Brother Ch.10
ผมพยายามลุกออกจากอ้อมแขนแกร่งที่ก่ายกอดผมไว้ แต่มันไม่เขยื้อนเลยสักนิดจนผมต้องดันแรงขึ้น
“อืม นอนเฉย ๆ น่า”
เขาปราม ผมพยายามดันแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นดิ้นรน
“บอกให้อยู่เฉย ๆ ไงเล่า!! หรืออยากได้อีกรอบ”
ผมหยุดดิ้นทันที ปล่อยหยาดน้ำตาให้ร่วงหล่นเงียบ ๆ
“ขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนี้เลย เราเป็นพี่น้องกันนะ”
“ฉันไม่เคยคิดว่านายเป็นน้อง”
คำนั้นทำเอาผมเจ็บยิ่งกว่าถูกพี่ทำร้ายร่างกายซะอีก น้ำตาผมร่วงหนักยิ่งกว่าเดิม
“ทำไมพี่ต้องเกลียดผมขนาดนี้ด้วย”
ผมถามเสียงสะอื้น ไร้คำตอบรับ ผมหมดแรงที่จะขัดขืน ได้แต่นอนเงียบ ๆ ในอ้อมแขนของคนที่เกลียดตัวเองต่อไปจนเช้า
ผมตื่นอีกทีตอนตีห้ากว่า ๆ จริง ๆ อยากชิ่งหนี แต่พี่ทัศน์กอดไว้แน่น
“อย่าคิดหนีไปไหนล่ะ ไปทำอาหารเช้าให้ด้วย เมื่อวานกินแค่ตัวนายมันไม่อิ่มท้องเท่าไหร่หรอก”
ผมหน้าร้อนผ่าวไปกับคำพูดราบเรียบนั้น ผมรีบสลัดตัว เดินกลับห้องเพื่ออาบน้ำแต่งตัว ออกมาทำอาหารให้ กะว่ารีบทำให้เสร็จจะได้รีบไปโรงเรียน แต่ถูกพี่ทัศน์รั้งไว้อีกรอบ
“กินข้าวก่อน”
“ไม่เป็นไร ผมจะไปกินที่โรงเรียน”
“กิน”
“ไม่”
“ถ้าไม่กิน ฉันจะปล้ำนายจนไปโรงเรียนไม่ได้เลย”
ผมรีบเดินไปทิ้งตัวลงนั่งทันที ตักข้าวกินจนอิ่ม รีบคว้ากระเป๋า เดินลิ่ว ๆ จะออกจากบ้าน แต่ถูกคว้าแขนไว้อีกรอบ
“ปล่อย”
“จะไปส่ง”
“ไม่ต้อง”
พี่ทัศน์บีบข้อมือแรงขึ้นจนผมเบ้หน้า
“ก็ได้”
เขาปล่อยมือผมให้เป็นอิสระ ผมเดินตามเงียบ ๆ ไปยังรถหรูคันนั้น พอนั่งได้ก็เอาแต่มองนอกหน้าต่างกระทั่งมาถึงโรงเรียน
“เป็นไงบ้าง”
แนนรีบถามทันทีที่พี่ทัศน์ขับรถออกไป
“ไม่มีอะไรหรอก”
ผมบอกให้เพื่อนคลายใจ พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด กระทั่งเที่ยง
“แนนช่วยเราหาที่พักหน่อยสิ”
แนนเลิกคิ้วสงสัย
“สงสัยเราคงต้องเป็นผู้ใหญ่เร็วกว่าปกติแล้วล่ะ”
“แน่ใจนะ”
ผมพยักหน้า
“ได้ แล้วแนนจะช่วย”
พอตกบ่าย ผมเข้าเรียนแบบไม่มีสมาธิเหมือนเมื่อเช้า เมื่อพี่ทัศน์บีบบังคับให้ผมต้องเป็นคนอื่น ผมก็พร้อมที่จะเป็นเหมือนกัน
เลิกเรียน ผมกับแนนไปหาพี่โจอี้เพื่อบอกว่ากำลังหาที่พัก
“จริง ๆ ที่นี่มีที่พอทำเป็นห้องพักได้นะ ถ้าไม่ติดสบายเกินไป”
ผมยิ้ม
“ยังไงก็ได้ ผมอยู่ได้หมดเลย ขอแค่มีที่หลับนอนก็พอ”
แล้วพี่โจอี้ก็พาผมไปที่ชั้นสองของร้าน จริง ๆ มันเป็นหนึ่งในห้องเก็บของ
