อาทิตย์อัสดง บทที่ 1
พิชญกระโดดลงจากเรือเพื่อเดินลุยน้ำเข้าไปที่ชายหาด โชคดีที่เป็นช่วงน้ำลงและเรือหาปลาเล็กๆ ลำนั้นก็เข้าใกล้ชายหาดได้มากพอสมควร เขาหันไปย้ำกับคนขับเรือถึงวันเวลาที่จะให้มารับแล้วยกกระเป๋าใบเดียววางบนบ่าเดินลุยน้ำไปที่ชายหาดช้าๆ ในใจนึกถึงน้ำฝักบัวเย็นๆ และที่นอนนุ่มๆ ทั้งที่อีกใจหนึ่งก็คิดว่ารู้สึกแปลกๆ ที่เกาะกลางทะเลไกลแสนไกลแห่งนี้ดูเงียบเกินไป แม้แต่ท่าเทียบเรือก็ไม่มี
แต่เขายอมรับว่าชายหาดสวยมาก เม็ดทรายละเอียด ขาวสะอาด น้ำใสแจ๋วราวกระจก ปลาตัวเล็กตัวน้อยว่ายไปมาอย่างไม่เกรงกลัวคน ที่ชายหาดมีต้นใม้ต้นหนึ่งสูงใหญ่มาก มีชิงช้าซึ่งแผ่นรองนั่งเป็นไม้เก่าๆ แขวนกับกิ่งไม้ด้วยเชือกเส้นใหญ่ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นเปลญวณขนาดใหญ่มากแขวนอยู่ที่กิ่งไม้ของต้นไม้นั้น เปลแขวนอยู่สูงในระดับเหนือศีรษะสุดมือเอื้อมถึง หากจะขึ้นไปนอนบนนั้นได้จะต้องใช้บันไดเพื่อปีนขึ้นไป หรือไม่ก็ปีนขึ้นต้นไม้แล้วไต่มาตามกิ่งไม้เพื่อหย่อนตัวลงนอน พิชญอดคิดไม่ได้ว่าพี่ชายของเพื่อนเขาเป็นคนแปลกประหลาดพอสมควรที่จะแขวนเปลกับชิงช้าไว้สูงขนาดนั้น
พิชญวางกระเป๋าลงบนทางเดินกรวดเพราะเริ่มรู้สึกหนัก ถอนหายใจออกมายาวๆ และมองไปรอบๆ เพื่อชื่นชมกับธรรมชาติของเกาะทรายงามที่เขาอุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางมาทั้งวันเพื่อใช้เวลาพักผ่อนอยู่สักสองอาทิตย์ก่อนจะกลับไป 'สู้' ชีวิตในกรุงเทพฯ
เขาเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยเครื่องบิน เหมารถเช่าไปส่งที่ท่าเรือ โดยสารเรือแฟรรี่ไปลงที่เกาะใหญ่ นั่งเรือหางยาวไปหมู่บ้านชาวประมงเพื่อจ้างเรือประมงให้มาส่งที่เกาะทรายงามเพราะมีแค่ไม่กี่คนที่รู้จักว่าเกาะแห่งนี้อยู่ที่ไหน
พี่ชายของคณินทร์เพื่อนของเขาให้ใช้บ้านพักตากอากาศบนเกาะส่วนตัวเพื่อหลบมาพักชั่วคราวและตั้งสติก่อนกลับกรุงเทพฯ ไปรับมือกับปัญหาหลายอย่างซึ่งกำลังเผชิญอยู่
