‘One night’ series
[Vampire]
[/b]
ตั้งแต่ใช้ชีวิตผีดูดเลือดฝึกหัดมานับสิบปี ยังไม่มีวันไหนที่ผมรู้สึกว่าการเป็นแวมไพร์มันยุ่งยากเท่าวันนี้...
วันที่ผมออกล่าเหยื่อครั้งแรก...
การหลบในมุมมืด เล็งเป้าหมายซึ่งกำลังเดินลำพังในที่เปลี่ยว ก่อนจะกระโจนเข้าไป ฝังคมเขี้ยวรวดเร็วก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ตัว
ง่ายดาย... เฉพาะในตำรา
“หือ?”
เขี้ยวเรียวแหลมที่โผล่ออกมายังไม่ทันจะสัมผัสซอกคอหอมกรุ่นที่ได้กลิ่นมาแต่ไกล เพราะเหยื่อรายแรกของค่ำคืนดันหันกลับมา ก่อนจะผงะ แล้วเปลี่ยนเป็นมองหน้าผมอย่างแปลกใจ
“แวมไพร์?”
ชิบหาย เอาไงดี
“แฮ่!” กระพริบตาสองที ก่อนจะตีมึนแยกเขี้ยวทำท่าจะพุ่งเข้าไปกัดคอร่างโปร่งบางที่ยืนทำหน้างงอีกที
“เดี๋ยวดิ ใจเย็น”
เจ้าของเสียงหวานทุ้มยกมือห้าม ใบหน้าติดจะงุนงงไม่มีร่องรอยของความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ผมเก็บเขี้ยว ถอยหลังออกมาเลิกคิ้วมองใบหน้าสวยผิดบุรุษเพศเป็นเชิงถามว่ามีอะไร
“เป็นแวมไพร์จริงดิ?” ขมวดคิ้วเหมือนไม่เชื่อกัน
ได้ยินแบบนั้นผมก็ยิงฟันโชว์เขี้ยวขาวคมกริบของตัวเองอีกรอบ
“โห” ร่างโปร่งบางขยับเข้ามา ทำให้รู้ว่าระดับสายตาอยู่ตรงตำแหน่งริมฝีปากพอดี มองเขี้ยวสองซี่ด้วยสีหน้าตื่นเต้น ก่อนที่ดวงตากลมแวววาวคล้ายลูกแก้วสีน้ำตาลใสจะเลื่อนขึ้นมาสบตากัน
กระพริบตาปริบๆ อีกครั้งอย่างไม่รู้จะทำหน้ายังไง
เพราะไม่มีเงาสะท้อนในกระจก เลยไม่เห็นหน้าตัวเองมาหลายปี แต่ก็พอจินตนาการได้เพราะปกติก็เห็นแวมไพร์ตัวอื่นทำเป็นอยู่หน้าเดียว นิ่งๆ ไร้อารมณ์ เหมือนคนเบื่อโลกไม่ต่างกัน คงเพราะความเป็นอมตะมันยาวนานจนหมดความรู้สึกรู้สาใดๆ
“ถ้าให้ดูดเลือดแล้วจะตายมั้ย หรือจะกลายเป็นแวมไพร์?” จ้องอยู่นานกว่าจะถอยหลังออกไป ขมวดคิ้วถามคำถามใหม่ด้วยสีหน้าสงสัย
ย้ำว่าสงสัย... ไม่มีความหวาดกลัวเจือปน
กลัวหน่อยก็ได้มั้ย กูเป็นแวมไพร์นะไม่ใช่หมา
“ปกติจะดูดจนตาย” ...เท่าที่อ่านมา
