ตอนที่ 4
[/size]
ต้นไม้สีเขียวขนาดน้อยใหญ่ ผิวพื้นทางเดินถูกปูทับด้วยอิฐตัวหนอนสลับกับต้นหญ้าสีเขียวเล็กๆ ที่นี่คือสวนหย่อมของ
โรงพยาบาลเป็นสถานที่สำหรับพักผ่อนของคนไข้ คนไข้จำนวนไม่น้อยเดินออกมารับอากาศสดชื่นยามเช้า หลายคนกำลังนั่งพูด
คุยกับญาติที่ทางโรงพยาบาลอนุญาตให้เยี่ยมได้ ผู้ป่วยบางคนกำลังนั่งอยู่บนรถเข็นแล้วมีพยาบาลกำลังป้อนข้าว
บางคนออกมานั่งผ่อนคลายอารมณ์ไม่อยากทนนอนอยู่บนเตียงคนป่วยอุดอู้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมอย่างนั้น เช่นเดียวกันกับผม
หลังจากที่คุณหมอเจ้าของไข้อนุญาตให้ออกข้างนอกได้ ที่นี่ก็กลายเป็นที่สิงสถิตใหม่ของผม ถือโอกาสหยิบหนังสือที่พี่เจนมี่
ซื้อมาให้ติดมือมานั่งอ่านบนม้านั่งสีขาวตัวยาวที่นั่งเป็นประจำเกือบหนึ่งสัปดาห์ได้แล้วที่ผมใช้ที่นี่เป็นสถานที่นั่งอ่านหนังสือ
“ขอโทษนะหนู ตรงนี้ว่างไหมจ๊ะ” หันไปมองตามเสียง เห็นผู้หญิงสูงวัยท่าทางใจดีคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากผม
เธอมองมาที่ผมแล้วยิ้มให้ด้วยยิ้มที่ดูเป็นมิตร หญิงสูงวัยสวมแว่นสายถือไม้เท้าสำหรับค้ำ อาจจะเป็นขาหรือเข่าที่มีปัญหา
เป็นเรื่องปกติของคนวัยนี้ที่ป่วยด้วยโรคข้อหรือกระดูก ผมไม่แน่ใจว่าเธออายุเท่าไหร่น่าจะประมาณหกสิบปีได้มั้ง
ไม่ใช่รูปร่างภายนอกแต่เป็นสีผมของเธอที่มีสีขาวแซม เธอสวมชุดคนไข้ของโรงพยาบาลเช่นเดียวกันกับผม
“อ๋อ ว่างฮะ” ไม่รู้ว่าญาติใครปล่อยให้คนแก่มาเดินคนเดียวอันตราย ถ้าหกล้มเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ
“มานั่งอ่านหนังสือที่นี่ทุกวันเลยหรอจ๊ะหนู”เธอพยายามพูดคุยกับผม
“ฮะ ผมไม่ยากอ่านในห้องเลยออกมาเปลี่ยนบรรยากาศ”หยุดอ่านหนังสือในมือแล้วใช้ที่คั่นหนังสือคั่นไว้แล้วปิดหนังสือลง
แล้วหันหน้าไปคุยกับคนตรงหน้า ที่ตอนนี้เธอนั่งลงบนม้านั่งสีขาวตัวเดียวกันกับผม
“แล้ว คุณย่าละครับ ให้ผมเรียกคุณย่าได้ไหมครับ”
“ได้จ๊ะ ย่าเข้ามารักษาตัวที่นี่ได้สัปดาห์หนึ่งแล้ว อออกมาเดินเล่นที่สวน เห็นเรามานั่งอ่านหนังสือที่ม้านั่งตรงนี้เกือบทุกวัน
ตอนแรกย่านึกว่าเป็นเด็กผู้หญิง ทั้งรูปร่าง หน้าตา น่ารักน่าเอ็นดูจริง ท่าทางหนูไม่เหมือนคนป่วย แต่ก็ผอมไปนะ”
“ฮะ ผมชื่อ นินจา ผมป่วยเพราะผมถูกรถชนฮะและต้องผ่าตัดเปลี่ยนตัวใจด้วย แล้วคุณย่าละครับป่วยเป็นอะไร”
“เป็นโรคคนแก่ลูก โรคไขข้อ ที่จริงโรคของย่าก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นแต่ที่บ้านอยากให้รีบมารักษาเพราะปล่อยนานไปจะรักษา
ได้ยาก”
“ที่บ้านเขาคงเป็นห่วงคุณย่านะครับ”
ทั้งท่าทาง รอยยิ้มของคุณย่าดูอบอุ่นและอ่อนโยนจังเลย คนแก่นี่เป็นอย่างนี้ทุกคนรึเปล่านะ ตอนนี้ผมได้เพื่อนใหม่ในโรง
