึงบ้าน แม่จ๋าก็ถามขึ้น
“รู้สึกปวดหัวน่ะครับ นอนพักก็น่าจะหาย หมอฉีดยาให้แล้วเดี๋ยวก็คงดีขึ้นครับ” ไม่ได้โกหกนะเพราะมันก็มีส่วนแต่ที่ทำให้ผมอึ้งๆ หน่วงๆ เพราะวันนี้โดนสึนามิลูกใหญ่ตอนตื่นมาเจอตัวเองสภาพนี้ แถมยังมีอาฟเตอร์ช็อคจสใมาอีกหลายระรอก และที่ทำให้จมดิ่งสุดๆ ก็คงเป็นเรื่องที่พี่บั๊คจะแต่งงาน
“งั้นก็พักผ่อนเยอะๆ ก็แล้วกัน” แม่จ๋าขับรถเข้าซอยบ้านผม และจอดหน้าบ้าน
“เอ่อ.. แม่จ๋าจะเข้าบ้านเหรอครับ” ผมถามเพราะแม่บีบแตรรอให้คนมาเปิดประตู ไม่ได้จอดเทียบเพื่อส่งผม
“แม่มีเรื่องต้องคุยกับแม่จ้าวนิดหน่อย” ผมเลิกคิ้วสูงทันที “ไม่ได้มาหาเรื่องหรอกน่า เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่เกี่ยว” จำเป็นต้องพยักหน้ารับไปอย่างนั้นเพราะเดี๋ยวจะโดนดุ แต่ผมก็ยังมีอีกเรื่องที่อยากขอร้องเธอ
“แม่จ๋าช่วยบอกพี่บั๊คหน่อยนะครับว่ายังไม่ต้องมาหาจ้าว ขออยู่รักษาตัวให้หายก่อน แล้วจ้าวจะกลับไปเอง นะครับ” ส่งสายตาอ้อนวอนไปให้จนแม่จ๋าพยักหน้ารับปาก
“เอางั้นก็ได้ แต่เปิดโทรศัพท์ไว้นะ ห้ามปิดเด็ดขาดไม่งั้นแม่จะพามันมาเอง” ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้แม่จ๋าดูเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ แต่หัวผมก็ทนทานความปวดร้าวไม่ไหวอีกแล้วจึงต้องหยุดคิดและนั่งนิ่งรอให้แม่จ๋าขับรถเข้าบ้าน
“โหจ้าว เจ็บหนักขนาดนี้เลยเหรอ” พี่ข้าวสวยที่มาเปิดประตูรั้วและมาพยุงผมออกจากรถ
แม่จ๋ายิ้มล้อ “เห็นบอกว่าหกล้ม แต่แม่ว่าคงล้มใส่คนมากกว่า” โอ๊ยยย กูจะบ้า นี่แม่จ๋าเปลี่ยนไปขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่งงเป็นไก่ตาแตก อีพี่สวยก็ยืนงงทำหน้าเหมือนเห็นมนุษย์ต่างดาวไม่ต่างกัน แต่แล้วสักพักมันก็พยักหน้าเหมือนเข้าใจเรื่องราว
“งั้นเข้าบ้านก่อนเลยค่ะ แม่กับพ่ออยู่ในสวน เดี๋ยวสวยจะไปเรียกมาที่ห้องรับแขกนะคะ” พี่สวยบอก
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่ไปหาเอง” พี่สวยพยักหน้าแล้วบอกทางจากนั้นก็พยุงผมเข้าบ้าน
“คุณพี่เขยนี่ก็หนักมือเหลือเกิน สภาพแกเหมือนไปโดนรุมโทรมมาเลยว่ะจ้าว” เอ่อ เอาเข้าไป ทั้งข่มขืน ทั้งลงแขก ทั้งรุมโทรม สารพัดศัพท์แสงที่ทุกคนจะพ่นใส่หน้ากู
