ตอนที่ 37 ....60%
ท่ามกลางความมืดในห้วงราตรีกาลที่ทุกสรรพชีวิตกำลังลอยล่องในห้วงแห่งฝัน ผมรับรู้ได้ว่าร่างกายของตัวเองกำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ รอบด้านเป็นสีดำสนิท มันดำมืดจนผมมองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง
!!
และไม่กี่วินาทีถัดมา คล้ายกับร่างทั้งร่างถูกกระชากตกจากที่สูงก่อนผมจะสะดุ้งตื่น!
ผมยกมือขึ้นวางทาบหน้าอกข้างซ้ายแล้วกุมมันไว้ ใต้ฝ่ามือสัมผัสได้ถึงก้อนเนื้อที่กำลังเต้นรัว ดวงตาเบิกโพลงกรอกมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง ครั้นเมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอน ไม่ได้อยู่ในที่แปลกตาอย่างที่นึกหวั่น อาการตระหนกก็ค่อยๆลดลงพร้อมกับจังหวะการเต้นของหัวใจจะค่อยๆเข้าสู่สภาวะปกติ
เมื่อคืนกว่าผมจะข่มตาหลับได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย
ครับ มันไม่ง่ายเลย
‘ทำไมยังไม่นอน’
..เพราะเสียงนี้ แค่หลับตามันก็ตามมาหลอกหลอน ดังวนซ้ำไปมาก้องในหู จนสุดท้ายมันก็ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมากลางดึก
ผมขยับกายเปลี่ยนเป็นนอนหงาย เบนสายตามองไปยังหน้าต่าง ท้องฟ้ายังมืดสนิทไร้วี่แววของแสงแรกยามตะวันดวงโตโผล่พ้นม่านฟ้า ผมหันหน้ากลับมายังโต๊ะหัวเตียง ยื่นมือไปกดนาฬิกาดิจิตอลเพื่อให้ไฟที่หน้าปัดสว่างเพื่อจะได้ดูเวลา ผมถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเมื่อเห็นตัวเลขภายในกรอบสี่เหลี่ยมชัดๆ
03:40 AM.
ผมรู้ดีว่า ครั้งนี้ต่อให้ฝืนข่มตาหลับยังไงผมก็คงไม่หลับแน่ๆ
มือผละออกจากหน้าอกตัวเองแล้วลูบหน้าที่เย็นชืดจากไอเย็นของแอร์คอนดิชั่นก่อนพลิกตัวนอนตะแคงมองโทรศัพท์ ต้นเหตุที่ทำให้ตาค้างอยู่อย่างนี้
ผมมองมันเนิ่นนาน
ไม่รู้ว่าตั้งแต่ที่ถอดสายโทรศัพท์ออก เขาจะยังโทรเข้ามาอยู่หรือเปล่า แต่ผมคิดว่าคนอย่างเขาไม่มีความพยายามมากขนาดที่จะตั้งหน้าตั้งตาโทรทั้งที่รู้ว่าต่อให้โทรสักกี่สิบรอบก็ไม่มีวันติดแน่ๆ
...ทว่าคิดเพียงแค่นั้น มือก็เผลอกำผ้าห่มผืนหนาแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
.
.
เผลอเพียงครู่เดียวเสียงนกน้อยก็ดังมาให้ได้ยินแว่วๆพร้อมกับแสงแรกของอรุณที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างส่งผลให้ภายในห้องค่อยๆสว่างขึ้นทีละน้อย ผมหลับตาลงและปิดเปลือกตาค้างไว้อย่างนั้นก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้งด้วยความอ่อนล้า
คล้ายกับเส้นเลือดบริเวณขมับเต้นตุบๆ จนผมต้องใช้นิ้วมือนวดคลึงอยู่พักใหญ่ ร่างกายอ่อนเพลียเมื่อมันไม่ได้รับการพักผ่อนมากพออย่างที่ควรเป็น คลับคล้ายคลับคลาเหมือนได้นอนเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น
หน้าปัดนาฬิกาตีบอกเวลา 06:00 AM. ..ยังเหลือเวลานอนอีกเล็กน้อย
น่าแปลกที่เมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า จิตใจของผมก็รู้สึกสงบขึ้น ไม่เหมือนกับเวลาที่ดวงจันทร์ลอยเด่นบนนภา
ผมปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ก่อนจะผล็อยหลับไปในเวลาอันรวดเร็ว
.
.