พิชญเดินไปตามทางเดินโรยกรวดอย่างอ่อนแรง รู้สึกสงสัยยิ่งนักว่าทำไมบ้านพักอยู่ห่างจากชายหาดถึงเพียงนี้ พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน หันไปมองด้านขวาเห็นแสงสีทองจับขอบฟ้าสวยงามยิ่งนัก เมฆบนท้องฟ้าวันนี้ดูแปลกตาไปจากที่เคยเห็น ดูเป็นริ้วเหมือนใครสะบัดพู่กันสีม่วงปนแดงขึ้นไปวาดภาพบนท้องฟ้า ถ้าเมฆยามเย็นของท้องฟ้าด้านนี้สวยงามอย่างที่เห็น พระอาทิตย์ที่กำลังตกดินทางทิศตะวันตกจะสวยงามขนาดไหน เขาใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมืองใหญ่ แทบไม่เคยได้สัมผัสกับธรรมชาติ คราวนี้ล่ะ เขาจะใช้เวลาให้เต็มที่ ธรรมชาติที่สวยงามจะช่วยให้เขาพบกับความสงบและตั้งสติได้
ลมทะเลพัดมาเอื่อยๆ พิชญสูดลมหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์พร้อมกับแหงนหน้าขึ้น หลับตาพริ้ม ลืมไปว่าตัวเองกำลังเดินลากกระเป๋าอยู่บนถนนโรยกรวดเล็กๆ จึงทำให้เท้าสะดุดก้อนหินล้มคว่ำไม่เป็นท่า
กว่าจะถึงบ้านพักตากอากาศซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเกาะก็ทำให้พิชญแทบจะหมดแรง
พิชญแปลกใจเพราะบ้านเปิดไฟเอาไว้ บ้านพักตากอากาศของพี่ชายเพื่อนของเขาออกแบบอย่างสวยงามจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าอยู่บนเกาะเล็กๆ ไกลแสนไกล ผนังเกือบรอบด้านเป็นกระจก โครงเป็นเหล็กสีน้ำตาลเข้ม ระเบียงไม้หน้าประตูเข้าบ้านกว้างมาก พิชญนั่งลงบนพื้นเพื่อค้นหากุญแจบ้านที่เพื่อนให้มา กระเป๋าแอร์เมสของเขาแทบไม่เหลือสภาพความสวยงามเพราะโดนลากกับพื้นกรวดมาตลอดทาง
ไม่เจอ!
กุญแจอยู่ที่ไหน
พิชญเหนื่อยมาก รู้สึกอยากจะเอนตัวนอนโดยใช้กระเป๋าหรูที่ซื้อมาจากฝรั่งเศสหนุนต่างหมอนเสียเดี๋ยวนั้น แต่ค้นกระเป๋าแล้วก็ไม่เจอกุญแจ
ชายหนุ่มหันไปมองบ้านพักชั้นเดียวที่ตั้งอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่เมตรแล้วจึงนึกอะไรได้บางอย่าง เมื่อไฟหน้าบ้านเปิดอยู่ก็แสดงว่าจะต้องมีคนดูแลและเปิดให้เขาเข้าไปในบ้านได้ พิชญจึงแข็งใจลากกระเป๋าไปวางไว้ที่ขั้นบันไดหน้าบ้านแล้วเคาะประตูอยู่นานแต่ก็ไม่มีใครมาเปิดประตู เขาจึงเดินไปรอบบ้านเพื่อหาเรือนพักของคนดูแลบ้าน แต่คำพูดของเพื่อนเขาดังแว่วขึ้นมาในหัวว่า
...แกจะอยู่คนเดียวได้หรือ เกาะนั้นไม่มีอะไรเลยนะ มีบ้านพี่ชายเราหลังเดียวเพราะเป็นเกาะของเขา คนดูแลอะไรก็ไม่มี ต้องทำอะไรเองหมดทุกอย่าง ไม่มีคนปรนนิบัตินะบอกให้...
