บทที่ 6 The one to cry
วันนี้เป็นวันที่สโมสรนักศักศึกษานัดประชุมกันเรื่องงานวิชาการซึ่งสามปีจะมีครั้งหนึ่งครับ จากวันนั้นถึงวันนี้ (สรุปคือ..วันไหน??) เหตุการณ์เมาสะท้านโลกของผมผ่านมาก็สามวันแล้ว ในที่สุดผมก็ได้รู้ว่าไอ้การที่ผมเกือบจะหน้าแตกแพ้บาส เกือบตกบันได เกือบเดินชนประตู และอีกทั้งหลายทั้งแหล่ที่เกิดขึ้นเพราะความใจลอยของผม ล้วนแล้วแต่เป็นการกลั่นแกล้งของไอ้เพื่อนชั่วทั้งสิ้น มันบอกว่ารอย Night’s mark เหล่านี้ (these เพื่อแสดงความเป็นพหูพจน์ ย้ำ!! โคตรพหูพจน์เหอะ) เป็นการลงโทษที่ผมเมาเหมือนหมาจนเดือดร้อนมันต้องมาคอยดูแล สาดดดเอ๊ยยย โคตรจะโมโหเลยครับ เข้าใจกันป่ะว่าผมโมโหเรื่องอะไร
หึ คิดดูดิครับ ผมแอบรักมันมาสามปีเต็มๆ คอยดูแลมันสารพัด มันอยากให้ทำอะไรทั้งๆ ที่ฝืนใจผม ผมก็ไม่เคยปริปากบ่น จะเลิกกับแฟนก็เอาผมเป็นไม้กันหมา พวกเธอๆ ทั้งหลายก็ไม่ตามรังควาญมัน แต่ดันมาอาฆาตผมแทน แม่งง กูมันเป็นเครื่องมือสารพัดประโยชน์ชัดๆ เลยนี่
หยุดครับ!! อย่าเพิ่งเศร้าเพราะสงสารผม คุณคิดว่าผม ไอ้เวย์คนนี้ จะโมโหเพราะเรื่องพรรค์นี้เหรอครับ ไม่มีทางซะล่ะ ฮ่าๆ ผมรู้จักมันดีพอ ดีพอที่จะไม่คิดเล็กคิดน้อยไปกับการกระทำของมัน เพราะมันเป็นพวกอยากทำอะไรก็ทำ ไม่เคยแคร์อะไรอยู่แล้ว ยิ่งผมเป็นเพื่อนสนิท มันก็ยิ่งไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องกลัวว่าผมจะโกรธ จะด่ามัน สรุปก็คือ ชิน เหอะ แต่ไอ้ที่โกรธเนี่ยย โกรธตัวเองดิครับ แม่ง โคตรโมโหตัวเองเลย ทำไมวันนนั้นผมต้องเมาวะ? ทำไมกูต้องเมาจริงๆ วะ ทำไม แม่งงง ถ้ากูไม่เมานะ เมิงเสร็จกูไปแล้วไอ้ไนท์ เสร็จตั้งแต่ยังไม่ได้ชัดจนเป็นรอยเลย โธ่เว้ยยย ไอ้ชั่ววว ไอ้เจ้าเล่ห์ ทำไมต้องทำตอนกูเมา กูไม่ยอมมมมม
“เวย์ เวย์ ไอ้ฟายเวยยยยยยยยย์”
“ห๊ะ!! อะไร ควายที่ไหนร้องเรียกกูเนี่ยยย” ผมหันไปทำหน้ามึนๆ พลางมองไปรอบๆ
“สัดเวย์ เหม่อหาดร๊อยอะไรของมึงฟร่ะ” เสียงไอ้พีดังสะกิดตีนผมชะงัก ไอ้พี่มันเป็นฝ่ายประสานงานครับ หน้าตาดี หุ่นเพรียวบางแต่เสือกชอบเล่นซูโม่
“ใคร ใครเหม่อ พูดงี้กูเสียหายนะเว้ยย แม่งง พี่ออยมองกูอยู่นะ สาดด พี่ครับ ผมไม่ได้เหม่อนะ พูดจริงๆ แต่กำลังคิดว่า จะทำยังไงถึงจะได้ดอกฟ้ามาเชยชม” ยักคิ้วกวนตีนปิดท้ายเป็นอันเสร็จพิธี ไอ้ไนท์ไปห้องน้ำครับ ไม่มีใครปราม ได้ใจผมล่ะ
“อ้วกกกกก” พร้อมเพียง - -;