ก๊อกๆ
โสตประสาทเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงรบกวน ลูกตาขยับไหวทั้งที่เปลือกตายังคงปิดสนิท
“ต้าลูก”
ก๊อกๆๆ
“..อืมม” ผมพยายามตอบรับเสียงเรียกนั้น ทว่ามันก็ฟังดูเบาเกินกว่าที่คนที่อยู่หน้าห้องจะได้ยินได้
“ต้า ตื่นหรือยังลูก”
เป็นเสียงของแม่ ผมจำได้ดี ผมฝืนลืมตาตื่นขึ้นมา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ข่มความเพลียแล้วยันกายลุกขึ้นจากเตียงเดินไปหมุนลูกบิด ใช้มือเกาะขอบประตูค้ำร่างไว้ไม่ให้ฮวบลงพื้น
“ตื่นแล้วครับ” พูดตอบด้วยเสียงที่คิดว่าเป็นปกติ แต่มันกลับยานคางโดยไม่ตั้งใจ ผมยิ้มรับเมื่อมือนุ่มของแม่ยื่นมาลูบแก้มแผ่วเบาก่อนผมจะยกมือขึ้นวางทาบหลังมือนุ่มแล้วกุมแนบแก้มไว้
“เมื่อคืนนอนดึกล่ะสิท่า ยังเช้าอยู่ ไปนอนต่อสิเรา”
ผมส่ายหน้าไปมา แล้วถามกลับ
“แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ตอนแรกแม่ว่าจะมาชวนเราไปจ่ายตลาด แต่สภาพอย่างนี้ไม่น่าจะไปไหว” เสียงนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนมือข้างนั้นจะตบแก้มผมเบาๆ ผมยู่หน้าแล้วเบนหลบ
“ต้าไปด้วย”
“ตาเนี่ยแทบจะลืมไม่ขึ้นอยู่แล้ว ไปนอนต่อไป พรุ่งนี้ค่อยไปเป็นเพื่อนแม่ก็ได้”
“แม่ไปคนเดียวได้เหรอ”
แม่ยิ้มอ่อนใจ มือนุ่มขยี้ผมของผมไปมาก่อนจะไล่ให้ผมกลับไปนอนต่ออีกครั้ง
ผมมองตามแผ่นหลังบางของแม่ที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ มองไปจนลับสายตาแล้วกลับเข้าไปในห้อง ก่อนทิ้งกายลงนอนบนตั่งเตียง ทั้งแขนและขาก่ายรัดหมอนข้าง หลับตาลงเตรียมเดินทางสู่ดินแดนความฝันอีกครั้ง
JIM Part
“ดูสิ สายโด่งขนาดนี้แล้ว เจ้าลูกคนนี้ก็ยังไม่ตื่นสักที”
เสียงบ่นรำพึงดังมาจากคนข้างตัวทำให้มือของผมที่กำลังล้างผักชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อหัวข้อสนทนาวกเข้ามาเกี่ยวข้องกับใครคนนั้น
“พ่อคะ ไปดูลูกให้แม่ที”
เธอเอี้ยวตัวหันไปหาชายวัยกลางคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่โต๊ะรับประทานอาหาร นัยน์ตาหลังกรอบแว่นของผู้เป็นสามีละจากหน้ากระดาษ ทว่าก่อนมือหนาจะทันได้รวบพับหนังสือพิมพ์เข้าหากันผมก็รีบพูดโพล่งออกไปก่อน
“ให้ผมไปปลุกให้เอาไหมครับ”
หญิงวัยกลางคนที่กำลังง่วนกับการหั่นผักผินหน้ามามองผม เพราะเธอมองมานิ่งๆเลยทำให้ผมอดรู้สึกประหม่าไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังมองกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ
ความเงียบคืบคลานผ่านเข้ามา มันเป็นเวลาไม่ถึงนาที แต่สำหรับผมแล้วช่วงเวลาที่รอคอยคำอนุญาตจากเธอมันนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ และแล้วคำตอบที่ผมรอคอยก็มาถึง..
