ซีรี่ยส์ LOVE, FINALLY === กว่าเราจะรักกันได้ ===
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ซีรี่ยส์ LOVE, FINALLY === กว่าเราจะรักกันได้ ===  (อ่าน 152453 ครั้ง)

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
เข้ามา  :laugh: เจ้าของเรื่องโดนตัดหน้า

นานก็จะรออ่านนะคะ  :3123:


ออฟไลน์ Shumi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0

ออฟไลน์ FÂntastic 1st™

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0

katawoot

  • บุคคลทั่วไป
คิดถึงผู้อ่านจนทนไม่ไหว ก็เลยแอบเขียนต่ออีกบทให้อ่านครับ ไม่รู้จะมีใครคิดถึงและเป็นกำลังใจให้คนเขียนหรือเปล่าน๊อ  :m15:  :monkeysad:  :sad11:  :call:

บทที่ 13

ชยุตม์จอดหน้าร้านโชคดีค้าเหล็กแล้วนั่งมองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจแรงๆ แล้วลงจากรถเดินไปยังหน้าร้าน กว่าจะเขาจะปลีกตัวออกมาจากจวนผู้ว่าราชการได้ก็แทบแย่ เมื่อวานเขาถูกมารดาบังคับให้นอนพักผ่อนและไม่ให้ออกไปไหนทั้งวัน ทั้งแขกผู้ใหญ่หลายคนในจังหวัดต่างก็มาเยี่ยมเยือน พ่อของเขาก็กักตัวเขาไว้ให้คุยกับคนนั้นคนนี้จนเขาปวดหัวไปหมด รวมถึงถกกันเรื่องการก่อสร้างรีสอร์ทของคุณอาของเขาด้วย
เช่นเคย พ่อของเขากับคุณอาเถียงกันทุกครั้งเมื่อคุยกันเรื่องธุรกิจ พ่อพยายามจะดึงตัวเขาไปทำงานให้โครงการมหาวิทยาลัย แต่คุณอาของเขาไม่ยอม แม่ของเขาก็พยายามจะให้เขากลับเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ
“ผมจะพักอีกซักครึ่งปี เสร็จงานคุณอา ผมจะพักร้อนแบบพักร้อนจริงๆ คืออยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร ไปเที่ยวให้หายเหนื่อย” ชยุตม์ยื่นคำขาด
“แล้วแกตกลงจะทำงานช่วยพ่อหรือเปล่า” พ่อของเขายังไม่ยอมละความพยายาม
“ขอเวลาผมคิดก่อนนะครับพ่อ” ชยุตม์ตอบ “ถ้าพ่อให้ผมพัก ผมก็สัญญาว่าจะคิดเรื่องนี้ให้มากๆ และก็อาจจะไม่ปฏิเสธ แต่ผมต้องคุยกับทางใต้หวันก่อน”
คุยกับพ่อเขานั้นยากที่สุด รองลงมาคือพี่ชายคนโต สองคนนั้นถ้าต้องการอะไรแล้วก็จะเอาให้ได้ ทว่า ยากขนาดไหนเขาก็พอรับมือได้ แต่คนที่เขากำลังจะไปพบนี่สิ...
...หนักใจจริงๆ เลย...

ร้านเงียบ ไม่คึกคักอย่างที่ชยุตม์คาด บรรยากาศต่างจากที่จวนผู้ว่าฯ โดยสิ้นเชิง น้าพงษ์ยืนตรวจนับสินค้าอยู่เงียบๆ คุณเตือนใจยืนอยู่ไม่ไกลนัก กำลังคุยอยู่กับชายหนุ่มหน้าอ่อนนัยน์ตาเรียวเล็ก
พงษ์มองเห็นชยุตม์ก่อนจึงรีบเดินเข้ามาทักทาย คุณเตือนใจหันตาม พร้อมๆ กับชายหนุ่มที่เขาจำได้ว่าเป็นคนที่แอบชอบโชคดีอยู่ สายตาคู่นั้นไม่เป็นมิตร มองเขาเหมือนเด็กกลัวจะถูกแย่งของเล่น
“คุณโชคดีอยู่ข้างบนครับ แต่ว่า...” พงษ์ทำอึกอัก แล้วก็หยุดพูดเมื่อคุณเตือนใจเดินมาใกล้
“พงษ์ ไปตามโชคดีมาพบนายช่างหน่อยเถอะ” คุณเตือนใจสั่ง พงษ์ทำหน้าแปลกใจแล้วเดินจากไปเงียบๆ
คุณแม่ของโชคดีเชิญให้ชยุตม์ไปนั่งรอในห้องทำงาน แต่ชยุตม์ขอนั่งรอที่ม้าหินอ่อนหน้าร้าน บอกว่าอากาศสดชื่นกว่า
“คุณพ่อกับคุณแม่กำลังยุ่งอยู่ครับ แต่ท่านบอกว่าจะหาเวลามาขอบคุณที่ช่วยกันออกตามหาผม”
“ตามหานายช่างกับโชคดีต่างหาก ไม่ต้องมาขอบคุณกันหรอก ท่านก็ออกตามหาด้วยเหมือนกัน ไม่ได้อยู่เฉยๆ เลย จะว่าไป หากไม่ได้ท่าน เราก็อาจจะเจอกันนายช่างกับโชคดีช้ากว่านี้ด้วยซ้ำ”
เตือนใจใม่อยากให้ท่านรัฐมนตรีฯ มาที่ร้านพร้อมกับคุณหญิงเพียงฤดี เธอไม่อยากให้อดีตหวนกลับมาอีก สิ่งที่ต้องการลืม เธอต้องการฝังมันไว้ แต่เธอก็ยอมรับเช่นกันว่า คนเราจะฝืนความจริงไม่พ้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
เธอไม่ได้พบกับเพียงฤดีนานมากแล้ว นานเกือบจะพอๆ กับอายุของโชคดี แต่แวบแรกที่มองเห็น เธอก็จำเพียงฤดีได้ ภาพอดีตที่เคยเลือนจางกลับเด่นชัดขึ้นมาราวปฏิหารยิ์
...เมื่อเธอจำเพียงฤดีได้เพียงแวบแรกที่เห็น ฝ่ายนั้นก็คงจำเธอได้เช่นกัน เพียงฤดีไม่มีวันลืมเธอเด็ดขาด ไม่มีทาง...
ไม่นานพงษ์ก็เดินเข้ามาบอกว่าโชคดีนอนหลับไปแล้ว ทรงศักดิ์หันมายิ้มเยาะให้ชยุตม์แล้วขอตัวกลับ ชายหนุ่มเข้าใจว่าโชคดีไม่ยอมลงมาพบชยุตม์เพราะคุยกับเขาเสร็จแล้วขึ้นห้องไปเมื่อไม่นานนี่เอง
ชยุตม์รอจนทรงศักดิ์เดินห่างออกไปแล้วจึงพูดกับคุณเตือนใจว่าต้องการมาขอโทษโชคดี
“ผมคิดว่าคุณโชคดีคงโกรธเพราะรู้ว่าผมเป็นลูกใคร”
“ไว้ดิฉันจะช่วยคุยให้” คุณเตือนใจพูดเสียงอ่อนโยน “โชคดีเป็นคนมีเหตุผล แม้ดูร้ายๆ อย่างนั้นแต่ก็เป็นคนมีเหตุผล นายช่างอย่าเพิ่งหนักใจเลย”
...โกรธจนหูอื้อสิไม่ว่า ลองได้เงียบสนิทแบบนี้ ต่อให้เธอพูดจนปากฉีก ลูกชายคนเดียวของเธอก็ไม่ฟัง...
“ขอบคุณครับ แต่ผมก็ยังอยากจะอธิบายด้วยตัวเอง”
“รอซักหน่อยเถอะค่ะนายช่าง” คุณเตือนใจแนะนำ “น้ำกำลังเชี่ยว”
ชยุตม์กล่าวขอบคุณและอำลาคุณเตือนใจและพงษ์แล้วเดินไปขึ้นรถ เงยหน้าขึ้นมองชั้นบนของร้านโชคดีค้าเหล็กอยู่ชั่วครู่แล้วถอนหายใจแรงๆ อีกครั้งหนึ่งก่อนจะขับรถออกไป
...โชคดีต้องโกรธเขามาก ตั้งแต่ขึ้นเรือแล้วก็ไม่มองหน้าเขาอีกเลย พอเรือช่วยเหลือมาถึงฝั่งก็รีบลงเรือแล้วเดินลิ่วๆ หายไปทันที...
...ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ กำลังไปกันได้ดีอยู่แล้วเชียว เขายังนึกขอบคุณน้ำป่าด้วยซ้ำที่ทำให้เขากับโชคดีไปติดอยู่ที่กระท่อมปลายดอย แต่ตอนนี้...
...ตอนนี้ในหัวใจเขาร้อนรุ่มยิ่งนัก...
...หรือนี่เรียกว่ารัก...
...เขารักโชคดีเข้าแล้วหรือนี่ ใครก็ได้ช่วยบอกที...
...ร้ายซะขนาดนี้ รักเข้าไปได้ยังไง...