พี่ออยคือใคร ใครคือพี่ออย เหตุไฉนกระผมจึงเอ่ยวาจาเยี่ยงนั้นออกไป ฮ่าๆ เอาล่ะครับ พี่ออยเธอคือดอกฟ้าของคณะ เป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมทั้งรูปโฉม นิสัย และสติปัญญา เสียอย่างเดียว ตาไม่ถึงครับ ดันไปเลือกไอ้พี่วายมาเป็นแฟน ฮ่วย!! ไว้อาลัยให้กับการรตัดสินใจผิดของพี่เขาอีกครั้ง
“สัดเวย์ครับ ตีสุนัขไม่ดูเจ้าของอีกแล้วนะครับ” น่านน ไอ้พี่วายมันขี้หวงอ่ะ ดี อย่างงี้ล่ะครับมันถึงจะสนุก ไอ้พวกหวงๆ งี้ แหย่ขึ้น แล้วไอ้ผมมันก็เป็นพวก ชอบแหย่ซะด้วยดิ
“อะไรกันครับ ผมไม่เคยมองพี่ออยเป็นหมา..เอ๊ยย สุนัขเลยนะพี่ ผมมองพี่เขาเป็นเครื่องบินมากกว่า ส่วนหมา..ฮ่าๆ ดันสอยร่วงมาจนได้”
“ก๊ากกกกกก” พร้อมเพียง - -; again
ไม่ใช่ไม่เคารพนะครับ นี่แหล่ะคือการแสดงความเคารพของผม เขารู้กันดีเลยไม่มีใครว่า มีแต่คนจะคอยช่วยฮาซะมากกว่า ก็ไอ้พี่วายอ่ะ เมื่อก่อนที่ยังไม่มีพี่ออย แม่งง โคตรกวนตีนอ่ะ พออยู่ต่อหน้าพี่ออยนี่ ทำเป็นเรียบร้อย สุภาพ ฮ่วยยย เหมือนใครไหมครับ โรคกลัวเมีย ฮ่าๆ พวกผมเลยชอบแหย่แกบ่อยๆ นานๆ แกก็มีหลุดมาบ้าง เอิ้กๆ โคตรมีความสุข
“หึ กูจะฟ้องไอ้ไนท์” ไอ้นุกระซิบที่หูผม สาดดด สยิวเว้ยยย
“เรื่องของมึง” ผมหันไปทำหน้าเมื่อยใส่มัน กลุ่มผมเจ็ดคนนี่อยู่ในสโมฯ กันหมด เรียกว่าไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบใคร ว่างั้นเหอะ
“เหอะ ฝากไว้ก่อนนะมึง ไอเวย์” พี่วายชี้หน้าคาดโทษผมก่อนจะหันไปทำหน้าที่ประธานต่อไป - - ขัดใจว่ะ หน้าอย่างมันเป็นประธานได้ไง ฮ่วย!! ว่าแต่ไอ้เชี่ยไนท์มันหายหัวไปไหนฟ่ะ ว่าแล้วก็ไปห้องน้ำดีกว่า เบื่อหน้าไอ้พี่ประธาน เห็นแฟนมันสวยแล้วแสลงใจ ชิส์ เชื่อดิ ไม่ได้จะออกไปตามใครนะ จริงจริ๊ง
ผมแว่บออกมาท่ามกลางสายตาคาดโทษอีกครั้งของไอ้พี่วายคนเดิม เหอๆ อยู่ไปกูก็ไม่เคยชอบเสนออะไรกับเขาอยู่แล้วล่ะว้า ก็ประชุมตกลงกันให้เสร็จแล้วค่อยมาบอกแล้วกัน ไอ้เรามันก็พวกว่าไงว่าตามกันอยู่แล้ว
ผมเดินอย่างไม่เร่งรีบไปที่ห้องน้ำชาย แน่ดิ ผู้ชายหนิครับ - - อากาศเย็นสบาย กลิ่นหอมๆ ของดอกไม้ตลอดสองข้างทางทำให้ผมอารมณ์ดีอย่างประหลาด เผลอฮัมเพลงไปตลอดทาง
“อย่าทำอะไรให้ใจฉันสั่น อย่าทำอะไรที่มันคิดได้ ว่าชอบกันว่าซึ้งใจ ยิ่งไกลยิ่งดีเท่านั้น อย่าทำอะไรที่มันก้ำกึ่ง อย่าทำให้คนคนนึงยิ่งใฝ่ยิ่งฝานนนน.......”