“คงต้องจัดเก็บหน่อยนะ”
“ไม่มีปัญหาครับ กว้างกว่าห้องผมหลายเท่าเลย”
“งั้นว่าง ๆ ก็มาทำความสะอาดได้เลย”
“งั้นผมขอทำเลยละกัน แนนช่วยหน่อยนะ”
ผมหันไปบอกเพื่อน
“เอาสิ ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว”
แล้วผมกับแนนก็ลงมือจัดการยกข้าวของที่ไม่ได้ใช้ไปทิ้ง ที่นี่เป็นเหมือนโรงยิมขนาดย่อม ตรงกลางเปิดโล่งจนเห็นหลังคา มีระเบียงที่เดินวนได้จนรอบ ห้องที่ผมได้ อยู่แถบซ้ายมือ ส่วนห้องอื่น ๆ เป็นห้องเก็บของและขายพวกของแต่งรถชนิดต่าง ๆ จริง ๆ โรงยิมนี้เป็นของพ่อพี่โจอี้ แล้วให้พี่โจอี้อีกที ลูกค้าเยอะครับ แต่คนงานมีกันแค่สองสามคน พี่โจอี้พักอยู่ห้องใหญ่สุด ที่นี่มีระเบียงที่เห็นดาวได้ด้วย ผมไม่เคยรู้หรอกจนวันนี้แหละ
“แคก ๆ ๆ ๆ”
แนนไอใหญ่เลย ผมลูบหลังเพื่อนเบา ๆ
มีคนโทรเข้าเครื่อง พอยกดูก็รู้ว่าเป็นใคร ผมไม่สนใจที่จะกดรับ เสียงเรียกเงียบไปนานเลย เขาคงยอมแพ้แล้วล่ะมั้ง
แล้วสักพักมือถือแนนก็ดังขึ้น
“ค่ะ ๆ”
“ไทม์”
ผมหันไปมอง
“ของไทม์”
“ใคร”
แนนทำหน้าแหยง ๆ ผมรับมาแนบหู
“อยู่ไหน”
เสียงคุ้นหูแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่ทัศน์
“ทำงาน”
“ทำที่ไหน เลิกกี่โมง”
ผมกดปิดทันที ไม่ตอบคำถามอะไรทั้งนั้น
แนนมองผมแหยง ๆ ไม่รู้พี่ทัศน์เอาเบอร์แนนมาได้ไง แต่ผมไม่สนใจหรอก สักพักเสียงมือถือของแนนก็ดังขึ้นอีก แนนกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะกดรับ
“ค่ะ ๆ”
แนนรับสายหวาด ๆ
“คือพี่เขาบอกว่า ถ้าไม่โทรกลับภายในหนึ่งนาทีนี้ จะโทรหาแม่”
ผมถอนหายใจเบา ๆ ผมไม่รู้หรอกว่าพี่ทัศน์จะโทรหาแม่เรื่องอะไร แต่ผมไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหา
“ทำงานอยู่ที่ไหน เลิกกี่โมง”
เขาถามเสียงเหี้ยม ผมถอนหายใจเบา ๆ
“อู่พี่โจอี้ เลิกสี่ทุ่ม”
แล้วเขาก็กดตัดสายไป ผมมองโทรศัพท์ ถอนหายใจแรงอย่างคิดไม่ตก
“ดูพี่เขาเป็นห่วงไทม์นะ”
“หึ หวงหรือ…” มากกว่า
“รีบ ๆ ทำเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปหาซื้อพวกที่นอนปิกนิกกันดีกว่า”
แนนพยักหน้า
[50%]
พวกเรารื้อค้นนู่นนี่กันอยู่สักพัก ผมรวบเก็บของที่ไม่ได้ใช้ลงลังแล้วยกมันขึ้นไปไว้บนชั้นเก็บของ ได้หลายลังอยู่เหมือนกัน ของพวกนี้ไม่กล้าทิ้ง แล้วค่อยยกไปเก็บไว้ที่ห้องเก็บของข้าง ๆ อีกที
กล่องมันใหญ่ แทบยกไม่ขึ้น แต่ดีที่มือใหญ่ของใครบางคนมาช่วยดันให้เบา ๆ ผมหันไปมอง
“พี่ทัศน์...”