พยาบาลแล้วต่อไปผมคิดว่าเขาคงไม่เหงาอีกแล้ว คุณย่าเป็นคนแก่ที่คุยเก่งมาก ไม่รู้เอาเรื่องมากมายจากไหนมาเล่าให้ฟัง
แต่ส่วนมากจะเป็นเรื่องของครอบครัวของเธอ คนแก่คงเหงาคิดถึงลูกหลาน เลยพูดถึงบ่อยๆ เป็นคนแก่ที่ใจดีมากเลยเป็นที่รัก
ของทุกคนในบ้าน แล้วคุณย่าของผมล่ะเป็นยังไงบ้างนะ ตั้งแต่จำความได้พ่อแม่ก็บอกว่าคุณย่าเสียไปแล้ว
ถ้าคุณย่ายังอยู่ก็คงจะใจดีเหมือนพ่อ ใช่เหมือนพ่อไม่รู้ว่าพ่อแม่จะเป็นยังไงบ้างทำใจเรื่องการตายของผมได้แล้วยัง
รึยังกินไม่ได้นอนไม่หลับ
“คุณย่าเคยทำเรื่องไม่ดีกับคนที่เรารักและรักบ้างรึเปล่าครับ” อยากรู้ว่าจะมีคนที่เคยเดินทางผิดพลาด ทำให้คนที่เรารักเสียใจ
บ้างไหม แล้วเขาคนนั้นต้องทนอยู่กับความรู้สึกเช่นไร จัดการกับความรู้สึกสำนึกผิดอย่างไร
“เคยสิ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนเคยทำผิดพลาด ทำให้คนที่เรารักและรักเราเสียใจได้ทั้งนั้น แล้วเราล่ะทำเรื่องอะไรให้พ่อแม่
เสียใจล่ะ”
“คุณย่าทราบ” ผมมองหน้าเธอครั้ง คนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนนี่ดูเหมือนจะรู้อะไรมากจริงจริง ไม่ว่าผมจะปกปิดสีหน้าความรู้สึกไว้
ก็คงรู้สึกได้ตามวัย ผมไม่กล้าบอก ไม่ใช่สิผมจะบอกยังไงจะเล่ายังไง
“ไม่ว่าเราทำอะไรไว้ สิ่งที่ผ่านมามันคือ อดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว ร้องไห้เสียใจให้ตายยังไงก็ไม่มีทางกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้
แต่อนาคตคือสิ่งที่มันยังมาไม่ถึงเราสามารถเปลี่ยนแปลงมันและทำให้ดีกว่าอดีตที่ผ่านมาจะได้ไม่ต้องมานั่งร้องไห้เสียใจอีกครั้ง
มีไม่กี่คนหรอกนะที่จะสามารถได้โอกาสแก้ตัวอีกครั้ง จงรับโอกาสนั้นไว้ แล้วทำมันให้ดีที่สุด”ผมมองคนตรงหน้านิ่ง
ยอมรับว่าคำพูดของคุณย่าช่วยให้คิดอะไรได้หลายอย่าง ใช่คนเราไม่มีใครที่ไม่เคยผิดพลาดแต่จะมีสักกี่คนที่ได้โอกาสแก้ตัว
ใหม่เหมือนผม เธอยื่นมือมากุมมือของผมไว้เหมือนจะให้กำลังใจผม
“คุณย่าอยากไปเดินเล่นบ้างไหมครับ เดี๋ยวผมพาไป” ผมชวนคุณย่าออกเดินเล่น
ช่วยพยุงเธอลุกขึ้น แล้วเดินรอบรอบสวนสีเขียวของโรงพยาบาล ยามเช้าอากาศเย็นสบายเธอชวนผมคุยไม่หยุดปาก
จนเริ่มสายพระอาทิตย์ส่องแสงแรงขึ้นทำให้เราทั้งสองต้องเดินออกจากสวน ผมเดินมาส่งที่ห้องด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าเธอจะ
หกล้มระหว่างทาง
“เข้ามาข้างในก่อนสิ” ผมเดินมาส่งคนย่าที่หลังจากที่พาเธอเดินเล่น ที่แปลกใจคือเธออยู่ห้องถัดไปจากห้องของผมไม่กี่ห้อง
นั่นหมายความว่าผมสามารถมาเยี่ยมเธอได้บ่อยๆ ตอนนี้เธอชวนผมเข้าไปนั่งเล่นในห้อง
“ถ้าอย่างนั้นผมรบกวนด้วยนะครับ” เปิดประตูให้เธอเดินเข้าไปในห้องแล้วเดินตามเธอเข้าไปช้าๆ ภายในห้องผู้ป่วยมีทีวีจอยักษ์
