Cr.DhL or by fancatดีใจและชื่นชมสุดๆแฟนอาร์ทนิยายตี้หลง&ธัชชี่ทำให้...ขอบคุณนะคะ ปลื้มมมม
ตอนที่ 1ธัชดนัย“ถึงแล้วครับ...ครับ...เดี๋ยวเจอกันที่บ้านครับหม่าม้า.......ฮึๆ”
ผมหัวเราะอย่างถูกใจให้กับคนปลายสายที่เป็นผู้ให้กำเนิดและเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในสายตาผม คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่นี่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ก็ยังเห็นลูกเป็นเด็กเล็กๆอยู่ร่ำไป แต่อย่าเพิ่งคิดกันนะครับว่าผมเป็นลูกแหง่ติดแม่ ผมก็แค่ลูกคนหนึ่งที่รักแม่ที่สุดต่างหากครับ และการที่ผมโทรหาหม่าม้าเพื่อรายงานตัวก็เป็นเรื่องที่สมควรทำ ยิ่งผมเพิ่งเดินทางกลับจากญี่ปุ่นหลังไปทำงานมาตั้งห้าวันก็เป็นเรื่องปกติที่ลูกต้องโทรรายงานแม่ตัวเองว่าถึงแล้ว
ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงก่อนลากกระเป๋าเดินทางไปตามทางเดินในลานจอดรถของสนามบิน กวาดตามองไปรอบๆก็ให้นึกจินตนาการเรื่องเหนือธรรมชาติขึ้นมาไม่ได้ครับ ด้วยรถที่จอดเรียงรายแต่ร้างไร้ซึ่งผู้คนด้วยเป็นเวลาใกล้เข้าวันใหม่ ไฟทางเดินที่ติดๆดับๆยิ่งทำให้ผวาจนอยากจะออกไปพ้นๆจากที่นี่ และให้พาลโมโหตัวเองที่เลือกจอดรถในโซนน่ากลัวนี้
“ติ๊ดๆ ปึก” เสียงสัญญาณกันขโมยตามมาด้วยเสียงปลดล็อกเมื่อผมกดรีโมทรถคู่ใจ ก่อนที่ผมจะยัดกระเป๋าเดินทางเข้ากระโปรงหลังรถ สายตาก็สอดส่ายและหวังให้มีใครสักคนเดินมาเอารถที่ชั้นนี้เป็นเพื่อนบ้าง ระหว่างที่ผมปิดกระโปรงหลังรถก็มีเสียงคนตะโกนโหวกเหวกแหวกความเงียบเข้า แต่มันไม่ได้ทำผมดีใจขึ้นเลยกลับสร้างความตกใจให้มากกว่า
“เฮ้ยยย มึงอย่าหนี คิดว่าจะหนีกูพ้นเหรอ” ผมชะโงกตัวออกไปดูตามที่มาของเสียง แต่ก็ต้องรีบกุมหัวตัวเองและก้มตัวลงข้างรถ เพราะเสียงดังที่แผดเข้าหูอย่างต่อเนื่องและเชื่อได้ว่าถ้าโดนต้นกำเนิดเสียงนี้เข้าล่ะก็ครอบครัวผมคงร้องไห้กันระงมแน่ๆครับ
“ปังๆ ปัง!” ผมยกมือเกาะกุมอกด้านซ้ายและตั้งสติเมื่อได้ก็ให้รู้แล้วว่าตัวเองอยู่ในที่ๆไม่ควรอยู่ซะแล้ว ไอ้พวกนี้มันเป็นใครกันถึงกล้ามาไล่ยิงกลางที่จอดรถของสนามบิน ถ้าเป็นแถวป้ายรถเมล์ผมจะไม่นึกแปลกใจเลย
ผมเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวรอบตัวแต่ยังไม่กล้าชะโงกไปดูหน้าตัวต้นเหตุ เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาทำให้ผมมองรอบตัวเพื่อหาอาวุธป้องกันตัวเอง แม้ผมจะมีฝีมือการต่อสู้อยู่บ้างแต่ก็ไม่อาจหาญไปสู้กับปืนผาหน้าไม้หรอกครับได้เครื่องทุ่นแรงหน่อยก็ยังดี
