ครานั้น 6เพลงประกอบค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=LF1WTmitFjg“เกิดเหตุอันใดขึ้น” เสียงทรงอำนาจของชายผู้เป็นเจ้าของเรือนดังขึ้นท่ามกลางเสียงหวดหวายแลเสียงร้องไห้ระงมของนางพิศแลพวกบ่าวสาวใช้ใจอ่อนที่บัดนี้ได้แต่เพียงร่ำไห้นึกเวทนาสหายของพ่อขุนเดชเป็นหนักหนา
พวกข้าทาสบ่าวไพร่ที่ชุมนุมกันต่างพากันหลบหลีกให้พระยามณูปกรณ์เดินเข้าสู่กลางลานหญ้าโดยทันใด
ข้างนายยอดก็ให้ยั้งมือวางหวายคุกเข่าอยู่กับพื้นหญ้า รั้งก็แต่แม่หญิงแพงที่หน้าตาถอดสีไปสักเล็กน้อย ทว่ากลับปั้นแต่งด้วยแววนิ่งเฉย มิสะทกสะท้านอย่างปรกติ ครั้นเมื่อนางเห็นเจ้าคุณพ่อก็รี่เข้าหากล่าววาจาสอบถามเจื้อยแจ้วดังมิมีเหตุอันใดผิดแผก
“คุณพ่อเสร็จงานราชการแล้วหรือ...”
“แม่แพง! เจ้าทำอันใดลงไปรู้ตัวฤาไม่” มิทันที่นางจักเอ่ยจบคำ ขุนเดโชที่พึ่งเดินขึ้นท่าตามเจ้าคุณพ่อมาก็ตวาดก้องด้วยแรงอารมณ์พลางเร่งเข้าประคองเจ้าน้องน้อยที่บัดนี้แน่นิ่งซบหน้ากับพื้นด้วยท่าทีอ่อนแรง กระนั้นน้ำตาอาบแก้ม แลแนวหลังอาบเลือดกลับกลายจักทำให้มือไม้อ่อนแลใจดิ่งวูบ แรงกายก็คล้ายจักอ่อนลงไปชั่วขณะ
“สินธุ์...” ขุนเดโชพิศเจ้าร่างบางพลางครางเสียงแผ่วด้วยในอกรวดร้าวดังถูกมีดเฉือน ยังให้แสบร้อนหัวตา ตระคองกอดเจ้าร่างน้อยด้วยมือสั่นเทา
“พ่อขุนเดชเจ้าขา เร่งพาพ่อสินธุ์ไปที่เรือนเถิดเจ้าค่ะ” นางพิศเอ่ยเสียงสั่นเครือพลางใช้ชายสไบซับหัวตาอย่างคนตั้งสติได้
“แม่แพง กลับขึ้นเรือนไปบัดเดี๋ยวนี้” เมื่อท่านเจ้าคุณเห็นว่าเกิดอันใดขึ้น จึงสั่งความเสียงเข้มพลางหันหลังกลับเรือนด้วยท่าทีขุ่นใจเป็นกำลัง
ผู้ถูกสั่งความขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยขัดใจก่อนเดินกลับเรือนดังคำสั่งเจ้าคุณพ่อ ยังให้นางแผ้วแลนางตาดหมอบตัวสั่นเทาอย่างหวั่นเกรง
ข้างฝ่ายหลวงภูมีภักดีที่ขึ้นท่ามาพร้อมกับน้องชาย ได้แต่เพียงหลุบตาข่มกลั้นอารมณ์กระทั่งพวกบ่าวไพร่กลับไปทำงานการตามปรกติ จึงเดินไปยังเรือนน้องชาย
ฝนห่าใหญ่เทลงตกกระทบหลังคาเสียงดังกระทั่งมิได้ยินเสียงอันใดรอบกาย ในยามดึกสงัดท้องฟ้ามืดครึ้มด้วยเมฆดำที่บัดนี้บดบังดวงจันทร์มิให้ทอแสงนวลตกต้องพื้นดิน ลมฝนหนาวเย็นพัดหวีดหวิวให้ไม้ใหญ่โอนเอนดังจะโค่นล้ม ทั้งคลื่นแม่น้ำกระทบฝั่งสลับเสียงคำรามแลสายฟ้าฟาดให้น่าหวาดหวั่น