ตั้งอยู่ปลายเตียงผู้ป่วย โซฟารับแขก และโซฟาสำหรับคนนอนเฝ้าคนไข้ ผมพยุงเธอให้ขึ้นนั่งบนเตียง วางไม้เท้าของเธอไว้
ข้างเตียง ปรับเตียงนอนให้เธอนั่งสบายแล้วใช้หมอนสอดเข้าที่หลังของเธอ คุณย่าหยิบรีโมทข้างเตียงขึ้นเปิดทีวีขึ้น
ผมลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเตียง
“คุณย่าไม่มีพยาบาลพิเศษ หรือคนที่บ้านมาคอยเฝ้าหรือครับ”การที่ปล่อยผู้สูงอายุไว้ตามลำพังน่าเป็นห่วง
“ย่าไม่ต้องการพยาบาลพิเศษ แต่จะมีพยาบาลเข้ามาดูเป็นระยะ ส่วนเด็กรับใช้ที่บ้านตอนบ่ายๆก็คงมา”
อ้อ ก็ดีครับผมจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ผมเหลือบไปเห็นของเยี่ยมไข้ที่เป็นตะกร้าผมไม้ อาหารเสริมหลายตะกร้า แสดงว่ามีคนมา
เยี่ยมคุณย่าบ่อยๆ
“10 โมงแล้วคุณย่าหิวรึยังครับเดี๋ยวผมจะปอกผลไม้ให้ทาน” ไม่รอให้เธอตอบหยิบตะกร้าผลไม้เดินเข้าครัว หยิบสาลี่
แอ๊ปเปิ้ล แก้วมังกร ออกมาจากตะกร้าปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นชิ้นพอดีคำจัดใส่จานสองจาน จานหนึ่งห่อด้วยพลาสติกใสเก็บใส่ตู้
เย็น
“คุณย่าครับทานผมไม้” วางจานผลไม้ไว้บนโต๊ะค่อมเตียง แล้วหยิบส้อมจิ้มผลไม้แล้วยื่นให้เธอ
“ขอบใจลูก”เธอรับส้อมจิ้มผลไม้ไปจากผม
เหลือบไปเห็นหนังสือหลายเล่ม ที่วางไว้บนที่อยู่ตู้ข้างหัวเตียง มีทั้งหนังสือนิยายภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ จากที่อ่านสัน
หนังสือผมไม่รู้จักและน่าจะยังไม่เคยอ่านมาก่อน
“นินสนใจหยิบไปอ่านไหมลูก” เธอหยิบหนังสือที่อยู่ข้างตู้หัวเตียงมา แล้วยื่นให้ ผมรับมาเปิดดู Wedding for me เป็นหนังสือ
แปลครับ เลื่อนสายตาไล่มองไปตามตัวหนังสือไปทีละบรรทัดเพื่ออ่านเรื่องโดยคร่าวคร่าวจากบทนำในหนังสือ
“คุณย่าชอบหนังสือเล่มนี้หรอครับ”
“เปล่าหรอกลูกแต่หลายชายย่าเอามาให้ลองอ่าน” ก็นึกว่าคุณย่าเคยอ่านจะได้รู้เรื่องย่อทั้งหมดว่ามันสนุกรึเปล่า
“คุณย่าอยากให้ผมอ่านให้ฟังไหมครับ”
“นินจะอ่านให้ย่าฟังหรอลูก ก็ดีเหมือนกัน” รอยยิ้มบางบางปรากฏบนใบหน้าหญิงชราตรงหน้า
“เขาว่ากันว่าผู้ชาย-จะสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ไหม หรือว่าบุคลิกและอุปนิสัย ได้ก่อตัวเป็น................” ผมเริ่มอ่านบทนำให้
คุณย่าฟัง
“เรานี่อ่านหนังสือเก่งนะ อ่านให้แม่ฟังบ่อยล่ะซิ”
“คะ...ครับ” ผมค่อยค่อยอ่านไปทีละบรรทัดพร้อมชำเลืองดูสีหน้าท่าทางคนฟัง ถามว่าบ่อยไหมที่อ่านหนังสือให้แม่ฟังต้องตอบ
ว่าไม่เคยมากกว่า ถ้าลองจินตนาการว่าคนตรงหน้าเป็นแม่ของผมที่กำลังนั่งฟังผมอ่านหนังสือให้ฟังท่านจะมีความรู้สึกอย่างไร
จะดีใจไหม จะสนุกไปกับเรื่องที่ผมอ่านไหม แต่สำหรับผม มีความสุขสนุกดีใจทุกครั้งที่แม่อ่านนิทานให้ฟังทุกวันก่อนนอน
Cinderella คือนิทานที่ชอบเด็กสาวที่เกิดมาพร้อมกับความรักและจิตใจที่ดี ต้องพบกับชะตากรรมที่ตกต่ำ ในเมื่อเธอเป็นคนดี