...วันนี้เป็นไงเป็นกัน เขารอไม่ได้แล้ว ยังไงเขาก็จะตกลงกับโชคดีให้ได้ ชยุตม์ก็หลุดจากวงโคจรไปแล้ว ไม่มีใครเป็นอุปสรรค ขอเพียงแต่โชคดีใจอ่อน ความรักของเขาก็จะสมหวัง...
ทรงศักดิ์สูดลมหายใจลึกๆ เดินเข้าไปหาโชคดี แม้จะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่เขาก็อดประหม่าไม่ได้ วันนี้เขาตามหาโชคดีมาทั้งวันจนมาเจอตัวเอาตอนบ่าย
โชคดีปรายตามองเขาแวบหนึ่งแล้วหันไปมองไซท์ก่อสร้างรีสอร์ทเจ้าปัญหาต่อ มือไขว้หลัง หย่อนขาซ้ายเล็กน้อย ท่าทางผ่อนคลาย
"โชคดี" ทรงศักดิ์เรียกชื่อคนที่เขาหลงรักมาตลอด แล้วไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ เงยหน้ามองโชคดีด้วยสายตาหลงไหล
...บางทีเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมหลงรักโชคดีมากมายขนาดนี้ โชคดีไม่เคยแสดงท่าทีมีเยื่อใยกับเขาเลย หน้ำซ้ำมีแต่ดุว่า พูดกับเขาห้วนๆ แต่ความรู้สึกของเขาต่อโชคดีก็ไม่เคยเปลี่ยน หนำซ้ำกลับรู้สึกเข้มข้นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชยุตม์โผล่เข้ามา...
"หนาวไหมโชคดี" ทรงศักดิ์ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร เห็นลมโกรกก็เลยคิดว่าโชคดีอาจจะหนาว
"ร้อนจะตายอยู่แล้ว" โชคดีตอบเสียงห้วน ตายังมองอยู่ที่ประตูน้ำของโครงการก่อสร้างรีสอร์ท
"ตามหาตั้งนาน มาอยู่ตรงนี้เอง" ทรงศักดิ์ทำเสียงอ่อนโยน "เรามีเรื่องจะคุยด้วย"
"อย่ามาบอกรักนะซ่ง ไม่อยากฟัง"
"โธ่ ทำไมพูดแบบนี้" ทรงศักดิ์หน้ามุ่ยเพราะถูกดักคอ
"ไม่อยากคิดอะไรเรื่องรัก"
ทรงศักดิ์สะอึก โชคดีตรงไปตรงมาอย่างเคย แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาที เขาก็รวบรวมความกล้าได้ ตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาอีกครั้ง
"เรารักโชคดี จะบอกว่าไม่อยากฟังเราก็จะพูด ในเมื่อหัวใจมันเรียกร้อง เราก็ไม่อยากทรยศหัวใจตนเอง"
"ก็รู้ว่าคำตอบจะเป็นยังไง ทำไมไม่เลิกซะที" โชคดีหันมามองใบหน้าขาวสะอาดของขายหนุ่ม ทรงศักดิ์ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่แววตาก็จริงจัง
"รักแล้วแสดงออกมามันผิดตรงไหน รักและเก็บงำเอาไว้สิไม่ควรทำ โชคดีรู้อย่างนี้แล้วทำไมไม่พิจารณาเราดูบ้าง ตัวเองก็ยังไม่มีใคร" ทรงศักดิ์พูดได้ไม่เต็มเสียง อะไรบางอย่างลึกๆ บอกเขาว่าโชคดีอาจมีใจให้ชยุตม์ แต่อีกเสียงในหัวก็คอบปลอบใจเขาว่า ชยุตม์ทำให้โชคดีโกรธและผิดหวัง วิศวกรหน้าขรึมคนนั้นมีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากโชคดีเหมือนอยู่คนละโลก และโชคดีเองก็น่าจะเข้าใจสภาพที่เกิดขึ้น
"เราไม่ได้รักนาย"
คำตอบสั้นๆ ของโชคดีเสียดแทงเข้าไปในจิตใจของทรงศักดิ์ แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ จะขอพยายามให้ถึงที่สุด
"แต่เรารักโชคดี รักไม่เคยเปลี่ยน กี่ปีๆ ก็ไม่เคยเปลี่ยน รู้อย่างนี้แล้ว โชคดีไม่รู้สึกหวั่นไหวบ้างเลยหรือ ตั้งแต่เรียน ม. ปลายจนถึงตอนนี้ ไม่ใจอ่อนให้เราบ้างหรือไง" ทรงศักดิ์ออดอ้อน เสียงเริ่มแตกพร่า
"ซ่ง อีกสองปีค่อยมาคุยกับอีกทีได้ไหม" โชคดีต่อรอง "ตอนนี้ไม่อยากพูดเรื่องรัก"
แม้จะผัดผ่อนเรื่องเวลา ทรงศักดิ์ก็ควรจะดีใจที่โชคดียอมให้โอกาสเขา แต่ตอนนี้เขาไม่รู้สึกอย่างนั้น ยิ่งมีชยุตม์เข้ามาแทรก เขาก็ยิ่งไม่อยากรอ
"อย่าให้เราต้องรออีกเลย ถ้าโชคดีไม่ได้รักคุณชยุตม์ ก็รับรักเราเสียเถอะ"
โชคดีหันขวับมามองทรงศักดิ์นัยน์ตากร้าว แล้วกระแทกเสียงตอบ "อย่ามาพูดถึงคนคนนั้นนะ ไม่อยากได้ยินชื่อ แล้วไม่ต้องมาเดาว่าเรากับเขาจะรักชอบกัน"
"เรามองออก" ทรงศักดิ์แย้ง "แม่ของโชคดีก็มองออก ผู้กองปฐพีก็มองออก มีแต่โชคดีนี่ล่ะที่มองไม่ออก คุณชยุตม์ชอบโชคดี หลับตาข้างเดียวมองก็เห็น ถ้าโชคดีรักเขาทำไมไม่บอกเขาไปเลยล่ะ แต่ถ้าไม่รัก ก็ให้โอกาสเราสิ ให้โอกาสคนที่รักโชคดีหมดใจ"
"หุบปากนะซ่ง"
"ไม่" ทรงศักดิ์ปฏิเสธเสียงแข็ง "เราไม่ยอมแล้ว เรารักโชคดี มาเป็นแฟนกันเถอะ เราจะดูแลโชคดีเอง"
"จะบ้าหรือ อยากโดนต่อยหรือไง"
"จะต่อยให้เราสลบคามือ เราก็จะบอกว่ารัก อยากจะทำร้ายให้สมใจ เราก็จะยอม โชคดี มารักกันเถอะ ไม่มีใครเหมาะกับโชคดีเท่าเราแล้ว เราคนเมืองน่านด้วยกัน ช่วยกันทำมาหากิน เราจะหาคนซื้อเหล็กร้านโชคดีเยอะๆ คนกรุงเทพฯ ไม่ต้องไปมองเขาหรอก" ทรงศักดิ์ก้าวเข้ามาใกล้ ทำท่าเหมือนจะยื่นมือมาจับมือของโชคดี แต่ชายหนุ่มร่างสูงถอยหลัง รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่เห็นทรงศักดิ์กล้ามากกว่าทุกครั้ง
"ผู้กองปฐพีก็คนเมืองน่านเหมือนกัน แม้ไม่ได้เกิดที่นี่เหมือนเราแต่ก็อยู่มาตั้งแต่วัยรุ่น"
"หมายความว่ายังไง" ทรงศักดิ์เบิกตากว้าง อ้าปากค้าง
"หมายความว่าเราชอบผู้กอง มองไม่ออกหรือซ่ง" โชคดีตัดสินใจพูด อย่างน้อยก็คิดว่าพอจะช่วยให้ทรงศักดิ์เลิกกวนใจเขา
"ทำไมผู้กองรับปากจะช่วยเรา" ทรงศักดิ์พึมพำ
...บ้าหรือ ผู้กองปฐพีนั่นหรือจะทำแบบนั้น ตัวเองก็ชอบเขาอยู่ จะมาช่วยซ่งได้ยังไง...
...เจ็บใจผู้กองอีกคนแล้วนะนี่ นึกว่าจะเจ็บใจชยุตม์คนเดียวเสียอีก...
"ผู้กองเป็นสุภาพบุรษ ไม่อยากให้นายเสียใจนะสิ" โชคดีพูดต่อ "ลูกชายผู้ว่าฯ กับลูกชายเจ้าของร้านทอง จะให้เราเลือกใครซ่ง"
"เรารักโชคดีจริงๆ" ทรงศักดิ์พึมพำ ตาหลุบมองพื้น มือกำแน่น กรามขับกันจนขึ้นเป็นสันนูน ปากเม้มเป็นเส้นตรง หัวใจเต้นแรง หายใจไม่สม่ำเสมอ ในหัวหมุนติ้วแทบจะทรงตัวไม่อยู่
"เราไม่ชอบคนตาตี่ ไม่ชอบคนจีน เราชอบคนไทยเหมือนกัน"
"ทำไมต้องแบ่งเชื้อชาติกันด้วย" ทรงศักดิ์รำพัน น้อยใจโชคดียิ่งนัก คราวนี้โชคดีทำร้ายหัวใจเขามากกว่าทุกครั้ง สิ่งที่ได้ยิน แทบทำให้เขาอยากไปเกิดใหม่ให้รู้แล้วรู้รอด
"ซ่ง นายเป็นคนดีนะ" โชคดีถอนหายใจลึกๆ อดรู้สึกสงสารทรงศักดิ์ไม่ได้ "เป็นเพื่อนที่ดี"
"ทำไมไม่ให้ผู้กองเป็นพี่ชายบ้างล่ะ แล้วให้เราเป็นแฟน" ทรงศักดิ์เสียงแผ่ว "เราไม่อยากเป็นเพื่อน"
"เลือกเอา เป็นเพื่อนหรือไม่ต้องเป็นอะไรกันเลย" โชคดีใจแข็ง แล้วเดินหนี ทิ้งให้ทรงศักดิ์ยืนคอตกอยู่คนเดียว
...พี่ชายหรือ ให้ผู้กองปฐพีเป็นพี่ชาย ให้ซ่งเป็นเพื่อน แล้วใครเป็นคนรัก...
...หรือไม่ต้องมีเลยเสียก็ดี...