ผมรีบถอยกรูดไปด้านหลัง แนนคงเอาผ้าถูพื้นไปซัก
“นี่ไทม์ ไม่ต้องซื้อพวกชุดที่นอนปิกนิกแล้วนะ พวกพี่ ๆ แนนบอกว่าจะเอาพวกที่นอนกับของใช้จำเป็นมาให้ พวกเตาแก๊สกับเครื่องครัวก็…”
แนนเบรกตัวกึก หลังเห็นคนแปลกหน้าภายใน มือหนึ่งถือไม้ถู อีกมือถือถังน้ำใสสะอาด
พี่ทัศน์หันไปมอง
“ดีค่ะ พี่ทัศน์”
พี่ทัศน์พยักหน้านิดหน่อย
“อะนี่โคมไฟ แฟนพี่บอกให้เอามาให้ อยากได้อะไรเพิ่มเติมก็บอกนะ น่าจะมีครบทุกอย่าง อ้าวคุณลูกค้านั่นเอง วันนี้ต้องการทำอะไรดีครับ”
“เปล่า มีธุระคุยกับน้องคนนี้นิดหน่อย”
ผมทำท่าอึกอัก
“หมายความว่ายังไง”
พี่ทัศน์ถามเสียงเย็น ผมไม่ได้ตอบอะไร รับโคมไฟไปตั้งไว้ตรงจุดที่คิดว่าน่าจะทำเป็นที่นอน
“ฉันถามว่าหมายความว่าไง”
พี่ทัศน์บีบแขนผมแน่น
“ผมจะย้ายออกมาอยู่คนเดียว”
พี่ทัศน์มองหน้าผมอึ้ง ๆ
“หมายความว่ายังไง”
“ไม่ไง แค่คิดว่าถึงเวลาที่จะทำให้พี่กับแม่สบายใจซะที แค่นั้นแหละ”
ผมมองตา บิดมือตัวเองออกเบา ๆ แย่งผ้าถูพื้นจากแนนมาถือ ก้มถูพื้นไม่สนใจอีก
พี่ทัศน์ไม่พูดอะไร หันหลังเดินจากไป
“น่ากลัวจังเลย” แนนรีบเข้ามาจับแขน
“หูย แดงเลย”
แนนยกแขนผมดู เป็นรอยมือเลย ผมเพียงแค่ยิ้ม
“ใครเหรอไทม์” พี่โจอี้ถามต่อ
“คนรู้จักน่ะครับ”
ผมตอบแค่นั้น พี่โจอี้มองหน้า
“พี่ชายไทม์ใช่ไหม”
ผมยิ้มให้นิดเดียว ไม่ตอบคำถามอะไรอีก พี่โจอี้ไม่เซ้าซี้ต่อ เดินออกไป
ห้าทุ่มกว่า ผมก็แยกทางกับแนนกลับบ้าน ดึกป่านนี้พี่คงนอนแล้วล่ะ ผมจะกลับไปแพ็คของ เตรียมย้าย
เพียงแค่ก้าวเข้าบ้านก็เห็นใครบางคนนั่งจิบเครื่องดื่มอยู่บนโซฟา ผมเดินเลยขึ้นห้อง แอบหวั่น ๆ เหมือนกันว่าจะโดนทำอะไรหรือเปล่า
ยังดีที่พี่ไม่สนใจ
หึ คงดีใจล่ะสิที่ผมจะออกไปจากชีวิตพี่เขาได้สักที
ผมนั่งพับเสื้อผ้าและจัดเรียงข้าวของจำเป็นลงกระเป๋า เอาเข้าจริง ของผมไม่เยอะหรอก มีแค่เสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นกับหนังสือเรียนแค่นั้นเอง ผมเอากระดาษห่อของขวัญที่พี่ทัศน์เคยให้มาด้วย ถึงมันจะเป็นเพียงกระดาษ แต่มันก็มีค่ากับผมมากจริง ๆ
ได้ยินเสียงเคาะประตูแรง ผมสะดุ้ง หันไปมอง แต่ไม่คิดจะเปิด พี่เคาะแรงขึ้นจนผมกลัวว่าถ้าไม่เปิดจริง ๆ มีหวังเขาคงพังประตูเข้ามาเองแน่ ๆ
และผมจะซวยถ้าแม่รู้
พี่ยืนเมาแอ๋อยู่ตรงหน้า มองผมตาเชื่อม
“หึ ทำไมย้ายไปอยู่ในที่แบบนั้น ทำไมไม่ไปอยู่กับไอ้อิฐ หรือคนเลี้ยงเขาให้เงินไม่ดีถึงได้ย้ายไปอยู่แบบนั้น”
ผมถอนหายใจเบา ๆ ไม่สนใจคนเมา เดินกลับไปแพ็คของต่อ