แวมไพร์ชั้นต่ำอย่างผมก็คล้ายกับสัตว์ที่ไร้ความยับยั้งชั่งใจ พอได้ลิ้มลองอาหารรสเลิศก็จะติดใจรสชาติหอมหวาน สูบเลือดเหยื่อจนหมดไม่เหลือคราบ ปราศจากแหล่งเพาะเชื้อที่จะให้กำเนิดแวมไพร์ตัวใหม่ได้
“ใจร้ายชะมัด”
“แล้วอยากเป็นแวมไพร์หรือไง”
อีกฝ่ายเงียบไป มองหน้าผมอีกครั้งก่อนจะเป็นถามกลับ “เป็นแวมไพร์แล้วดีมั้ย”
“...” คราวนี้ผมตอบไม่ได้บ้าง
ดีมั้ยวะ? ผมก็ไม่เคยถามตัวเองเหมือนกัน เพราะเพิ่งเป็นแวมไพร์ได้ไม่นาน จึงยังไม่ได้ลิ้มลองสิ่งที่เรียกว่าความเป็นอมตะอันยาวนาน
รู้แค่ว่าการที่ใช้ชีวิตได้แค่ตอนกลางคืนทำให้ อะไรหลายๆ อย่างเปลี่ยนไป ไร้เพื่อน ไร้ผู้คนรอบกาย ได้แต่อาศัยมุมมืดซุกซ่อนตัวเองไปวันๆ มันออกจะผิดวิสัยแวมไพร์ตรงที่ผมไม่ค่อยอยากดื่มเลือดมนุษย์เท่าไหร่ ไม่อยากกลายเป็นคนน่ากลัว สุดท้ายเลยหิวจนแทบจะแห้งตาย จนทนไม่ไหวต้องออกมาล่าเหยื่อนี่ไง
“เหงา” เท่าที่จำได้ สิ่งที่รู้สึกอยู่คงมีชื่อเรียกแบบนั้น
พลันได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ แต่พอมองใบหน้าหวานกลับไม่พบร่องรอยการขยับยิ้มใด
“งั้นไม่เอา”
ดวงตาสีน้ำตาลใสฉายแววประหลาดใต้แสงจันทร์ ใบหน้าสวยหวานราวกับพระเจ้าปั้นดูหม่นแสงลงชัดเจน
“เหงามาสิบแปดปีแล้ว ไม่อยากเหงาไปอีกเป็นร้อยปีหรอก” สาเหตุที่ดูไร้ชีวิตชีวาขึ้นมา คงเป็นเพราะแบบนั้น
“...”
“งั้นช่วยดูดให้ตายเลยแล้วกัน” ว่าพลางก้าวเท้ามาตรงหน้าผมอีกครั้ง เอียงคอในองศาพอเหมาะสำหรับฝังเขี้ยวลงไป พร้อมกับหลับตา
อดไม่ได้ที่จะไล่สายตามองทั่วใบหน้าสวยอย่างพิจารณา ลอบกลืนน้ำลายเมื่อเห็นลำคอขาวตรงหน้าปรากฏเส้นเลือดที่เต้นตุบๆ ชัดเจน
ผมขยับเข้าไปใกล้ สูดกลิ่นกายหอมกรุ่นยั่วเย้า ก่อนจะอ้าปากกว้าง...
“อย่าเจ็บมากนะ”
พูดมากจริง
“...” ไม่กล้าตอบอะไร เพราะจำได้ว่าตอนที่ถูกกัดมันทรมานซะจนผมดินพล่านเป็นหมาโดนน้ำร้อนสาด... เจ็บจนอยากจะกลั้นใจตายไปเสียตรงนั้น ไม่มีความนุ่มนวลเอาซะเลย
แล้วผมควรทำไง?