แม้รู้ว่าโชคดีจะมาหาที่สถานีตำรวจ แต่ครั้นเห็นร่างสูงเดินขึ้นบันไดมาอย่างมั่นใจ ร้อยตำรวจเอกปฐพีก็อดหวั่นไม่ได้
"ผู้กองรู้ตลอดเวลาใช่ไหมว่าคุณคนนั้นเขาเป็นลูกชายรัฐมนตรี พี่ชายเจ้าของรีสอร์ท" โชคดีเปิดฉากทันทีที่เดินเข้ามาในห้องทำงานของปฐพี
นายตำรวจหนุ่มคงตอบไม่ทันใจ ฝ่ายที่ขับรถข้ามจังหวัดมาหาถึงที่จึงพูดต่อว่า "ผมถือว่าการเงียบคำการให้คำตอบว่า ใช่"
"โธ่ โชคดี ให้เวลา..."
"ให้เวลาคิดว่าจะตอบยังไงหรือครับ" โชคดีแทรก "หลงเชื่อใจนึกว่าเป็นพวกเดียวกับผม"
"ผมก็พวกเดียวกับโชคดีมาตลอด ไม่เคยเป็นพวกคนอื่นเลย" ปฐพียิ้มประจบ
"งั้นมาร่วมลุยรีสอร์ทนั่นกับผม วันเสาร์นี้ผมจะเกณฑ์คนไปปิดทางเข้าออกรีสอร์ท"
"อะไรนะ" ปฐพีเบิกตากว้าง "จะทำจริงๆ หรือ"
"เคยพูดเล่นที่ไหน" โชคดีกอดอก เอนตัวพิงขอบหน้าต่างห้องทำงานของปฐพี จ้องหน้านายตำรวจหนุ่มนิ่ง แสดงให้เห็นว่าเขาเอาจริง
"เพราะอะไรโชคดี" ปฐพีลุกขึ้นเยิน เดินเข้ามาใกล้ "เพราะรีสอร์ทสร้างขึ้นโดยการทำลายธรรมชาติ หรือเพราะไม่ชอบหน้าคุณชยุตม์ที่เขาเป็นวิศวกรโครงการ หรือที่เขาเป็นลูกชายรัฐมนตรีมหาดไทย อีกอย่าง โชคดีก็ยังไม่รู้เลยว่าท่านเกี่ยวข้องกับโครงการหรือเปล่า"
"เพราะอะไรอย่ารู้เลย" โชคดีเมินหน้าออกนอกหน้าต่าง
"นี่สิ ผมถึงตอบรับไม่ได้ว่าจะเข้าร่วมต่อต้านด้วย" ปฐพียื่นหน้าเข้ามาใกล้ "มีเหตุผลหน่อยสิครับ อย่าพาล"
โชคดีหันขวับมามอง ปกติปฐพีไม่เคยพูดอะไรกับเขาตรงไปตรงมาขนาดนี้ นายตำรวจหนุ่มพูดประนีประนอมมาตลอด แต่ตอนนี้ทำเหมือนพี่ชายกำลังจะดุน้อง
ปฐพีถือโอกาสทองตอนที่โชคดีกำลังนิ่ง พูดต่อไปว่า "เท่าที่ผมได้ยินเขาคุยกัน ท่านฯ ไม่ค่อยลงรอยกับน้องชายเท่าไหร่ ผมเห็นว่าท่านเป็นคนดีคนหนึ่ง ตรงไปตรงมา ค่อนข้างนักเลงด้วยซ้ำ ดูๆ ไปก็ไม่ได้จะชอบที่น้องชายสร้างรีสอร์ท และที่สำคัญ หาหลักฐานได้ชัดเจนแล้วหรือว่ารีสอร์ทของเขาทำลายธรรมชาติจริงๆ ถ้าหลักฐานไม่แน่น ตัวเองก็รู้นี่ว่าจะ..."
"ผมรู้แล้ว" โชคดีลดมือลงล้วงกระเป๋า เอียงคอมองปฐพีอยู่ชั่วเสี้ยววินาที แล้วเดินตรงไปยังประตู
"หมูปิ้ง" นายตำรวจเรียกเสียงอ่อนโยน
โชคดีหันขวับ ตาขวาง ท่าทางไม่ชอบใจเช่นเคยเมื่อมีคนเรียกชื่อเล่น
"อย่าโกรธผมเลยนะ ถ้าลองคิดดีๆ จะเข้าใจว่าทำไมผมถึงเงียบไว้"
ชายหนุ่มหน้าดุไม่พูด มองนายตำรวจอย่างคิดคำนึงชั่วเวลาสั้นๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ปฐพีมองตามด้วยสายตาครุ่นคิดเช่นกัน

จากลำปาง โชคดีบึ่งรถตรงไปเชียงใหม่เพื่อพบกับดอกเตอร์พงศธร ชายหนุ่มนั่งรออยู่หน้าห้องทำงานของดอกเตอร์เกือบครึ่งชั่วโมง โทรศัพท์ดังขึ้น มารดาของเขาบอกว่าให้รีบกลับเพราะเย็นนี้ท่านรัฐมนตรีเชิญทานอาหารเย็น
"ผมไม่กิน" โชคดีตอบ
"ไปบอกท่านเองสิ" คุณเตือนใจสวนกลับ
"ทำไมเขาจะต้องมาเชิญเราล่ะแม่"
"ตอนไปถึงค่อยถามเค้า" ผู้เป็นแม่พูดกวนพอๆ กับลูกชาย หากประโยคต่อมาทอดเสียงลงอย่างอ่อนโยน "นะ หมูปิ้ง มาเป็นเพื่อนแม่หน่อย"
"ผมอยู่เชียงใหม่"
"มีเวลาถมเถ อีกหนึ่งชั่วโมงแกก็ออกจากเชียงใหม่ กลับมาถึงบ้านก็ห้าโมงเย็น หกโมงก็ไปพบท่านที่โรงแรมวังเวียง"
"ลูกชายท่านไปด้วยหรือเปล่า" โชคดีถาม
"แม่ไม่รู้" คุณเตือนใจตอบ "ทำไม แกไม่กล้าสู้หน้าเขาหรือไง"
"ทำไมจะไม่กล้า คนอย่างโชคดีไม่เคยกลัวใคร"
"ถ้าไม่กลัวก็มา แม่ไม่อยากไปคนเดียว"
"แต่ผมว่าแม่นั่นล่ะไม่กล้าสู้หน้า มีอะไรที่ผมต้องรู้หรือเปล่า"
คุณเตือนใจอ้ำอึ้ง โชคดีจึงพูดต่อว่า "แม่ เราไม่เคยมีความลับต่อกัน อย่ามากั๊กอะไรเอาไว้นะ บอกมาเถอะว่าทำไมไม่อยากไป"
"แล้วแกล่ะ ทำไมไม่อยากไป"
"ผมไม่อยากเจอหน้าคุณคนนั้น"
"คุณคนนั้น" คนที่เป็นแม่ทวนคำ "คุณคนนั้นคือคุณนายช่างชยุตม์หรือเปล่า งอนเขาล่ะสิ"
"เปล่า"
"แกบอกแม่ไม่ให้มีกั๊กความลับ" คุณเตือนใจหยุดไปชั่วอึดใจแล้วพูดออกมาว่า "แกก็ต้องตอบคำถามแม่เหมือนกันว่า แกรักคุณชยุตม์ใช่หรือไม่ และตอนนี้กำลังงอนเขา เลยไม่กล้าเจอหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะเรียกชื่อ"
"ไม่ใช่ไม่กล้า ไม่อยาก" โชคดีตอบสั้น เสียงหนักแน่น ไม่ต้องการให้มารดาจับน้ำเสียงหวั่นไหวได้
"คำตอบแรกยังไม่ได้ตอบเลย"
"คำตอบไหน ผมตอบไปหมดแล้ว คราวนี้แม่บอกมาว่าทำไมไม่อยากไป"
"แกรักคุณชยุตม์หรือเปล่า" คุณเตือนใจไม่ยอมทิ้งประเด็น
"ไม่"
"งั้นก็รักผู้กอง"
"ไม่เหมือนกัน"
"งั้นเจ้าซ่ง"
"แม่" โชคดีโวยวาย "ไม่รักใครทั้งนั้น ได้ยินไหม ไม่ได้รักใคร"
...ไม่แน่ใจ ตอนนี้เขายังไม่แน่ใจ เขาต้องการเวลาซักพัก...
"เอาล่ะ ตอนนี้แม่ตอบมา"
คนที่เป็นฝ่ายเงียบคือคุณเตือนใจ
"ว่าไงแม่ หรือว่าแม่เคยรู้จักกับท่านรัฐมนตรีฯ มาก่อน"
"เปล่า" คุณเตือนใจถอนหายใจเฮือกใหญ่ "แม่รู้จักกับคุณหญิงฯ ของท่าน"
"ทำไมผมไม่รู้"
"ตอนนั้นแกดิ้นอยู่ในท้องแม่ เลยไม่รู้จัก"
"ไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย" โชคดีพูดเสียงเรียบ "แล้วคุณหญิงรัฐมนตรี แม่ของคุณคนนั้นเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราต้องมาตายเอาดาบหน้าที่เมืองน่านหรือเปล่า"
"โชคดี อย่าเพิ่งมาถามแม่ตอนนี้เลย ตกลงเย็นนี้ไปกับแม่นะ"
"ได้" โชคดีรับคำ "แต่ไม่รับประกันความราบรื่นนะแม่ ผมกลัวว่าเห็นหน้านายช่างคนนั้นแล้วผมจะอารมณ์เสีย"
"แกนั่งไกลๆ เขาหน่อยก็แล้วกัน แม่กับผู้กองจะขนาบข้างเอาไว้ ไม่ต้องห่วง"
"อ้อ แล้วถ้าไม่อยากไป ทำไมไม่บอกปฏิเสธไปล่ะแม่" โชคดีนึกอะไรได้ จึงถามมารดาออกไป ในใจรู้สึกสงสัยยิ่งนักว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ทำไม่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย แม่ไม่เคยพูดถึง "ผู้หญิงคนที่สอง" เลยแม้แต่ครั้งเดียว คนในอดีตที่ทำให้แม่ต้องหอบเขาออกมาจากกรุงเทพฯ ก็มีเพียงคนในตระกูล?????เท่านั้น
...พ่อกับภรรยาใหม่ของพ่อที่คุณหญิงย่าเป็นคนจัดการแต่งานให้ แล้วบังคับให้แม่กับเขาต้องออกจากบ้านไปเช่าห้องพักอยู่กันสองแม่ลูก...
...แม่ของชยุตม์มาเกี่ยวอะไรด้วย...
...หรือว่า...
...ได้โปรดเถิด ขออย่าให้เป็นอย่างที่เขากำลังนึกอยู่ตอนนี้เลย...
****************13**************

