CHAPTER No.13
“ไทม์เป็นไงบ้าง”
แนนรีบเข้ามาถามทันที หลังจากพี่ทัศน์หย่อนผมลงเรียบร้อย
ผมยิ้มรับ
“เพราะไทม์ทำงานหนักไปน่ะสิ เห็นบอกไม่สบาย แต่ดันส่งไฟล์งานมาให้ตอนตีสอง คนไม่สบายที่ไหนเขาทำกัน” แนนอมลม
ผมรู้ว่าแนนเป็นห่วงผมมากแค่ไหน จริง ๆ ก็โชคดีนะ ได้เพื่อนคนแรกก็ดีเลย
“จะได้เสร็จเร็ว ๆ ไง”
แนนกระเง้ากระงอดให้ผมง้ออยู่สักพัก ก่อนทำหน้านึกได้
“เพราะพี่ทัศน์มาลากไทม์ไปวันก่อน พี่อิฐนอยด์ไปเลย”
ผมอดเป็นห่วงพี่อิฐไม่ได้จริง ๆ
“แนนก็พยายามอยู่เป็นเพื่อนปลอบใจพี่เขาไป”
แนนหน้าแดงก่ำ ผมมองหน้าแดงนั้นนิด ๆ ก่อนตาโต
“แนน!”
แนนเงยหน้ามอง
“แนนชอบพี่อิฐใช่…” ยังพูดไม่ทันจบแนนรีบตะปบปิดปากผมไว้ทันที
“จริง ๆ เหรอเนี่ย”
“ขอโทษนะ”
แนนทำหน้าสำนึกผิด ผมมองหน้าแนน รู้สึกผิดต่อคนทั้งคู่อยู่ไม่น้อย
“แนนชอบพี่อิฐมากไหม”
แนนเงยหน้ามอง
“ชอบแค่ไหนพี่อิฐเขาก็ชอบไทม์”
ผมยิ้ม กอดคอเพื่อนไว้
“พี่อิฐเป็นคนดี”
แนนพยักหน้า
“ไทม์อยากให้แนนได้คนดี ๆ แบบพี่อิฐเป็นแฟนเหมือนกัน”
แนนตาโตเลยคราวนี้
ผมยิ้ม แอบเศร้าอยู่ภายใน
ผมไม่บริสุทธิ์และดีพอสำหรับพี่อิฐแล้ว
“ไทม์ คือแนนไม่อยากจะคิดนะ แต่แบบว่า เอ่อ ไทม์ชอบพี่ทัศน์แบบที่ไม่ใช่พี่ชายใช่ไหม”
แนนถามตรง ๆ
ตอนแรกก็ว่าจะปฏิเสธ แต่ลึก ๆ แล้วผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ แม้จะพยายามค้านแค่ไหน แต่เอาเข้าจริง ผมแค่ไม่อยากยอมรับความจริงเท่านั้น
ผมไม่พูดอะไร แนนรวบผมไปกอดแน่น ไม่ถามอะไรต่อ
พี่อิฐรีบโทรหาผมทันทีที่แนนรายงานว่าผมมาถึงโรงเรียนแล้ว บอกว่าตอนเย็นจะมารับและขอคุยเรื่องที่ค้างคาไว้
จริง ๆ ผมไม่อยากคุยเลย แต่เพื่อให้พี่อิฐตัดใจ และให้แนนได้รับโอกาสดี ๆ นั้นไป ผมว่าผมควรทำ
ส่วนคนที่จิตใจและร่างกายไม่บริสุทธิ์แบบผม ผมว่าผมควรอยู่คนเดียวน่าจะเหมาะกว่า
พอเลิกเรียนก็เห็นพี่อิฐมายืนรออยู่หน้าโรงเรียนแล้ว คนมองกันใหญ่ แนนหน้าแดงก่ำ ผมอมยิ้ม
“สวัสดีค่ะพี่อิฐ”
“สวัสดีครับ”
“งั้นแยกกันแค่นี้นะ เรียบร้อยยังไงจะโทรหา”
ผมบอกเพื่อน แนนพยักหน้า ผมก้าวขึ้นรถพี่อิฐไป ไม่นานก็มาถึงสวนสาธารณะไม่ห่างโรงเรียน
“ตกลงไทม์มีแฟนแล้ว”
พี่อิฐยิงคำถามแรกมาก่อน ผมยิ้ม
“ยังไม่มีหรอกครับ แต่คนที่แอบชอบน่ะพอมี”
พี่อิฐมองอึ้ง ๆ
“ไทม์ไม่อยากโกหกพี่นะ เอาเข้าจริง คนที่ไทม์แอบชอบไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาได้หรอก ไกลเกินเอื้อม เหมือนเขาอยู่บนพระจันทร์ รักยังไงก็ไม่มีทางได้ครอบครอง แต่ว่า มันห้ามความรู้สึกกันไม่ได้จริง ๆ”