เฮ้อ เอาเป็นว่าจะพยายามทำให้เบาที่สุดก็แล้วกัน
“เดี๋ยว” แต่คมเขี้ยวยังไม่ทันจะฝังลงไป เจ้าของลำคอขาวก็หยุดไว้ ลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ขอสั่งเสียก่อนได้ป่ะ”
อยากตบกบาลตัวเองหลายๆ ทีที่ดันแจ็กพอตได้เหยื่อที่เรื่องมากขนาดนี้
“อืม”
แล้วกูก็ดันเสือกเป็นแวมไพร์ใจดีด้วยไง
ปกติการสั่งเสียของคนอื่นคงหมายถึงการกลับไปร้องไห้คร่ำครวญกับญาติสนิทมิตรสหาย เอ่ยร่ำลา แสดงความอาลัยอาวรณ์ดราม่าให้หนำใจ
แต่คำว่า ‘ปกติ’ คงใช้กับไอ้มนุษย์หน้ามึนนี่ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ต้องมานั่งงงอยู่ตรงนี้
“แวมไพร์ชอบกินไอติมรสอะไร”
แถวร้านสะดวกซื้อที่ไม่เคยคิดจะเดินมาเหยียบสักครั้ง เพราะแสงที่สว่างจ้าแสบตา และคนที่พลุกพล่านแทบจะตลอดเวลา แม้ว่าจะดึกดื่นค่อนคืนแล้วก็ตาม
โชคดีที่พอจะมีมุมอับหลังเสาไฟฟ้าที่สงบและมืดพอให้หลบเลี่ยงได้ แต่ไอ้การมานั่งแปะอยู่บนฟุตบาทสกปรกๆ นี่ชวนให้รู้สึกอนาถยังไงชอบกล
“มีสตรอว์เบอร์รี่กับมิ้นต์” พอผมไม่ตอบเลยชูไอศกรีมทั้งสองถ้วยขึ้นมา เลิกคิ้วคาดคั้นให้เลือกสักที
จะรู้ได้ไงว่าชอบอะไร จำรสชาติอาหารไม่ได้มาเป็นปีๆ แล้ว
นี่ไง อีกข้อเสียของการเป็นแวมไพร์ ไม่ว่าจะอาหารอะไรก็ไร้รสชาติไปเสียหมด
“มิ้นต์ละกัน” สุดท้ายก็เป็นฝ่ายยัดเยียดไอศกรีมถ้วยหนึ่งมาใส่มือผม พร้อมกับเปิดฝาเสียบช้อนลงมาให้เสร็จสรรพ จ้องผมสลับกับไอติมอยู่สักพัก จนผมเริ่มยกมือขึ้นมาตักไอติม ดวงตาสีน้ำตาลใสจึงฉายแววลุ้นขึ้นมา
ยิ่งกระตุ้นให้ผมอยากรู้ว่าเขาจะทำหน้ายังไง ตอนที่เห็นแวมไพร์ตัวเป็นๆ ยัดไอศกรีมเข้าปากต่อหน้าต่อตา
“เป็นไง”
สีหน้าตลกอย่างที่คิดไว้จริงๆ
“เย็น” ผมตอบหน้าตาย เพราะไม่รับรู้อะไรนอกจากความเย็นในโพรงปาก
จะให้รับรู้อะไร ก็ต่อมรับรสมันตายตามร่างกายไปตั้งนาน
“ลิ้นแวมไพร์ไม่รู้รสเหรอ?” กลับมาเลิกคิ้วทำหน้าสงสัยอีกครั้ง
“อืม”
“น่าสงสาร”
ตั้งแต่เป็นแวมไพร์มาก็เพิ่งจะเจอคนบอกว่าน่าสงสารเป็นครั้งแรก
“เดี๋ยวกินแทนแล้วกัน” เกือบจะรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารขึ้นมาจริงๆ เมื่อฝ่ามือบางเอื้อมมาตบบ่าเบาๆ อย่างปลอบใจ แล้วหันกลับไปแกะไอศกรีมสตรอว์เบอร์รี่ในมือตัวเอง
ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมลอบมองเรียวลิ้นที่เลียฝาไอติมอย่างเชื่องช้า มือบางที่เริ่มตักของหวานเข้าปาก ละเลียดชิมรสเนิ่นนานก่อนจะกลืนลงคอ ลูกกระเดือกนูนสวยที่ขยับขึ้นลงทำให้ เผลอลอบกลืนน้ำลายอีกครั้ง ละสายตาออกมาเบือนหน้าไปที่ถนนว่างเปล่าพลางตักไอติมเข้าปากทั้งที่ไม่รู้รสนั่นแหละ
หวังแค่ให้ความเย็นช่วยดับความร้อนรุ่มแปลกๆ ที่ผุดขึ้นมาในอกอย่างไม่รู้ที่มาที่ไป
“อ้าว ไหนบอกว่าไม่รู้รส” หันมาทำหน้าประหลาดใจทั้งที่มีไอติมสตรอว์เบอร์รี่คำใหญ่กักไว้เต็มกระพุ้งแก้ม
“ไม่รู้รส แต่อยากกิน” ดวงตาสีน้ำตาลใสมองมาอย่างเห็นใจอีกครั้ง ก่อนที่มือบางจะยื่นมาตบบ่าผมเบาๆ
“เข้าใจๆ”
“...”