แล้วใครเปิดไฟ
พิชญหยุดเดิน ยืนนิ่งมองบ้านพักตากอากาศ เลิกคิดที่จะเดินหาเรือนพักของคนดูแลบ้าน เพราะมองไปรอบๆ มีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด ไม่มีวี่แววว่าจะมีสิ่งปลูกสร้างอื่นใด
ชายหนุ่มเดินกลับไปที่บ้าน ตั้งใจว่าจะเทของทุกอย่างในกระเป๋าออกมาและค้นหากุญแจดูอีกครั้ง หรือถ้าถึงที่สุด เขากะจะใช้วิธีงัดประตู หรือไม่ก็ทุบกระจกปีนเข้าไปเสียเลย เมื่อครู่เขาเห็นว่าหน้าต่างเล็กใกล้ประตูด้านหน้าเป็นกระจกบานเล็กที่ไม่ใช่กระจกหนาแบบที่ใช้ทำเป็นผนัง จากนั้นค่อยลากตู้หรืออะไรมาตั้งขวางเอาไว้ แล้วค่อยไปสารภาพผิดกับเพื่อนและยอมจ่ายค่าเสียหาย
พิชญเดินโผเผขึ้นบันไดไปยืนพิงประตูกระจกบานใหญ่ที่สูงเกือบสองเมตรแล้วเคาะประตูดังๆ อีกครั้งราวกับหวังว่าจะมีใครมาเปิดให้แต่ก็ไม่มีวี่แวว นานเข้าเขาเริ่มจะทนไม่ไหวจึงจับลูกบิดประตูเขย่าด้วยความหงุดหงิด ประตูกลับเปิดออกได้โดยง่าย พิชญเดินเข้าไปข้างในช้าๆ และเปิดไฟให้สว่าง บ้านพักตากอากาศตกแต่งไว้อย่างสวยงามราวกับห้องพักของรีสอร์ทหรูหรา พิชญเหนื่อยแทบขาดใจ อยากจะโผเข้าห้องนอนและทิ้งตัวลงบนเตียงและหลับไปทั้งที่ไม่ได้อาบน้ำ แต่เขาก็กัดฟันเดินไปลากกระเป๋าเข้ามาในบ้านและปิดล๊อคประตูให้เรียบร้อย ก่อนจะเข้าไปในห้องนอน ล้างหน้าอย่างลวกๆ และล้มตัวลงนอนบนเตียงนอนนุ่มๆ ทันที
แสงแดดจ้าส่องเข้ามาในห้องนอนกว้างที่มีผนังห้องเป็นกระจกตลอดแนวทั้งสองด้าน เผยให้เห็นวิวทะเลอันสวยงามอย่างชัดเจน พิชญจำต้องตื่นขึ้นมาเพราะทนนอนในห้องที่สว่างจ้าแบบนั้นไม่ได้ ความจริงเขาเป็นคนตื่นเช้าอยู่แล้ว ครั้นเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือซึ่งบอกเวลา 8:05 น. ซึ่งก็ถือว่าได้นอนเต็มที่อยู่เหมือนกัน
พิชญชะเง้อมองออกไปด้านนอกเห็นวิวทะเลสวยงามจับใจ แสงอาทิตย์ส่องกระทบผิวน้ำระยิบระยับ ท้องฟ้าเป็นสีครามสดใส พิชญยิ้มออกมาบางๆ รู้สึกไม่เสียดายที่ดั้นด้นเดินทางมาไกลถึงเพียงนี้ แต่ทันใดก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นปลาโลมากระโดดขึ้นมาจากผิวน้ำและทิ้งตัวลงจนน้ำทะเลแตกกระจายเป็นฟองสีขาว
พิชญหายงัวเงียทันที รีบกระโจนลงจากเตียงและวิ่งออกไปจากห้องเพราะต้องการจะดูปลาโลมาในธรรมชาติจริง เขาเห็นสะพานไม้อยู่ทางด้านขวาของระเบียงกว้างหน้าบ้านทอดตัวลดหลั่นลงไปตามโขดหินจนถึงชายหาดซึ่งห่างออกไปประมาณสองร้อยเมตร เมื่อมีแสงสว่างชัดเจนเขาจึงเห็นได้ว่าบ้านพักตากอากาศหลังนี้ตั้งอยู่บนโขดหินซึ่งยื่นออกไปราวกับเป็นแหลมเล็กๆ ด้านหนึ่งเป็นโขดหินลาดลงไปจนถึงชายหาด มีทางเดินซึ่งเป็นสะพานไม้ช่วงสั้นๆ ลัดเลาะไปตามโขดหินลดหลั่นลงไป ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นเนินหญ้ากว้างลาดชันขึ้นไปจรดทิวไม้เขียวขจีเชิงเขา