แม้นว่าอากาศภายนอกจักเลวร้ายรุนแรงสักเพียงใด ทว่าภายในหอนอนหลังหนึ่งกลับเงียบสงัดเคล้าแสงไต้สลัวส่องกระทบแจกันลายครามประดับด้วยมาลัยตุ้มร้อยด้วยกลีบกุหลาบแลมาลัยแบนที่ร้อยมะลิสลับกลีบกุหลาบปักอยู่กับกิ่งอ่อนจัดช่อไว้อย่างงดงาม ข้างฝั่งตรงข้ามยังมีโต๊ะเตี้ยตั้งกระจกทองเหลืองวางหีบใบน้อยสองสามใบ ข้างหน้าต่างปิดสนิทยังมีมุ้งผ้ามัสลินคลุมตั่งเตียงยกพื้นปูด้วยเสื่อหวายแลปูทับด้วยพรม ข้างบนพรมปูด้วยฟูกผืนบางที่บัดนี้เจ้าร่างบางนอนคว่ำเปลือยแผ่นหลังด้วยรอยเนื้อแตกเลือดซึมอยู่สักเล็กน้อย ข้างกายยังมีร่างกำยำผิวสีทองแดงของขุนเดชนุ่งโจงนั่งชันเข่าพิศเจ้าน้องน้อยด้วยแววอาดูร มือสากค่อยไล้ไหล่บางด้วยบัดนี้ผิวกายขาวผ่องกลับเต็มไปด้วยแนวหวาย เมื่อสบเข้ากับตากลมก็ให้หัวตาร้อนผะผ่าวสะกดกลั้นน้ำตาไว้ในอก พลางค่อยใช้นิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาเม็ดแล้วเม็ดเล่าที่ไหลตกต้องแก้มนวลอย่างมิรู้เบื่อ ทว่าในหทัยคลับคล้ายจะปวดแปลบแสบร้อนอยู่หลายส่วน
“หากเจ็บแทนเจ้าได้ พี่คงจักดีใจนัก”
เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศแจ่มใสด้วยไอแดดบางเบา ต้นไม้ใบหญ้าล้วนเกาะพราวไปด้วยหยาดน้ำเนื่องด้วยฝนพึ่งขาดเม็ดเมื่อยามใกล้รุ่ง ขุนเดโชยันกายลุกจากฟูกที่นอนตลบมุ้งเข้าเก็บ ตระเตรียมเปลี่ยนผ้านุ่งลงไปอาบน้ำที่ท่าก็ประจวบกับหลวงภูมีภักดีที่มาอาบน้ำเช่นกัน
“พ่อเดช พ่อสินธุ์เป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อเห็นน้องชายใจก็ห่วงกังวลถึงเจ้าร่างบางที่เมื่อคืนวานตนคอยเมียงมองดูขณะพ่อเดชนำลูกประคบแลไพรสดเข้ารักษา ภาพร่างน้อยสะดุ้งเมื่อมีสิ่งใดแตะต้องแผ่นหลังบางแลน้ำตาอาบแก้มยังให้อกร้อนรนมิอาจข่มตานอนได้สนิทนัก
“เห็นจะจับไข้เสียแล้ว กระผมจักให้อ้ายบุญไปตามหลวงโอสถมาตรวจดูอาการ”
หลวงภูมีภักดีพยักหน้าด้วยเห็นสมควร ก่อนขึ้นจากท่ามิวายเอ่ยแก่น้องชายด้วยเรื่องอันเจ้าคุณพ่อได้ฝากความมา
“หลังสำรับเช้า เจ้าคุณพ่อจักสอบความ พ่อเดชก็ไปฟังด้วยเถิดหนา ผู้ใดผิดถูกประการใดจักได้ลงโทษกันตามสมควร” ถึงปากจักกล่าวออกไปเช่นนั้นทว่าหลวงภูมีภักดีคล้ายมิใคร่จักเชื่อถือแม่แพงนัก ด้วยนับแต่พ่อสินธุ์มาอยู่เรือนก็เห็นเพียงน้องสาวตนเที่ยวระรานอยู่ฝ่ายเดียว ทว่าก็ยังมิมีผู้ใดด่วนตัดสินความ