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
ได้อ่านแล้ววววววววววววววววววววเข้มข้นสุดๆเลย ตอนหน้าความจริงจะเฉลยมั้ยน่ะ

mma419109

  • บุคคลทั่วไป
     +1ฉลองการกลับมา ว่างก็เข้ามาต่อก็แล้วกันนะ
    อย่าบอกนะว่าหมูปิ้งกับนายช่างเป็นพี่น้องกัน แล้วชยานนท์เล็ง
 ใครปฐพีหรือคุณทรงศักดิ์  ซับซ้อน ซับซ้อน :z3:

mecon

  • บุคคลทั่วไป
Re: ซีรี่ยส์ LOVE, FINALLY === กว่
«ตอบ #306 เมื่อ01-06-2009 13:35:04 »

หมูปิ้ง มีแต่หนุ่มมารุมรักกกกกกก สงสารซ่งอ่ะ
เฮ้อ หมูปิ้งจะพูดตัดรอนดีๆกว่านี้ก็ไม่ได้ ไอ้เรื่องตาตี๋ ลูกคนจีนอะไรนั่น
มันเป็นคำพูดที่แรงมากกกกกเลยนะ สงสารซ่งจริงๆนะ นี่กล้ามาพูดสารภาพรัก
แบบหัวชนฝาแบบนี้ได้ก็ต้องเตรียมใจมาเป็นอย่างดีแล้วสินะ กล้าพูดปาวๆ
ถึงผลตอบรับที่ได้ไปจะน่าปวกใจก็ตาม เฮ้ออออ ซ่งเอ้ยน้อยใจให้ตาย
หมูปิ้งมันก็ไม่ดูดำดูดีหรอก
นี่หมูปิ้งจะ เจ็บแค้นเคืองโกรธนายช่างไปถึงไหนเนี่ย โกรธแล้วพาล
จะไปปิดทางเข้ารีสอร์ตเค้าอีก ไปกันใหญ่แล้ว แล้วอีกอย่างจะไม่ให้โอกาส
นายช่างได้อธิบายเลยเหรอ เค้าต้องมีเหตผลสิ ถึงเค้าโกหกไป เค้าก็ไม่ได้ผล
ประโยชน์อะไรจากคำโกหกนั่นเลยนะ แม้แต่ชื่อยังไม่พูดออกมาจากปากเลย
เจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ
ส่วนเรื่องคุณนายเืตือนใจกับคุณแม่ชยุตม์อีก อะไรกันนักกันหนาเนี่ย
ภรรยาใหม่ที่คุณย่าหาให้ คงไม่เกี่ยวดองกับแม่ของชยุตม์หรอกนะ ถ้าเป็นแบบนั้น
คนใจแข็งแบบหมูปิ้งคงไม่ต้องมองหน้า หรือเผาผีกันเลย หมูปิ้งเป็นประเภท แค้นฝังหุ่น เฮ้อ น่ากลัวเกิ๊น

ปล. ได้อ่านซักที ชื่นใจเป็นที่สุด เด๋วตามกดบวกให้ทีหลังนะคะรอเวลาอีกนิด >//<

เหอะๆ 821
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-06-2009 21:55:28 โดย mecon »

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
 :กอด1: ด้วยความคิดถึง
บอกแล้วว่าต้องคิดถึงคนอ่านเหมือนกัน :laugh:


ปล.โชคดีกับชยุตน์อย่าเป็นพี่น้องกันนะ มีเคืองจริงๆด้วย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-06-2009 16:57:28 โดย M@nfaNG »

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

อย่าบอกนะว่าพ่อเดียวกัน

กริ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
ปมมันเริ่มเป็นเกรียวแน่นขึ้นเรื่อย ๆ

แล้วปมนี้จะเกี่ยวไปถึงนายช่าง กับหมูปิ้ง ยังไง ( แล้วจะโกรธไหมละที่ไปเรียกชื่อเล่นเค้า พี่นายช่วยบอกที )

+1 เป็น 820 ให้พี่นาย เป็นกำลังใจให้ พี่นาย ทำวิทยานิพนธ์เรียบร้อย และเป็นมหาบัณฑิต เร็ว ๆ นะครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ K2KARN

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3084
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +393/-6
เอ่อ ....



แล้วเมื่อไหร่จะได้รักกัน
ชื่อเรื่องบอกเหตุเยอะไปแระ TTATT

ออฟไลน์ ● MaYa~Boy ●

  • ฉันมันคนขี้อิจฉา
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-2
ได้อ่านแล้ว นึกว่าจะไม่ได้อ่านซะแล้ว

รอคอยนานมาก

ยังรักเรื่องนี้อยู่เสมอคับ

andy_kwan

  • บุคคลทั่วไป
จะเป็นพี่น้องคนละแม่????????
แล้วจะลงเอยกันได้ไง
ป้าอยากอ่านตอนต่อไปแล้ว อิอิ

katawoot

  • บุคคลทั่วไป
อรุณสวัสดิ์ครับ

บทที่ 14

ตลอดเวลาการทานอาหารเย็น โชคดีนั่งเงียบเสียเป็นส่วนมาก ชยุตม์ก็เช่นเดียวกัน คุณเพียงฤดีทักทายกับคุณแม่ของโชคดีและคุยกันเพียงนิดหน่อย ดูเหมือนว่าต่างคนต่างไม่อยากจะพูดถึงเรื่องในอดีต หรือแสดงตัวให้คนอื่นเห็นว่าเคยรู้จักกันมาก่อน จึงมีเพียงคุณพ่อของชยุตม์ คุณพ่อคุณแม่ของปฐพี และนายตำรวจสนทนากัน ส่วนชยานนท์เอาแ่ต่นั่งเงียบมองผู้กองหนุ่ม
โชคดีแอบสังเกตชยุตม์และบิดา เขาค่อนข้างแน่ใจว่าสองคนนั้นรู้ว่าคุณเพียงฤดีกับแม่ของเขาเคยรู้จักกันมาก่อนและเลี่ยงที่จะคุยเรื่องนี้
...หมั่นใส้ชยุตม์ รู้แล้วเงียบ ไม่พูดอะไรซักคำ ทำหน้านิ่งๆ นึกว่าตัวเองเท่มากนักหรือไง...
"ตอนที่รู้ว่าคุณชยุตม์เป็นลูกชายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผมนึกภาพว่าลูกชายคงถอดแบบมาจากพ่อ แต่ท่านกับคุณชยุตม์ดูต่างกันจังเลยนะครับ" โชคดีพูดโพล่งขึ้นมาเมื่อได้โอกาสแทรกการสนทนาระหว่างท่านรัฐมนตรีกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัด
ชยุตม์เหลือบตาขึ้นมอง มือที่กำลังตักอาหารจะเข้าปากวางช้อนลงบนจาน แล้วจ้องโชคดีเขม็ง คุณเพียงฤดีและคุณเตือนใจยิ้มบางๆ แล้วทานอาหารต่อช้าๆ ท่านรัฐมนตรีหัวเราะชอบใจแล้วพูดว่าโชคดีเป็นคนพูดน้อย บทจะพูดก็ทำให้ทุกคนต้องหยุดฟัง
"เขาเรียกว่าลูกไม้หล่นไกลต้น ผมอยากให้เล่นการเมืองก็ไม่ยอมท่าเดียว รายนี้เป็นคนรักสันโดษ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ชอบก่ออิฐก่อปูน" คุณพ่อของชนุยม์หันไปมองลูกชายยิ้ม
"รักสันโดษ รักธรรมชาติ" โชคดีพนักหน้าหงึกหงัก ทำท่าเข้าใจ "มิน่า คุณชยุตม์ถึงได้ปลีกตัวไปพักที่บ้านหลังเล็กริมแม่น้ำเพื่ออิงแอบธรรมชาติ"
...มิน่า ถึงได้รับงานเป็นวิศกรสร้างรีสอร์ททำลายธรรมชาติ อยากจะพูดกระทบกระเทียบเขาแบบนี้ใช่หรือเปล่าล่ะ...
ชยุตม์ก้มหน้าลงทานอาหารต่อ พยายามไม่ร่วมวงสนทนา พ่อของเขาเล่าภูมิหลังของเขาให้ทุกคนฟังสั้นๆ โดยมีโชคดีคอยพยักหน้าทำท่ารับรู้
...คนอะไร น่าบีบคอให้ขาดใจตายนัก ยิ่งเห็นทำตาเยาะๆ แบบนั้นยิ่งน่าหมั่นใส้ ทำเหมือนสนใจฟังสิ่งที่พอเขาพูดยิ่งนัก...
"พอเห็นตึกล่าสุดที่ยุตม์สร้างผมก็ตาเหลือก ตึกอะไรมันแปลกประหลาดขนาดนั้น เดินเข้าไปข้างในเหมือนใครเขาแก้วยักษ์มาครอบพื้นดินเอาไว้ เสาก็ไม่มีซักต้น กลัวว่ามันจะพังลงมา แต่พอรู้ว่ามาสร้างรีสอร์ทริมน้ำกลางป่ากลางเขา ผมก็ยังแปลกใจ ปกติเห็นอยู่แต่เมืองใหญ่ ไม่เคยออกต่างจังหวัด" ท่านรัฐมนตรีคุยเพลิน "ไม่เหมือนพ่อ แทบไม่เคยอยู่ในเมือง พอมีโอกาส ขอให้ได้ออกต่างจังหวัด"
"ปกติคนไม่ค่อยเหมือนพ่อ มักจะเหมือนแม่นะครับ" โชคดีแทรก แล้วหันไปยิ้มให้มารดาตัวเอง "ผมก็เหมือนแม่"
"ผมว่าคุณโชคดีเหมือนท่านมากกว่า ท่าทางลุยๆ เหมือนกัน" ท่านผู้ว่าราชการแทรก ทำให้ ม.ท. 1 หัวเราะชอบใจ
"จริงสิ ตั้งแต่เจอกันมาผมก็ว่าอย่างนั้น งั้นมาเป็นลูกผมอีกคนดีไหม ชยุตม์เขาเคยบ่นเหมือนกันว่าอยากมีน้องชาย เขาไม่ชอบเป็นลูกคนสุดท้อง" พ่อของชยุตม์พูดเล่น
...ใครจะอยากได้มาเป็นพี่ชาย ไม่เอาด้วยหรอก...
...ใครจะอยากได้มาเป็นน้องชาย ไม่เห็นจะอยากให้เป็น...
สองหนุ่มมองตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้น ชยุตม์จึงหันไปยิ้มให้บิดา แล้วพูดขึ้นว่า "ดีเหมือนกันครับ พ่อจะได้มีคนช่วยทำงาน จัดการดูแลความสงบเรียบร้อยให้ประเทศชาติและประชาชน"
ปฐพีเผลอหัวเราะเสียงดัง หลังจากที่นั่งเงียบมานาน ทำให้โชคดีหันขวับไปมองตาเขียว ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้า หันมามองคนที่พูดกระทบเขาได้อย่างหน้านิ่งๆ
...รอเดี๋ยวเถอะ อยากเล่นกับโชคดีก็จะได้เจอโชคดี...