“งั้นต้องพึ่งพ่อจิมแล้วล่ะ ส่วนผักแช่ไว้อย่างนั้น เดี๋ยวแม่ล้างต่อเอง” เธอพูดพลางเผยยิ้มละมุน ผมยิ้มตอบก่อนจะผละมือจากผักสีเขียวแล้วเช็ดมือกับผ้าที่เธอยื่นส่งให้ แล้วเดินไปยังบันไดที่มือเรียวชี้บอกทาง
ถ้าไม่ได้คุณอนุชิตผมคงไม่มีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ การที่ผมได้ช่วยเธอไว้จากการที่เธอโดนล้วงกระเป๋าสตางค์นั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ เรียกว่านั่นเป็นหนึ่งในสถานการณ์ที่ผมสร้างขึ้น
เพราะไม่รู้ว่าจะหาวิธีเข้าใกล้มันยังไง เมื่อคุณอนุชิตเสนอทางเลือกนี้มา ผมจึงไม่ลังเลที่จะคว้าไว้ ก็นับว่าไม่เสียแรงเปล่าที่สู้อุตส่าห์ให้คุณอนุชิตตามสะกดรอยคอยดูพฤติกรรมของหญิงวัยกลางคนทุกเช้าเย็น และหากไม่ลงมือวันนี้ โอกาสที่ผมจะได้เข้าใกล้มันคงไม่มีอีกต่อไป
ต้องวันนี้เท่านั้น
ผมชะงักฝีเท้าเมื่อขึ้นมาถึงชั้นสองของบ้าน สายตามองประตูห้องสองห้อง ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าบานประตูที่มีป้ายไม้แขวนชื่อของคนที่ผมอยากเจอ ไม่รอช้าที่จะเอื้อมมือไปจับลูกบิดแล้วหมุนเปิด ..ในอกวูบพลันเต้นรัวเมื่อพบว่าประตูบานนี้ไม่ได้ลงกลอนอย่างที่นึกหวั่น
ผมค่อยๆหมุนลูกบิดและดันประตูเปิดเข้าไปอย่างเงียบเชียบที่สุด ไอเย็นของอากาศในห้องโฉบเข้าปะทะหน้า สายตามองกวาดเข้าไปเพื่อมองหาเป้าหมาย และเมื่อเจอผมก็หยุดสายตาไว้ที่ตรงนั้น ..บนตั่งเตียงที่มีร่างของเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังนอนหลับพริ้ม
คล้ายกับถูกแรงดึงดูด ..ผมเดินเข้าไปหาร่างนั้นโดยไม่ลืมปิดประตูขณะที่สายตาจ้องมองนิ่งไม่ผละไปไหน ทุกย่างก้าวแผ่วเบาราวกับกำลังเดินบนพื้นไม้ กลัวว่าเสียงฝีเท้าจะดังเกินไปจนปลุกร่างนั้นให้ผวาตื่น
ผมทิ้งกายนั่งลงยองๆอยู่บนพื้นข้างเตียง สายตามองใบหน้านวลที่กำลังหลับใหลนิ่งๆ อยากจะยื่นมือเข้าไปสัมผัส แต่ก็กลัวว่าหากแตะต้องเพียงนิดเดียว ร่างตรงหน้าจะหายวับไปกับตา
อดคิดไม่ได้ว่าหากนัยน์ตาคู่นั้นลืมตื่นขึ้นมาเห็นกัน มันจะทอประกายแบบไหน
อาจเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างที่ผมนึกหวั่น
ผมนั่งมองมันอย่างนั้น ไม่คิดปลุกมันอย่างที่ได้รับปากกับสองสามีภรรยาข้างล่าง ..อยากจะยืดเวลาที่ได้อยู่ใกล้มันแม้เพียงนาที ..ไม่ได้แตะ ขอเพียงแค่ได้มองก็ยังดี
ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าริมฝีปากอิ่มของคนที่กำลังดำดิ่งในห้วงฝันเผยยิ้มละไม ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังฝันอะไร แต่เพราะรอยยิ้มนั้นทำให้ผมล้วงมือลงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ปลายนิ้วสัมผัสหน้าจอกดเข้าแอพกล้องถ่ายรูป ผมมองหน้าจอที่ตอนนี้โฟกัสภาพคนตรงหน้าแล้วกดถ่ายภาพของมันไปเสียหลายภาพ
สายตามองภาพนิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์พลางใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไล้โคลงหน้าเรียวผ่านจอทัชสกีนด้วยความถวิลหา ทั้งที่มันอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ แต่ผมกลับไม่มีความกล้ามากพอที่จะสัมผัสมัน
“อ อื้อ..”
เสียงครางเครือที่ดังลอดจากลำคอเพรียวดึงสายตาผมให้ละจากหน้าจอ ก่อนจะรีบเก็บโทรศัพท์ลงที่เดิม ด้วยกลัวว่าหากเปลือกตาสีน้ำนมเปิดปรือขึ้นมาแล้วเห็นว่าผมฉวยโอกาสตอนที่มันหลับแอบถ่ายรูปไว้ จะทำให้อีกคนโกรธเคืองถึงขั้นลบรูปทิ้ง
แพขนตาสีดำสนิทที่เรียงตัวหนาค่อยๆขยับไหวเล็กน้อยก่อนจะเปิดปรืออย่างเชื่องช้า หัวใจผมเริ่มเต้นผิดจังหวะด้วยความลุ้นระทึก
ไม่ช้านาน นัยน์ตาคู่นั้นก็ลืมตื่น มือขาวยกขึ้นขยี้ตาอย่างงัวเงีย ผมมองภาพนั้นโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามุมปากตัวเองกำลังขยับเป็นรอยยิ้มบางๆ ดูท่าว่าอีกคนจะไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียว
“ตื่นสายแล้วยังขี้เซาอีกนะ” กว่าจะรู้ตัวก็เผลอพูดเย้ามันไปแล้ว ยังผลให้คนบนเตียงหยุดนิ่งทุกอิริยาบถก่อนใบหน้านวลจะตวัดหันมามองกัน นัยน์ตาคู่นั้นปราศจากความง่วงงุน มันค่อยๆเบิกกว้างขึ้นทีละน้อยและนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น
“...”