แลเมื่อขุนเดโชกลับมายังหอนอนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าจนแล้วเสร็จ เจ้าน้องน้อยก็ยังคงนอนนิ่งคล้ายมิรับรู้ถึงสรรพเสียงรอบกาย
มือแกร่งแตะหลังมือกับหน้าผากนวลรับรู้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาพลางค่อยเก็บปอยผมยาวที่มิได้เกล้าจุกทัดยังหลังใบหู ก่อนก้มจูบหน้าผากนวลเพียงแผ่วเบา กระนั้น เจ้าน้องน้อยกลับค่อยรู้สึกตน ปรือตาบวมช้ำมองเห็นว่าเป็นผู้ใดก็จึงหลับลงด้วยวางใจ ท่ามกลางความรู้สึกเลือนรางครึ่งหลับครึ่งตื่นยังรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นแลสัมผัสอุ่นวาบแตะเพียงแผ่วบริเวณเปลือกตาก่อนสติจะดับหลับลึกลงอีกครา
เมื่อก้าวขึ้นเรือนใหญ่ ทั้งเจ้าคุณพ่อ พี่ไทแลแม่แพงต่างนั่งคอยท่าตนอยู่แล้ว ขุนเดโชจึงเพียงไหว้เจ้าคุณพ่อแลทรุดตัวลงนั่งข้างหลวงภูมีภักดี
“พ่อสินธุ์เล่า ไม่มาฟังความอันใดล่ะหรือ” พระยามณูปกรณ์เอ่ยถามบุตรชายเมื่อไม่เห็นเจ้าสินธุ์
“เจ็บหนัก ลุกมิได้เสียแล้วขอรับ” ขุนเดชตอบพลางข่มกลั้นอารมณ์คุกรุ่นไว้ในอก
“หากเช่นนั้น แม่แพงก็จงเล่าความมาเถิด มีเหตุอันใด ใยถึงต้องลงหวายกันฤา”
“เมื่อวานสักเพลาชาย ลูกแลพวกบ่าวโรงครัวทำขนมกรุบกันไว้มากมายจึงคิดจักแบ่งปันไปให้ยังสหายพี่เดชแลพวกลูกข้าทาส ลูกสอบถามความพวกบ่าวไพร่ก็จึงรู้ว่าพ่อสินธุ์กรองมาลัยอยู่ศาลาท่าน้ำหน้าเรือนพี่เดช ลูกเพียงเดินไปชักชวนพ่อสินธุ์แลนางยิ้มลูกบ่าวไพร่ที่นั่งอยู่เคียงกันให้ไปเอาขนมกรุบที่โรงครัว รู้ตนอีกทีว่ากำไลพลอยแดงที่พี่เดชซื้อให้หายไป ลูกจึงเกิดวิตกกังวลเร่งพวกบ่าวไพร่บนเรือนตามหาเจ้าค่ะ ลูกเดินหาอยู่เป็นเพลาก็มิเห็นสิ่งใดจึงลองเดินหายังศาลาท่าน้ำ สอบถามพ่อสินธุ์ก็บอกลูกว่ามิรู้เห็นอันใด ทำทีออกช่วยลูกตามหา ที่แท้กำไลของลูกซุกซ่อนอยู่ใต้กระจาดมะลิของมันเจ้าค่ะ เช่นนี้มันน่านักเทียว คราแรกโป้ปดได้มิอายปาก เมื่อลูกสอบความอีกคราไอ้ เอ่อ พ่อสินธุ์ก็ยังคงทำทีว่าไม่รู้เห็นอันใด ทั้งๆที่ลูกจับได้คาตาถึงเพียงนั้น” แม่แพงกล่าววาจาคล่องปากด้วยน้ำเสียงออดอ้อนทำทีให้น่าเวทนา ทว่านางบ่าวพี่เลี้ยงกลับนั่งหมอบตัวสั่นงันงกอย่างผิดปรกติ
“จักเยี่ยงไรก็เถิด เจ้ามิบังควรออกคำสั่งให้บ่าวไพร่คนใดลงหวายพ่อสินธุ์ หากเขาติดใจเอาความก็ย่อมได้ ด้วยมิใช่เป็นเพียงข้าทาสดอกหนา” พระยามณูปกรณ์ทอดถอนใจด้วยมิรู้จักตัดสินอย่างไร พลางเอ่ยท้วงติงบุตรสาวด้วยกระทำเหตุอันเกินสมควร