ทั้งที่เจ็บเท้าแต่ด้วยความอยากชมปลาโลมาใกล้ๆ พิชญก็แข็งใจเดินสลับวิ่งลงไปจนถึงชายหาดและได้ดูฝูงปลาโลมาเล่นน้ำจนพอใจก่อนโลมาฝูงนั้นจะว่ายน้ำหายไป
พิชญเสียดายที่ลืมคว้าโทรศัพท์มาเพื่อที่จะถ่ายภาพเอาไว้ ชายหนุ่มเดินสำรวจพื้นที่รอบๆ ชั่วครู่จนรู้สึกหิวจึงเดินกลับ แต่เมื่อแหงนมองทางเดินที่เป็นสะพานไม้ช่วงๆ สั้นๆ กว่ายี่สิบช่วงที่หักมุมลัดเลาะไปตามโขดหินจนขึ้นไปถึงบ้านพักก็แทบจะถอดใจเพราะดูสูงกว่าที่คาดคิด เมื่อตอนลงมานั้นเป็นเพราะอยากดูปลาโลมาเขาจึงไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อยเท่าใดนัก แต่คราวนี้เป็นการเดินขึ้นและแดดก็เริ่มร้อน หนำซ้ำยังรู้สึกหิวอีกด้วย
แต่ในที่สุดพิชญก็มาถึงประตูหน้าบ้านพักตากอากาศจนได้ เขาก้มลง ใช้มือเท้าหัวเข่าทั้งสองข้างและหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ตอนนี้เองจึงสังเกตเห็นตัวหนังสือเล็กๆ สลักอยู่กลางกระจก
The House of Dusk and Dawn
พิชญยืดตัวขึ้นและมองออกไปยังชายหาดเบื้องล่างซึ่งเขาลงไปชมปลาโลมาเมื่อครู่จึงตระหนักได้ว่านั่นคือทิศตะวันออก ส่วนทิศตะวันตกนั้นเป็นอีกด้านหนึ่งของบ้าน
อยู่ที่บ้านหลังนี้ ได้เห็นทั้งวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตกอย่างอย่างชัดเจน น่าอยู่จริงๆ คณินทร์เพื่อนของเขาไม่เห็นพูดเรื่องนี้ บอกแต่เพียงว่าบ้านพี่ชายสวยมาก แต่ไม่ได้อธิบายรายละเอียด ตอนแรกเขาเกือบจะไม่มาเพราะเห็นว่าไกลเกินไป แต่หากคณินทร์อธิบายภาพอย่างที่เขากำลังเห็นอยู่นี้เขาคงหนีจากกรุงเทพฯ มาอยู่ที่นี่นานแล้วแทนที่จะหลบหน้าอยู่แต่ในห้องคอนโดแคบๆ ของปานฤทัย ผู้จัดการของเขาตั้งหลายวัน
อาบน้ำให้สบายตัวแล้วค่อยไปทำอะไรทาน
พิชญมองเข้าไปด้านในเห็นห้องครัวอยู่ทางด้านขวาสุดของบ้าน ตู้เย็นขนาดใหญ่น่าจะมีทุกอย่างพร้อม ความจริงเขาทำอาหารไม่เก่ง แต่ในตู้เย็นคงมีไข่ อย่างน้อยเขาก็พอเจียวไข่เป็น หรือถ้าแย่จริงๆ ต้มไข่ก็ยังได้
พิชญฮัมเพลงเบาๆ Time Is A Jailer เป็นเพลงที่เขากำลังหัดร้องเพราะต้องขึ้นแสดงในงานครั้งสำคัญเดือนหน้า เขาตั้งใจจะหลบมาอยู่ที่นี่สักสองอาทิตย์ก่อนจะกลับไปสู้รบปรบมือกับปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้น
No one can hear me, 'cause no one is around
But I still hear your whisper in the dark
I know I can go, I know I can leave whenever I please
But time is a jailer for me
เมื่อฮัมเพลงถึงท่อนนี้พิชญก็ต้องชะงัก เขาเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่กลางห้องนอนและได้ยินเสียงน้ำไหลเบาๆ ในห้องน้ำ พิชญขมวดคิ้ว รู้สึกสงสัย แต่เสียงนั้นก็หายไปในทันที เขาจึงสะบัดศีรษะเบาๆ เพราะคิดว่าตัวเองหูแว่ว