ปากอิ่มขยับพะงาบ ไร้เสียงที่เล็ดลอดออกมาคล้ายกับเจ้าตัวกำลังอึ้งและทำอะไรไม่ถูก ผมย้ายนิวาสถานตัวเองจากที่นั่งยองๆที่พื้น เคลื่อนไปทิ้งกายนั่งบนเตียงเดียวกับมันยังผลให้คนที่นอนแผ่เด้งกายลุกขึ้นนั่งแล้วกระถดตัวถอยหลังหนีเป็นพัลวัน
ผมไม่รุกไล่ตาม ทำเพียงมองเฉยๆ ในอกอดรู้สึกแปลบไม่ได้เมื่อเห็นการถอยหนีอย่างนั้น
“เข้ามาได้ยังไง”
มันเอ่ยถามด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง นัยน์ตากลมล่อกแล่กกวาดมองไปรอบห้อง ก่อนไถลตัวลงจากเตียงก้าวลงไปยืนบนพื้น มองผมด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
ผมไม่สนใจที่จะตอบคำถามนั้น เคลื่อนตัวลงไปยืนบนพื้นไม้ปาเก้เต็มความสูง และเพียงแค่ผมหยัดยืน ร่างของอีกคนในห้องก็ดูจะเกร็งเครียด หน้านิ่วคิ้วขมวดและยิ่งก้าวถอยหลังหนีห่างออกไปทั้งที่ผมไม่ได้ขยับกายเดินเข้าใกล้เลยแม้แต่ก้าวเดียว
“คุณเข้ามาในบ้านผมได้ยังไง”
มันถามย้ำคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้
“ถ้าอยากรู้ขนาดนั้นก็เข้ามาใกล้ๆพี่สิ” เลือกที่จะไม่พูดคำหยาบใส่มันเหมือนที่เคย และไม่เพียงมันจะเข้ามาใกล้ตามที่ผมบอก ขาเรียวกลับยิ่งถอยหลังมากกว่าเดิมจนบั้นท้ายชนกับโต๊ะเขียนหนังสือ ใบหน้ามนเหลียวหันกลับไปมองด้านหลังเล็กน้อย มือขาวจับยึดโต๊ะออกแรงบีบจนผมสังเกตได้ว่าแขนเรียวกำลังเกร็งจนสั่น นัยน์ตากลมตวัดหันกลับมามองผมคล้ายกับสัตว์ตัวน้อยที่กำลังจ้องสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่าด้วยความระวังภัย
“ทำไมล่ะ? ไม่อยากรู้แล้วรึไง” ถามพลางเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างช้าๆ ยิ่งเห็นฟันขาวที่เรียงตัวกันเป็นระเบียบขบกัดปากอิ่มจนห้อขาว ความอยากแกล้งก็พุ่งพล่านจนยากระงับ ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรกระตุกหนวดแมวเพื่อไม่ให้แมวตัวน้อยยิ่งหงุดหงิดและพาลโกรธไปมากกว่านี้ แต่มันก็สะกดกลั้นอารมณ์ยากเต็มทน
ผมเดินไล่ต้อนอีกฝ่ายที่ได้แต่กรอกตามองอย่างไร้ทางหนีจวบจนยืนเผชิญหน้าห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว
“อย่าหนี” คำสองพยางค์หลุดออกจากปากพร้อมกับมือที่โฉบไปคว้าจับแขนเรียวไว้เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะพุ่งตัวไปให้พ้นจากอาณาเขตที่ผมเอื้อมถึง ผมรั้งร่างนั้นเข้าหาตัวจนตอนนี้ระยะหดสั้น ใบหน้านวลแทบจะชิดติดอกผม
“ปล่อย” มันร้องพร้อมทั้งบิดแขนข้างที่ถูกผมจับ อีกมือยกขึ้นดันหน้าอกผมแล้วเบี่ยงตัวถอยหลัง ทิ้งระยะห่างมากกว่าเดิม
หากมันอยากออกห่าง ผมเองก็ไม่รั้งหรือดึงดันฝืนไว้ เพียงแต่มือที่จับแขนมัน ผมไม่คิดปล่อย
“จะคุยกับพี่ดีดีไม่ได้หรือไง”
“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ”
“แต่พี่มี”
“ไม่คุย!”
“ต้า” พูดดุเมื่ออีกคนไม่มีทีท่าจะรับฟังกัน ไม่เพียงแต่มันไม่กลัว มันกลับแสดงท่าทีต่อต้านมากขึ้นโดยการพยายามสะบัดแขนให้หลุดจากการจับกุม
“ต้า!”