“แล้วเจ้าแน่ใจได้เยี่ยงไรว่าพ่อสินธุ์เป็นผู้ลักเอากำไลเจ้าไป” หลวงภูมีภักดีนั่งฟังอย่างแคลงใจจึงเอ่ยถามน้องสาวด้วยมิเห็นว่าจักมีผู้ใดรู้เห็นว่าพ่อสินธุ์นั้นจงใจลักขโมย
“ซุกซ่อนอยู่ใต้กระจาดมะลิข้างตัวถึงเพียงนั้น จักให้น้องสงสัยผู้ใดได้อีกฤา” แม่หญิงแพงตอบคำพี่ชายพลางเชิดหน้าดังมิใคร่พอใจนัก
“นางยิ้มอยู่กับพ่อสินธุ์ใช่ฤาไม่ พ่อสินธุ์จงใจลักขโมยกำไลแม่แพงแน่แท้แล้วหรือ” ชายผู้เป็นใหญ่ของบ้านเอ่ยสอบถามความยังนางลูกข้าทาสที่บัดนี้นั่งหมอบกราบเคียงพวกนางบ่าวสาวใช้บนเรือน
“มิใช่เจ้าค่ะ บ่าวนั่งเคียงพี่สินธุ์อยู่เป็นนานก็มิเห็นพี่สินธุ์จักทำอันใด เพียงกรองมาลัยสวมจุกให้บ่าวเท่านั้นเจ้าค่ะ” เด็กสาวตอบเสียงสั่นด้วยความหวั่นเกรงด้วยแม่หญิงแพงจดจ้องดังจักกินเลือดเนื้อตนทีเดียว
“เช่นนั้นเจ้าก็มิอาจกล่าวว่าพ่อสินธุ์ลักขโมยกำไลเจ้าได้ ด้วยมิมีผู้ใดเป็นพยานรู้เห็น...”
“แล้วจักเชื่อคำพูดนังยิ้มได้หรือเจ้าคะ ถูกเสี้ยมสอนมาให้โป้ปดเสียก็มิรู้” แม่หญิงแพงว่าพลางทำทีน้อยอกน้อยใจ
“อย่างไรพ่อสินธุ์ก็มิอาจขโมยกำไลเจ้าดอก เงินทองข้าวของอันใดก็ล้วนมิขัดสน ยังสมบัติเครื่องเพชรพลอยของคุณยายชื่นมีมากมายพี่ยังมิเห็นพ่อสินธุ์จักห่วงหา ทั้งเบี้ย อัฐก็มีใช้มิได้ขาด มิมีเหตุอันใดให้ไปลักขโมยของเจ้าได้เลยหนา” ข้างฝ่ายขุนเดชที่นั่งฟังความอยู่เป็นเพลาเอ่ยแก้ต่างให้เจ้าน้องน้อยทันควัน
“พ่อสินธุ์คงขุ่นเคืองใจเมื่อคราที่น้องมิยอมให้ร่วมสำรับก็เป็นได้เจ้าค่ะ” เมื่อรู้ว่าตนจักถูกจับได้ว่าโป้ปด แม่แพงจึงเร่งแก้ต่างด้วยท่าทีร้อนรน
“ผู้ใดจักมีจิตใจอาฆาตพยาบาทถึงเพียงนั้น กระนั้นหากเจ้ามิพอใจ พี่จักให้อัฐไปซื้อใหม่ให้เลิกแล้วต่อกันเสีย และต่อแต่นี้เจ้าจงอย่าได้เข้าวุ่นวายเกี่ยวข้องกับพ่อสินธุ์ หากมิฟังคำจักหาว่าพี่มิปราณีมิได้เทียว” พ่อขุนเดชฟังคำน้องสาวก็ให้โกรธาเป็นกำลัง กล่าววาจาตักเตือนแล้วเสร็จก็ไหว้เจ้าคุณพ่อเร่งลงเรือนไป
คืนจันทร์วันเพ็ญส่องแสงนวลตา ลมหนาวพัดโชยมาให้เจ้าร่างบางที่นั่งอยู่บริเวณชานเรือนกระชับผ้าเข้าห่มคลุมกายพลางเหม่อมองไปยังฟากฟ้า
ล่วงเข้าฤดูหนาวเช่นนี้ท้องฟ้าแจ่มใสเต็มไปด้วยหมู่ดาวพร่างพราว ทว่าคืนนี้เดือนเต็มดวง แสงเดือนจึงส่องสว่างประชันแสงดาว