“น้ำหน้าอย่างนายจะไปทำอะไรได้ นอกจากขายตัวประทังชีวิต”
ผมมองหน้าพี่ทัศน์
“จะขายหรือไม่ขายมันก็เรื่องของผม พี่ก็น่าจะดีใจที่ผมออกไปให้พ้นหูพ้นตาพี่ไม่ใช่รึไง”
ผมมองซ้ายมองขวา ดูว่ามีอะไรตกหล่นอีกบ้าง พอไม่มีก็จัดการรูดซิป ยกกระเป๋าเตรียมจะเดินออกจากห้องไป
จริง ๆ อยากอาลัยอาวรณ์ห้องเป็นครั้งสุดท้ายดี ๆ สักที แต่พอดีพี่ทัศน์อยู่เลยทำไม่ลง
ก้าวยังไม่พ้นขอบประตู ก็ถูกกระชากเด้งกลับมาที่เดิม
“หึ ๆ ไหน ๆ ก็จะไปรับแขกหลายคนแล้ว น่าจะรับแขกคนนี้บ้างสิ เดี๋ยวจะจ่ายให้งาม ๆ”
พี่ทัศน์คว้าผมไปไว้ในอ้อมแขน ก่อนเหวี่ยงแรงไปนอนอยู่บนเตียง
“พี่ทัศน์!”
ผมรีบเด้งตัวลุก แต่ร่างสูงใหญ่ขึ้นคร่อม ผมพยายามต่อสู้ดิ้นรน แต่สิ่งที่ได้คือแรงกดหนักและแรงโถมทับที่มีมากขึ้น
ผมนอนน้ำตาไหลภายใต้เรือนร่างของพี่ชายตัวเอง มีเสี้ยวหนึ่งของจังหวะรัก ผมกอดพี่เขาไว้แน่น เพราะนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้อยู่ใกล้พี่มันแล้ว
และคงจะไม่มีอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพี่ทัศน์ พี่ชายของผม หรือพี่ทัศน์ ผู้ชายที่ได้สัมผัสเรือนร่างนี้
ผมรอเวลาให้พี่ทัศน์หลับสนิท ค่อย ๆ ดันตัวลุกจากเตียง ยิ้มนิด ๆ ให้คนหลับ ก้มลงไปกระซิบคำบางคำข้างหู
“ผมรักพี่นะ”
ผมแต่งตัว หิ้วกระเป๋า ก้าวออกจากห้องที่มีใครนอนอยู่อีกครั้ง
ไม่ได้โทรบอกแม่เลย แล้วแม่จะสนใจไหม โทรบอกแกหน่อยก็ดี แกจะได้สบายใจ ไงก็เป็นแม่
พอรุ่งเช้าผมรีบโทรหาแม่ แอบหวังไว้ลึก ๆ ว่าแกจะยื้อหรือต่อว่าอะไรบ้าง
แต่สิ่งที่ได้ก็คือ…
“ถ้าตัดสินใจดีแล้วก็ตามใจ”
แม่บอกแค่นั้น วางสายไป ผมนั่งกอดเข่าร้องไห้ ความรู้สึกตอนนี้ เหมือนคนไร้ญาติขาดมิตรเลย
ผมกวาดมองไปทั่วห้องนอนว่างเปล่า ทั้งห้องมีเพียงโคมไฟกับกระเป๋าใบเดียวที่ผมหิ้วมา บอกตามตรง ตอนนี้ผมเหงา เหงาเอามาก ๆ
[80%]
วันนี้ผมตื่นเช้าไปโรงเรียนตามปกติ พอเลิกเรียนก็กลับบ้าน(หลังใหม่) แล้วทำงานต่อ พี่โจอี้เน้นสอนแต่งรถให้ แกบอกว่าผมหัวดีเรื่องนี้ เพิ่งรู้ว่าเงินดีสุด ๆ พี่โจอี้หอบเอาพวกนิตยสารแต่งรถมาให้ศึกษาเพียบเลย
ผ่านมาร่วมอาทิตย์ ไม่มีคนโทรหาผมเลยสักคน
ทั้งพ่อทั้งแม่หรือพี่ชาย
หึ…
พวกเขาคงดีใจแน่ ๆ ที่ผมออกมาจากชีวิตของพวกเขาได้
ผมนอนอยู่ใต้ท้องรถ เช็กอาการรถอยู่ ได้ยินเสียงมือถือดังเบา ๆ ผมล้วงหยิบมากดรับโดยไม่มองเบอร์
“ครับ”
“ไทม์ พรุ่งนี้ว่างไหม พี่จะชวนไปงานฉลองวันเกิดพี่ซะหน่อย”
“หะ โอ๊ย!!”