“อ่ะ อื้อ อืมมม”
กึก!! เสียงหวานเจือกระแสเรียกร้องนั้นทำให้ผมต้องชะงักเท้า ถ้าฟังไม่ผิด ผมว่ามันเหมือน.. ด้วยเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีที่สะสมไว้ทำให้ผมก้าวเข้าไปสำรวจไขข้อข้องใจตัวเองอย่างรวดเร็ว โคตรศักดิ์ศรีอ่ะ เหอๆ
สาดดดด กู-ว่า-แล้ว หนังสดกันแต่บ่ายเลยครับพี่น้อง ตรงหน้าผมคือร่างสองร่างที่ยืนเกาะเกี่ยวซุกไซ้กันอย่างเมามันในซอกเล็กๆ ข้างห้องน้ำ จ๊อร์จจจจ หามุมได้ดีโคตร
“อือ ดี ค่ะ” ครับ พี่เชื่อ ก็ดูหน้าคุณเธอดิครับ เหอๆ ไม่เอาอ่ะ สุภาพบุรุษอย่างผมไม่ขอบรรยายดีกว่า สุภาพบุรุษมากกกกก มาแอบดู เอ้า! ไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย แค่อยากรู้ ก็กำลังจะไปอยู่นี่ไงครับ
“อา พี่ไนท์ อือ อ้ะ”
กึก!!!!! เฮือก!!!!!!
ทันทีที่ชื่อนั้นหลุดจากปากแดงๆ นั้น ผมก็รู้สึกโหวงในช่องท้อง ร่างกายแข็งทื่อ ไม่อาจขยับไปไหนได้อย่างที่คิด ไนท์ ไอ้ไนท์ หวังว่าคงไม่ใช่ ไม่ใช่เมิง ใช่ไหม??
แต่...แผ่นหลังนั่นช่างคุ้นเคยเหลือเกิน
แต่...ทรงผมนั่นช่างคุ้นตานัก
แต่...ท่าทางอย่างนั้น ผิวพรรณแบบนั้น ต่างหูรูปไม้กางเขนกลับหัวข้างนั้น
มันคือ ไอ้ไนท์ไม่ใช่เหรอ ไม่ ไม่ใช่ มัน จะหนีผมออกมาทำเรื่องแบบนี้เหรอ มัน...จะทำ??
“น้องสาครับ อือ เก่งจริงๆ คนดี”
เสียงมัน เสียงมัน เสียงไอ้ไนท์ น้องสาคนดี อย่างนั้นเหรอวะ?
หึ!! กูก็ลืมไปว่ามึงเป็นยังไง ลืมไปว่ามึงมีใครอีกมากมายที่แค่กระดิกนิ้วก็พร้อมจะวิ่งเข้าหา ลืมไปว่ากูกำลังเล่นกับไฟ ลืมไปว่ากูเป็นแค่เพื่อน ที่ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายยังไง กูก็เป็นได้แค่เพื่อน
ลืมไป...ว่ามึงไม่เคยคิดเกินเลยกับกู กูผิดเองที่คิดไปคนเดียว ผิดเอง
ผมหันหลังเดินจากมาด้วยร่างกายเบาโหวง ไร้ความรู้สึก หน้าชาไปหมดกับภาพที่เห็น กับเสียงที่ได้ยิน ทั้งๆ ที่รู้มานาน ทั้งๆ ที่คิดว่าทำใจได้มาตลอด แต่ทำไมวันนี้ผทถึงได้เจ็บนัก ทำไมวันนี้ผมถึงทนไม่ได้ ทำไม!!