พิชญก้มลงมองหากระเป๋าแอร์เมสของตัวเองซึ่งจำได้ว่าทิ้งไว้กลางห้องแต่ก็ไม่เจอ เขาหันซ้ายหันขวาอยู่ชั่วครู่จึงเห็นว่ากระเป๋าของตัวเองวางอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าใกล้กับประตูห้องน้ำ พิชญเดินไปเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำให้สบายตัว เขาถอดเสื้อของตัวเองออกและปลดตะขอกางเกงแต่ทันใดก็ต้องยืนนิ่งตัวแข็งเมื่อเห็นประตูห้องน้ำเปิดออกพร้อมกับร่างเปลือยของผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมา
“นี่คุณ” พิชญร้องอย่างตกใจแต่ผู้ชายรูปหล่อคนนั้นทำหน้าเรียบเฉย ไม่ได้แสดงอาการแปลกใจแต่อย่างใด ร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้าม มีหยดน้ำเกาะพราวไปทั้งตัว ผิวสีแทนเข้ม หุ่นดีไม่มีที่ติ มือขวากำลังใช้ผ้าเช็ดตัวขยี้ผมให้แห้ง โชคดีที่ผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนใหญ่ทิ้งชายลงมาปิดกลางลำตัวเอาไว้ แต่พิชญพอจะมองเห็นว่าสิ่งที่อยู่ใต้ชายผ้าสีขาวนั้นตุงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“คุณเป็นใคร” พิชญรวบรวมสติ ถามเสียงดังกว่าเดิม “มาจากไหน เข้ามาได้ยังไง มาทำอะไรในนี้”
“เจ้าของบ้าน มาจากข้างนอก เดินเข้ามาทางประตู มาอาบน้ำ” ชายหนุ่มหน้าเข้มคนนั้นตอบทุกคำถามด้วยเสียงราบเรียบ
“ออกไปเดี๋ยวนี้” พิชญชี้นิ้วไปที่ประตูห้อง ออกคำสั่งเฉียบขาด
“ทำไม”
“คุณบุกรุกเข้ามาแบบนี้มันผิดกฏหมาย ออกไป”
“ผิดกฎหมายมาตราไหนไม่ทราบ” หนุ่มหน้าเข้มถาม
“คุณเป็นใคร” พิชญถามเสียงเข้ม
“ผมต่างหากน่าจะเป็นฝ่ายถามว่าคุณเป็นใคร”
“นี่บ้านของผม” พิชญตอบเสียงห้วน
“บ้านคุณ” ชายหนุ่มคิ้วเข้มเลิกคิ้ว
“บ้านพักตากอากาศของเพื่อนผม” พิชญตอบเสียงอ่อนลงกว่าเดิม
“อ๋อ มิน่า คุณถึงนอนหลับสบายบนเตียงทั้งๆ ที่อยู่ในชุดเดินทาง ไม่อาบน้ำด้วยซ้ำ” ชายหนุ่มจมูกโด่งคมยิ้มมุมปากเยาะๆ
“คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อคืน” พิชญขมวดคิ้ว
“งั้นผมก็คงกลายเป็นผู้บุกรุกยามวิกาลแล้วล่ะ” ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะเบาๆ
“ผมปิดล๊อคประตูแล้ว” พิชญพึมพำกับตัวเอง
“งั้นผมเข้ามาได้ยังไงล่ะว่าไหม”
“คุณเป็นใคร บอกมาเดี๋ยวนี้” พิชญเสียงเข้มขึ้น
“ผมก็เป็นเจ้าของบ้านสิ ถามได้” ชายหนุ่มที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จลดผ้าเช็ดตัวลงและทำท่าจะโยนลงตะกร้า พิชญจึงรีบยกมือขึ้นห้าม
“นี่อย่านะ อุจาด”
“ทำไมคุณ มีเหมือนกันไม่ใช่หรือ อย่าทำเป็นไม่เคยเห็นไปหน่อยเลยน่า” ชายหนุ่มหน้าเข้มอมยิ้ม “เอ๊ะ หรือว่าคุณไม่มี”
“ทะลึ่ง” พิชญถลึงตา
“แต่คุณนี่ก็หุ่นดีเหมือนกันนะ ผิวขาวจั๊วะเหมือนไข่ต้ม”
“คุณ” พิชญเม้มปาก รู้สึกตัวว่าตัวเองไม่ได้สวมเสื้อและกางเกงรูดซิบลงไปครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นขอบกางเกงชั้นในสีขาวจึงรีบรูดซิบขึ้น
“ขอเวลาส่วนตัวหน่อยได้ไหมครับ ผมจะแต่งตัว” ชายหนุ่มคนนั้นพูดขึ้นแล้วโยนผ้าเช็ดตัวลงบนพื้น พิชญหันหน้าหนีพอดีและเดินลงส้นเท้าหนักๆ ไปที่ประตูเพื่อออกไปรวบรวมสติ