ผมขึ้นเสียง เผลอบีบต้นแขนอย่างแรงจนมันนิ่วหน้า เมื่อรู้ตัวว่าเผลอกระทำรุนแรงมือข้างนั้นจึงผ่อนปรนลง
.
.
TA Part
“สามนาที”
ที่หยิบยื่นโอกาสให้เขาไม่ใช่เพราะกลัวเสียงตวาด เพียงแค่ส่วนลึกในใจอยากรู้ว่าเขามาเพื่ออยากจะพูดอยากจะบอกอะไรกับผมกันแน่
“ผมให้เวลาคุณสามนาที พูดธุระของคุณมา หลังจากนั้นออกไปจากบ้านผม ...และออกไปจากชีวิตของผมซะ”
พูดเพิ่มเติมเมื่อเห็นว่าคิ้วเข้มของเขาเลิกสูงเป็นเชิงถาม ทันทีที่พูดจบ เขาก็ปล่อยแขนผมเป็นอิสระก่อนมือข้างนั้นจะตกอยู่ข้างลำตัวหนา ผมลอบกลืนน้ำลายหนืดคอเมื่อผิวเนื้อที่เคยอุ่นร้อนจากอุณหภูมิของฝ่ามือหนาถูกแทนที่ด้วยอากาศเย็นเยือกที่ลอยวนรอบตัว
ผมลูบต้นแขนแผ่วเบา เรียกความอบอุ่นให้กลับมา..
“พี่ขอโทษ..”
ผมชะงักพลางลดมือลงข้างลำตัว พร้อมรับฟังทุกสิ่งที่เขาจะพูดต่อจากนี้
“พี่รู้ว่าต่อให้พูดคำว่าขอโทษมากสักกี่สิบกี่ร้อยครั้ง ต้าก็คงจะไม่ยกโทษให้ แต่ถึงอย่างนั้นพี่ก็ยังอยากจะพูด ..พี่ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา..”
ใบหน้าราบเรียบของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มบางๆบนริมฝีปาก ผมมองมันอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าเขากำลังยิ้มอะไร แต่สงสัยได้ไม่นานเสียงทุ้มก็ค่อยๆเอื้อนเอ่ย
“..เรื่องนึงที่ต้าคงไม่รู้ แม้แต่ตัวพี่เองก็ยังไม่อยากจะเชื่อมัน ... เรื่องความรักเป็นเรื่องที่ไกลตัวมากสำหรับพี่ พี่ไม่คิดว่าจะได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้นอีก จนถึงตอนนี้พี่ก็ยังไม่อยากเชื่อว่าความรู้สึกนั้นกำลังเกิดขึ้นอีกครั้งกับเด็กผู้ชายอย่างนาย ..จริงอยู่ที่ระยะเวลาไม่ถึงอาทิตย์ไม่น่าจะพอที่ทำให้เกิดความรักได้ แต่มันมากพอที่ทำให้เกิดความรู้สึกดีๆ ตอนนี้คำจำกัดความของความรู้สึกนี้คืออะไรพี่เองก็ยังไม่แน่ใจ อาจตกหลุมรัก รัก ชอบ หรือว่าถูกใจก็ล้วนแล้วแต่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเด็กอย่างนายคนเดียว และมันก็เพิ่มขึ้นทุกวัน จนพี่ไม่รู้ว่าควรจัดการกับมันยังไง..”
ราวกับถูกกระแทกด้วยลูกตุ้มยักษ์ใหญ่จนพาลให้ร่างกายนี้แทบเซซวน ถ้อยคำที่เขากำลังพูดวิ่งวนในหัว และมันกระชากหัวใจของผมให้เต้นผิดจังหวะเข้าไปทุกวินาที..
“ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าพี่จะยอมรับตัวเองได้ คนอายุ 27 ที่อีกไม่กี่ปีก็จะย่างเข้าเลข3 กับเด็กผู้ชายที่ตอนนั้นอายุเพียง 9 ขวบ มันทำให้พี่รู้สึกเหมือนพรากผู้เยาว์ไม่มีผิด” เสียงทุ้มหัวเราะแผ่วในลำคอ ก่อนพูดต่อ “การยอมรับตัวเองมันไม่ง่ายจริงๆ และตอนนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพี่ที่จะต้องมาพูดสิ่งที่คิดต่อหน้านาย ทั้งที่ที่ผ่านมาพี่ไม่จำเป็นต้องพูดพี่ก็ได้รับความรักมากมาย ต่างกับตอนนี้ที่ถึงพูดไป พี่ก็รู้ตัวดีว่าคงไม่ได้รับความรู้สึกนั้นตอบกลับมา”
หัวใจที่เต้นผิดจังหวะก่อนหน้านี้ค่อยๆผ่อนอัตราการเต้นให้ช้าลงๆ
“พี่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ทุกอย่างถึงจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม เหมือนก่อนหน้านี้”
รับรู้ได้ว่าหัวคิ้วของตัวเองขมวดชนกันเมื่อความเจ็บแปลบแล่นวาบไปทั้งใจราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นกอบกุมก้อนเนื้อแล้วบีบไว้แน่น
ความสับสนเริ่มก่อตัวไม่ต่างกับท้องฟ้าที่เริ่มปั่นป่วนก่อนฝนตก..