ผมเดิน เดิน และเดินต่อไปอย่างไร้จุดมุ่งหมาย เดินตามสัญชาตญาณ เพราะดูเหมือนสมองน้อยๆ ของผมจะยังไม่พร้อมใช้การในเวลานี้
“เวย์ น้องเวย์ครับ” ร่างสูงมาเดินยืนอยู่ข้างๆ เมื่อไรไม่รู้ ทำเอาผมสะดุ้งเฮือก ก่อนจะฝืนยิ้มให้จางๆ อยากบอกเหลือเกินว่า ช่วยไปไกลๆ ตีนกูเถอะ กูไม่มีอารมณ์คุยกับใครตอนนี้
“พี่หมอ แหะๆ” เวร ไม่รู้จะพูดอะไรว่ะ
“ไปขับรถเล่นกันไหม? ให้ลมมันพัดออกไปบ้าง อาจจะดีขึ้น” แน่ะ รู้ดี คนข้างๆ ส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ อบอุ่นเสียจนเกือบจะเรียกความอ่อนแอที่ผมพยายามสะกดไว้ให้ปะทุขึ้นมาอย่างง่ายๆ
“ครับ” ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้ไว้ใจคนๆ นี้ รู้แต่เพียงว่า เวลาอย่างนี้ถ้ามีใครสักคนอยู่ด้วยก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนักหรอก
...มนุสโสสิ อามะภันเต คนรึเปล่า ใช่ครับโอ้เย มนุสโสสิ อามะภันเต เกิดเป็นคนทั้งทีก็ทำดีกันหน่อยซิ
มนุสโสสิ อามะภันเต คนรึเปล่า ใช่ครับโอ้เย มนุสโสสิ อามะภันเต เกิดเป็นคนทั้งทีก็ทำดีกันหน่อยซิ.....
สาดเอ๊ยยย ใครโทรมา ใครเปลี่ยนริงโทนกรู เอี้ยเอ๊ยยยย กูกำลังเข้าโหมดแซดดด เสือกทำอารมณ์กูสะดุดซะงั้นอ่ะ แม่งง ขอกูนั่งรถล้างความเศร้าเป็นพระเอกเอ็มวีสักวันไม่ได้รึไงว้า
“ฮัลโหลครับ” เสียงโคตรเนือยอ่ะ รู้ตัว
“เฮ้ยย เมิงเป็นใคร ทำไมรับโทรศัพท์ไอ้เวย์” เชียนุ เมิงอีกแล้ว - -;
“ไอ้กลัวเมีย มีอะไรวะ”
“อ้าว เมิงไอ้เวย์ตัวจริงนี่หว่า แล้วเมื่อกี้ใครรับโทรศัพท์วะ พูดดีเกิน” เอ้า กูพูดด้วยดีๆ ไม่ชอบ
“มีไร”
“เฮ้ย เมิงเป็นอะไรเปล่าวะ ทำไมเสียงเป็นงั้นวะ เป็นไรๆ” เสียงร้อนรนของมันเรียกรอยยิ้มจางๆ จากผม รู้ดีครับว่ามันเป็นเพื่อนที่ดี ถึงปากอ้อนตีนตลอดก็เหอะ มันไม่เคยทิ้งผมเวลามีปัญหา
“ป่าววะ กูเหนื่อยๆ เดี๋ยวกลับก่อนนะเว้ย ฝากฟังแทนด้วย”
“อ้าวว สาด พี่วายให้กูโทรตามเมิงเนี่ย ไอ้เอี้ยไนท์ก็ยังไม่มา ไม่รู้ไปขี้หรือไม่ช่วยใครทำคลอด” เออ เกือบถูกแล้วเมิง ไม่ได้ไปช่วยทำคลอด แต่ไปช่วยให้ท้องอยู่ว่ะ
ผมถอนหายใจเฮือกหนึ่ง พยายามสงบสติอารมณ์ขณะที่เดินมาถึงรถพี่หมอ แม่งง Porsche Carrera GT สาดดแพงโคตร แต่แม่งงง บุญของกูแท้ๆ
“เฮ้ย เวย์ ไอ้เวย์ ฟังกูอยู่ป่าววะ?” เสียงไอ้นุโวยวายมาตามสายโทรศัพท์ ขณะที่ตาผมยังคงจับจองปอร์เช่สีเงินคันงานไม่วางตา โว้ๆ กูจะได้นั่ง เหอะๆ ลืมความเศร้าไปชั่วขณะจิต
“อ่ะ..เออ มีไรวะ”