เขาไม่เข้าใจ คณินทร์บอกว่าบ้านพักตากอากาศของพี่ชายนั้นว่างตลอดเวลา แล้วผู้ชายคนนี้เป็นใคร แต่ถ้าบอกว่าเป็นเจ้าของบ้าน ก็แสดงว่าอาจเป็นพี่ชายของคณินทร์ ซึ่งอยู่ดีๆ ก็เกิดอยากจะมาพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศของตัวเอง
แต่เขาไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นพี่ชายของคณินทร์เพราะหน้าตาไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย คณินทร์เป็นคนไทยเชื้อสายจีน แต่ผู้ชายหน้าเข้มคนนี้มองอย่างไรก็ไม่มีเค้าเหมือนเพื่อนของเขาเลย ความสูงของเพื่อนเขาก็ไม่ถึงไหล่ของอีตายักษ์ใหญ่คนนี้ด้วยซ้ำ
ผิวสีแทน ใบหน้าคมสัน คิ้วเข้มเฉียงขึ้นด้านบนทำให้ดูหน้าดุ ตาคบกริบเหมือนเหยี่ยว โหนกแก้มสูง จมูกโด่งคมเป็นสันตรง ปากเต็มได้รูปอย่างผู้ชาย ผู้ชายคนนี้รูปหล่อราวแกะสลัก
“ว่าไงคุณ คิดได้หรือยังว่าจะเถียงผมยังไง” เสียงห้าวดังขึ้นข้างหลัง พิชญสะดุ้ง หันไปมอง แต่สายตาเห็นแผ่นท้องแกร่งกร้ามขึ้นเป็นลอน ชายคนนั้นสวมกางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว ไม่ได้แต่งตัวเรียบร้อยอย่างที่พูด
“บ้านหลังนี้เป็นบ้านพักของพี่ชายเพื่อนผมชื่อ คณินทร์” พิชญพูดขึ้น “อ้อ อย่ามาอ้างว่าคุณเป็นพี่ชายคณินทร์นะเพราะหน้าตาไม่เหมือนกันซักนิด”
“ผมก็มีน้องชาย แต่ไม่ใด้ชื่อนี้ และผมก็ไม่รู้ว่าใครชื่อคณินทร์ แต่ผมรู้ว่าบ้านหลังนี้สร้างขึ้นมาเมื่อไหร่”
“คุณเล่นตลกอะไร คุณผ่านมาแล้วแอบเข้ามาพัก แล้วมาอ้างว่าเป็นบ้านของตัวเอง”
“ช่างคิดได้นะ” ชายหนุ่มผิวเข้มหัวเราะเสียงหยัน “ผมบอกคุณแล้วไงว่าผมเป็นเจ้าของบ้าน เอายังงี้ เรามาเล่นยี่สิบคำถามกันหน่อยไหมล่ะ คุณว่าบ้านหลังนี้ชื่อว่าอะไร”
“The House of Dusk and Dawn” พิชญตอบทันที
“ผิด”
พิชญหันขวับไปมอง แต่ก็ยังเห็นแต่แผ่นท้องเกร็งแน่นของอีกฝ่ายซึ่งยื่นอยู่แทบชิดเขา พิชญจึงขยับตัวออกห่างเล็กน้อย
ทำไมจะต้องมายืนโชว์เป้าตุงอยู่ได้ คิดว่าตัวเองใหญ่นักหรือไง หุ่นดีก็จริง แต่ไม่เห็นจะต้องมาอวดกันเลยนี่นา
“งั้นเอาคำถามที่ง่ายกว่านี้หน่อย เกาะนี้ชื่อเกาะอะไร”
“ทรายงาม” พิชญตอบเสียงสั้นๆ ห้วนๆ
“อืม ก็มาถูกที่นี่นา แล้วคุณเป็นใครล่ะเนี่ย” ชายคนนั้นขมวดคิ้ว ทำหน้าตาสงสัย
“ผมต่างหากควรถามว่าคุณเป็นใคร” พิชญหันขวับไปอีกครั้งและลุกขึ้นยืน แหงนหน้ามองชายหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาฉุนๆ
เมื่อยืนอยู่ใกล้ๆ กันพิชญจึงได้รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ตัวสูงใหญ่มาก
เขาสูง176 แต่ก็ยังต้องแหงนหน้ามอง แสดงว่าผู้ชายคนนี้น่าจะสูงเกือบ 190
คนอะไรตัวใหญ่ยังกับยักษ์
“ผมชื่อ...” พิชญชะงัก แล้วถามตัวเองในใจว่า ทำไมเขาต้องบอกชื่อตัวเอง ผู้ชายคนนี้ไม่รู้หรือว่าเขาเป็นใคร
“ชื่ออะไรครับ” ผู้ชายหน้าเข้มเลิกคิ้ว