“เฮ้ย! มันไปไหนแล้ววะ / ทางนู้นป่ะพี่ ผมเห็นหลังมันไวไว” เสียงผู้ชายสองคนเถียงกันอยู่หน้ารถผมก่อนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งออกไป จนผมนึกโล่งใจที่ไม่ต้องไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือรับรู้กับเรื่องอันตรายแบบนั้นเข้า ผมค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาทางปาก
“ฟู่ๆๆ ฮะ...อุ๊บ” ผมโล่งใจอยู่ได้ไม่นานก็ต้องตกใจแทบช็อกเมื่อมีมือใหญ่มาตะครุบปากจากคนที่เข้ามาล็อกตัวผมจากข้างหลัง สัญชาตญาณระวังภัยในตัวเริ่มทำงานมือหนึ่งกุมข้อมือชายแปลกหน้า อีกข้างกำมือแน่นและถองศอกเข้าท้องมันเต็มแรง ก่อนผมจะได้ยินเสียงอุทานแสดงความเจ็บปวดออกมา
“โอ๊ย! อ๊อก” ผมเบี่ยงตัวหลุดจากการล็อกตัวและหมุนตัวมาประจันหน้ากับไอ้คนที่อาจหาญมาจับตัวผม มันไม่รู้อะไรซะแล้วว่าเล่นอยู่กับใคร
ภาพผู้ชายผิวขาวสวมแว่นกันแดดในชุดหนังปรากฏต่อสายตาผม มันไม่ได้ทำผมตกตะลึงในความหน้าตาดีของมันแต่อย่างใด แต่ผมกำลังสะใจมากกว่าที่ทำให้มันมีหน้าตาเหยเกได้ ผมจึงแสยะยิ้มเย้ยใส่มันก่อนจะหมุนข้อมือที่ผมจับไว้แน่นไปด้านหลังก่อนกดตัวดันหลังมันลงกับพื้น พลันเสียงร้องครางแผ่วปนสบถจากร่างข้างใต้ก็ดังขึ้น
“อูยยย ชิบ!” ผมซ้ำด้วยการกดเข่าลงบนหลังมันเพื่อล็อกมันไว้ แต่ยังไม่ทันได้ซักไซ้ผู้ชายปริศนาก็ต้องชะงักและเผลอผ่อนแรงลงจากเสียงโวยวายที่ดังขึ้น
“ไอ้โง่! ไหนมึงว่ามันไปทางนั้นไง มันอยู่ไหนแล้ววะ ถ้ามันรอดไปได้มึงกับกูเหลือแต่ชื่อแน่” เสียงบ่นของคนที่น่าจะเป็นลูกพี่ดังใกล้เข้ามา พร้อมกับที่ผมเสียท่าตกมาอยู่ในอ้อมกอดของคนที่ผมเพิ่งล็อกมันไว้
แรงทั้งหมดที่มีผมนำมาใช้แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลนักเพราะแขนผมถูกตรึงไว้ไพล่หลังขยับทีก็เจ็บร้าวไปทั้งแขน ส่วนไอ้คนที่ล็อกผมไว้มันแข็งแรงมากแม้รูปร่างจะไม่ต่างจากผมนัก แต่มันก็ยึดผมไว้แน่นขยับลำบากมาก ผมไม่เคยหมดท่าเท่านี้มาก่อนพาลให้อารมณ์เสียไม่ได้ดั่งใจและนึกโมโหขึ้นมา จนไม่นึกถึงอันตรายที่อยู่เบื้องหน้าแล้ว ผมเงยหน้าจ้องตามันก็ติดที่มันสวมแว่นดำบดบังไว้ และต้องโมโหกว่าเดิมเพราะไอ้ผู้ชายแปลกหน้ามันแสยะยิ้มเยาะกันคาตา
‘ลูกปืนก็ลูกปืนเถอะกูไม่กลัวแล้ว มึงต้องตายคาตีนกูก่อนจะได้แดกลูกปืนแน่’ คิดได้ดังนั้นผมหวังใช้หัวโขกไอ้คนตรงหน้าให้สลบเหมือด แต่อาการวืดก็บังเกิดเพราะมันดันหลบทันและผมเตรียมโวยวายให้ไอ้สองตัวที่ตามมันตัวนี้มาได้รู้
“มึง ไอ้........อุบ” ผมตกอยู่ในอาการตะลึงพรึงเพริดและมึนงงบวกสับสนไปด้วยก็ได้ ก็จะอะไรล่ะผมที่เตรียมโวยวายโดนไอ้คนหน้าขาวมันปิดปากด้วยปากแล้วครับ