ผมหน้าตื่นทันที รีบกระดกหัวแรงจนชนท้องรถเข้า
“เป็นไร”
“อู้ย ไม่เป็นไรครับแค่ชนท้องรถนิดหน่อย”
“หือ?”
“ซ่อมรถอยู่น่ะครับ”
“รถใคร? รถไทม์เหรอ ทำไมไม่เอาเข้าศูนย์”
“เปล่าครับ รถลูกค้า”
“อ้าว แล้วงานทำความสะอาดบ้านล่ะ”
“เลิกทำแล้วครับ ซ่อมรถได้เงินดีกว่าเยอะ” ผมพูดทีเล่นทีจริง “ไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้วันเกิดพี่”
“ไทม์ไม่เคยถามนี่”
“ฮ่า ๆ นั่นน่ะสิ แล้วจัดกี่โมงครับ ที่ไหน”
“บ้านพี่เอง เริ่มตอนหกโมงเย็น พี่จะไปรับ”
“แหม แค่บอกทางมาก็ได้”
“ไม่ได้หรอกคนสำคัญ”
ผมหัวเราะหึ ๆ ดึงสายสมอลทอล์คมาเสียบหู คุยไปทำงานไป
“ชวนแนนด้วยได้ไหม”
“เอาสิ”
ผมยิ้ม พรุ่งนี้คงต้องชวนแนนไปหาของขวัญก่อนแล้ว
วันนี้แนนดูสวยมากกว่าปกติในชุดแซกสีหวานจ๋า ในขณะที่ผม…
“นี่ เอาจริงเหรอแนน”
“ช่วยไม่ได้ พี่นุ่นบอกว่ายังไงเราก็ต้องใส่”
ชุดที่ผมใส่ตอนนี้ มันดูเหมือนชุดพวกคุณหนูคุณชายยังไงพิกล หวานจ๋าเลย
พี่นุ่นลงทุนมาจับเราแต่งตัวกันถึงที่อู่เลย (โดนแนนลากมา)
“แหม น่ารักจัง” พี่นุ่นชม
“ผมว่ามันดูแต๋ว ๆ ยังไงพิกล”
“ไม่หรอก เหมาะกับไทม์ดี หน้าตาออกจะน่ารัก แต่งตัวโทรม ๆ อยู่ได้”
“ผมซ่อมรถนะครับ”
“ซ่อมอะไรก็ไม่เกี่ยวกันหรอก นอกเหนือเวลางาน เราต้องแต่งตัวให้ดูดีเข้าไว้ คนจะได้หลง”
“พอดีผมไม่อยากให้ใครมาหลงซะด้วย”
“เพราะไทม์มีคนที่ชอบอยู่แล้วใช่ม้า”
ผมมองตาพี่นุ่น
“เปล่าซะหน่อย”
“อย่ามาโกหกพี่ให้ยาก พี่ดูคนเก่ง”
“มั้งครับ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก รักพระจันทร์ยังสมหวังมากกว่าอีก”
พี่นุ่นเลิกคิ้ว
“ก็อย่างน้อยพระจันทร์ไม่เคยทำให้เราเจ็บ และอยู่เคียงข้างเราเสมอทุกครั้งที่แหงนมอง”
ทุกคนมองผมนิ่ง ๆ ไม่มีใครพูดอะไรต่อ
“เอาละ เรียบร้อย พร้อมสำหรับหนุ่ม ๆ แล้ว”
แล้วพี่นุ่นก็ผลักเราสองคนลงไปชั้นล่าง ประจวบเหมาะกับที่พี่อิฐเดินเข้ามาพอดี พี่อิฐมองมาตาค้างเลย
“อย่ามองเพื่อนผมตาค้างแบบนั้นสิครับ”
ผมแซว
“มองไทม์ต่างหาก”
พี่อิฐรีบแก้ ผมเขินจนทำอะไรแทบไม่ถูก
“ไปกันได้แล้วครับ”
พูดจบพี่อิฐก็เดินมายื่นแขนให้ผมคล้อง
ผมมองอึ้ง ๆ
“เอ่อ…ผมว่าอย่าดีกว่าครับพี่อิฐ ผมเป็นผู้ชายนะ”
“พี่อยากควงคนน่ารักไปงานนี่ครับ นะ ตามใจเจ้าของงานหน่อย”
โห มาพูดกันแบบนี้แล้วผมจะปฏิเสธได้ยังไงกัน ผมจำต้องคล้องแขนคนตัวสูงไว้ พี่อิฐยิ้ม ยื่นอีกแขนไปให้แนนควงบ้าง