“คุณไม่รู้หรือว่าผมเป็นใคร” พิชญถาม
“อ้าว ก็คุณไม่บอก” ชายร่างยักษ์ส่ายหน้าช้า “คุณจะแนะนำตัว แล้วจู่ๆ คุณก็หยุดพูด แล้วมาถามผม คุยกับคุณนี่ปวดหัวดีพิลึก”
“ช่างเถอะ” พิชญพูด
“ช่างเถอะอะไรครับ” ผู้ชายที่อ้างว่าเป็นเจ้าของบ้านเลิกคิ้ว
“ไม่สำคัญหรอกว่าผมจะชื่ออะไร”
“แสดงว่าเราจะไม่แนะนำตัวกันใช่ไหมเนี่ย”
“ผมก็ไม่อยากรู้หรอกว่าคุณชื่ออะไร” พิชญอดพูดจากระทบกระเทียบอีกฝ่ายไม่ได้เพราะหน้าตากวนๆ แบบนั้นทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมาก
ใบหน้าดูยิ้มๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าทำท่าเอือมระอาเขาอยู่ในที แบบนี้ จะให้พูดดีด้วยได้ยังไง
แล้วนี่เขาไม่รู้จักเราจริงๆ หรือ ถ้าแกล้งทำก็ถือว่าทำหน้าได้แนบเนียนมาก
“ก็ได้ คุณไม่ต้องบอกชื่อผมก็ได้ เอาไว้ให้คุณพร้อมก่อนก็ได้ ยังไงก็ได้” ผู้ชายตัวโตยักไหล่
“แล้วคุณเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่” พิชญถาม
“อ้าว คุณนี่ ทีตัวเองไม่อยากให้เขารู้จัก แต่กลับอยากรู้จักชื่อคนอื่น ผมว่ามันไม่ค่อยยุติธรรมนะคร้าบ”
“ก็ได้ ไม่ต้องรู้จักชื่อคุณก็ได้ แต่ถึงคุณพร้อมจะบอกผมแล้วก็ไม่ต้องมาบอกผมหรอกนะ เพราะไม่เห็นจะสำคัญ” พิชญยักไหล่เหมือนกัน “เรื่องที่สำคัญก็คือว่า คุณเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่”
“ก็วนกลับมาที่คำถามเดิมนั่นล่ะ และผมก็จะตอบว่า นี่บ้านผมไงครับ ผมก็ควรจะถามคุณด้วยคำถามเดียวกัน ว่าคุณเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่”
“ผมเป็น....” พิชญอ้าปากแล้วชะงักอีกครั้ง
ทำไมเขาจะต้องบอกว่าเขาเป็นใคร อีตานี่ท่าทางคงจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ถ้าเขาบอกว่าเป็นใครก็คงจะหัวเราะแล้วทำหน้าตาน่าหมั่นใส้
พีช พิชญไง ไม่รู้จักหรือ อีตาบ้าเอ๊ย
หรือ พีช พีพี
“เป็น...” ชายคนนั้นก้มหน้าลงมาใกล้ เลิกคิ้วขึ้นข้างเดียว รอฟังคำพูดต่อไปของอีกฝ่าย
“ช่างเถอะ”
“เอาอีกแล้ว ช่างเถอะอีกแล้ว” คนพูดส่ายหน้าแล้วเดินออกห่างไปยืนมองทะเลพร้อม ทำท่าทางเลิกที่จะคุยกับคนแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็มาโผล่อยู่ในห้องนอน
พิชญถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ก้มลงค้นหาโทรศัพท์ในกระเป๋า ทันใดนั้นเสียงห้าวๆ ก็ดังขึ้นข้างหลัง ทำให้เขารู้ว่าผู้ชายตัวสูงคนนั้นเดินตามเข้ามาเงียบๆ
คนอะไร ตัวใหญ่ยังกับไดโนเสาร์ แต่เดินเงียบมาก
“โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณหรอกคุณ”
“ถ้ายังงั้นผมก็โทรไปเช็คกับเพื่อนไม่ได้” พิชญยืดตัวขึ้นแล้วหันมาพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่ผมก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่า นี่คือบ้านพักตากอากาศของพี่ชายเพื่อนผมซึ่งเขาอนุญาตให้ผมมาพัก ส่วนคุณเป็นใครผมไม่...”