มีนางฟ้ามาช่วยให้เธอได้ไปงานเต้นรำกับเจ้าชายรูปงาม แต่ความรักต้องมีอุปสรรคมากมายเขาบอกว่าความรักที่แท้จริงจะ
สามารถฝ่าฝันและก้าวพ้นอุปสรรคต่างๆไปได้ เช่นเดียวกันสุดท้ายแล้วเธอก็ได้ครองคู่กับเจ้าชายรูปงาม เคยคิดว่า นางฟ้า
มีอยู่จริงแม่บอกว่าเขาจะช่วยเหลือเด็กที่คนดีเชื่อฟังพ่อแม่ ตอนเด็กๆผมคอยมองออกไปที่หน้าต่างรอคอยว่าจะมีนางฟ้ามาหา
ผมเหมือนนิทานที่แม่เคยเล่า โดยที่ไม่รู้ว่าที่แท้ผมมีนางฟ้าประจำตัวของผม นั่นก็คือแม่ของผมนั่นเอง เหลือบมองดูคนบนเตียง
ผู้ป่วยอีกครั้ง เห็นเธอกำลังปิดแล้วปากหาว สงสัยเธอคงจะง่วงนอนแล้ว
“คุณย่าครับผมว่าคุณย่างีบซักหน่อยดีกว่าไหมครับ”
“ก็ดีเหมือนกัน สงสัยวันนี้ตื่นเช้ากว่าปกติ” เธอยิ้มให้ ถอดแว่นสายตาแล้ววางไว้บนตู้หัวเตียง ผมปรับเตียงให้อยู่ในท่านอนสบาย
เธอนอนบนเตียงเรียบร้อยแล้ว ผมหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมไว้บนร่างของเธอเบาเบา ปิดทีวี ปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ
เก็บจานผลไม้ที่เหลือเข้าตู้เย็น เดินกลับมาที่เตียงอีกครั้งคุณย่าก็เข้าสู้นิทราเรียบร้อย ค่อยๆเปิดประตูห้องแล้วปิดลงแล้วเดิน
ออกจากห้องไป
เดินแวะไปห้องอ่านนิตยสารอ่านข่าวรายวันจากหนังสือพิมพ์ว่ามีข่าวอะไรที่น่าสนใจบ้าง ถึงจะอยู่ที่นี่แต่โลกภายนอกก็สำคัญไม่
ต่างกัน โลกยังหมุนถึงผมจะหยุดอยู่กับที่แต่ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไปเหมือนเช่นทุกวัน เศรษฐกิจยังแย่ คนจนยังเกลื่อนเมือง
เด็กวัยรุ่นยังขายตัว รถในกรุงเทพยังคงติดน้ำยังท่วมทุกครั้งที่ฝนตก โรคติดต่อยังมีมาเรื่อยๆ และที่สำคัญคดีผมยังไม่คืบหน้าจับ
คนร้ายยังไม่ได้
เมื่ออัพเดตข่าวสารเรียบร้อยเก็บหนังสือพิมพ์เข้าที่ แล้วเดินกลับไปที่ห้องของผม เปิดประตูเดินเข้ามาห้องที่ผมอยู่มานานตั้งแต่
ที่กลับมาลืมตาดูโลกนี้อีกครั้ง คุณพยาบาลกำลังถืออาหารเที่ยงกับยาเข้าในห้อง นั่งลงทานข้าวแล้วทานยา หยิบรีโมทขึ้นมาดู
รายการสารคดีแก้เบื่อ ถึงแม้จะดูว่าไม่สนใจว่าตำรวจจะจับคนร้ายที่ฆ่าผมได้หรือไม่ที่จริงแล้วกังวลมาก หากคนร้ายรับสารภาพว่า
ฆ่าผมเพราะถูกจ้างวานโดยคนรักของผมซึ่งเป็นผู้ชาย ผมไม่อายไม่ใช่ว่าตายไปแล้วแต่เพราะนั่นคือตัวผม สิ่งที่ผมกำลังกังวลคือ
ที่ยังอยู่ พ่อแม่ จะมองหน้าคนอื่นอย่างไร สังคมจะมองทั้งสองคนยังไง ผมยังเชื่อว่าคนบนฟ้าจะไม่ปล่อยให้คนร้ายลอยนวล
ไม่วันใดก็วันหนึ่งพวกเขาจะได้รับกรรมที่พวกเขาก่อไว้ และได้ชดใช้มันอย่างสมเหตุสมผล
มองออกไปนอกหน้าต่างมองดูแสงตะวันที่อ่อนแสงลง และกำลังจะลาลับขอบฟ้าไปในอีกไม่กี่ชั่วโมง อีกไม่นานความมืดจะ
เข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ แสงสว่างของหลอดไฟจะเข้ามาแทนที่