“สาดดแม่ง ท่าจะอาการหนักว่ะ พี่วายเขาถามว่าเรื่องงานแสดงอ่ะ เมิงว่าไง จะทำอะไรดี”
“ห๊ะ เอ่อ อ๋อ เอาไงก็ได้ ตามสบายเลย กูได้หมดแหล่ะ” แม่งงง อารมณ์มันกำลังตีกันวุ่นวายไปหมดแล้วครับ หัวตื้อไปหมดแล้วตอนนี้ พี่หมอเปิดประตูให้ผมก้าวเข้าไปนั่ง แถมยังปิดให้เรียบร้อย โอ๊ยย นิ่มโคตร
“เออๆ พี่เขาถามว่า แน่ใจนะว่าจะไม่ออกความเห็น และจะเห็นด้วยทุกอย่าง” ผมว่ามันฟังดูตงิดๆ นะ แต่ว่ายังไม่มีอารมณ์จะสนใจ
“เออ”
“ไม่โวยทีหลัง”
“เออ”
“ก็ดี แล้วเมิงเห็นสามีเมิงมั่งไหมเนี่ย หายหัวไปไหนวะ”
“.....” กูอุตส่าห์ไม่คิด เมิงยังมาช่วยย้ำ อยากบอกเหลือเกินว่าไอ้สามีกูที่เมิงพูดถึงอยู่น่ะ มันกำลังทำหน้าที่เป็นสามีคนอื่นอยู่ สาดเอ๊ยยย ภาพนั้นมันยังติดตา แม้จะพยายามสลัดไปสักเท่าไร ก็ไม่ยอมหลุด
“เฮ้ย สรุปเห็นไหมวะ”
“ไม่ แค่นี้นะเว้ย” ไม่รอฟังอะไรอีก ผมรีบตัดสายมันทันที พร้อมทั้งหอบน้อยๆ เหนื่อยกับการต้องกลั้นอารมณ์บางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง เฮ้ออ
“ไปไหนดีครับ” อ้าว เวร ผมลืมพี่ไปเลย ลืมปอร์เช่ของพี่ด้วยเหอะ
“แล้วแต่” ห้วนไปไหม ช่างแม่ง
“โอเค”
ผมปล่อยให้สายลมปะทะหน้าเพื่อไล่ความเศร้าอย่างที่คนข้างๆ แนะนำ แม้ว่ามันจะแทบไม่ช่วยอะไรเลยก็เหอะ แต่มันก็เพลินๆ ดีเหมือนกัน
“อกหัก??” เสียงนุ่มๆ เอ่ยถาม หรือพึมพำกับตัวเอง ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เอาเข้าจริงผมก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง อกหักเหรอ? ก็คงใช่มั้ง ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ ที่ผมเศร้าไม่ใช่เพราะอกหัก แต่เป็นเพราะสมเพชตัวเองมากกว่าที่หลงคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป ทั้งๆ ที่เมื่อก่อน ผมก็รู้เสมอว่าควรอยู่ตรงไหน ทำไมยังไม่ชิน
“กินขนมไหม”
“....”
“ฟังเพลงไหม?”
“......”
“โอเค งั้นพี่เงียบ” ก็ดี แต่เสียงถอนหายใจนั้นทำให้ผมรู้สึกผิดแปลกๆ
“พี่หมอ ผมทำให้ลำบากหรือเปล่า” แห้งแล้งยิ่งนัก เสียงผม
“หืมมม ทำไมครับ”
“ไม่ต้องพูดเพราะได้ไหม” ไม่ชินอ่ะ
“โอเคๆ ทำไมเวย์ถึงคิดว่าทำให้พี่ลำบาก”
“ไมรู้ดิ อยากชวนคุยอ่ะ” เวรจริงกู ตรงเกินเวอร์อ่ะ
“อุ๊บ ฮ่าๆ งั้นเหรอ พี่ไม่ลำบากเลย ดีกว่านั้นเยอะ” ช่วยแปลให้กูเข้าใจหน่อยดิ
“ผมอยากไปทะเล” อยากไปตะโกนปลดปล่อยทุกอย่างลงน้ำเค็มๆ คลื่นแรงๆ นั่น คลื่นที่กระทบกัดเซาะหัวใจของผมจนแทบจะไม่เหลือชิ้นดี บางที่แวะไปซื้อกาวมาต่อใจหน่อยก็ดีวะ เสี่ยวอีกกรู - -
“บางแสน??”