“สรุปเลยก็แล้วกัน” ผู้ชายคนนั้นพูดแทรก “บ้านนี้มีคนอยู่สองคน เพราะอีกคนคงไม่ยอมย้ายออกไปอย่างแน่นอน ทั้งที่เป็นคนที่มาผิดที่”
“ผมไม่ได้มาผิดที่ คุณจะบ้าหรือ ไม่ตลกเลยนะ ผมมาจากกรุงเทพฯ ไกลขนาดนี้ ต่อรถต่อเรือตั้งหลายจุด ผมไม่หลงทางมาหล่นตุ๊บกลางเกาะห่างไกลความเจริญแบบนี้หรอก”
“ใครพาคุณมา”
“คนขับเรือสิ แล้วก่อนจะจ้างให้เขามาส่ง ผมก็คงต้องบอกเขาว่าให้ไปส่งที่ไหนใช่หรือเปล่า คุณคิดว่าผมสื่อสารกับคนขับเรือด้วยภาษาใบ้หรือไง ผมรู้หรอกว่าต้องบอกให้เขามาส่งที่ไหน”
“ปวดหัว” ผู้ชายตัวโตโคลงศีรษะ “เอางี้ ไหนๆ เราก็มาติดอยู่ที่บ้านหลังนี้ด้วยกันแล้ว มาตกลงกันดีกว่าว่าจะอยู่กันยังไงในเมื่อมีห้องนอนห้องเดียว”
“ผมไม่ออกไปนอนข้างนอกเด็ดขาด” พิชญพูดสวนกลับทันที
“ผมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าคุณต้องพูดแบบนี้ ท่าทางคุณนี่คงคุ้นเคยกับการได้อะไรอย่างที่ใจอยากจะได้”
“คุณ”
“อ๊ะๆ ผมไม่ได้ว่าคุณถูกตามใจจนเคยชินนะครับ”
“ใช่ คุณไม่ได้พูด” พิชญเบ้ปากประชด
“ถามจริงเถอะ คุณเป็นคุณหนูไฮโซหนีพ่อแม่มาเที่ยวเปิดโลกทัศน์ตัวเองใช่หรือเปล่า ทำไมมาไกลถึงขนาดนี้ แค่หัวหินก็น่าจะพอไม่ใช่หรือ ที่นี่ไม่มีแสงสีนะคุณ เดี๋ยวได้ขาดใจตายพอดี”
“คุณนี่ ทำไมช่าง...”
“ช่างอะไรครับ”
“ช่างเถอะ” พิชญถอนหายใจแล้วลดเสียงลง “ออกไปก่อนได้ไหม ผมจะอาบน้ำแต่งตัว”
“ตามสบาย” ผู้ชายผิวเข้มยักไหล่แล้วเดินตรงไปที่ประตู แต่ก่อนที่จะออกจากห้องก็พูดว่า “แต่เรื่องใครจะได้ครอบครองห้องนี้ยังไม่จบนะครับ เรายังต้องคุยกันอีก”