เจ้าสินธุ์มิใช่ผู้ชมชอบแสงเดือนแสงดาวดอกหนา แต่ในยามค่ำคืนเช่นนี้มิรู้จักทำอันใดจำต้องมองฟ้ามองดินคอยท่าพี่เดชอยู่เป็นเพลาหลายวัน ด้วยมิรู้ว่ามีงานราชการอันใดเป็นหนักหนา กว่าพี่เดชจักกลับถึงเรือน ตนก็มักหลับใหลไปเสียก่อนทุกครา กระนั้นมิว่าคืนใดที่ตั้งตารอคอยตากลมนอกชาน ในยามเช้าจักตื่นขึ้นในหอนอนเพียงเดียวดายเสมอ
เจ้าสินธุ์มิอยากยุ่งยากกวนใจผู้ใดให้มากความดอกหนา ทว่าในยามนี้พี่เดชเปรียบดังทุกสิ่ง ทั้งชีวีราวมิมีผู้ใดจักใส่ใจนอกไปเสียจากพี่เดช มิมีผู้ใดจักอยู่เคียงกายนอกไปจากพี่เดช หากจักกล่าวว่าชีวิตจิตใจตนนั้นเป็นของผู้ใดก็มิแคล้วเป็นของพี่เดชโดยแท้
แม้นทุกวันนี้จักสุขสบายด้วยมิมีผู้ใดกล้าระรานหรือแม้นแต่จักอาจหาญกล้ากล่าวหักหาญน้ำใจตน ทั้งแวดล้อมด้วยบ่าวไพร่ให้ท่าทีเคารพรักใคร่ ยังกระแสเอื้อเอ็นดูจากแม่นายเรือนทั้งสอง กระนั้นเจ้าร่างน้อยกลับพึ่งให้เคว้งคว้างเงียบเหงาแลหวั่นใจอยู่สักหลายส่วนเมื่อมิมีคนหน้านิ่งนั่งเคียง แลแม้นพี่เดชจักมิใคร่เอ่ยอันใด ทว่าใจดวงน้อยคล้ายจักสงบมั่นคงอยู่ลึกๆ ยังอวนด้วยไอบางอย่างอันคล้ายจักนุ่มนวลงดงามเสียด้วย
มีงานราชการอันใดสำคัญเป็นหนักหนา หรือมีผู้ใดให้ใส่ใจรักใคร่เสียกระมัง
“ถึงเรือนแล้วหนาพ่อเดช ค่อยก้าวขึ้นเรือน หากเสียหลักมิใช่เพียงเจ้าจักพลัดตกลงแต่เพียงผู้เดียว ข้ากับหมื่นรามจักได้หัวร้างข้างแตกด้วยประไร”
เสียงบ่นที่ดังมาจากกระไดเรือนยังให้เจ้าร่างบางวิ่งไปคอยเมียงมอง กระทั่งเห็นว่าเป็นผู้ใดจึงยกมือไหว้
“เอ้อ พ่อสินธุ์เองดอกฤา ช่วยเตรียมน้ำใส่ขันมาเช็ดเนื้อตัวพ่อเดชทีเถิด”
แรกนั้นเมื่อเห็นขุนทัพแลหมื่นรามเข้าพยุงกายพี่เดชเดินขึ้นเรือนก็ให้คิ้วขมวดมุ่นมิสบดังใจด้วยฉุนกลิ่นน้ำเมาเหลือขนาด ครั้นสบเข้ากับตาคมพราวระยับก็ประหลาดใจเสียหลายส่วน ด้วยมิเคยพบเห็นแววตาวาบหวามเช่นนี้มาก่อน กระนั้นกลับตื่นจากภวังค์เมื่อขุนทัพเอ่ยวานให้ไปจัดหาผ้ามาเช็ดเนื้อตัวพี่เดช
เจ้าร่างน้อยกุลีกุจอตักน้ำฝนในโอ่งใส่ขันเงินลอยด้วยดอกมะลิเข้าไปยังหอนอน
“เจ้าจักคอยเช็ดตัวให้พ่อเดชได้ฤาไม่ ค่อนคืนป่านนี้ พวกข้าจำต้องกลับเรือนเสียสักที” หมื่นรามกล่าวแก่เจ้าร่างน้อยที่บัดนี้อุ้มประคองขันเงินยืนเมียงมองอยู่ข้างบานประตู
เจ้าสินธุ์พยักหน้ารับคำ ก่อนวางขันน้ำไว้ข้างตั่งเตียง หากยังมิทันผินกายจักเดินไปส่งขุนทัพแลหมื่นรามยังศาลาท่าน้ำ พี่เดชกลับจับรั้งแขนบางพลางจดจ้องตนนิ่ง