“ตามใจพี่”
“งั้นไปภูเก็ตแล้วกัน”
“เฮ้ยยย ไกลไปพี่ บางแสนนี่ล่ะ แม่งง เว่อร์ดีจริง” หลังๆ ลดเสียงลงกลายเป็นบ่นอุบอิบแทน แน่ดิครับ ใครจะไปกล้าด่า เดี๋ยวเขาเอาผมทิ้งไว้ข้างถนนทำไม ผมยังไม่พร้อมจะถูกทิ้งเป็นครั้งที่สองหรอกนะ
....อยากให้ช่วยมาจีบ มาจีบ มาจีบฉันที มาจีบ มาจีบฉันที.... ชะเง้อรอนานแล้ว จีบ มาจีบ มาจีบฉันที มาจีบ มาจีบ มาจีบฉันสักที... ฉันทอดสะพานให้แล้ว...
เฮือก!!!! เคยเป็นไหมครับ ได้ยินเสียงโทรศัพท์แล้วสะดุ้งจนตัวโยนน่ะ ผมยังไม่เคย แต่เพิ่งได้ลองไปตอนนี้แหล่ะ
....อยากให้ช่วยมาจีบ มาจีบ มาจีบฉันที มาจีบ มาจีบฉันที.... ชะเง้อรอนานแล้ว จีบ มาจีบ มาจีบฉันที มาจีบ มาจีบ มาจีบฉันสักที... ฉันทอดสะพานให้แล้ว...
ผมชั่งใจอยู่นาน จะรับหรือไม่รับดี ปกติผมแทบไม่เคยลังเลที่จะรับโทรศัพท์จากคนๆ นี้ แต่ว่าวันนี้ ต่อจากนี้ ผมอยากลังเล อยากลองลังเลดูสักครั้ง
“อย่ารับ” สั้นๆ ง่ายๆ จากคนข้างๆ ทำให้ผมต้องเหลือบมอง แว่บหนึ่งที่ผมเห็นดวงตาคู่นั้นแปลกไป ก่อนจะกลับมาสดใสอบอุ่นเหมือนเดิม
....อยากให้ช่วยมาจีบ มาจีบ มาจีบฉันที มาจีบ มาจีบฉันที.... ชะเง้อรอนานแล้ว จีบ มาจีบ มาจีบฉันที มาจีบ มาจีบ มาจีบฉันสักที... ฉันทอดสะพานให้แล้ว...
ดังเป็นครั้งที่สาม แล้วก็เงียบไป เงียบไปพร้อมกับความโล่งใจกึ่งเสียดายของผม เวรแท้ๆ อีกครั้งที่ผมปล่อยให้ความคิดทั้งหลายหลุดลอยไปพร้อมๆ กับสายลม จนในที่สุดปอร์เช่คันงามก็หยุดลงริมหาดบางแสน
ผมเปิดประตู เดินตัวปลิวไปยังน้ำทะเลสีครามข้างหน้าอย่างไม่สนใจใคร และตะโกนก้องอย่างไม่อาย ดีนะเนี่ยที่ไม่ค่อยมีคน เหอะๆ วันศุกร์นี่ครับ
“โว้ววววววว เหนื่อยแล้วนะโว้ยยยยยยย”
“กูเหนื่อยยยยยย เมิงได้ยินม้ายยยยยยยยย”
“เคยรู้อะไรมั่งม้ายยยยยยยย ไอ้เลวเอ๊ยยยยยยย”
“กูเจ็บโคตรรรรรร โคตรรรรเลยเว้ยยย ตอนเนนนนน้”