รู้สึกว่าการเป็นแวมไพร์มันน่าสงสารขึ้นมาจริงๆ ก็ตอนนี้เอง
เหยื่อรายแรกของผมเป็นพวกเข้าใจยาก... แต่ที่เข้าใจยากยิ่งกว่า น่าจะเป็นตัวผมเอง
ทำไมยังไม่กินสักที แถมยังเอาแต่เสนอหน้าเดินตามคนตัวเล็กกว่าต้อยๆ ถูกจูงไปไหนก็ไปไม่ต่างจากหมาเดินตามเจ้าของเลย
กูเป็นแวมไพร์จริงมั้ยเนี่ย
“ไหนบอกจะสั่งเสีย” ตั้งแต่ตามมายังไม่เห็นว่าจะไปบอกลาใคร
หลังจากกินไอติมหมดก็เดินนำไปตามถนนมืดๆ ไม่พูดไม่จา ทอดน่องไปบนทางเท้าจนมาหยุดอยู่ที่สนามเด็กเล่นข้างสวนสาธารณะร้างผู้คน
“ก็ทำอยู่นี่ไง” พูดจบก็เดินไปหย่อนสะโพกลงบนชิงช้าเก่าๆ ที่นั่งได้พอดีตัว
ผมยืนมองอย่างลังเล ก่อนจะเดินตามไปบ้าง ทำท่าจะนั่งตามแต่เพราะตัวใหญ่เกินไป เลยต้องตัดใจถอยออกมา ถูกคนตัวเล็กที่ลอดเข้าไปในชิงช้าได้ช้อนสายตามองนิ่งๆ ก่อนจะสังเกตเห็นมุมปากยกขึ้นมาแวบหนึ่ง
เล็กน้อยจนไม่กล้าเรียกว่ายิ้ม แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไร
“นั่งไม่ได้ แต่ไกวให้ได้นะ” คล้ายจะเป็นข้อเสนอ แต่จริงๆ คือกำลังจะใช้งานกันชัดๆ
แล้วใครสั่งใครสอนให้ผมเป็นแวมไพร์ขี้ใจอ่อนล่ะครับ
สาวเท้ายาวๆ ของตัวเองไปยืนอีกฝั่ง มองแผ่นหลังบางที่นั่งนิ่งรอให้ส่งแรงผลักออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังรู้สึกยังไง เหมือนสมองที่ไม่ค่อยได้ใช้มันมีความคิดที่ตีกันวุ่นวาย พลอยให้มือที่ยื่นออกไปสั่นน้อยๆ อย่างควบคุมไม่ได้
ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะตัดสินใจทาบมือลงบนแผ่นหลังบาง และด้วยสัญชาตญาณนักล่า ทำให้ผมรับรู้ได้ถึงเส้นเลือดบนร่างกายอีกฝ่าย ผ่านสัมผัสเพียงบางเบา
เผลอลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังโดยไม่รู้ตัว
“แวมไพร์?” ส่งเสียงฉงน จนผมตกใจส่งแรงผลักออกไปจนชิงช้าเริ่มไกวในจังหวะที่ไวกว่าความคิด
“เฮ้ย!!” จนได้ยินเสียงร้องด้วยความตระหนก พร้อมกับร่างโปร่งบางที่กระเด็นออกจากตัวชิงช้าไป ลอยคว้างกลางอากาศอย่างน่ากลัว ถึงนึกได้ว่าตัวเองแรงเยอะกว่าคนปกติแค่ไหน
ชิบหาย!