ผมตอนนี้ กับผมในตอนนั้น แบบไหนคือคนที่เขากำลังพูดถึง“จี้ที่อยู่ที่คอนโดอยากได้คืนไหม?”
เป็นประโยคคำถามที่ผมไม่มีคำตอบให้ เพราะในหัวยังครุ่นคิดกับคำถามที่ตัวเองยังคาใจ
“อยากได้ตัวใหม่ไหม? จะตัวใหญ่กว่าเดิม หรืออยากได้อีกสักกี่สิบตัวพี่ก็จะซื้อให้”
นิ้วทั้งสิบเริ่มกำเข้าหากัน ปลายเล็บกดลงบนฝ่ามือตัวเองขณะฟังสิ่งที่เขาพูดเรื่อยๆ
“หรืออยากได้อย่างอื่น? พี่จะหามาให้ ไม่ว่าจะแพงเท่าไหร่หรือเป็นของหายากแค่ไหนก็ตาม ขอแค่บอกมา พี่จะซื้อให้ทุกอย่าง”
“เพื่ออะไร” ถามแล้วมองคนตรงหน้านิ่งๆ เงินทองหรือสิ่งของที่เขาหวังจะประเคนให้มันไร้ความหมายสำหรับผม ผมไม่ได้ต้องการสิ่งของพวกนั้น
“เผื่อว่าพี่จะได้นายกลับคืนมาล่ะมั้ง”
ได้ยินเสียงหัวเราะดังลอดจากปากหยัก หากแต่นัยน์ตาคู่นั้นไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย ผมเหลือบมองนาฬิกาก่อนจะเบนสายตามาที่เขาเหมือนเดิม
“หมดรึยังธุระของคุณ”
เมื่อเห็นเขาชะงัก ผมก็ไม่รีรอพูดต่อทันที
“ถ้าคุณพูดจบแล้วก็โปรดรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผมด้วย” ผมพูดพลางจ้องลึกเข้าไปในแววตาคู่นั้น ก่อนจะพูดต่อโดยเน้นชัดทุกถ้อยคำ
“ออกไปจากห้องผมซะ”
ผมยังคงยืนนิ่ง รอให้เขาเป็นฝ่ายเดินจากไป แต่จนแล้วจนรอดร่างนั้นก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
ริมฝีปากเหยียดยิ้มหยัน พลันหมุนกายหันหลังให้กับเขาและเลือกเป็นฝ่ายที่เดินออกจากห้องนี้แทน
…
ทุกย่างก้าวหนักอึ้งราวกับข้อเท้าถูกถ่วงด้วยหินก้อนใหญ่
รอยยิ้มบนริมฝีปากค่อยๆหายไปเมื่อรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งไร้ความหมาย ยิ้มทำไม.. ในเมื่อตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกอยากยิ้มแม้แต่น้อย พลันเมื่อขาก้าวพ้นออกจากห้องก็คล้ายกับความเข้มแข็งทั้งมวลได้มลายหายไป ผมทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าอยู่หน้าห้อง.. ก้าวเดินต่อไปไม่ไหว
ผมไม่ได้ทำอะไรผิด
ผมไม่ได้เลือกอะไรผิด
..ผมแค่เลือกทางเดิมแบบที่ผมเลือกมาตั้งแต่แรก
ผมไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาด…
และผมจะไม่เสียใจภายหลัง...
ผมได้แต่บอกตัวเองซ้ำไปมา
ผมไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมอ่อนแอ แต่ขาของผมก็ไม่มีแรงมากพอจะพาผมให้เดินไปไกลกว่านี้ ..ถ้าเขาเดินออกมา เขาก็จะมองเห็นผมได้โดยง่าย และเมื่อถึงเวลานั้น.. ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีแรงเดินหนีหรือปฏิเสธเขาได้อย่างไร
ผมกดใบหน้าลงซบต้นแขนเมื่อสัมผัสได้ว่าขอบตาร้อนผ่าวและน้ำร้อนสีใสค่อยๆกลั่นตัวไหลออกมาช้าๆ
..ผมไม่รู้ว่าผมกำลังเป็นอะไร ผมตอบไม่ได้
แค่รู้สึกว่า หลังจากวันนี้ไป ผมจะไม่ได้พบเขาอีก
ผมไม่เข้าใจตัวเอง ..ทั้งที่ผลักไสมาตลอด ทำไม ลึกๆในใจถึงไม่อยากให้เขาหายไป
.