เสียงกระแทกเท้าเดินไปตามทางเดินปูพื้นไม้ ตามมาด้วยเสียงกระแทกประตูปิดแรงๆ และเสียงขอโทษจากร้อยตำรวจเอกปฐพี โชคดีหยุดยืนถอนหายใจลึกๆ อยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ มองตัวเองด้วยใบหน้าขุ่นเคือง
"ตัวเองเป็นคนกวนเขาก่อน" ปฐพีเปิดประตูตามหลังโชคดีเข้ามาในห้องน้ำ
"เข้าข้างกันตั้งแต่เมื่อไหร่" โชคดีเบ้ปาก
"เปล่า ผมอยู่ข้างโชคดี ขอสัญญา" ปฐพีตอบ "ตราบเท่าที่โชคดีทำสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสม"
"คิดว่าที่ผมพูดไปเมื่อครู่นี้ไม่เหมาะสมยังงั้นสิ"  โชคดียืนมองปฐพีในกระจก
"ก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่ และที่คุณชยุตม์พูด ก็ไม่ได้เสียหายอะไรเหมือนกัน"
"เข้าข้างกันเข้าไป" โชคดีเปิดน้ำ ก้มหน้าลงล้างหน้าแรงๆ อย่างฉุนเฉียว
"น้ำเลอะเสื้อหมดแล้วโชคดี" ปฐพีเตือน
"แล้วนี่ผู้กองเข้ามาทำไม" โชคดีเงยหน้าขึ้น ยกแขนเสื้อขึ้นจะเช็ดหน้าอย่างที่เคยทำ
"ห้องน้ำบ้านผม ทำไมจะเข้าไม่ได้ แล้วนี้ก็ห้องน้ำแขก เข้าพร้อมกันได้หลายคน แยกชายแยกหญิงต่างหาก" ปฐพีส่ายหน้าพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าให้อีกฝ่าย "เอ้านี่ เลิกใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าได้แล้ว อุตส่าห์แต่งตัวซะดี เสื้อใหม่หรือเปล่า"
"ขอบคุณครับ" โชคดีเน้นเสียง รับผ้าเช็ดหน้าไปจากปฐพีแต่กลับยกแขนเสื้อเช็ดหน้า
"ดื้อจริงๆ" ปฐพีส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วก้มตัวลงเปิดน้ำเพื่อล้างมือ
"ผู้กอง ผม..."
ปฐพีเลิกคิ้ว ชะงัก แล้วยืดตัวขึ้น ละสายตาจากใบหน้าคมเข้มที่กำลังมองเห็นในกระจัก หันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ รอฟังสิ่งที่โชคดีจะพูดต่อ
"เปล่า ไม่มีอะไร" โชคดีส่ายหน้า เปลี่ยนใจไม่พูดอะไรต่อ แล้วหันหลังเดินไปที่ประตูห้องน้ำ
"เดี๋ยวสิโชคดี" ปฐพีคว้าข้อมือชายหนุ่มเอาไว้ โชคดีหันหน้ากลับมา พยายามดึงมือกลับ นายตำรวจไม่ยอมปล่อย หากดึงคนใจร้อนเข้ามาใกล้ แล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดว่า
"โชคดีก็รู้ว่าผมรู้สึกยังไง และจะอยู่ข้างโชคดีเสมอ ไม่ว่าจะมีอะไรก็ขอให้ผมได้รับรู้บ้าง ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ หรือจะบ่นให้ฟังก็ได้"
โชคดีมองหน้าปฐพีนิ่งอยู่ชั่วครู่ แล้วดึงมือกลับ คราวนี้นายตำรวจปล่อยมือเขาแต่โดยดี ปฐพียืนมองประตูห้องน้ำอยู่ชั่วครู่แล้วหันไปทำธุระส่วนตัว ก่อนจะมายืนมองตัวเองในกระจกอีกครั้งอย่างคิดคำนึง
...เขาพอจะมองออกแล้วว่า สิ่งที่ทรงศักดิ์พูดนั้น ดูท่าจะเป็นความจริง ภายใต้ท่าทีไม่ถูกกันระหว่างโชคดีกับชยุตม์ มีเยื่อใยอะไรบางอย่างถักทอสองคนนั้นไว้...
...หรือเขาจะไม่มีโอกาสแล้วจริงๆ พยายามใกล้ชิดกับโชคดีมานานหลายปี ท้ายที่สุดเขาจะเป็นได้แค่พี่ชาย...
...แต่ทำไมเขาไม่ได้รู้สึกทรมานมากอย่างที่ควรเป็น
...ทำไม...

หลังจากกล่าวอำลาเจ้าบ้านและท่านรัฐมนตรีแล้ว โชคดีเดินเลี่ยงออกมายืนรอแม่ที่ข้างต้นไม้ แม่ของเขาเดินตามมาช้าๆ โดยมีคุณเพียงฤดีเดินเข้ามาคุยด้วยเบาๆ ชยุตม์เดินคู่มากับปฐพี ส่วนท่านรัฐมนตรีกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดยืนอยู่กับมารดาของชยุตม์
...ไม่รู้จะหันมามองทำไม ไม่กลัวพ่อแม่ตัวเองสงสัยหรือยังไงนะ...
โชคดีเบือนหน้าหนีอย่างเคืองๆ ตั้งแต่ทานอาหารเสร็จ เขาเห็นชยุตม์มองเขาอยู่บ่อยๆ ทำเหมือนจะเข้ามาคุย
...จะอยากคุยอะไรอีก จะหาเรื่องพูดกระทบกระเทียบเขาอีกละสิ พักหลังเหน็บแนมเก่งขึ้นเยอะ ตอนมาใหม่เห็นเงียบขรึม อยู่ไม่กี่เดือน ปากคอไม่เบา...
"ว่างๆ ก็แวะมาคุยกันบ้างนะโชคดี" คุณนายผู้ว่าส่งเสียงตามหลังโชคดีเมื่อเขากำลังจะเปิดประตูรถ
"ถ้าไม่มาผมจะไปตามเองครับคุณแม่" ปฐพีแทรกขึ้นมา ใบหน้ายิ้มๆ
โชคดีรับปากแล้วขึ้นรถประจำที่คนขับรอให้แม่ขึ้นนั่ง แต่คนที่เดินเข้ามาหาทำให้เขาต้องหันหน้าหนี ชยุตม์พูดขอบคุณโชคดีเสียงเรียบที่ให้เกียรติมารับประทานอาหารด้วย ชายหนุ่มหน้าเข้มพยักหน้าอย่างขอไปที แล้วก้มหน้าลงทำเป็นเลือกเทปเพลงเพื่อเปิดฟัง
"ไปทำอะไรมาครับ ทำไมเสื้อเปียก" ชยุตม์อดถามไม่ได้ ต้นแขนของชายหนุ่มสองข้างเปียกชื้อ คอเสื้อก็เปียก ทำเหมือนไปเล่นน้ำมา
...จะรู้ไปทำไม มาวุ่นวายอะไรกันกับเสื้อของเขา...
โชคดีไม่ตอบ ทำทีเป็นหันหลังไปมองมารดาที่กำลังเดินมา
"เดี๋ยวก็เป็นหวัด" เสียงชยตม์ยังแว่ว "เอาเสื้อผมใส่กลับบ้านไหมครับ"
...ยุ่งจริงๆ เลย...
"ถ้าจะเปลี่ยนเสื้อ ผมยืมเสื้อผู้กองปฐพีดีกว่า" โชคดีหันไปตอบ แล้วหันหน้าหนี เลยไม่ได้เห็นว่าชยุตม์หน้าเสียไปทันที แต่วิศวกรหนุ่มก็ไม่ลดละ
...เล่นกับโชคดีถอยไม่ได้...
"อ๋อ ชอบเครื่องแบบ"
โชคดีหันขวับ กำลังจะอ้าปากตอบโต้ แต่คุณแม่ของเขาเปิดประตูรถเสียก่อนจึงเลิกคิดจะตอบโต้ชยุตม์
"ขับรถดีๆ นะครับ เป็นห่วง" ชยุตม์พูด หากคำสุดท้ายเบาหวิวจนผู้ฟังแทบไม่ได้ยิน