แฮ่กๆ ตะโกนแล้วก็เหนื่อยดิครับ เหนื่อยแล้วก็ทรุดลงนั่งมันตรงนั้นแหล่ะ รอยต่อระหว่างทรายกับทะเล รอยต่อที่มีแต่คลื่นเข้ามาปะทะเสมอ รอยต่อที่ไม่มีวันบรรจบได้
“อ่ะ เผื่อคอแห้ง เดี๋ยวหมดแรงตะโกน” แป๊บซี่เย็นๆ กระป๋องหนึ่งสัมผัสแก้มผมเบาๆ
“โหยย ทำเป็นรู้ดี แต็งค์หลายพี่” ผมหันไปยิ้มบางๆ ให้คนที่ทรุดลงนั่งข้างๆ เป็นหมอมันว่างมากนักรึไงวะ? เอ้า เขามาส่งแล้วยังเสือกพาลอีกกรู
“พี่ปลอบใครไม่ค่อยเป็น แต่ฟังแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเก่งนะ พี่เนียน”
“ฮ่าๆ เหมือนกัน”
บางที...การมีใครสักคนนั่งนิ่งๆ โดยไม่ต้องพูด ไม่ต้องถาม แค่อยู่เป็นเพื่อน...ข้างๆ แบบนี้ มันก็อาจทำให้ไอ้เวย์กลับเป็นไอ้เวย์คนเดิมได้เร็วขึ้นเหมือนกันนะ แฮ่ อะไรจะง่ายดายปานนั้น
ผมก็แค่รู้สึกว่า ตอนนี้ถึงไม่มีไอ้ไนท์มันอาจจะเศร้าบ้าง เหงาบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าต้องไปเจ็บแปลบๆ เวลามันอยู่กับคนอื่น อีกอย่างตอนนี้...เหมือนมีความอบอุ่นบางอย่างที่ทำให้ผมวางใจและรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
เอาวะ!! ขอกูอ่อนแอสักวันเหอะ เดี๋ยวกลับไปแล้วกูค่อยคืนฟอร์มนะเมิง
“เธอ..เจ็บจากเขาใช่ไหม ที่ถูกเขาทิ้งไปโดยที่ไม่ใช่ความผิดของเธอเลย และเธอ...ก็ยังไม่ลืมเขาไป
ยังคงมีเยื่อใยกับคนที่เคยทำร้ายเธอ” เสียงเพลงแผ่วเบาเรียกให้ผมหันไปมอง คนข้างๆ ในชุดนักศึกษาที่เริ่มหลุดรุ่ยเอนหลังนอนบนผืนทรายโดยไม่สนใจว่าเสื้อขาวๆ นั่นจะเปี้อนแค่ไหน ใบหน้าคนหันมาส่งยิ้มเผล่ให้ผม ดวงตาซื่อตรงจริงใจนั้นแฝงความนัยบางอย่างที่ทำให้ผมอดที่จะร้อนวูบวาบไม่ได้
“แค่อยากให้เธอเข้าใจ อยู่กับฉันไม่เป็นไร อยากให้เธอสบายใจ ไม่ต้องกังวลกับฉันเลย....
ถ้าเธอยังคิดถึงเขา ยังคงมีแต่เขาในใจ ถ้าเธอยังลืมเขาไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ถ้าเธออยากจำ ไม่ต้องคิดถึงฉัน
ขอให้รู้ว่าฉันเข้าใจ และแม้จะนานเท่าไร จะดูแลและไม่ไปจากเธอ....”