“เลิกพูดถึงคนๆ นั้นจนกว่าจ้าวจะดีขึ้นกว่านี้ได้มั้ยพี่ จ้าวขอร้อง” ว่าแล้วก็แกะมือพี่สาวออกแล้วค่อยๆ สาวราวบันไดขึ้นบ้าน “บอกพ่อกับแม่ด้วยว่าจ้าวขอพัก อย่าพึ่งรบกวน ถ้าหิวแล้วจะลงมากินเอง” พี่สวยดูจะแปลกใจกับท่าทีของผมแต่ก็พยายามไม่ถามอะไรกวนใจอีก
“อืมๆ สู้ๆ หายเร็วๆ” ผมยิ้มให้บางๆ แล้วสาวราวขึ้นบันไดด้วยสภาพร่างที่เริ่มไม่ไหวเต็มที พอปิดประตูได้ก็ทิ้งดิ่งและเข้าสู่ห้วงนิทราทันที
“เช็ดตัวเสร็จแล้วเหรอคะคุณพี่ ที่จริงให้น้องเช็ดเองก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็นไร เสร็จแล้วล่ะ ตัวร้อนจี๋เลยน่าสงสาร....อ้าว โทรศัพท์เข้า” เสียงแว่วๆ ดังอยู่ใกล้ๆ เสียงใครวะ “ว่าไงไอ้ตัวดี ตื่นได้แล้วเหรอ....จะหาเจอได้ยังไงก็น้องมันไม่สบาย แม่ก็เลยพาไปหาหมอแล้วพามาส่งที่บ้านแล้วเนี่ย....ไม่ต้องมา น้องนอนอยู่บ้านนี่แหละ ป่วยจนต้องฉีดยาเลยรู้มั้ย!....น่าตีนักนะตาบั๊ค แม่ก็พึ่งรู้จากหนูเกดว่าน้องไม่ได้แค่หกล้มอย่างที่น้องบอกกับแม่” น้องไหน ใครกัน ใครน้องใคร ที่ไหนยังไงวะเนี่ย โอ๊ย ลืมตาไม่ขึ้น
“อย่าไปดุลูกเขยเลยค่ะคุณพี่ ข้าวจ้าวมันคงดื้อจนต้องลงโทษล่ะมั้งคะ” เสียงเหมือนเหงี่ยม แล้วเหงี่ยมคุยกับใครล่ะเนี่ย
“ไม่ได้ๆ ถ้าไม่ดุซะบ้างก็จะทำบ่อยๆ ถ้าเป็นงั้นก็คงศึกหรอกันพอดี” ใครจะศึกกับใคร แล้วทำไมต้องมาศึกใกล้ๆ ด้วยเนี่ย โอย หนักหัวหนักตัว ร่างจะแหลกอยู่แล้ว “...เดี๋ยวถ้าแม่กลับไปเราจะต้องโดนตีซะบ้างนะตาบั๊ค....ไม่ต้องมาแก้ตัว แกเป็นแฟนก็ต้องดูแลไม่ใช่ปล่อยให้หัวร้างข้างแตกแบบนี้....ไม่ต้องมาอ้อน น้องขอไว้ด้วยว่ายังไม่อยากเห็นหน้า ห้ามมาหา ห้ามขัดคำสั่งแม่ ไม่งั้นจะส่งน้องไปให้ไกลจนหาไม่เจอเลย เข้าใจมั้ยตาบั๊ค แค่นี้นะ” จะสั่งกาแฟหรูก็ไปที่อื่นไม่ใช่แถวนี้ สตาร์บัคมันอยู่อีกตั้งไกลนะ
“น่าสงสารคุณลูกเขยนะคะคุณพี่ คงเป็นห่วงจ้าวแย่เลย” เสียงเหงี่ยมดังขึ้นแถวๆ หน้าประตู สงสัยจังว่ามาประชุมเพลิงอะไรในห้องนี้เนี่ย มันแคบแสนจะแคบแล้วจะมาแย่งอ็อกซิเจนกันทำไม
“ดีแล้วล่ะ ให้รู้ซะบ้างว่าทำไม่ถูก แล้วพี่ก็คิดว่าข้าวจ้าวต้องงอนแน่ๆ เพราะเมื่อกี้บอกว่ายังไม่อยากเจอตาบั๊คด้วย” เสียงคนนี้มันคุ้นๆ นะ แต่จำไม่ได้ว่ะ ไม่เหมือนเสียงเหงี่ยมที่จำได้ขึ้นใจแม้แต่เสียงถอนหายใจก็ยังแปลออกเลยว่าด่าพ่อที่ไม่ช่วยสั่งสอนผม