มองนาฬิกาอีกไม่นานก็จะถึงเวลาทานยาและอาหารของผม แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหนียวตัวอยากอาบน้ำ
เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบชุดผู้ป่วย ผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ แผลบริเวณที่ได้มาการผ่าตัดตอนนี้เริ่มดีขึ้นแล้วอีกไม่นานจะได้ไปตัด
ไหม แผลมีขนาดไม่ใหญ่มากรอยเย็บไม่น่ากลัวนักความรู้สึกเจ็บไม่มากเหมือนวันแรกที่รู้สึกตัว แผลฟกช้ำตามร่างกายรวมถึงบน
บริเวณศีรษะดีขึ้นมาก ผอมบอกว่าคำเดียวว่าร่างกายของผมผอม คงต้องออกกำลังกาย ร่างกายนี้ไม่สามารถออกกำลังออกแรง
ได้ตั้งแต่เกิด ทำไห้ไม่มีกล้ามเนื้อเหมือนผู้ชายทั่วไป แม้กระทั่งคุณย่าที่เจอผมครั้งแรกก็ยังคิดว่าผมเป็นเด็กผู้หญิง ใช้ผ้าชุบน้ำ
เช็ดไปตามผิวสีขาวที่เนียนนุ่มเหมือนผิวเด็ก ไล่ไปตามลำคอกระดูกไหปลาร้า ท่อนแขนเรียวเล็ก และเว้นบริเวณที่ห้ามโดนน้ำ
จากนั้นเปิดน้ำชำระร่างกายส่วนล่าง ใช้สบู่ถูบริเวณหน้าท้อง สะโพก ไปจนถึงท่อนขาเรียว แล้วเปิดน้ำจากฟักบัวล้างฟองสบู่ออก
และหยิบผ้าเช็ดตัวซับหยดน้ำที่ติดอยู่บนผิวกาย ใบหน้าขาวใส คิ้วสวย ตากลมโต ขนตายาว จมูกสวยได้รูป ริมฝีปากบางสีชมพู
หัวทุยผมเส้นเล็กยาวเคลียไหล่ ปรากฏอยู่บนกระจกเงา ไม่รู้ว่าผมมองใบหน้านี้กี่ครั้งแล้วในกระจก แต่ผมยังคงไม่ชินกับมันเท่า
ไหร่ ถ้าผมเป็นคนที่คิดจะทำศัลยกรรม ใบหน้านี้คงเป็นใบหน้าที่หลายคนเลือกที่อยากทำตาม
ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องน้ำ คงจะเป็นคุณพยาบาลที่เข้าเอายาและอาหารมาให้
“ครับ เดี๋ยวผมออกไป” ตะโกนบอกคนข้างนอกให้รู้ จัดการสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเปิดประตูออกมา เห็นคุณพยาบาลกำลัง
จดรายละเอียดลงบน Nurse Note
“นี่คือยาทานก่อนอาหารนะคะ ทานข้าว ส่วนนี่คือยาทานหลังอาหารนะคะ” คุณพยาบาลคนสวยรวบผมสวมหมวกสีขาว
แต่งหน้าบางบาง สวมชุดสีขาวทั้งตัว บอกผมอย่างนี้เกือบทุกครั้งที่เข้าเอายาและอาหารมาส่ง ส่วนคุณหมอช่วงนี้เว้นระยะการ
ตรวจ ช่วงแรกแรกคุณหมอเข้ามาตรวจอาการเช้าเย็น อาการผมดีขึ้นเรื่อยๆคุณหมอก็เข้ามาดูวันเว้นวัน
จนตอนนี้สามสี่วันเข้ามาที อาการแทรกซ้อนไม่มี ร่างกายตอบรับหัวใจนี้ จนคุณหมอยังแปลกใจ คิดว่าหัวใจนี้เป็นของผมเอง
ผมกินยาตามที่คุณพยาบาลสั่ง มันไม่เรื่องยากที่กินยาตามนั้น
หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่านฆ่าเวลารอทานข้าว เขาว่ากันว่าชีวิตคนเราก็เหมือนกันกับละครหลังข่าว หรือนิยายสักเรื่อง
มันอาจจะจริงก็ได้ ถ้าผมจะเล่าเรื่องราวชีวิตของผมลงบนกระดาษไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง ผมคงจะคิดมากไป เปิดฝาที่ครอบถ้วย