ปากแข็งๆที่เจ้าของมันก็คงไม่ได้นึกพิศวาสอะไรในตัวผมเหมือนที่ผมก็ไม่ได้รู้สึกพิศวาสมันนั่นแหละ แต่ด้วยคงต้องการปิดปากที่ผมเตรียมโวยวายมากกว่า ในเมื่อเล่นงานมันด้วยหัวไม่ได้ก็ใช้ปากที่ขยับได้นี่แหละวะ ผมเปิดปากออกส่งลิ้นไปแลบเลียริมฝีปากสีสดที่ได้เห็นก่อนหน้า และรับรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายชะงักไปพาให้ผมนึกกระหยิ่มใจ จึงส่งลิ้นเข้าปากที่เผลออ้าค้างและส่งเข้าเกี่ยวกระหวัดลิ้นนุ่มให้สมกับที่ใครๆตั้งฉายาให้ผมว่า ‘เสือขาว’ เมื่อไอ้หน้าขาวมันเริ่มเคลิ้มกับลีลาชิวหาพาเพลินของผมแล้ว ผมก็ขยับมือออกจากการเกาะกุมจนสามารถเอาแขนมาคล้องรอบคอฝ่ายตรงข้ามได้ อย่าคิดว่าผมเพลินไปกับจูบที่เป็นฝ่ายเริ่มเชียว เพราะผมตั้งใจทำแบบนี้ต่างหากครับ
“ฉึก ปึก อ๊อก” ไอ้ผู้ชายแปลกหน้าล้มไปนอนตะแคงกุมท้องตัวงอกับพื้นแว่นกระเด็นหลุดด้วยสภาพดูไม่ได้ เพราะผมได้ฝังเขี้ยวคมๆลงบนริมฝีปากมันเต็มแรงร่วมกับต่อยหนักๆเข้าที่ลิ้นปี่
สภาพมันดูน่าอนาถมากแต่สะใจผมที่สุด สมแล้วที่มาลูบคมเสือแบบผมเข้าและผมต้องเสียจูบให้กับผู้ชายแบบมันด้วย คิดถึงจูบนั้นก็พาลให้ขนลุกขนชันจนต้องใช้หลังมือเช็ดแรงๆ ซึ่งก็ได้กลิ่นเลือดจางๆในปากด้วย ผมขยับเข้าหาร่างที่นอนระทวยเพราะจุกจนลุกไม่ขึ้น ลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย ผมพลิกตัวอีกฝ่ายให้นอนหงายหวังว่าจะได้เห็นหน้าไอ้คนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงให้ชัดๆ และบอกได้คำเดียวว่าผมเริ่มอิจฉาบวกหมั่นไส้ในความหน้าตาดีของอีกฝ่ายเข้าแล้ว ทั้งๆที่มันนอนเจ็บหน้าตาเหยเกมันยังดูดีได้อีก ด้วยหน้าใสผิวละเอียดแม้มุมปากจะมีเลือดซึม คิ้วเข้มที่เรียงตัวสวยจนหัวคิ้วชนกันเพราะเจ้าของมันขมวดปมไว้ จมูกโด่งเป็นสันตรงที่ส่วนปลายแทบจะทิ่มตาผมซะให้ได้ ขนตาที่ทาบปิดผิวแก้มเริ่มกระพือออกเมื่อเจ้าของมันลืมตาขึ้น แววตาวาววับที่ได้สบทำผมชะงักค้างแม้ผมจะอ่านได้ว่าเจ้าของมันไม่สบอารมณ์มากแค่ไหน ที่ผมเป็นสาเหตุให้มันนอนหมดท่าแบบนี้ แต่ด้วยอะไรบางอย่างในแววตาวาววับคู่นี้มันกลับตรึงผมให้หยุดนิ่ง และเหมือนมีแรงดึงดูดระหว่างเรา ผมนิ่งค้างอยู่ท่าเดิมลืมความตั้งใจที่จะพ่นคำด่าอีกฝ่ายให้สำนึก และดูเหมือนว่าลูกตาวาวๆคู่นั้นจะเปล่งประกายระยับพราวมากขึ้นก่อนจะขยับเข้าหาผมช้าๆ มันใกล้เข้ามาและใกล้เข้ามาแต่แล้วผมต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงสบถที่ดังขึ้นหน้ารถ ก่อนที่ผมจะถลาตามแรงดึงที่แขน