.
เวลาเดินไปเรื่อย จากวินาที เป็นนาที..
จากหนึ่งนาที เป็นสอง สาม.. และหลายนาทีจนผมเริ่มเดาไม่ถูก แต่มันคงนาน เพราะขาของผมตอนนี้เริ่มชา และอีกไม่นานเหน็บคงจะกินจนลามไปทั้งขา ผมเงยหน้าจากแขนตัวเอง ใช้ปลายนิ้วปาดเช็ดน้ำตาก่อนจะค่อยๆหยัดกายขึ้นยืน เหลียวมองประตูบานนั้นอีกครั้งก่อนริมฝีปากจะบิดยิ้มไร้ความหมาย สองขาก้าวเดินลงไปชั้นล่างที่มีพ่อและแม่รออยู่
ผมอาจเหนื่อย
ผมอาจหมดแรง
ผมอาจใจอ่อน
..แต่พักเพียงไม่นานพละกำลังของผมก็จะกลับมา นั่นทำให้ผมสามารถเดินต่อไปในเส้นทางเดิมที่เลือกไว้ได้อีกครั้ง
ไม่เป็นไร เพียงแค่คนๆหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ไม่เป็นไร.. JIM Part
ผมมองถนนเบื้องหน้าและปล่อยให้รถวิ่งไปเรื่อยๆโดยไม่คิดจะเหยียบคันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็ว สายตาเหลือบมองกระจกมองหลังก่อนผละมามองพื้นลาดยางตรงหน้า
มันตัวเล็กเพียงแค่ไหล่ของผม แต่ใจกลับแข็งจนผมไม่รู้ว่าจะหาวิธีไหนมาทำให้มันใจอ่อนลงได้
คนอย่างผมไม่เคยง้อใคร ไม่เคยคิดหาวิธีอยากจะคืนดีกับใครมาก่อน.. ผมไม่เคยต้องไล่ตามใคร ไม่เคยต้องวิ่งเต้นไปตามเกมส์ที่ลวงขึ้นเพื่อให้ได้เข้าใกล้ใคร และไม่เคยต้องเป็นฝ่ายรอคอยอย่างนี้ ไม่เคยแม้แต่นั่งกดหมายเลขโทรศัพท์เดิมๆซ้ำๆเกือบค่อนคืนทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต่อให้โทรยังไงก็ไม่มีวันโทรติด
มัน เป็นเพียงคนเดียว
นับเป็นครั้งแรกที่ถูกเวลากดดัน.. เวลาที่ผมมีอยู่ตอนนี้มันสั้นเกินไป
สั้นเกินกว่าจะทำให้อีกคนใจอ่อนได้ยานยนต์สี่ล้อค่อยๆเคลื่อนห่างจากบ้านหลังนั้นไปเรื่อยๆ ยิ่งไกลมากเท่าไหร่ มือที่จับพวงมาลัยรถก็ยิ่งกำแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว ความเจ็บปวดที่ผมเตรียมใจรับไว้ดูเหมือนจะมากกว่าที่คิด
ข้ออ้างที่หยิบยกมาใช้เพื่อจะได้ไม่ต้องร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเป็นสิ่งที่ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย มีงานต้องเคลียร์เหรอ? ไม่มีหรอกครับ ผมทำเสร็จตั้งแต่เมื่อคืน ทุกอย่างต้องทำให้เสร็จเพื่อที่วันนี้ผมจะได้มีเวลาว่างมาหามัน..
ทั้งที่อยากจะนั่งกินข้าวกับมันตามที่พ่อและแม่ของมันเอ่ยชวน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร ซ้ำร้าย หากผมดึงดันที่จะร่วมโต๊ะด้วย อาจทำให้มันกินข้าวไม่ลง ยิ่งวันนี้ได้มาเจอมาเห็นมันก็ทำให้ผมรู้ว่ามันผอมลงไปมาก ต่างจากเมื่ออาทิตย์ก่อนโดยสิ้นเชิง
แก้มที่เคยยุ้ยจนเรียกว่าป่อง ตอนนี้กลับตอบเห็นเป็นโครงหน้าชัดเจน
Trrrrrrrห้วงความคิดสะดุดลงเมื่อเสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขัดขึ้น ผมล้วงหยิบมันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง เมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้า ปลายนิ้วก็สไลด์กดรับอย่างไม่ลังเล
“อยู่ไหน” ปลายสายถามขึ้น ก่อนที่ผมจะทันได้ส่งเสียงทักทาย
“กำลังกลับคอนโด”
“เป็นไงบ้าง”
“แย่มากเลยกานต์ น้องของพี่ถูกเมิน”
คิ้วย่นชนกันเมื่อแว่วได้ยินเสียงหัวเราะจากปลายสาย
“ขำอะไร” ถามเสียงขุ่นก็ทำให้อีกฝ่ายรีบปฏิเสธพัลวัน
“...” ผมเงียบใส่ และได้ยินเสียงกานต์กระแอมในลำคอก่อนพูดเปลี่ยนเรื่อง
“พรุ่งนี้พร้อมรึยัง เช็คของดูดีๆอย่าลืมอะไร”
“ถ้าผมลืมพี่ก็บินเอาไปให้ดิ แค่นี้คงไม่ลำบากพี่หรอก ใช่ไหม”
“หึ” ได้ยินแค่เสียงหัวเราะขึ้นจมูกที่ตอบกลับมา ผมขยับยิ้มมุมปากก่อนจะตบไฟเลี้ยว หักพวงมาลัยบังคับให้รถเลี้ยวไปตามมุมโค้งของถนน
“แล้วได้บอกน้องมันรึยัง”
“ยัง”
หัวคิ้วย่นเข้าหากันเล็กน้อย ความหน่วงในใจเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
“แล้วทำไมไม่บอก”
“...”