^__^
“....” อย่ายิ้มสิวะพี่ ตอนนี้หัวใจกำลังอ่อนแอ ไม่ค่อยมีภูมิต้านทานนะเว้ยยย
“เป็นไง ^ ^ ” ผมบอกว่าอย่ายิ้มครับ
“เพราะดี”
“(. . ) ” อย่าหงอยดิ ที่จริงเพราะมากอ่ะ แต่คนอย่างผมมันชมใครไม่เป็นเว้ยยย แสลงปาก
“อ่ะ เอ่อ ร้องต่อดิพี่ อยู่ว่างๆอ่ะ” ฟอร์มครับ นิดนึง
“ฮ่าๆ แสดงว่าพี่ร้องเพราะอ่ะดิ ^0^ ” อย่ายิ้มเว้ย!! พูดไม่ฟัง
“เออ แม่งงง โคตรเด็กเลยว่ะ เป็นหมอแน่ป่ะเนี่ยย”
“ฮ่าๆ นานๆ ที ให้พี่เป็นเด็กมั่งไม่ได้รึไง”
ผมไม่ได้ตอบ เพียงแต่นอนลงข้างๆ
“Everybody's searching, Everybody's looking for
Something to believe in, Something more,
Well baby I know the pain That you go through,
So let me be the arms that you can run to,
Far away from all the things that hurt you, Yeah,”
The one to cry หนึ่งในเพลงโปรดของผม ผมเคยชอบมัน แต่ตอนนี้อยากบอกใหม่อีกครั้ง ว่าผมชอบมันมาก โคตรเข้ากับบรรยากาศตอนนี้เลย มือใหญ่ลูบไล้เส้นผมผมช้าๆ อย่างปลอบโยน เราต่างยิ้มให้กัน ส่งผ่านกำลังใจในรอยยิ้มและเสียงเพลงที่ผมเริ่มร้องประสานด้วย ฮ่าๆ มั่นใจว่าจะไม่ทำให้เพลงเขาเสีย เสียงดีโคตรๆ อ่ะ ผม
“Whenever you hit the sky, Feel like you live a lie,
And your world is a broken dream, Don't lose your faith in love,
Baby I'll be enough, When you don't have the strength in your eyes,
I'll be the one to cry.”
“You're my universe, My atmosphere,
The reason i breathe in, I breathe out, Why I'm here,
I don't wanna see you sad, I don't wanna see you blue,
So I would gladly go into the darkness,
Just to take the place of where your heart is.”
“Whenever you hit the sky, Feel like you live a lie,
And your world is a broken dream, Don't lose your faith in love,
Baby I'll be enough, When you don't have the strength in your eyes,
I'll be the one to cry.”
กว่าผมจะหลุดจากบรรยากาศเงียบเหงาทว่าอุ่นใจที่ทะเล กลับมาถึงบ้านโดยมีสารถีคนเก่ง ( ก็มันเป็นหมอที่เสียงดีโคตรเทพอ่ะ) และปอร์เช่คันงามก็เกือบสามทุ่มแล้ว
“พี่นัท” เปลี่ยนการเรียกอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ตีซี้นะเว้ย ปอร์เช่ลูกพ่อ ผมบอกรึยังครับ ว่าบ้ารถเหอะ
“ครับ?? เรียกงี้ตลอดเลยนะ ดูสนิทกันดี”
“ขอบคุณสำหรับวันนี้ ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย” โว้ สงสัยของขึ้นไอ้เวย์คร้าบทุกคน พูดโคตรเพราะ
“ไม่เป็นไร ไว้พาไปอีก ^__^”
“ควรจะดีใช่ไหมเนี่ย ฮ่าๆ เข้าไปกินน้ำข้างในก่อนไหม” อ้าว!! เสือกมารยาทกระทันหันอีกกู
“ฟู่ นึกว่าจะไม่ชวนซะแล้ว ^__^” ถามจริง ที่บ้านผลิตอมยิ้มรึไง ยิ้มได้ยิ้มดี
ปอร์เช่คันงาม (บอกแล้วว่าบ้ารถ) จอดเป็นสง่าราศรีที่หน้าบ้านของผม เว้ยยย อยากถ่ายรูปเก็บไว้จัง *__*
“แม่ครับ กลับมาแล้ววว พาเพื่อนมาด้วยยย” ผมตะโกนเสียงใสไปก่อนตัว คุณนายจะทำอะไรอยู่น้า หิวข้าววว ได้ขาวว่ากินมาแล้วโคตรเยอะ
“ไอ้เวย์ มึงไปไหนมา” เสียงเย็นโคตร
เฮือก!! ชิบหายแล้วว ทำไมมึงมาอยู่บ้านกูได้วะเนี่ยยย เชี่ยไนท์!!!
-----------------------------------
ขอโทษที่หายไปนานจ้าาาา พอดีโดนเรียกตัวกลับกทม.ด่วน - -
เพิ่งกลับมาก็รีบลงเล้าอย่างรวดเร็ว เหอะๆ ตอนนี้เลยยาววววว ไถ่โทษจ้าาา
ไปล่ะๆ ฝันดีทุกๆ คน