ขณะที่เดินทางกลับบ้าน โชคดีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามมารดาถึงสิ่งที่คุยกับคุณเพียงฤดี แม่ของเขาบอกว่าเพียงแค่ถามสารทุกข์สุขดิบ
"เรื่องมันจบลงไปแล้ว ฤดีก็ไม่ได้ติดใจอะไรอีก" คุณเตือนใจสรุปเสียงเบา
"ติดใจเรื่องอะไรแม่" โชคดีถาม แล้วหันไปมองถนน มือเคาะพวงมาลัยเล่น ทำท่าสบายใจ ทั้งที่ร้อนใจยิ่งนัก
...ตอนแรกที่เห็นท่านรัฐมนตรีฯ เขาคิดว่าชยุตม์เหมือนพ่อ แต่นั่นเพราะเห็นชยานนท์ด้วย ทั้งสถานการณ์ก็ชี้นำทำให้นึกไปเช่นนั้น พอมองอย่างพิจารณา ชยุตม์ไม่เหมือนพ่อเลย ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา บุคลิก ท่าทาง การพูดการจา หรือแม้แต่ความคิดก็ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย...
...แม่ก็ไม่เหมือน...
...อย่างเดียวที่พอจะเหมือนแม่คือท่าทางนิ่งๆ เยือกเย็น...
...เขาคิดว่าเค้าหน้าของชยุตม์ไม่เหมือนพ่อแม่เลยทั้งสองคน...
"มองอะไร เดี๋ยวก็ได้ลงข้างทางกันหรอกหมูปิ้ง หันไปมองถนนโน่น" คุณเตือนใจสั่งลูกชาย
โชคดีหันกลับไปมองถนนเพราะเผลอหันไปมองมารดาบ่อยเกินไป แล้วขับรถไปเงียบๆ ครั้นใกล้จะถึงบ้านจึงชวนคุยเรื่องอื่น
...ชยุตม์เหมือนใคร...
...เขาเหมือนแม่ หน้าตาท่าทาง บุคลิก นิสัยใจคอเหมือนกันทุกอย่าง...
...เขาจำหน้าพ่อไม่ค่อยได้ รูปถ่ายก็ไม่เคยสนใจจะเก็บเอาไว้ และไม่เคยขอแม่ดูด้วยซ้ำ...
ครั้นจอดรถหน้าบ้าน โชคดีก็หันไปมองแม่อีกครั้ง ไม่ทราบด้วยเหตุผมอันใด แวบหนึ่ง เขารู้สึกอยากจะเห็นพ่อของตัวเองขึ้นมาทันที
...ชยุตม์เหมือนใคร หน้าตาคมเข้มหล่อเหลาแบบนั้นจะหน้าตาเหมือนใคร...
...ปฐพียังหน้าตาเหมือนพ่อกับแม่อย่างเห็นได้ชัด ช่างเป็นคนที่แบ่งเอาลักษณะทุกอย่างของผู้ให้กำเนิดมาได้คนละครึ่ง ไม่ว่าจะเป็นบุคลิก นิสัยใจคอ จังหวะการพูด การเดิน ปฐพีเหมือนพ่อกับแม่มาก...
...ชยุตม์ไม่เห็นจะเหมือนบุพการีตนเองเลย...
...ไม่เหมือน...
...แม่เขายังขยักเรื่องราวในอดีตเอาไว้ ไม่ได้บอกทั้งหมด เขารู้สึกลึกๆ ว่ามีอะไรบางอย่างที่ยังไม่รู้และแม่ไม่อยากจะพูดถึง...
...ได้โปรดเถอะ ขออย่าให้อะไรเป็นไปอย่างที่คิดเลย...

ฝนที่ตกมาหลายวันหยุดตกเอาเมื่อใกล้รุ่งสางทำให้อากาศของเช้าวันใหม่สดชื่นยิ่งนัก หมอกบางๆ ปกคลุมไปทั่ว ฤดูหนาวกลับมาอีกครั้งหลังจากที่ถูกฝนหลงฤดูขัดจังหวะ ชยุตม์คว้าเสื้อสเว็ตเตอร์สีเทาเข้มตัวเดียวที่มีอยู่มาสวมแล้วออกมายืนสูดอากาศบริสุทธิ์หน้าบ้านพัก ก้มลงเอามือแตะเท้าเพื่อยืดเส้นยืดสาย พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นรถกระบะสีน้ำเงินเข้มคันหนึ่งกำลังวิ่งตรงมา แม้ยังไม่รู้ว่าใครขับ แต่อะไรบางอย่างบอกเขาว่าคนที่มาหาเขาคือใคร
...จะมาดีหรือมาร้าย ข้อนี้เขายังบอกไม่ได้...
ชยุตม์ยืดตัวตรง ยืนคอยจนกว่ารถคันนั้นจะจอดสนิท พร้อมร่างสูงของคนขับเปิดประตูลงจากรถ เดินฉับๆ เข้ามาหาเขาด้วยท่าทางมั่นใจ
“อรุณสวัสดิ์ครับ” ชยุตม์ทัก
“คุณเป็นลูกคนที่เท่าไหร่” โชคดีไม่ตอบ หากถามคำถามชยุตม์ทันทีที่เดินเข้ามาใกล้
“อากาศตอนเช้าสดชื่นจังเลยนะครับ” ชยุตม์ไม่ตอบคำถามเช่นกัน
“พ่อคุณมีลูกกี่คน”
“คุณมาหาผมเพื่อถามคำถามนี่หรือ ถ้าแค่นี้ ไม่น่าต้องลำบากขับรถออกนอกเมืองมาขนาดนี้ โทรศัพท์มาถามก็ได้” ชยุตม์กล่าวเสียงเรียบ ไม่เข้าใจเหตุผลที่โชคดีเดินเข้ามาถามเขาทื่อๆ
“ผมชอบเผชิญหน้า” โชคดีตอบเสียงเข้ม เอียงคอรอฟังคำตอบอย่างอดทน
“ไม่บอกผมก็รู้”
“ว่าไงครับ” โชคดีเร่งรัด ความอดทนที่มีเพียงน้อยนิดใกล้จะหมดลงแล้ว
“ขออนุญาตถามได้ไหมครับว่าทำไม” ชยุตม์จงใจพูดอย่างนอบน้อม
ได้ผล อีกฝ่ายรู้สึดว่าโดนประชด “ผมสงสัยว่าแม่คุณกับแม่ของผมมีเรื่องอะไรกันในอดีต”
“คุณเลยมาถามผมว่าผมเป็นลูกคนที่เท่าไหร่ และพ่อผมมีลูกกี่คน...” ชยุตม์ทวนคำถาม “นี่คุณกำลังคิดว่าเรา...”
ชยุตม์เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อว่าโชคดีจะคิดอะไรแบบที่เขากำลังจะพูด
“คิดว่าเราเป็น”
“เป็นอะไรก็ช่างเถอะ ตอบคำถามผมมา”
“สามคน ผมเป็นคนสุดท้อง” ชยุตม์พูดเบาๆ
“งั้นก็ไม่มีทางเป็นไปได้” โชคดีพึมพำแล้วหันหลังกลับเดินไปที่รถหน้าตาเฉย
...เออแปลกจริง มาก็ไม่ทัก ไปก็ไม่ลา คนแบบนี้มีกี่คนในโลกกันนี่...
ชยุตม์เดินตาม เอื้อมมือไปแตะไหล่ชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังเปิดประตูรถ ฝ่ายนั้นหันขวับมาทันทีแล้วขมวดคิ้ว ก่อนจะก้มหน้าลงมองมือแข็งแรงของวิศวกรหนุ่ม แล้วเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเรียบนิ่งของคนที่ยืนอยู่ข้างหลังราวกับจะบอกว่า “เอามือออกไปเดี๋ยวนี้”
ชยุตม์ไม่สนใจ “ผมก็ว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่หากเป็นอย่างนั้น ผมก็คงรู้สึก...”
“ผมคงรู้สึกแย่ที่สุดในชีวิต” โชคดีรีบแทรกขึ้นมา ขยับไหล่หนีให้พ้นมือของชยุตม์ที่กำลังแตะไหล่เขาอยู่
“รังเกียจกันถึงขนาดนั้นหรือ”
“เปล่า” โชคดีตอบเบาๆ แล้วขึ้นนั่งบนรถ
“ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ไว้ผมจะถามคุณพ่อกับคุณแม่ เมื่อคืนผมก็รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกัน นึกสงสัยว่าเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าแต่ผมก็ยังไม่ได้ถาม”
“แล้วก็รอให้ผ่านมาตั้งหนึ่งคืนเต็มๆ” โชคดีส่ายหน้า “คุณนี่อืดอาดยืดยาดเหมือนเคย”
“ผมไม่ได้ใจร้อนรออะไรไม่ได้เหมือนคุณนี่ครับ” ชยุตม์หน้าตึงเพราะโดนว่าซึ่งหน้า
“งั้นผมจะรอ อย่างน้อยก็วันนี้ทั้งวัน ผมคิดไว้ว่าเย็นนี้จะไปจวนผู้ว่า ถามท่านรัฐมนตรีและคุณหญิงกับพี่ชายคุณให้รู้ไปเลย แต่คุณพ่อกับพี่ชายคุณไม่อยู่ ผมไม่อยากไปตอนนี้ ผมอยากถามตอนที่อยู่พร้อมหน้ากันทั้งหมด”
“คุณโชคดี” ชยุตม์อุทาน
“จนป่านนี้คุณก็คงรู้แล้วว่าผมเป็นคนนิสัยยังไง”
“ให้ผมไปคุยกับคุณแม่ก่อน” ชยุตม์พูด “อย่าเพิ่งคิดจะทำ...”
“ผมถึงมาบอกคุณก่อนไงล่ะ” โชคดีดึงประตูปิด แต่ชยุตม์ดันเอาไว้ “ผมไม่ได้ทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังแบบที่คุณจะคิดว่าผมจะทำหรอก”
“ผมยังไม่ได้คิดอะไรเลย” ชยุตม์ส่ายหน้า แค่ไม่กี่นาทีที่คุยกัน เขาโดนโชคดีตำหนิตรงๆ หลายครั้งแล้ว
“คุณชยุตม์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันก็ไม่ได้ความว่าอะไรๆ จะต้อง...” โชคดีพูดเสียงเรียบ แต่ท้ายประโยคดูลังเล แล้วก็หยุดพูดไปเฉยๆ
“ผมก็ไม่อยากให้มันเปลี่ยน คุณก็รู้ว่าผมอยากให้มันเป็นยังไง” ชยุตม์พูดเสียงหนักแน่น มองตาคมกริบของโชคดีไม่กระพริบ แต่อีกฝ่ายหันหน้าไปมองกระจกหน้ารถ แล้วบิดกุญแจติดเครื่อง บอกให้ชยุตม์รู้ว่าต้องการออกรถแล้ว วิศวกรหนุ่มจึงต้องปิดประตูรถเบาๆ
โชคดีทะยานรถออกไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ชยุตม์ยืนมองตามจนลับสายตาอย่างครุ่นคิด เขาตั้งใจว่าจะรอให้ถึงเวลาสายแล้วจะไปพบมารดาที่จวนผู้ว่าราชการซึ่งเป็นที่พักชั่วคราวขณะพักอยู่ที่น่าน ตอนนี้ความสงสัยของเขาเพิ่มเป็นทวีคูณ แม้จะรู้สึกไม่ค่อยจะเชื่อในสิ่งที่โชคดีคิด แต่เขาก็รู้สึกหวั่นใจในคำตอบที่อาจจะได้รับจากคุณแม่
*************
:::::::::คำคมวันนี้:::::::: ถึงคุณตัวหนัก แต่ผมก็รัก เพราะชอบเด็กอ้วน :::::::::::
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-06-2009 08:24:44 โดย katawoot »