อาหารออก ข้าวสวย ต้มจืด ผัดผักรวม ผลไม้สดและน้ำส้ม 1 แก้ว ฮื้อเมื่อไหร่จะได้ออกจากโรพยาบาลกันนะ แต่ถ้าออกไปแล้ว
ต้องทำอะไรอย่างไรต่อไปเอาไว้ก่อน ผมต้องจัดการสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมก่อน แล้วค่อยวางแผนเมื่อออกไปจากที่นี่จะต้องเริ่มต้น
นับหนึ่งอย่างไรดี อาหารโรงพยาบาลไม่ค่อยถูกปาก แต่ก็ต้องกินพยายามทานอาหารตรงหน้าให้หมด เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
และสมบูรณ์ขึ้น ซักพักหยิบยาขึ้นมาทาน เข้าไปในห้องน้ำหยิบแปรงสีฟันขึ้นมาบีบยาสีฟันลงบนแปรง ขยับแปรงขึ้นลงแล้วบ้วน
ปากเรียบร้อย ตัดสินใจปรับเตียงให้ตรงสำหรับนอนแล้วก้าวขึ้นเตียง หยิบผ้าห่มขึ้นห่มแล้วหลับตาพักผ่อน ผ่านไปหลายวันผม
ยังใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ทานยาทานอาหารตามเวลา ตอนเช้าของทุกวันออกมาเดินสูดอากาศ
นั่งเล่นอ่านหนังสือที่สวนหย่อมบางวันก็ได้มีโอกาสพบคุณย่า ตอนเย็นแม่พิมพ์มานอนเฝ้าเป็นเพื่อนทำให้หายเหงาได้มาก
แผลผ่าตัดเริ่มดีขึ้นตามลำดับ
ผมรู้สึกตัวแล้วลืมตาขึ้นมองไปที่นาฬิกาที่แขวนไว้บนผนังห้องเป็นเวลา 7.15 นาฬิกา นี่หลับยาวถึงเช้า
ท่าทางเมื่อวานจะเหนื่อยไปหน่อย แม่พิมพ์ของผมมาเฝ้าเช่นทุกวัน วันนี้คงออกไปแต่เช้าเหมือนเดิม
เมื่อวานก็ไม่ได้เจอแม่พิมพ์เพราะคงจะกลับดึก หลังจากที่ทานยาก็รู้สึกง่วง หมอบอกว่าต้องการให้ร่างกายพักผ่อนเยอะๆ
ฮ้าว..บิดขี้เกียจเดินลงจากเตียงเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา ทำไมรู้สึกเพลียเหมือนยังไม่ได้นอนเลย
ผมว่าผมออกไปเดินเล่นที่สวนหย่อมไปสูดอากาศบริสุทธิ์บางทีอาจจะรู้สึกสดชื่นขึ้น ว่าไปแล้วมีคุณย่าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนก็ดีไป
อีกแบบ ป่านนี้คุณย่าคงตื่นนอนแล้วเดินไปรับคุณย่าที่ห้องดีกว่า เดินออกจากห้องแล้วปิดประตูลงเดินตามโถงทางเดินเพื่อที่จะ
ไปห้องคุณย่า การที่ได้รู้จักกับหญิงชราคนนี้ผมรู้สึกว่าเธอกำลังเหงา เธอมักเล่าเรื่องที่บ้านให้ฟัง สามีของเธอเสียชีวิตไปหลายปี
แล้วอาศัยอยู่กับลูกชายคนโต ลูกสะใภ้ และหลานๆ เธอคงรักหลานของเธอ เธอบอกว่าหลานของเธอชอบมีเรื่องปวดหัวมาให้
ลูกชายของเธอบ่อยๆ ภายนอกดูว่าเธอเข้มแข็งแต่แท้จริงแล้วเธอกำลังเหงา พ่อกับแม่ของผมก็คงจะเป็นอย่างนี้เหมือนกัน
ผมมักจะเจอคุณย่าที่สวนหย่อม หลังจากที่เดินเล่นเสร็จผมจะเดินมาส่งเธอที่ห้อง อ่านหนังสือให้เธอฟัง จนเธอหลับไปผมก็กลับ
มาที่ห้อง อ่านหนังสือของตัวเองอีกครั้ง ห้องพิเศษนี่เงียบจริงจริงไม่มีพยาบาลหรือญาติคนป่วยเดินผ่านมาเลย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ผมเคาะประตูห้องเพื่อคนให้คนภายในรู้ว่าจะเข้าไป ตอนบ่ายทุกวันจะมีเด็กรับใช้มาฝ้าคุณย่า