“ข้าวจ้าวมันโกรธใครไม่นานหรอกค่ะไม่ต้องห่วง ถึงจะบ้าๆ บอๆ แต่ก็ใจดีจนน่าทึ่งเลยล่ะ ไม่เคยเห็นมันโกรธเกลียดใครซะที” เหงี่ยมชมว่ะเฮ้ย แอร้ยยย อยากลุกไปเต้นผีฟ้ารอบห้อง “น้องดีใจนะคะที่คุณพี่มองเห็นเนื้อแท้ของจ้าวได้” เนื้อแท้โคขุนน่ะเหรอ ก้ากก พูดแล้วก็หิวเบาๆ
“กว่าจะรู้ก็ทำไม่ดีกับจ้าวและครอบครัวเธอไปเยอะเลยนะ ถ้าจะขอโทษตอนนี้คงจะไม่สายเกินไปนะ” ฮือ ทำไมซึ้ง อยากร้องไห้ว่ะ
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ คิดซะว่ามันเป็นบททดของพวกเราก็แล้วกัน” เหงี่ยมบอก
“เธอเลี้ยงลูกดีนะ เข้าอกเข้าใจลูก แถมยังมองโลกในแง่ดี เป็นตัวอย่างที่ดีกับลูกๆ ด้วย” น้ำเสียงแฝงความชื่นชมอย่างจริงใจทำให้ผมน้ำตาซึม แม่ผมดีอย่างที่ว่าจริงๆ นั่นแหละ ถ้าไม่นับเรื่องขี้บ่นคือนางเป็นยอดมนุษย์หญิงแห่งโลกหน้าเชียวล่ะ
“คุณพี่ก็เก่งค่ะ ไม่งั้นคงไม่ทำให้คุณลูกเขยแสนดีได้อย่างนี้หรอก” ชมกันไปชมกันมาพอรึยัง จ้าวจะนอนนนนน
“คนดีได้เจอกับคนดี เร็วๆ นี้ก็คงมีข่าวดีสินะ” เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้น “เอาไว้ข้าวจ้าวหายดีแล้วเราค่อยเรียกตาบั๊คกับจ้าวมาคุยเรื่องงานแต่งก็แล้วกัน”
“แล้วแต่คุณพี่เถอะค่ะ บ้านน้องยังไงก็ได้ แค่ข้าวจ้าวมีความสุข จะแต่งหรือไม่แต่งก็ไม่เป็นไร” ขอต่อประโยคของเหงี่ยมให้จบหน่อยเถอะนะว่า ไม่แต่งไม่เป็นไรแต่สินสอดต้องเพียบ หึหึ
“ไม่ได้ๆ ต้องให้สมน้ำสมเนื้อที่ตาบั๊คพรากลูกชายคนเดียวของบ้านนี้ไป อย่างน้อยก็ต้องให้มีหลักมีฐานมั่นคงเอาไว้เป็นประกันว่าวันข้างหน้าจะดูแลครอบครัวได้”
“ขอบคุณนะคะ คุณพี่ทำใจเก่งมากเลย แค่คืนเดียวก็ลดทิฐิจนหมดเกลี้ยงเลยค่ะ” เหงี่ยมชม
“พี่ก็คิดมาได้สักพักแล้วล่ะ เมื่อก่อนตาบั๊คมันไม่เคยมาดูดำดูดี มัวแต่ทำงานด้วยเรียนด้วย จะเจอหน้ากันก็ต้องตามแล้วตามอีก ยิ่งพี่เอาน้ำตาลมายัดเยียด ตาบั๊คก็ยิ่งห่างออกไปจนพี่ก็ช้ำใจมาตลอด พอตาบั๊คมีข้าวจ้าวก็เริ่มเข้าหาพี่ มีอะไรก็นึกถึง ซื้อนั่นซื้อนี่มาฝาก ชวนไปเที่ยวแถมยังเอาอกเอาใจคอยดูแลไม่ห่าง