LoveNineTeen

  • บุคคลทั่วไป
^
^
^

โอ้โฮ มาแถมให้อีกตอน แต่เช้าอีกต่างหาก ขอบคุณคร๊าบบบ

อย่าว่าแต่ โชคดี กับ ชยุตม์สงสัยเลย
เจ๊ก้อสงสัยเหมือนกัน...


ken_krub

  • บุคคลทั่วไป

Cn-Nt

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณมากๆค่ะ

สมกับที่รอคอย...........
:pig4: :pig4:

katawoot

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 15 Draft 1

ชยุตม์จอดรถหน้าบ้านของผู้ว่าราชการ คนรับใช้รีบวิ่งมาต้อนรับและรายงานว่าไม่มีใครอยู่บ้านแม้แต่คนเดียวนอกจากคุณหญิงเพียงฤดี ชยุตม์เดินขึ้นบนเรือนไม้สองชั้นสีขาวอย่างช้าๆ มารดาของเขานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น พอเห็นเขาเข้าไป จึงลุกขึ้นยืนและส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“เขาทิ้งแม่ให้อยู่คนเดียว แม่จะขอไปด้วยพ่อก็ไม่ยอม บอกว่าลำบาก พี่ชายยุตม์ต้องรีบกลับกรุงเทพฯ มีงานด่วน” คุณหญิงรีบฟ้องลูกชาย “นี่ทำยังกับแม่ไม่เคยลำบากยังงั้นล่ะ”
“ผมเห็นด้วยกับคุณพ่อครับ” ชยุตม์ตอบเบาๆ เดินไปจูงมือมารดาพาออกไปยังระเบียงกว้างหน้าห้องนั่งเล่น
“บ้านนี้ร่มรื่นจังเลยนะ ต้นไม้ต้นใหญ่ๆ ทั้งนั้น แม่อยากให้บ้านเราที่กรุงเทพฯ เป็นแบบนี้บ้าง จะปลูกต้นไม้พ่อก็ชอบขัด บอกว่ารก แต่ตัวเองก็ขนกระถางบอนไซมาตั้งไว้ทั่วบ้านเป็นร้อยๆ ไม่เคยบ่นว่ารก” ผู้เป็นมารดาบ่นใบหน้ายิ้ม พูดถึงสามีด้วยประกายตาอ่อนโยน เปี่ยมไปด้วยความรัก ชยุตม์ลอบมองด้วยความคิดคำนึงจนอีกฝ่ายถามขึ้น
“เป็นอะไรยุตม์ ทำไมมายืนมองแม่แบบนี้”
ชยุตม์ยิ้มบางๆ แล้วหันหลังพิงระเบียง “คุณแม่กับคุณพ่อรักกันมาก ตั้งแต่อยู่มาด้วยกัน ผมไม่เคยเห็นทะเลาะกันซักที”
“ก็เรารักกันนี่จ๊ะ” คุณหญิงเพียงฤดีตอบโดยไม่รีรอ
ชยุตม์เอาแต่ยิ้ม ในใจรู้สึกลังเลที่จะถามคำถามอย่างที่เขาคิดว่าโชคดีอยากจะถาม ตอนนี้เขาเริ่มจะเห็นด้วยกับที่ 'คนใจร้อน'เคยตำหนิเขาว่าชอบพูดอ้อมค้อม ไม่ตรงไปตรงมา กว่าจะรู้เรื่องก็เสียเวลาไปเฉยๆ
“แล้วนี่คุณแม่จะกลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่ครับ” ชยุตม์ถามอ้อมคอมอีกจนได้
“ทำไม จะไล่แม่ให้ไปเร็วๆ ยังงั้นหรือ”
ชยุตม์รีบปฏิเสธ บอกมารดาว่าถามเพราะอยากจะรู้จริงๆ “อีกอย่าง ที่คุณแม่มาก็เพราะเป็นเรื่องฉุกเฉิน คุณพ่อรู้จักกับท่านผู้ว่าฯ ก็จริงอยู่ แต่ถ้าอยากอยู่ต่อ ผมว่าน่าจะไปพักที่โรงแรม จะได้สะดวก”
“ผู้ว่าฯ คงไม่ยอมหรอก ตอนแรกจะไปพักโรงแรมแล้ว แต่ก็ยืนกรานให้เรามาพักที่นี่ พรุ่งนี้พ่อต้องไปราชการต่อ แม่ก็คงต้องกลับ ยุตม์จะได้ทำงานต่อได้สะดวก ไม่ต้องมากังวลว่าจะดูแลแม่”
“คุณนายผู้ว่าก็สนิทกันนี่ครับ อย่างน้อยคุณแม่ก็มีเพื่อน แล้วก็...” ชยุตม์เว้นระยะ เริ่มจะเข้าเรื่องที่เขาอยากรู้
“แล้วก็อะไรจ๊ะ”
“แล้วก็...” ชยุตม์สูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ดูเหมือนคุณแม่จะรู้จักกับคุณเตือนใจ”
คุณแม่ของเขาอึ้งไปชั่วครู่ เบือนหน้าออกไปมองต้นไม้เบื้องหน้า ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันมาหาชยุตม์ด้วยใบหน้านิ่งเรียบ
“ยุตม์ อยากรู้เรื่องนี้เองหรือ”
“ผมเพียงแต่...” ชยุตม์อึกอัก
“แม่รู้ ยุตม์คงเห็นตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ชยานนท์ก็ถาม แต่แม่...”
"แล้วพี่ไปไหนครับ" ชยุตม์ออกนอกเรื่องไปชั่วขณะเพราะรู้สึกว่ามารดาเริ่มรู้สึกอึดอัด
"นอนยังไม่ตื่นจ๊ะ"
“ไม่รู้เมื่อคืนไปเมาที่ไหน บ่ายวันนี้ก็ต้องรีบกลับกรุงเทพฯ งานยุ่งแบบนี้ไม่เห็นต้องมาก็ได้” ชยุตม์ยิ้มเมื่อพูดถึงพี่ชายก่อนจะวกเข้าเรื่องเดิม “คุณแม่ครับ ผมขอโทษ ถ้าคำถามผมทำให้รู้สึกลำบากใจ”
“แม่ต่างหากที่ต้องขอโทษลูก แม่ไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อนเลย” คุณหญิงเพียงฤดีเสียงสั่น “แม่กับเตือนใจรู้จักกันมานาน ก่อนที่ลูกจะเกิดด้วยซ้ำ ก่อนที่แม่จะรู้จักกับพ่อ”
“นานขนาดนั้นเลยหรือครับ” ชยุตม์แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“เตือนใจเป็นคนสวยมาก ลูกก็คงพอจะนึกภาพได้ ตอนนี้ก็ยังสวย มีคนมาชอบหลายคน รวมถึงคุณชายอนิรุจน์”
“คุณชายอนิรุจน์...” ชยุตม์ทวน
“หม่อมราชวงศ์อนิรุจน์ เมธีวุฒิไกร ลูกชายของท่านชายปรเมศวร์ กับท่านผู้หญิงวิจิตรา” คุณเพียงฤดีอธิบายเพิ่มเติม ชยุตม์พยักหน้า ที่จริงเขานึกออกตั้งแต่ได้ยินนามสกุลของคุณชายอนิรุจน์แล้ว
“และคุณอาของยุตม์ด้วย”
“อะไรนะครับ” ชยุตม์อุทาน
“แม่ยอมรับนะยุตม์ แม่เคยหวั่นใจว่า ตอนนั้น หากพ่อของลูกกลับมาเมืองไทยและเจอกับเตือนใจ ก็ไม่แน่ว่าพ่อของลูกจะชอบเขาด้วยหรือเปล่า พอดีเกิดเรื่องขึ้นก่อน”