เจ้าร่างน้อยจึงเพียงชี้ไปยังชายหนุ่มทั้งสองแล้วค่อยแกะมือพี่เดช
“มิต้องไปส่งพวกข้าถึงท่าน้ำดอกหนา เห็นจะมีคนผู้หนึ่งมิใคร่อยากให้เจ้าห่างกายแม้นเพียงสักน้อย เจ้าอยู่ดูแลปรนนิบัติเห็นจะดี” ขุนทัพกล่าวจบก็เร่งหับประตูหอนอน ยังให้เจ้าสินธุ์ยืนนิ่งครุ่นคิดเพ่งบานประตูอยู่เป็นนาน กระนั้นแรงกระตุกแขนแลอ้อมกอดที่เข้ารัดรึงตรึงกายตนไว้แนบอก ยังจมูกปากแตะขมับให้เฉลียวใจด้วยคนเมามายใยจึงมีกำลังลุกนั่งดั่งยามปรกติ
เจ้าร่างน้อยถึงกับนั่งนิ่งอยู่กับตักกว้างเมื่อบัดนี้ขุนเดโชเชยคางมนให้สบตาด้วยแววสิเหน่หา เจ้าร่างบางร้อนๆหนาวๆด้วยใจวะวาบหวิว ครั้นใบหน้าคมคายเข้ามาใกล้ก็ให้หลับตาด้วยแก้มร้อนผะผ่าว กระนั้นสัมผัสบางเบาไล่เรื่อยยังหน้าผาก ตา จมูก แลข้างแก้มก็ให้รู้สึกมึนเมาอยู่สักหลายส่วน หรือจะเป็นด้วยกลิ่นสุราเสียกระมัง
ขุนเดโชพิศเจ้าน้องน้อยด้วยแววตารักใคร่พลางแย้มยิ้มมุมปากเมื่อเจ้าร่างบางทำทีดังจะหดกายให้ลดน้อยลง ตาคมจดจ้องยังริมฝีปากบางแล้วก้มลิ้มชิมรสแตะแต้มทีละน้อย ยังให้ตากลมลืมขึ้นสบในระยะประชิด มือน้อยจับขยุ้มเสื้อด้วยตกประหม่าเหลือกำลัง กระนั้นสัมผัสที่ได้รับกลับกลายให้เคลิบเคลิ้มอ่อนระทดระทวย
มือแกร่งสอดไล้เข้าในเสื้อตัวบางหมายจักลูบไล้แผ่นหลัง ทว่ากลับต้องสะดุ้งเมื่อแตะต้องถูกแผลตกสะเก็ด
ข้างฝ่ายเจ้าร่างบางก็ให้ผละกายออกห่างพลางหลุบตาต่ำ แสงใต้สลัวยังพิศเห็นปรางค์นวลแดงระเรื่อ มือน้อยเรียวบางจับผ้าจุ่มน้ำในขันแล้วบิดผ้าพอหมาดก่อนค่อยพับทบขนาดพอเหมาะเริ่มไล่เช็ดท่อนแขนแกร่งด้วยเกรงจักสบเข้ากับตาคม
ขุนเดโชคล้ายสร่างเมามีสติรำลึกเหตุการณ์ได้อยู่หลายส่วน ทว่านอนนิ่งให้เจ้าร่างบางค่อยเช็ดตัวพลางคำนึงถึงเหตุการณ์เมื่อเจ้าคุณพ่อเรียกเข้าพบ
“พ่อไท พ่อเดช รู้ฤาไม่ เหตุใดพ่อจึงเรียกเจ้าทั้งสองมาว่ากล่าวตักเตือนเสียในยามนี้”
หลวงภูมีภักดีแลขุนเดโชเพียงหันมองหน้ากันด้วยความงุนงน ยังให้ผู้เป็นบิดาทอดถอนหทัยด้วยหนักใจหากจักกล่าวเรื่องต่อจากนี้
“เอาเถิด พ่อจักมิกล่าวอ้อมค้อมให้มากความ เจ้าทั้งสองยามพิศมองพ่อสินธุ์นั้นแฝงแววตารักใคร่ดังสิเหน่หาอยู่ในที พ่อขอเถิดหนา อันความรักเช่นนี้มิบังควรแม้นเพียงสักน้อย แม่หญิงลูกพระน้ำพระยาเท่าเทียมกับพวกเจ้าก็ล้วนมากมี มิถูกตาต้องใจเทียวหรือ กระนั้นหากจักมีเมียบ่าวสักเท่าใด พ่อก็มิขัดข้อง พวกเจ้าหยุดการอันจักคิดในใจเสียเถิด”