ซึ่งพี่รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ใช่ตาบั๊คคิดได้เองแต่เป็นเพราะมีคนเตือนสติซึ่งก็จะเป็นใครไม่ได้ถ้าไม่ใช่ข้าวจ้าว” รู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมอง ผู้หญิงคนนี้มาชมผมทำไมนักหนา ผมไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้นซะหน่อย “ขนาดว่ารู้อยู่เต็มอกแต่ก็ยังคิดว่าถ้าเป็นผู้หญิงแท้ๆ อย่างน้ำตาลก็น่าจะดีกว่า เฮ้อ มีตาก็ไม่มีแวว มีเงินก็ไม่ได้ช่วยซื้อความฉลาดได้เลยนะ”
“อย่าว่าตัวเองแบบนี้สิคะคุณพี่ เอาเป็นว่าเราเข้าใจกันทุกฝ่ายและพร้อมจะเป็นทองแผ่นเดียวกันก็พอค่ะ” เหงี่ยมสรุป
“วันนี้พี่มีความสุข เหมือนได้ปลดแอกตัวเองออกจากความทุกข์” ยินดีด้วยนะครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ผมรู้สึกยินดีด้วยจริงๆ “งั้นเราลงไปข้างล่างดีกว่า ข้าวจ้าวจะได้พักผ่อน แล้วหนูน้ำตาลก็คงล้างจานเสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวพี่จะพาไปส่งที่บ้านเอง”
“คราวนี้คงเข็ดไปอีกนานนะคะ คงไม่คิดไปแย่งของๆ ใครอีกแล้วล่ะค่ะ”
“เธอนี่มันร้ายซะจริง เมาครั้งเดียวจัดการได้ทุกเรื่อง” แล้วเสียงหัวเราะคิกคักก็ค่อยๆ เบาลงจนในที่สุดก็สงบเงียบอีกครั้ง
สองคนเมื่อกี้มาคุยกันเรื่องพี่บั๊ค เรื่องของคนที่ผมรัก แต่ผมจำไม่ได้เลยว่าเรื่องราวระหว่างผมกับพี่บั๊คมันเริ่มยังไง ดำเนินต่อยังไงและจนถึงตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้างเพราะในหัวมีทั้งเรื่องผี เรื่องเมียพี่บั๊ค มีทั้งพี่สาวนมโต มีเรื่องงานมีตคู่จิ้น มีเรื่องที่ผมรับจ้างเป็นเมีย มีเรื่องที่ได้เสียเป็นเมียมันและยังมีเรื่องคาใจของผมที่อยากรู้ว่าครั้งแรกผมเสียตัวให้ใคร ภาพมันสับสนปนเปกันไปหมด
แต่ในความสับสนนี้ สิ่งที่ชัดเจนในหัวใจของผมก็คือ ‘รัก’ ผมรู้แค่ว่าหัวใจเต้นไม่ปกติ มันติดบั๊คแบบไร้ทางแก้ รักพี่มันแบบลุ่มหลงจมดิ่งแบบลึกสุดกู่ นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมจำได้แม่นยำ แต่ก็นั่นแหละ เมื่อผมตื่น ผมก็อาจจะจำไม่ได้อยู่ดีว่าผมรักพี่บั๊คมากขนาดนี้เพราะผมเป็นคนไม่ชอบรักที่วุ่นวายสักเท่าไหร่ ถ้าเลี่ยงได้..ผมก็คงต้องเลี่ยง!
*************************