“ไทม์ไม่คิดจะให้โอกาสพี่อีกสักหน่อยเหรอ”
ผมหันไปมองพี่อิฐตรง ๆ
“งั้นผมขอโอกาสนั้นให้เพื่อนผมแทนได้ไหม”
พี่อิฐขมวดคิ้วมองงง ๆ
“แนนเขาชอบพี่อยู่”
พี่อิฐมองอึ้ง ๆ
“จริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องที่ควรพูด แต่แนนคือคนที่ผมรัก และพี่อิฐคือคนที่ผมรู้สึกไว้ใจไม่ต่างกับพี่ชายผมจริง ๆ ผมอยากรักพี่อิฐนะ แต่ผมไม่ใช่คนดีอย่างที่พี่อิฐคิด”
“พี่ไม่ได้ชอบคนที่ดีหรือไม่ดี ชอบก็คือชอบ”
ผมมองหน้าพี่อิฐ
“ขอบคุณครับ พี่ขอโอกาสผม ผมจะให้โอกาสนั้นกับพี่ แต่ผมก็จะขอโอกาสนั้นให้กับแนนเหมือนกัน ผมไม่บังคับให้พี่ชอบแนน และผมก็รู้ว่าพี่ไม่บังคับให้ผมชอบพี่เหมือนกัน”
“หึ ตรงจัง” พี่อิฐยิ้มขำ
อะไร คนกำลังซีเรียส =*=
“ให้เดาไหม”
“ครับ?”
“คนที่ไทม์ชอบ ต้องไม่ดีเท่าพี่แน่ ๆ”
“โหย ไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหนเนี่ย”
“เดาเอา พี่ชอบไปชอบคนที่ชอบคนอื่น”
“งั้นทำไมพี่ไม่ลองชอบคนที่ชอบพี่ดูบ้างล่ะครับ”
พี่อิฐมองหน้า
“ความรู้สึกพวกนี้มันบังคับกันไม่ได้”
“เหมือนกัน” ผมตอบสั้น ๆ
“แต่พี่ไม่ยอมแพ้หรอกนะ พี่จะจีบไทม์ต่อ”
ผมมองตาคนตรงหน้า มองลึกเข้าไปภายใน พี่อิฐคือผู้ชายหน้าตาดี เป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมทั้งฐานะและชาติตระกูล แถมนิสัยก็ดี ดวงตาอ่อนโยน ใบหน้าก็อ่อนโยน
แต่ทำไมเวลาที่ผมมองตาพี่อิฐ หัวใจถึงไม่เต้นแรงเหมือนที่ผมมองตาพี่ทัศน์
การชอบคนอื่นทำง่ายกว่าชอบพี่ชายตัวเอง
แต่ทำไม ผมถึงได้สารเลวไปชอบพี่ชายตัวเองได้
แท้ที่จริงแล้ว ใครกันแน่คือซาตาน
พี่ที่ไม่เคยคิดว่าผมเป็นน้อง
หรือผมที่รู้ทั้งรู้ว่านั่นคือพี่ชาย แต่ก็ยังหลงรัก
ใครคือคนที่เลวกว่ากัน
“จ้องกันขนาดนั้นจะทำให้พี่ละลายรึไง คนเราจ้องกันนานเกินสิบห้าวิมันทำให้หัวใจหวั่นไหวนะ”
“ผมไม่เห็นเป็นเลย”
“แต่พี่เป็น”
พี่อิฐจับมือผมไปจับหัวใจตัวเอง มันเต้นแรงเกินปกติจริง ๆ
“เชื่อได้รึยังคราวนี้”
ผมยิ้มแหะ ๆ ค่อย ๆ ชักมือกลับ
คือที่จ้องตาเมื่อกี้ เพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง ไม่ได้กะจะทำให้พี่อิฐตื่นเต้นแบบนี้
“ผมขอโทษ”
“ไม่ยกโทษให้ รับผิดชอบมาเป็นแฟนพี่ดีกว่า”
“มัดมือชกจัง” ผมยิ้ม “ขอเวลาให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”