“คุณย่า คุณย่าครับ อยู่รึเปล่า” เงียบ ไม่มีคนคนมาเปิดประตูให้ ผมตัดสินจับลูกบิดแล้วหมุนผลักประตูให้เปิดเข้าไป ไม่มี
ไม่มีคนอยู่ในห้อง แต่ทำไมเครื่องปรับอากาศยังเปิดอยู่ ทีวียังเปิดไว้ แล้วคุณย่า คุณย่าไปไหน อาจจะออกไปข้างนอกแล้วลืม
ปิดไว้ก็ได้ อุตส่ามาชวนคุณย่าไปเดินเล่น คุณย่าไม่อยู่กลับไปนั่งดูทีวีที่ห้องดีกว่า ไม่รู้อะไรที่ดลใจผมทำให้ผมเดินไปดูที่
ห้องน้ำ
“คุณย่า คุณย่าครับ คุณย่าเป็นอะไร” ผมเห็นคุณย่านอนอยู่ที่พื้นห้องน้ำ ผมตัดสินใจรีบไปกด Nurse call เพื่อเรียกพยาบาล
ไม่กล้าเข้าไปเตะต้องร่างกายคุณย่ากลัวจะทำให้กระดูกแตกหักหรือเคลื่อนที่ ผมรอ รอ พยาบาล
“เกิดอะไรขึ้นคะ” เป็นพยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามา
“พยาบาลครับคุณย่าครับคุณย่าเป็นอะไรไม่รู้” รีบบอกเธอทันทีที่เห็นเธอเดินเข้ามา
“อย่าเพิ่งแตะตัวคนไข้นะคะเดี่ยวพี่จะแจ้งคุณหมอ” เธอเดินที่เครื่องสื่อสารกดโทรออกไปติดต่อใครสักคน
ไม่นานผู้ชายสวมชุดสีขาวสามคนเข็นเตียงคนไข้เข้ามาในห้อง ผมยืนมองผู้ชายทั้งสามตรวจชีพจร และเคลื่อนย้ายคุณย่าออก
จากห้องน้ำมาไว้ที่เตียงเข็นที่จอดรออยู่แล้ว ผู้ชายทั้งสามเข็นเตียงคุณยายออกไปจากห้อง และผมที่วิ่งตามออกไป
จนถึงหน้าห้องฉุกเฉินเตียงของคุณย่าถูกเข็นเข้าไปแล้ว ผมไม่มีสิทธิ์เข้าไปต้องรออยู่ข้างนอก เสียงคนกำลังวุ่นวายภายในห้อง
ฉุกเฉินลอดออกมาข้างนอก คุณย่าจะเป็นอะไรบ้างรึเปล่า เธอจะปลอดภัยไหม ผมนั่งลงที่เก้าอี้ที่หน้าห้องฉุกเฉินรอฟังอาการ
ของคนข้างใน ไม่อยากสูญเสียอีกแล้วไม่อยากเศร้า ผมคิดว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น เริ่มทำใจยอมรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผมได้
แล้ว กำลังจะเริ่มต้นใหม่ ผมรู้สึกชาไปทั้งตัว ใบหน้าร้อนผ่าว น้ำตาผมกำลังจะไหลออกมาอีกแล้ว ไม่อยากร้องอีกแล้ว
ประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออก คุณหมอเดินออกมาแล้วตรงมาที่ผม
“คุณเป็นญาติของคนไข้รึเปล่า”คุณหมอถามผม
“ชะ..ใช่ครับอาการคุณย่าเป็นยังไงบ้าง”ผมต้องการฟังคำตอบของหมอ
“หมอ...หมอเสียใจด้วย”เหมือนเป็นเสียงฟ้าผ่าลงมา หัวใจของผมเต้นแรงมาก และรู้จักปวดหนึบ น้ำตาของผมมันไหลออกมา
แล้วมันกำลังไหลออกมาผมกลั้นมันไม่ได้อีกต่อไป หูผมอื้อไม่ได้ยินเสียงรอบๆข้าง นี่ผมช่วยคุณย่าไม่ได้หรอเนี่ย
ผมเข้าไปพบเธอช้าไปใช่ไหม
“เอ่อ..คุณครับ..คุณ”คุณหมอพยายามเรียกผม
“คะ..ครับคุณหมอ” ผมขานรับคุณหมอ ผมเกือบลืมไปเลยว่ามีคนยืนอยู่ข้างหน้าผม
“คุณเข้าไปพบเธอครั้งสุดท้ายก่อนที่เราจะย้ายออกจากห้อง”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ผมเดินผละออกมาจากคุณหมอพยายามก้าวเท้าไปข้างหน้า พยามก้าวเท้าเข้าไปที่ห้องนั้น ภายในห้องเงียบมีร่างหญิงสูงวัยไร้