เมื่อได้ฟังคำเจ้าคุณพ่อ ชายหนุ่มทั้งสองก็ให้ตกตะลึงด้วยมิอาจคาดได้ว่าเจ้าคุณพ่อจักล่วงรู้ความในใจตนถึงเพียงนี้
“ลูกเห็นจะหักใจมิได้เสียแล้วขอรับ” ขุนเดโชใคร่ครวญเพียงครู่จึงเอ่ยแก่บิดาด้วยความสัตย์จริง
“ถือว่าพ่อขอเถิด ครั้งเมื่อพ่อให้สหายเจ้ามาอยู่เรือนก็ให้ครุ่นคิดถึงยามเจ้าออกเรือน ผู้ใดจักคอยกระเตงดูแลสหายได้ชั่วชีวี หากมีลูกเมียจักลำบากเอาการ กระนั้นพ่อกลับมินึกอื่นใดนอกจากตามใจด้วยเห็นเจ้าเติบใหญ่แล้วหนา หากล่วงรู้ความในใจเจ้าเสียแต่คราแรก พ่อคงมิยินยอมเป็นแน่”
ขุนเดชถึงกับอับจนด้วยคำพูด มิอาจเอ่ยอันใดพลางครุ่นคิดด้วยหนักใจ
พระยามณูปกรณ์เห็นบุตรชายนิ่งเงียบไม่ตอบคำก็จึงเอ่ยด้วยจักตัดไฟเสียแต่ต้นลม
“หากพวกเจ้ามิยอมเชื่อฟัง แม้นพ่อจักเอ็นดูพ่อสินธุ์สักเพียงไร ก็ย่อมกระทำการอันพวกเจ้ารู้แก่ใจ”
สัมผัสเปียกชื้นเย็นวาบเข้าแนบแก้มแลกลิ่นมะลิหอมเย็นชื่นใจเตือนให้ขุนเดโชมองสบยังตากลมที่หลุบลงต่ำในทันใด
มือใหญ่จับกุ่มมือน้อยที่บัดนี้กำผ้าเนื้อบางแนบใบหน้าคม
เพียงกระตุกแขนเข้าหาตัว เจ้าร่างน้อยก็ซวนเซเข้าปะทะอกกว้างด้วยเพียงยืนเข่ามิใคร่มั่นคง
เจ้าร่างบางที่บัดนี้นั่งพับเพียบใช้มือสองข้างดันอกแกร่งพลางก้มหน้าซ่อนแก้มแดงระเรื่อ
ขุนเดโชพิศเจ้าน้องน้อยด้วยแววตารักใคร่อย่างปิดไม่มิด ในหทัยก็ให้ครุ่นคิดว่าด้วยเหตุใดตนจึงละทิ้งเจ้าร่างบางไปเสียได้หลายวัน ยามกลับถึงเรือนก็เพียงตระคองกอดเจ้าร่างน้อยแนบอก ทว่ายังมิทันรุ่งสางก็ให้กระวีกระวาดเร่งลงเรือนด้วยคิดหักใจ
ทว่าเพลานี้คล้ายจักอัดอั้นคับใจจนมิอาจทานทนเสียแล้ว ทั้งกรุ่นกลิ่นมะลิแลเนื้อนิ่มแนบกายดังยั่วยวนใจ ร่างน้อยที่โต้ตอบอย่างมิรู้ประสายังท่าทีกล้ากลัว ทว่าก็มิได้ขัดขืน
แลด้วยกายไปไกลกว่าใจนึก ขุนเดโชจึงเพียงไล้ต้นแขนอ่อนแผ่วเบา ครั้นใบหน้านวลเงยขึ้นก็สบเข้ากับแววตาหวาน ทั้งวงหน้าหล่อเหลาขยับเข้าใกล้ก้มประกบริมฝีปากให้หวาบหวามในอก
"กอดประทับกับกายสายสวาท
นุชนาฏถนอมจิตสนิทสนอง
เสน่ห์แนบแอบเอียงเคียงประคอง
ตามทำนองสองสนิทไม่บิดพลิ้ว
อัศจรรย์หวั่นไหวไม่เร่งรัด
เป็นลมพัดเรื่อยเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยฉิว
ช่อใบไม้ไหวกระดิกริกริกริ้ว
ระหวยหิวหอบระเหยเลยหลับไป"
(พระอภัยมณี)
..........................