หมับ!
แต่ความว่องไวเกินมนุษย์ก็คือพรสวรรค์ของแวมไพร์เช่นกัน ผมจึงกระโจนเข้าไปคว้าร่างโปร่งบางไว้ได้ทัน ก่อนจะกระแทกเข้ากับเครื่องเล่นที่ทำด้วยเหล็กเข้าอย่างจัง
ตึก ตึก ตึก ตึก
เสียงหอบ และเสียงหัวใจที่เต้นรัวดังชัดเจนเมื่ออีกฝ่ายอยู่ในอ้อมกอดที่ทำให้ร่างกายแนบสนิทกัน
“กะ... เกือบตาย” เสียงพึมพำอู้อี้ดังขึ้นมาทั้งที่ใบหน้ายังแนบกับอก ทิ้งตัวซบลงมาอย่างหมดแรง
ท่วงท่าที่ไม่คุ้นเคยทำให้ผมรีบผละออกมาเมื่อรู้ตัว ถอยหลังออกจากตัววุ่นวายที่ช้อนสายตามองมาอย่างงุนงง แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กไม่ได้ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างที่เข้าใจ
แขนที่เคยขาวเนียนไร้รอยขีดข่วนกลับปรากฏรอยถลอกเป็นทางอย่างน่ากลัว
“สงสัยโดนสายชิงช้าบาดเอา” พอรู้ว่าผมกำลังมองอะไร ถึงรู้ตัวว่าตัวเองบาดเจ็บ ยกแขนที่เริ่มมีเลือดซึมขึ้นมาสำรวจอาการ
แต่คงลืมไป ว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้านี่คือแวมไพร์ที่กำลังหิว
และเลือดเพียงน้อยนิดก็ส่งกลิ่นหอมรัญจวนชวนให้ว้าวุ่นจนต้องถอยหนีออกมาในระยะที่ไกลพอจะไม่ทำให้อีกฝ่ายเป็นอันตราย
ให้ตาย ความจริงผมควรจะดีใจที่ได้เห็นเลือดเหยื่อไม่ใช่หรือไง
ถือโอกาสกินซะเลยดีมั้ย
“แวมไพร์?” ทำท่าจะขยับตาม แต่ผมร้องห้ามเสียงดัง
“อย่าเข้ามา!”