พี่อิฐยิ้ม
“แค่นั้นก็เกินพอแล้ว”
แล้วหลังจากนั้น พี่อิฐก็พาผมไปหาข้าวกิน ก่อนขับรถไปส่งที่อู่
ผมทำงานพิเศษจนถึงห้าทุ่มเหมือนเดิม เดินกลับเข้าที่พักไป
ดีแฮะ วันนี้ไม่มีคนมากวนเลย
ประตูกำลังจะปิดสนิท ถ้าไม่มีมือปริศนามาผลักเปิดไว้ก่อน ผมเงยหน้ามองคนทำ
[50%]
“พี่ทัศน์”
พี่ทัศน์ผลักเปิดเข้ามาแรงจนผมเด้งเข้ามาภายในห้อง
“ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ย เดี๋ยวก็แจ้งตำรวจข้อหาบุกรุกหรอก”
“กล้าแจ้งจับผัวตัวเองก็เอาสิ”
ผมรีบผลักประตูปิดทันที กลัวว่าใครจะมาได้ยินเข้า
“พูดอะไรระวังหน่อยสิ หน้าต่างมีหูประตูมีช่องนะ”
“หึ กลัวผัวเจ้าของอู่มาได้ยินรึไง”
ผมทนไม่ไหวตบหน้าพี่ทัศน์ไปฉาดใหญ่
“เลิกคิดอกุศลสักที นอกจากพี่แล้วไม่มีใครได้สัมผัสร่างกายนี้ทั้งนั้น”
พี่ทัศน์นิ่งไปพัก ก่อนหรี่ตาลง คว้าจับแขนผมไปบีบแน่น
“งั้นที่ฉันเห็นนายไปจู๋จี๋กับไอ้อิฐล่ะ คืออะไร”
พี่ทัศน์บีบแรงจนผมเจ็บไปหมด
“พี่ทัศน์ ผมเจ็บ”
ผมร้องขอ พี่ทัศน์ไม่พูดอะไร ผลักผมล้มลงไปกองอยู่ที่พื้น ผมหันไปมองหน้าตื่น ร่างสูงทิ้งตัวลงมาคร่อมทับ
“หึ ได้ข่าวว่าชอบความรุนแรงไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่นะพี่ทัศน์!”
ผมรีบผลักอีกคนออก แต่ร่างนั้นไม่ขยับเลยสักนิด สองมือใหญ่ช่วยกันพรากเสื้อผ้าออกจากตัวผม ยิ่งผมขัดขืนรุนแรงมากเท่าไหร่ เขายิ่งข่มเหงผมแรงกลับรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
สิ่งที่ผมทำได้ มีเพียงปล่อยร่างกายให้เคลื่อนไหวไปตามการชักนำของเขาอย่างไร้หนทางขัดขืน
เจ็บครับ…
ไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นหัวใจดวงนี้ต่างหาก
ตราบจนพายุที่โหมรุนแรงนั้นจบลง พี่ทัศน์กอดร่างเปลือยผมไว้จากทางด้านหลัง กดจูบหัวไหล่ผมแผ่วเบา ผมขดตัวพยายามหลีกหนีจากร่างหนานั้นให้มากที่สุด ผิวเนื้อแดงเถือกเพราะแรงรัดและแรงครูดจากพื้นไร้สิ่งรองรับ
แต่อีกคนคงสนใจมันหรอก
“ปล่อย”
ผมพยายามดันตัวออก แต่พี่ทัศน์กระชับกอดแน่น
“ถ้าพูดคำว่าปล่อยอีกรอบ ฉันจะหมายถึงให้กอดอีกทีนะ”
ผมเม้มปากแน่น แล้วจะให้พูดคำไหนผมถึงจะเป็นอิสระ ผมไม่พูดแต่ใช้วิธีดิ้นหนีแทน
“ถ้าดิ้นอีกรอบ ฉันจะถือว่านายยั่วนะ”
ผมอ้าปากค้าง พูดห้ามก็หาว่าเชิญชวน ดิ้นรนก็หาว่ายั่ว แล้วทำวิธีไหน ผมถึงจะหลุดพ้นจากอ้อมแขนนี้ได้