ไม่ใช่ว่าผมลืมบอกมัน ไม่ใช่หรอกครับ เพราะการที่ผมดั้นด้นมาหามันในวันนี้ก็เพื่อจะมาบอกเรื่องนี้โดยเฉพาะ แต่เมื่อได้มายืนอยู่ต่อหน้า สิ่งที่จะพูดจะบอกกลับถูกกลืนลงคอ หัวสมองว่างเปล่าและคิดอะไรไม่ออก อีกทั้งหากบอกไป.. ผมกลัวที่จะเห็นใบหน้าราบเรียบที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรของมัน
เวลาสามปีจะว่านานก็นาน จะว่าเร็วก็เร็ว
แต่สามปีต่อจากนี้ของผมคงไม่ต่างกับนรกบนดินผมคุยโทรศัพท์กับกานต์ต่ออีกสักพัก แรกๆก็เป็นการคุยตอบโต้กันสองฝ่าย ไปๆมาๆกลับเป็นกานต์ที่พูดอยู่ฝ่ายเดียวจนผมหูชาไปข้าง เกือบไม่มีสมาธิขับรถ
ตรู๊ด ตรู๊ด...สัญญาณโทรศัพท์ที่ดังเข้าโสตประสาทเป็นการบอกว่าอีกฝ่ายได้วางสายไปแล้ว แต่ดูเหมือนสติสตังของผมจะยังไม่เข้ารูปเข้ารอย ในหัวมีแต่เสียงของกานต์รีเพลย์ซ้ำไปมา
‘มึงโง่หรือว่าโง่วะ บทจะดื้อก็ดื้อด้านยิ่งกว่าลา บทจะเชื่องก็เชื่องฉิบหาย
กับแค่น้องไล่กลับมามึงก็ยอมง่ายๆหรือไง ตื๊อๆหน่อยไอ้จิม
บทสรุปจะเป็นยังไงกูไม่รู้ น้องจะยอมยกโทษคืนดีให้มึงไหมกูก็ไม่กล้ารับประกัน
แต่การจากกันโดยไม่บอกลาน่ะมันน่าเศร้านะ
ตอนทำเลวน่ะทำได้ พอจะทำดีเสือกคิดมาก เกิดเป็นน้องกูได้ไงวะ
กล้าๆหน่อย กับเด็กผู้ชายคนเดียวมึงจะกลัวอะไร?’
______________________
TALK :: มาแล้วววววววว รอกันนานไหม (ยังกล้าถาม) 5555
ช่วงนี้เป็นฤดูงานทับถมค่ะ หมดฤดูนี้ก็จะเข้าฤดูสอบ เย่ สู้ๆนะคะ ขอให้สอบได้ มั่วถูก 55555
เฮ้อ! นึกถึงตอนน้องต้าเป็นเด็กจริงๆ!! รู้สึกช่วงนั้นเป็นช่วงที่แต่งง่ายและไหลปรื๊ดมาก
ฉากหน่วงๆ ดราม่าๆ นี่มันยากจริงๆ รู้สึกหมดพลังงาน แต่งๆแก้ๆปรับๆพาร์ทนี้มาจนจำได้หมด จนคำผิดไม่มีแล้วมั้งน่ะ 555
ส่วนที่เหลือจะตามมาในเร็ววันค่ะ หากเรารู้สึกว่ามันโอเคแล้ว 555 (ตอนนี้มันยังไม่โออออ T^T)
ขอบคุณทุกการติดตาม ทุกการรอคอยมากน้า จ้วบบบ รักเลยยยยยย
ไว้เจอกันใหม่ค่ะ : )
PS. พาร์ทนี้ยืดไปไหม แอบรู้สึกว่าน้ำเยอะ แต่อย่างน้อยคงเห็นความชัดเจนในตัวพี่จิมกับน้องต้าขึ้นมาติ๊ดนึง