แต่แทนที่จะหวาดกลัว เจ้าของใบหน้าหวานกลับมองมาอย่างไม่เข้าใจ ก้มลงมองแขนเปรอะเลือดของตัวเองสลับกับหน้าผม และยังคงเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะยื่นแขนออกมา
“ชิมก่อนได้นะ”
คิดจะดูถูกกันหรือไง
ผมฟึดฟัดอย่างหงุดหงิดก่อนจะสาวเท้าเข้าไปใกล้ ประชิดตัวจนอีกฝ่ายที่ยังยื่นแขนออกมาอย่างท้า
ทาย จนกระทั่งผมก้มหน้าลงไป จรดเรียวลิ้นลงบนแผลสดใหม่เบาๆ คนอวดดีจึงสะดุ้งราวกับถูกไฟช็อต แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยืนนิ่งสบตากลับมาด้วยสายตาที่สงบไร้ความหวาดกลัวเหมือนทุกที
“เป็นไง” เอ่ยถามเมื่อผมผละออกมา หลังจากไล้ลิ้นเลียซับเลือดทุกหยาดหยดบนแขนเรียว แต่ยังยับยั้งชั่งใจไว้ไม่ฝังคมเขี้ยวลงไป
ปรายตามองเจ้าหนูจำไมที่ส่งสายตาขอคำตอบไม่ต่างจากตอนให้ชิมไอศกรีม
“หวาน”
แต่คราวนี้คำตอบมันแตกต่างออกไป
...สีหน้าคนฟังก็เช่นกัน
หลังออกจากสวนสาธารณะ ผมก็ถูกพามาขึ้นรถบัสที่เป็นเที่ยวแรกของวันใหม่ ดูเวลาก็พบว่ามันปาเข้าไปจะตีห้าแล้ว แต่ผมก็ยังไม่ได้กินอาหารสักที
“แวมไพร์ต้องทำหน้าบูดงี้ทุกคนป่ะ” ตัวยุ่งยากที่ถูกพันแขนเป็นมัมมี่เอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้าขี้สงสัยเหมือนเคย
“หน้าบูดคืออะไร”
เจ้าของใบหน้าหวานเลิกคิ้วประหลาดใจในคำถาม แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วแน่น ปากเบ้ลงเล็กน้อย แล้วจ้องเขม็งมา “แบบนี้”
นี่ผมกำลังทำหน้าตาน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?
อยากให้ตัวเองส่องกระจกได้ชะมัด
“สอนทำหน้าแบบอื่นที”
รับไม่ได้ว่ะ จริงๆ
“หืม?” คนตรงหน้าเลิกคิ้ว ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ ยกมือขึ้นมาทำท่าจะแตะหน้าผม พอเห็นไม่ว่าอะไร ก็เอื้อมมือมาประคองใบหน้าผมไว้ นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น พลางใช้ดวงตาคู่สวยจ้องลึกเข้ามา
ไม่นานนิ้วโป้งสองข้างก็กดลงระหว่างคิ้ว ไล่นวดเบาๆ ไปตามหน้าผาก ก่อนจะลากลงมาตามข้างแก้ม หยุดลงที่ริมฝีปากผม แช่อยู่อีกสักพัก แล้วแตะมุมปากทั้งสองข้างของให้ขยับ มองทั่วใบหน้าอย่างเพ่งพิจารณาก่อนจะถอนมือออกไป
แปลกตรงที่คราวนี้จ้องเสร็จกลับไม่พูดอะไร เบือนหน้าหนีออกไปมองวิวด้านนอกซะอย่างนั้น
“เฮ้” ผมสะกิดไหล่บาง พยายามคงใบหน้าที่ถูกจัดไว้ “แล้วตอนนี้ทำหน้ายังไง”
ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ดังขึ้นมา ก่อนคนถูกถามจะหันกลับมาสบตาด้วยสีหน้างุ่นง่าน แล้วค่อยๆ คลายปมที่คิ้ว ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ “แบบนี้”