ไหนๆก็เป็นแนวย้อนยุคแล้ว ขอบทอัศจรรย์เป็นบทกลอนให้สมจริงกันสักกะหน่อย(
แต่ไม่สามารถแต่งเอง ไปยืมท่านสุนทรภู่มาค่ะ) ความจริงสมัยอยุธยาเค้าจะฮิตแต่งโคลงกัน แต่ว่าบทอัศจรรย์แบบโคลงอิ๋งอ่านแล้วมันรู้สึกอึกๆอักชอบกล เลยเอาแบบกลอนดีกว่าเนอะ
ส่วนเรื่องทายคนในอดีตชาติ จะขอเฉลย ณ บัดนี้
๑.เจ้าสินธุ์ คือน้องน้ำ
๒.ขุนเดโช คือนายคี
๓.หลวงภูมีภักดี คือพี่ภู
๔.ขุนทัพไพรีพ่าย คือจอมทัพ
๕.หมื่นรามราชเดช คือชายฟิว
๖.นางรื่น คือพี่ธาร
๗.แม่พิศ คือพี่อร
๘.แม่หญิงแพง คือนังพราว
๙.แม่หญิงมะลิ คือน้องเกด
@ คุณ takara เป็นค่ะ เป็นอะไรอยู่มากเชียวค่ะ หลังแตกเป็นแนวยาวเลือดอาบด้วยค่ะ
@ คุณ kasarus ง่า โอ๋ๆ อย่าพึ่งร้องนะคะ พี่เดชกลับมาช่วยได้ทันท่วงทีแล้วค่ะ อิ๋งว่าถ้าโดนไปสี่สิบทีนี่คงถึงตายเลยล่ะค่ะ ถ้าไม่ตายคาหวายก็ตายเพราะทนปวดแผลไม่ไหวแน่ๆ ขอบคุณสำหรับการร่วมสนุกนะคะ คนที่ทายมาถูกทุกคนเลย
ส่วนคนที่เหลืออิ๋งว่าคงเดายากจริงๆ
@ คุณ suck_love 5555 รวมกันทั้งบ่วงทั้งนางทาสไปเลยเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องร่วมสนุกเดาได้สองคนที่เป็นพระนายก็เยี่ยมแล้วค่ะ
ในที่สุดพ่อขุนเดชก็กลับมาช่วยเจ้าน้องน้อยได้ทันท่วงทีก่อนจะตายคาหวาย แต่พี่เดชไม่ได้ทำโทษแม่แพงด้วยเห็นเป็นน้องสาวอันเป็นที่รัก
เอ แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่ายังเป็นน้องสาวสุดรักรึป่าวนะคะ(ทำตัวร้ายกาจไว้เยอะเชียว)
ปล.
@ คุณ nongrak ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ตอนนี้พี่เดชสั่งเด็ดขาด เข้ากรุไปเรียบร้อย และพี่เดชก็กลับมาช่วยเจ้าน้องน้อยได้ทันท่วงที ตอนนี้เลยหวานแหวว
เอ คงหวานอยู่นา