วิญญาณนอนอยู่บนเตียง ผมก้าวเข้าไปใกล้ใกล้เธอทีละก้าว และหยุดอยู่ข้างๆเตียงมองดูใบหน้าที่ขาวที่เริ่มซีด
เหมือนเธอกำลังหลับอยู่
“ตื่นเถอะครับคุณย่า คุณย่านอนนานไปแล้วนะครับ” คุณย่ากำลังล้อผมเล่นรึเปล่า
เสียงข้างนอกเอะอะ เหมือนคนกำลังคุยอะไรกันสักอย่าง ประตูห้องถูกเปิดออก
“คุณแม่ คุณแม่ ฮือ ฮึก ฮือ” ผู้หญิงและผู้ชายเดินเข้ามาผู้หญิงกำลังร้องไห้ส่วนผู้ชายกำลังโอบไหล่ของเธอไหล ส่วนมืออีกข้าง
ปิดปากตัวเองไว้คงแล้วตาน้ำตาก็ไหลออกมา
“คุณแม่ครับ ....เป็นความผิดของพวกเราเอง พวกเรา....ดูแลคุณแม่ไม่ดี” ผมยืนดูคนทั้งสองร้องไห้แล้วโทษตัวเองไปมา
จากที่ผมฟังผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นลูกชายของคุณย่าส่วนผู้หญิงคงเป็นภรรยาของเขาลูกสะใภ้ของคุณย่า ผมค่อยๆเดินออกจาก
ห้องเงียบๆเพื่อให้คนทั้งสองได้อยู่กับคุณย่าในห้อง
เดินกลับออกมานั่งหน้าห้องฉุกเฉินอีกครั้ง มีคนเดินเข้าไปในห้องอีกหลายคนสงสัยคงเป็นญาติๆของเธอ ที่ทราบข่าวแล้วรีบมา
เสียงร้องไห้ จากในห้องยังดังเป็นระยะ ผมนั่งก้มหน้าใช้มือทั้งสองข้างปิดปากไว้ไม่ให้เสียงร้องไห้ของผมทำให้คนที่จากไปต้อง
มีห่วง
“คุณย่า คุณย่าทำไมต้องไป”ผมเห็นวิญญาณของเธอ มองวิญญาณที่อยู่ต่อหน้าผม
“อย่าเสียใจไปเลยลูก หนูทำดีที่สุดแล้ว แต่มันคงถึงคราวของย่า”รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของหญิงชรา รอยยิ้มอันอบอุ่น
มองทีไรทำให้รู้สึกดีทุกครั้ง แต่ต่อไปนี้จะไม่ได้เห็นรอยยิ้มนี้อีกแล้ว จะไม่มีคนไปเดินเล่นกับผมที่สวน ผมจะไม่ได้อ่านนิยายให้
เธอฟังอีกแล้ว แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่กี่วันที่ได้รู้จักกับหญิงชราคนนี้แต่ผมกับความรู้สึกผูกพันกับเธอ
“คุณย่า ฮึก ฮึก ไม่ไปไม่ได้หรอครับ”ยังไม่อยากสูญเสียเธอไป ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่จะต้องมองวิญญาณของคนที่รู้จักต้อง
หายไปต่อหน้า
“ย่าขออะไรได้ไหม” ผมองวิญญาณโปร่งแสงของเธอ
“อะไรครับคุณย่า ถ้ามีอะไรที่ผมช่วยได้ผมจะทำ”
“ฝาก....บอกคนที่บ้านของย่าด้วยว่าย่า....รักพวกเขาทุกคน” แล้ววิญญาณของเธอก็ค่อยค่อยหายไป
“ไม่..ไม่..คุณย่าผมไม่รับฝาก...อย่าไป อย่าไป”” ผมพยายามเอื้อมมือไปคว้าเธอไว้แต่ก็ไม่สามารถสัมผัสเธอได้
*************************************************************************
มาต่อแล้วจ้า จบไปอีกตอน
ขอบคุณทุกความคิดเห็นจ้า และขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน
หนึ่งคนเข้ามาอ่าน และทุกๆหนึ่งความคิดเห็นนั่นคือแรงกำลังใจ ที่ให้คนแต่ง มีแรงสัมผัสปลายนิ้วลงแป้นพิมพ์
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไปจ้า ฝากติดตามด้วยจ้า