“ฉิบหายกันล่ะทีนี้มันหนีไปได้ กูกับมึงคงต้องเผ่นไปกบดานที่ไหนสักที่แล้วล่ะ ไม่งั้น ‘เสี่ยเป๋า’ เอาเราตายแน่ ยืนบื้ออยู่ได้ไปสิโว้ย อย่าให้กูเจอมึงนะ ไอ้กร๊วก” เจ้าของเสียงโวยวายของคนร้ายเบาปัญญาที่เอะอะก็ใช้กำลังตัดสินก็ห่างไปเรื่อยๆ
แต่ผมสิที่โดนไอ้กร๊วกมันกอดซะดิ้นไม่หลุดจะโวยวายก็ไม่ได้ จะกระแทกศอกใส่อย่างที่เคยทำสำเร็จก็ทำไม่ได้อีก เพราะผมโดนไอ้กร๊วกมันกดตัวคว่ำกับพื้นมือไพล่หลังปากโดนปิด จนนึกเจ็บใจตัวเองที่ไม่น่าเผลอตัวจนต้องตกมาอยู่ในภาวะเสียเปรียบแบบนี้เข้าอีก ลมหายใจอุ่นร้อนกระทบที่ข้างแก้มตามมาด้วยเสียงกระซิบแปร่งๆที่ดังขึ้นข้างหู
“ชู่ๆๆๆ อย่าเพิ่งโวยวาย รอให้มันไปก่อนผมปล่อยคุณแน่” เสียงที่ได้ยินทำผมหยุดนิ่งและทำตามที่มันพูด เพราะรับรู้ได้ว่าระดับความอันตรายของสองคนที่มีปืนนั้นมีมากกว่าอีกคนที่คร่อมตัวผมไว้
ผมยอมนอนนิ่งๆและรอฟังเสียงฝีเท้าของสองคนร้ายที่ค่อยๆเดินห่างออกไป จนเผลอผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่าเริ่มปลอดภัยแล้ว แต่ผมชักไม่แน่ใจว่าจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์มั้ยด้วยลมหายใจอุ่นๆที่เคลียแก้มไม่ห่าง ผมออกแรงดิ้นให้หลุดจากการเกาะกุมและครั้งนี้มันก็ช่างง่ายดาย จนผมสามารถลุกออกมานั่งจ้องหน้าเจ้าของเสียงเพี้ยนๆแปร่งหูที่ได้ฟังเมื่อครู่ก็ให้ได้รู้ว่าไอ้คนนี้มันต้องไม่ได้เติบโตในประเทศไทยแน่ ไอ้ต่างด้าวมันกลับล้มนอนหงายคลี่ยิ้มบางทั้งๆที่ปากเจ่อใส่ตา ผมจึงเตรียมลุกขึ้นกระทืบซ้ำเมื่อหวนคิดถึงประสบการณ์เลวร้ายที่ได้เจอ
“มึง! อย่าอยู่เลย” ผมยกเท้าเตรียมกระทืบหน้าท้องที่เล็งไว้ แต่แล้วต้องชะงักกับเสียงระโหยแหบแห้งที่ได้ยิน
“เดี๋ยวก่อน! ผมยอมแล้ว” หลังเสียงโวยวายของไอ้ต่างด้าวที่นอนอยู่ มันก็ยกมือสองข้างขึ้นกันเท้าผมไว้
ผมเอาเท้าลงและยืนท้าวเอวจ้องหน้าเอาเรื่องไอ้หน้าขาว ผมว่าผมขาวแล้วนะแต่ไอ้ต่างด้าวนี่มันต้นตำรับจริงๆทั้งๆที่หน้าคลุกฝุ่นยังดูรู้เลยว่าผิวเดิมมันผ่องแค่ไหน ไม่อยากจะเรียกมันว่าไอ้หน้าตี๋เพราะมีแค่ผิวพรรณที่บ่งบอกเชื้อชาติกับสำเนียงพูดไทยเพี้ยนๆนั่นของมันเลย ด้วยความจริงแล้วเครื่องหน้ามันคมเข้มกว่าหน้าจืดๆของผมเป็นไหนๆ ในตัวมันคงมีมากกว่าหนึ่งเชื้อชาติล่ะครับ ผมจ้องหน้ามันอย่างเอาเรื่องแต่อีกฝ่ายไม่มีสลดให้เห็นเลย เพราะมันยังเผยรอยยิ้มยั่วเย้าแววตาขี้เล่นไม่เปลี่ยน ผมอดใจไม่ไหวเอาหน้าเท้าแตะๆเข้าที่ชายโครงมันเล่นสักหนึ่งที และได้ผลทันตาเพราะเสียงร้องเจ็บปวดดังลั่น จนผมต้องมองรอบตัวกลัวว่าไอ้สองตัวที่เพิ่งไปมันจะได้ยินและกลับมาเล่นงานเข้า