ผมกระพริบตาปริบๆ เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะทำหน้าแบบนั้นได้
หน้าที่คนทั่วไปเรียกว่า ‘น่ารัก’ น่ะ
“จริงดิ?” ผมถามอย่างข้องใจ
“ตอนนี้กลับมาทำหน้าบูดอีกแล้ว” ว่าพลางสาธิตสีหน้าตามแบบที่เคยทำ
พอได้ยินแบบนั้นผมก็ยกมุมปากตัวเอง ผ่อนคลายใบหน้าตามความรู้สึกที่ถูกนิ้วอุ่นๆ สัมผัสก่อนหน้าอีกครั้ง
แต่คนตัวเล็กก็ยังทำหน้าบูดอยู่ดี
“พอแล้ว ไม่ต้องยิ้มแล้ว”
ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าตัวเองทำผิดอะไร แต่พอเห็นใบหน้าขาวใสที่ขึ้นสีจางๆ ความข้องใจก็หายไป
“เป็นแวมไพร์จำเป็นต้องหน้าตาดีขนาดนี้มั้ย”
“...” แล้วเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอย่างอื่น ที่เข้าใจยากยิ่งกว่าแทน
“หล่อจนใจสั่นเลย”
อืม... ถ้าหัวใจยังทำงานได้
ตอนนี้แวมไพร์ก็คงใจสั่นเหมือนกัน
“ถึงแล้ว” นั่งรสบัสมาได้สักพัก ก็ถึงสถานที่เงียบสงบซึ่งมีกลิ่นอายอันคุ้นเคย บนเนินเขาเหนือตัวเมืองที่จินตนาการได้ว่าในอีกไม่ช้าคงจะเห็นแสงอาทิตย์รำไรที่โผล่พ้นเส้นขอบฟ้าขึ้นมา
สถานที่แสนสงบที่ฝังร่างไร้วิญญาณไว้ภายใต้ท้องฟ้าอันสวยงามทั้งในยามกลางวันและกลางคืน
สุสาน...
“มาที่นี่ทำไม” เอ่ยถามขณะที่เท้ายังคงก้าวตามเจ้าของใบหน้าสวยไป จนหยุดอยู่ที่หน้าป้ายหลุมศพของใครสักคน
“สั่งเสียไง”
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจคำว่าสั่งเสียของคนคนนี้อยู่ดี
กินไอศกรีม เล่นชิงช้า แล้วก็สุสาน... มันเป็นการสั่งเสียยังไง
“ได้กินไอติมรสโปรดแล้ว เล่นชิงช้าเหมือนตอนเด็กแล้ว ก็เหลือแค่อย่างเดียวล่ะนะ” อยู่ๆ ก็พูดออกมาราวกับอ่านใจผมได้
ตกลงผมหรือเขาที่เป็นแวมไพร์
“ความจริงมีอย่างอื่นที่อยากทำ แต่คงไม่มีเวลาแล้วมั้ง” หันกลับมามองผมราวกับจะโทษกัน
ต้องโทษพระอาทิตย์ต่างหาก ที่อีกไม่นานก็คงเสนอหน้าออกมา และถึงตอนนั้นก็คงได้เวลาที่ผมจะได้กินอาหารตรงหน้าสักที
อยู่ๆ ร่างโปร่งบางก็ทรุดตัวลงบนพื้นหญ้าชื้น เอื้อมมือออกไปลูบป้ายหลุมศพที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดัง ไม่เบา แต่ฟังดูเหงา
“พ่อ แม่ ผมมาลา”
นี่สินะ เหตุผลของความเหงา
เหตุผลของความหม่นเศร้าในแววตาที่เห็นเพียงแวบเดียวก็ส่งผลต่อความรู้สึกมากมาย
“ไม่ต้องห่วงนะ ไม่น่าทรมาน” เหลือบตามามองผมเหมือนให้ช่วยยืนยัน จึงพยักหน้ากลับไป
“ครับ จะไม่ทำให้ทรมาน”
สาบานต่อหน้าทุกหลุมศพในสุสานเลย
“ถ้าโชคดี บางทีเราอาจจะได้เจอกันที่โลกนู้นก็ได้นะ” เสียงหวานทุ้มเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มบาง
“คิดถึงมากเลย” โน้มตัวลงไปกดจูบลงบนแผ่นหินเย็นชืดเบาๆ