ผมนอนนิ่งไม่กระดุกกระดิก ได้ยินเสียงหัวเราะหึ ๆ จากคนด้านหลัง ผมเม้มปากแน่น ไม่หือไม่อือไม่ดิ้นไม่หนี รอเวลาให้เขาปล่อยเอง แต่แทนที่พี่ทัศน์จะปล่อย กลับใช้ปากเกลี่ยหัวไหล่ผมอีกครั้งเบา ๆ
“พี่ทัศน์”
ผมเรียกหวังห้าม แต่ไม่พูดห้าม เพราะกลัวหาว่าเชิญชวนเอาอีก
“อะไร”
พี่ทัศน์แกล้งถาม เกลี่ยริมฝีปากไปทั่วทั้งช่วงไหล่ ผมแก้มร้อนผ่าว
“คะ คือไทม์หิว”
ผมอ้างไปเรื่องอื่น พี่ทัศน์ชะงัก
จะรู้ไหมว่าเป็นแค่ข้ออ้าง
“อืม” พี่ดันตัวลุก ผมรีบเด้งตัวหนีทันที คว้าเสื้อผ้ามาปกปิดร่างกาย ส่วนเขานั่งเปลือยอยู่ที่เดิม
“เอาข้าวไข่เจียวนะ”
ผมหันไปมอง คือจริง ๆ ไม่ได้หิวหรอก แต่แค่ต้องการหาข้ออ้างเป็นอิสระเท่านั้น
“ขอผมไปอาบน้ำก่อน”
เขาพยักหน้า ผมรีบไปอาบน้ำล้างตัว เข้าครัวไปทำข้าวไข่เจียวให้ เครื่องครัวที่นี่ไม่สะดวกเหมือนที่บ้านหรอก แต่ก็พอทำได้ ผมถือจานข้าวกลับห้อง พี่ทัศน์แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว
“ของนายล่ะ”
“กินตั้งแต่อยู่ในครัวแล้ว”
ผมมุสา พี่ทัศน์หน้าตึงขึ้นมาทันที
“งั้นเอาไปเททิ้ง”
ผมมองอึ้ง ๆ
อะไรกันคนอุตส่าห์ทำให้
“เอาไปเททิ้ง!”
“พี่ทัศน์”
“ฉันจะกลับ”
พี่ทัศน์พูดแค่นั้น หันหลังเดินออกจากห้องไป ผมมองตามงง ๆ หันกลับมามองจานข้าวในมือ เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น แล้วพี่ทัศน์ก็บึ่งรถออกไป ผมถือจานข้าวเดินออกจากห้อง
“ได้ยินเสียงรถ พี่ชายมาเหรอ”
พี่โจอี้เดินออกมา ทำจมูกฟุดฟิดจ้องของในมือผมเขม็ง
“เอาไหม”
ผมยื่นให้ พี่โจจี้รีบรับไปถือทันที
“กำลังหิวพอดีเลย”
“กินดึกมาก ๆ เดี๋ยวก็อ้วนหรอก”
“แล้วทำทำไม”
“บังเอิญมีคนอยากกิน แต่เปลี่ยนใจกะทันหัน”
พี่โจอี้เลิกคิ้ว แต่คงเดาออกว่าเป็นใคร
“ทำไมนิสัยต่างกันจัง”
ผมได้แต่ยิ้มแหะ ๆ กับคำนั้น
รุ่งขึ้นผมได้รับโทรศัพท์แต่เช้า ผมดีใจมาก เพราะนานทีปีหนแม่ถึงจะโทรหา
“สวัสดีครับแม่”
“ย้ายกลับไปอยู่บ้านกับตาทัศน์วันนี้เลยนะ”
นี่คือคำแรกที่แม่ทัก ผมหุบยิ้มดีใจลงทันที
“ก็ไหนแม่อนุญาตแล้ว”
“ตาทัศน์บอกว่าไม่มีคนทำงานบ้านกับทำกับข้าวให้กิน ให้หากินนอกบ้านก็ไม่สะดวก ให้คนอื่นดูแลก็ดูจะไม่น่าไว้วางใจ ทำไม่ถูกใจด้วย กลับไปดูแลตาทัศน์ นี่คือคำสั่ง”
ผมเม้มปากแน่น พอแม่ตัดสายผมรีบโทรหาพี่ทัศน์ทันที
“คิดถึงผัวรึไง ถึงได้โทรมาได้”
“พี่โทรบอกแม่ใช่ไหม ที่จะให้ผมกลับบ้าน”
ผมไม่สนใจคำนั้น ถามกลับทันที
“หือ ไม่นี่”
โกหกได้ไม่เนียนเลยนะ ผมกำโทรศัพท์แน่น