“โอ๊ย! เจ็บ เตะเข้ามาได้” ผมแสยะยิ้มใส่ตามันอย่างถูกใจที่ทำให้มันร้องเสียงหลงได้ และสามารถเปลี่ยนแววตาล้อเลียนเป็นโกรธขึ้งขึ้นมาแทน
‘แบบนี้สิถึงจะสมน้ำสมเนื้อ’ ถ้าผมคิดจะทำมากกว่าการแตะเบาๆไปที่ชายโครงมัน ย้ำนะครับว่าผมแค่ ‘แตะ’ ไม่ใช่ ‘เตะ’ คิดดูสิถ้าผมเตะมันขึ้นมาจริงๆมันจะเป็นยังไง แต่แล้วผมต้องชะงักเท้าที่เตรียมแตะซ้ำเข้าที่เดิม ไม่ใช่จากน้ำเสียงโวยวายของไอ้ต่างด้าวหรอกครับ แต่เป็น ‘เลือด’ บนมือมันที่กำลังยกค้างไว้ต่างหาก ผมว่าผมแค่กัดปากมันนะครับไม่น่าจะมีเลือดมากขนาดนั้น และพอสังเกตดีๆก็พบว่าบริเวณพื้นที่ไอ้ต่างด้าวนอนอยู่ก็มีกองเลือดเป็นวงกว้างและดูท่าจะขยายวงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยสิ ผมทรุดตัวลงดูและเปิดเสื้อคลุมหนังสีดำออกจากตัวมัน จึงพบว่าบนเสื้อยืดสีขาวเป็นวงแดงจนแทบจะถูกย้อมด้วยสีเลือดไปทั้งตัวแล้ว
“โอ๊ย!! เบาๆสิคุณ แผลโดนยิงนะ ไม่ใช่แผลมีดบาด โอ๊ยยย” ดีสมน้ำหน้าไอ้คนปากดี พูดไม่ชัดแล้วยังไม่เจียมยังมาปากเก่งใส่กันอีก
ผมที่หมั่นไส้ไอ้ต่างด้าวอยู่นั้นใช้นิ้วจิ้มไปที่ปากแผลมันเบาๆเป็นการลงโทษ จึงได้ฟังน้ำเสียงร้องโหยหวนเสนาะหูแบบเมื่อครู่ให้สะใจเล่น ก่อนยิ้มเยาะใส่ตาไอ้คนหน้าบูดที่ปัดมือผมออก
“ฮึๆ สมน้ำหน้าทีหลังอย่ามาปากดีใส่กูอีก เอ๊ะๆ ยังจะเถียงอีกหรืออยากลองดี” ผมชี้นิ้วใส่หน้าไอ้หน้าบูดก่อนที่มันจะส่งเสียงกวนหูมาให้ผมได้ยิน
ถึงแม้มันจะกวนตีนและเป็นคนที่นำพาเรื่องยุ่งๆทั้งหมดมาให้ผม แต่ด้วยที่ผมเป็น ‘คนดี’ และ ‘รูปหล่อ’ แต่ไม่ใจร้าย ผมจึงคิดว่าคงต้องพามันไปหาหมอก่อนแล้วล่ะครับ ถึงยังไงคงต้องเห็นแก่มนุษยธรรมก่อนล่ะ แม้ใจจริงไม่อยากจะเห็นหน้าไอ้คนที่มาปล้นจูบผมเลยจริงๆให้ตายสิ เสียประวัติ ‘ป๋าธัช’ ของสาวๆหมด เฮ้ออออ
.........................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอตะโกนดังๆว่า “คิดถึง” นักอ่านทุกคนค่า
หลังจากจบเรื่องเสน่ห์ร้ายพ่ายรักมาเกือบ 2 เดือน ก็ได้กลับมา
อัพนิยายอย่างจริงจังอีกครั้ง ด้วยหลบไปฟูมฟักเฮียธัชมา
ร่วมกับยุ่งกับการรวมเล่ม ขอบอกว่า “ดีใจ” มากค่ะ^^
ส่วนเรื่อง “บ่วงรักพญามังกร” จะมีกลิ่นไอมาเฟียนิดๆ
แต่ยังคงคอนเซ็ป “หวานๆหื่นๆตามปะสา” เช่นเคย 555
เนื้อเรื่องเบาๆสบายๆสมอง(มั้ง)เป็นส่วนใหญ่ เพราะมีตัวเอก
คือเฮียธัชที่อารมณ์ดี(?!)ไม่ต่างจากน้องชายเป็นคนดำเนินเรื่องหลัก
ยังไงลองติดตามดูนะคะและฝากป๋าธัชด้วยน้า
ปล.เจอกันอีกทีวันเสาร์ค่ะ