ทุกสีหน้าและการกระทำที่ปรากฏให้เห็นใต้แสงจันทร์ ทำให้ความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกเจอยิ่งก่อตัวทบทวีจนแจ่มชัดขึ้นมาทุกที
ทั้งที่แวมไพร์อย่างผมไม่ควรมีความรู้สึกอะไร
ไม่ควรปล่อยให้มนุษย์คนไหนมามีอิทธิพลต่อหัวใจที่ไม่เต้นมานานหลายปี... โดยเฉพาะคนที่เป็นเหยื่อของตัวเอง
“พร้อมแล้วล่ะ” ว่าพลางลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับผมอีกครั้ง ดวงตาคู่สวยฉายแววมุ่งมั่นไม่มีลังเล
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลัวตาย... เป็นคนประเภทไหนกัน
ผมไม่ว่าอะไรขยับเข้าไปใกล้พร้อมกับยิงฟันแยกเขี้ยวแหลมคมออกมา หวังจะข่มขู่ให้คนตัวเล็กผวา แต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นแววตาอ่อนโยน และรอยยิ้มบาง ก่อนจะหลับตาลง เอียงคอรอรับสัมผัสจากคมเขี้ยวที่กำลังทำหน้าที่พรากวิญญาณ
เห็นแบบนั้นผมจึงค่อยๆ เลื่อนใบหน้าเข้าไป พร้อมกับใช้สายตาสำรวจใบหน้าหวาน ไล่ตั้งแต่หน้าผากใส ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยที่ถูกปิดไว้ด้วยเปลือกตา จมูกโด่งรั้นรับกับใบหน้า พวงแก้มที่ขึ้นสีดูมีชีวิตชีวา ก่อนจะหยุดที่ริมฝีปากบางที่ขยับพร้อมกับเสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อผมเข้าใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รดลงมาข้างแก้มในจังหวะติดขัดผิดกับความมุ่งมั่นก่อนหน้านี้
หัวใจเต้นแรงจัง
เพราะเกิดกลัวขึ้นมาหรือเปล่าไม่แน่ใจเหมือนกัน
“ไม่ทรมานหรอก” เอ่ยย้ำคำสัญญา พลางกดจมูกลงไป ดอมดมลำคอขาว แล้วลากไล้ไปตามเส้นเลือดที่ปรากฏขึ้นมาเพื่อสูดกลิ่นกายหอมหวานแบบที่ไม่เคยสัมผัสได้จากที่ไหน ได้ยินเสียงชีพจรเต้นตุบในจังหวะรัวเร็ว ก่อนจะเผลอคลี่ยิ้มออกมา
“ขอบคุณครับ” เอ่ยกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้
“...”
“ขอบคุณ... ที่ทำให้คืนนี้เป็นคืนที่ดีที่สุดในชีวิตแวมไพร์” ว่าจบก็ซุกใบหน้าลงกับซอกคอขาวอีกครั้งอีก
แต่แทนที่จะฝังคมเขี้ยวพรากวิญญาณอย่างที่เคยตั้งใจ ผมกลับเก็บฟันตัวเองไว้แล้วจรดริมฝีปากลงไป
...ประทับรอยจุมพิตเพียงแผ่วเบา
ให้ตาย... ผมจะเอาชีวิตคนคนนี้ได้ยังไง ในเมื่อเขาเป็นคนทำให้ชีวิตที่ไร้ชีวิตของผมกลับมามีความหมายได้อย่างน่าอัศจรรย์
แม้จะเป็นเพียงค่ำคืนเดียวก็ตาม
-The end -
-----------------------------------------------------------------------
อยากลองเขียนโปรเจ็กต์ที่เล่าถึงเรื่องราวในหนึ่งคืนของคนสองคนโดยที่ตัวเอกที่ทำอาชีพต่างๆ ดูค่ะ
ประเดิมอาชีพแรกด้วยแวมไพร์ (ใช่เหรอ?) 555555
แต่ตอนต่อๆ ไปจะกลับมาสู่อาชีพปกติแล้วล่ะ
ฝากด้วยนะคะ ^^
ขอบคุณมากค่ะ