ผมโทรหาแม่อีกรอบเพื่อขออยู่ข้างนอกต่อ สุดท้ายก็โดนด่ากลับกระเจิง ผมจำต้องไปบอกลาพี่โจอี้ พับเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเหมือนเดิม
“อย่าเพิ่งเอาห้องให้ใครนะพี่ เผื่อผมต้องออกจากบ้านนั้นอีกรอบ”
“มีปัญหารึไง ให้พี่ช่วยอะไรไหม”
ผมส่ายหัวไปมา
“แค่พี่ให้ผมทำงาน สอนผมเรื่องรถ ให้ที่พักพิงบ้างนี่ก็บุญหัวผมแล้ว พี่โจอี้เหมือนพี่ชายผมเลย”
“แต่พี่รู้สึกเหมือนมีน้องสาวทอมบอยมากกว่าว่ะ”
ผมหัวเราะก๊าก กำลังซึ้ง ซึ้งแตกเลย
“โอเค งานยังเหมือนเดิม แต่แค่กลับบ้านไปนอนแค่นั้นแหละ”
พี่โจอี้พยักหน้ารับ
ผมหิ้วกระเป๋าเข้าบ้าน อารมณ์นั้นเหมือนตัวเองเป็นพจมานยังไงบอกไม่ถูก คือเข้าไปนี่รู้ได้เลยว่าจะโดนรังแกอะไรยังไงบ้าง
“หึ ไปไม่รอด สุดท้ายก็ต้องกระเสือกกระสนกลับบ้าน”
เจ้าบ้านแขวะทันทีที่เห็นหน้า ผมไม่สนใจเดินขึ้นห้องไป
โอ้ ทุกคนลืมอะไรกันไหม
เรื่องแสนดี ตอนที่ผมไปค้างบ้านแนน ผมเอาแสนดีไปด้วย พอไปบ้านนู้นคนบ้านนู้นก็รักแสนดีกันมาก เลยฝากไว้ยาวกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับกลับ
ถ้าอยู่อู่ ก็พอจะรับกลับมาได้อยู่หรอก แต่ที่นี่ ผมกลัวจริง ๆ ว่าพี่ทัศน์จะทำอะไรบ้า ๆ เอาอีก
“หิวแล้ว มาทำอะไรให้กินด้วย”
พี่ทัศน์สั่งตามหลัง
ผมปิดประตูล็อกกลอน รู้สึกกลอนมันแปลก ๆ ไป แต่ไม่ได้สนใจอะไร เอากระเป๋าวางไว้ที่พื้น คลี่ถอดเสื้อผ้าจนหมด กำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ ถ้าไม่ได้ยินเสียงประตูที่ล็อกไว้เปิดออก ผมหันไปมอง ตาโตมองคนเข้ามาใหม่
“พี่ทัศน์!!”
เพราะชะล่าใจว่าเป็นห้องส่วนตัวเลยไม่คิดจะปกปิด ผมรีบเดินไปคว้าผ้าห่มมาปิดช่วงหน้าไว้ มองคนเข้ามาใหม่เอาเรื่อง
“พี่เข้ามาได้ไง ผมล็อกแล้วนะ”
พี่ทัศน์ชูกุญแจเสมอหน้า ผมมองอึ้ง ๆ
“เสียมารยาทมาก ๆ เอามา”
ผมโถมตัวเข้าไปหาหวังคว้ากุญแจคืน แต่เหมือนอีกคนรอจังหวะนี้อยู่แล้วรวบตัวผมเข้าไปกอดแน่น
“นายเป็นคนวิ่งเข้ามาหาฉันเองนะ”
ผมอ้าปากค้าง ก่อนจะได้พูดอะไรพี่ทัศน์ก็จัดการปิดปากผมลง ผ้าห่มถูกกระชากทิ้งไปไกล แล้วร่างเนื้อไร้อาภรณ์ของผมก็ถูกแผดเผาจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายอีกครั้ง
_____B.T._____
เปลือกทุเรียนไม่พอ!! ต้องปืนอาก้าเท่านั้น จะยิงให้ไข่พรุนเลย
+++++++++++++++++++
เปิดจองรวมเล่มนิยาย Memew ค่ะ ^^
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54068.msg3389162#msg3389162