แนนมองอึ้งไม่ต่าง แก้มแดงก่ำ แต่ก็ยอมคล้องแขนดี ๆ พากันเดินตรงไปที่รถ
ผมว่าผมคิดผิดนะที่ควงแขนพี่อิฐมาแบบนี้ เพราะพอเดินเข้าไปภายในบ้าน ทุกคนพากันหันมามองแล้วส่งเสียงแซวจนผมกับแนนทำตัวแทบไม่ถูก
“ควงสองเลยนะไอ้อิฐ ว่าแต่คนไหนตัวจริง”
จะปฏิเสธว่าไม่ใช่ก็ทำได้ยากแล้วครับ เพราะเล่นคล้องแขนเขามาแบบนี้
“ก็…”
ยังไม่ทันที่พี่อิฐจะบอก แขนผมก็ถูกกระชากจนตัวถลาไปปะทะอกกว้างของใครบางคน ผมเงยหน้ามอง
“พี่ทัศน์”
รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจขึ้นมาทันที ผมพยายามดึงตัวออก
“อะไรทัศน์ อย่าเสียมารยาทกับไทม์”
พี่อิฐรีบเข้ามาหาผมทันที
“พอดีพี่น้องเขามีเรื่องต้องพูดคุยกัน”
พูดจบพี่ทัศน์ก็ลากผมออกมาจากงานเลี้ยง ผมช็อกไปกับคำนั้น ทิ้งให้พี่อิฐยืนงงอยู่ข้าง ๆ แนน
“ดะ เดี๋ยวช้า ๆ”
ผมรีบเบรกคนที่ยังไม่หยุดกระชากร่างผมให้เดินตาม ผมเซจะล้ม ดีว่าคนลากไหวตัวทันโฉบแขนรองรับได้
“นี่ พี่ทัศน์ปล่อยนะ”
แล้วพี่ทัศน์ก็ปล่อยผมจริง ๆ จนผมล้มลงไปกองอยู่ที่พื้น ผมรีบพยุงตัวลุกทันที มองหน้าคนทำเคือง ๆ
“มีอะไรก็พูดมาอย่ามาทำรุ่มร่ามกันแบบนี้”
“ก็แค่คิดถึง อยากรื้อฟื้นความทรงจำบางอย่างด้วยแค่นั้นเอง ไม่ต้องห่วงน่า รับรองจ่ายงาม”
“อย่าคิดอะไรบ้า ๆ นะพี่ทัศน์ ผมไม่ได้ขายตัวหรือทำอะไรอย่างที่พี่คิดทั้งนั้น”
“หึ อย่าคิดมาโก่งค่าตัวน่า บอกว่าจ่ายก็จ่ายสิ”
แล้วพี่ทัศน์ก็ลากผมไปโยนไว้เบาะหลังของรถ
“จะทำอะไร นี่มันข้างนอกนะ”
ผมท้วงตื่น ๆ เมื่อเขาขยับตามเข้ามาด้วย ผมรีบหันหลังหวังจะเปิดประตูลงอีกด้าน แต่พี่ทัศน์รวบจับมือผมไว้ ดึงขาผมแรงจนตัวราบไปกับเบาะ คนตัวสูงยกยิ้ม คร่อมร่างผมไว้
“พี่ทัศน์! อย่า”
ผมห้ามได้เพียงเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นผมได้เพียงปิดปากเงียบ ไม่ให้เสียงใด ๆ ดังเล็ดลอดออกมาให้ใครได้ยิน ปล่อยร่างกายให้ถูกรังแกอย่างหาทางหลีกเลี่ยงไม่ได้
_____B.T._____
อยู่ก็ไม่ได้ ไปก็ไม่พ้น TT ทำไมถึงเป็นแบบนี้ โดดเอาไม้ทุบหัวพี่ทัศน์แรง ๆ
#หนึ่งเม้นท์หนึ่งกำลังใจนะคะ
ปล. เปิดจองหนังสือรอบแรกแล้วนะคะ จองได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 8 สิงหาคมค่ะ
ดูรายละเอียดที่นี่ค่ะ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55039.0