ชยุตม์กลั้นหายใจ รอฟังสิ่งที่มารดาเขากำลังจะเล่าต่อไป ตอนนี้เขากลายเป็นผู้ฟังอย่างเดียว คุณแม่ของเขาดูประหนึ่งตกอยู่ในภวังค์ ปากพรั่งพรูเรื่องในอดีตออกมาอย่างช้าๆ เวลาผ่านไปเกือบสิบห้านาที เรื่องที่เขารู้สึกว่าเป็นเหมือนนิยายหนึ่งเรื่องก็จบลง มารดาของเขาหันมามองเช้าด้วยตาแดงเรื่อๆ เหมือนกำลังจะร้องให้
“แล้วเขาก็หายไป คุณชายตามหาอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ทนแรงบีบจากท่านชายกับท่านผู้หญิงไม่ได้ ท่านหญิงสาวิตรีก็ไม่ยอมเพราะกำลังท้องลูกคนแรก คุณชายเลยต้องปล่อยให้เรื่องมันผ่านไป”
“แต่ก็ดูว่าไม่เกี่ยวกับแม่เท่าไหร่” ชยุตม์ออกความเห็น แต่ก็พูดได้ไม่เต็มเสียงนัก
“แม่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ คุณชายรักเตือนใจ แต่แม่ช่วยคุณชายไม่ได้แล้ว แม่ทำไม่ได้ จะหาว่าแม่ใจร้ายก็ยอม”
...หมายความว่ายังไง แม่ช่วยพ่อของโชคดีไม่ได้แล้ว...
“คุณแม่ทำดีที่สุดแล้ว”
“ไม่นึกเลยว่าเด็กในท้องคนนั้นคือคุณโชคดี ถ้าแม่ยอมเชื่อพ่อกับอาของยุตม์ โชคดีก็คงรู้จักกับพ่อของเขา หรือไม่ก็ได้เข้าไปอยู่ที่บ้านเมธีวุฒิไกร”
“คุณเตือนใจท้องก่อนหรือหลังจากที่หายไปครับ” ชยุตม์กลั้นใจถามคำถาม ในใจยังสงสัยประเด็นที่ว่าทำไมมารดาต้องเชื่อพ่อและอาของเขาถึงจะทำให้โชคดีเป็นที่ยอมรับจากครอบครัวของบิดา
“หลัง” คุณเพียงฤดีตอบสั้นๆ แล้วเบือนหน้าออกไปด้านข้าง น้ำตาหยดแรกเริ่มไหลริน ชยุตม์มองตามด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย แรกที่เขาคิดว่าคุณแม่ของเขาเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังอย่างหมดสิ้น ตอนนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว
...คุณแม่อาจจะข้ามบางตอนไป...
...เกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณอาของเขาตามคุณพ่อให้กลับมาจากต่างประเทศ และช่วยตามหาคนที่คุณอารัก...
...คุณชายอนิรุจน์คือคนรักเก่าของคุณแม่...
...คุณชายอนิรุจน์คือบิดาของโชคดี...
...หรืออาจจะ...
...เป็นคุณอาของเขา...
...หรือ?...
“แล้วคุณพ่อรู้เรื่องนี้...” ชยุตม์ทิ้งช่วงนาน ก่อนจะถามมารดาเบาๆ
คุณแม่ของเขาไม่ตอบ เพียงแต่พยักหน้าช้าๆ แล้วหันมามองชยุตม์ หลังจากที่เช็ดน้ำตาแล้ว
“ยุตม์ แม่ไม่ได้ตั้งใจจะปิดเรื่องนี้ พ่อกับแม่คุยกันแล้ว เราจึงตกลงกันว่า...”
“ผมเข้าใจครับ” ชยุตม์เอื้อมมือไปบีบมือของมารดา “คุณแม่กับคุณพ่อก็คงมีเหตุผลส่วนตัว และผมก็ขอบคุณคุณแม่มากที่เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง”
“พี่ของลูกยังไม่รู้หรอก”
“ผมไม่อยากเป็นคนเล่าให้เขาฟัง” ชยุตม์ยิ้มบางๆ “ปล่อยให้มีเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องเล่าเกิดขึ้นก่อนดีกว่าค่อยว่ากันอีกที”
“ถ้าไม่เจอเตือนใจ แม่ก็คง...”
“ผมเข้าใจครับ” ชยุตม์ยิ้มให้มารดาอย่างอบอุ่น มือใหญ่แข็งแรงบีบมือผู้สูงวัยกว่าอย่างอ่อนโยน ชายหนุ่มเป็นแบบนี้เสมอ เคร่งขรึม ใจเย็น เป็นผู้ใหญ่จนทุกคนในบ้านที่กรุงเทพฯ พูดกันว่า ลูกชายสามคน ชยุตม์เป็นพี่ใหญ่ แทนที่จะเป็นน้องคนสุดท้อง
วิศวกรหนุ่มกับมารดายืนอยู่ด้วยกันๆ เงียบๆ ชั่วครู่ คุณเพียงฤดีจึงบอกให้ชยุตม์ไปปลุกพี่ชายเพราะกลัวว่าจะไปสนามบินไม่ทัน ชยุตม์เดินไปเคาะประตูพี่ชายอยู่นานกว่าฝ่ายนั้นจะงัวเงียเดินมาเปิดประตู
“ผู้กองไปทำงานหรือยัง”
ชยุตม์แปลกใจ คำถามแรกที่ชยุตม์ได้ยินคือพี่ชายถามถึงปฐพี
“อย่าบอกนะว่าที่พี่หายไปเกือบทั้งคืนคือพี่ไปกับ...”
“ไปได้ก็ดีสิ” พี่ชายของชยุตม์ถอนหายใจ “คนอะไร เย็นชาที่สุด”
“พี่อย่าไปยุ่งกับเขาเลยดีกว่า ผู้ชายดีๆ เก็บเอาไว้ให้คนที่เขารักจริงหวังแต่งดีกว่า” ชยุตม์เหน็บแนมพี่ชาย
“บ้า พี่ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะยุตม์ คิดว่าพี่คิดแต่จะชอบความสัมพันธ์ฉาบฉวยหรือไง”
“งั้นหาแฟนเป็นตัวเป็นตนให้ผมเห็นซักคนสิครับ ใครก็ได้ อย่าไปยุ่งกับผู้กองเลย”
“ทำไม นายจะเก็บเอาไว้เองหรือ” พี่ชายยักคิ้ว ทำหน้ายิ้มๆ
“บ้าหรือพี่ ผู้กองไม่ใช่...” ชยุตม์ส่ายหน้า “อย่าเลย พี่รีบอาบน้ำเถอะ จะได้ทานข้าวแล้วรีบไปสนามบิน เดี๋ยวจะไม่ทัน”
“คนดีๆ อย่างผู้กองปฐพีปล่อยให้รอดไปก็น่าเสียดาย นี่แค่รู้จักแค่วันเดียว พี่ก็รู้สึกได้เลยว่าผู้ชายคนนี้ทำให้พี่อยากหยุดความเจ้าชู้และมีรักแท้” พี่ชายชยุตม์พูดขึ้นมาแล้วปิดประตู ตามมาด้วยเสียงฮัมเพลงเบาๆ
ชยุตม์ยืนมองพื้นหน้าห้องของพี่ชายชั่วครู่ ในใจอดนึกภาพของปฐพีกับโชคดีไม่ได้ คนที่เหมาะกับโชคดีที่สุดก็คือปฐพีนี่ล่ะ หากอีกใจหนึ่งก็แย้งว่า โชคดีเหมาะกับคนแข็งๆ มากกว่า ไม่เช่นนั้นก็คุมเอาไว้ไม่ได้ ผู้กองปฐพีดูอ่อนโยนมากเกินไป ท่าทางคงจะตามใจแฟนจนเหลิง
...โชคดีเหมาะกับคนที่รับมือกับคนเจ้าอารมณ์ได้ เช่นเขาเป็นต้น...
...เขากับโชคดี หากเป็นแฟนกัน จะทะเลาะกันทุกวันหรือเปล่านะ หรือโชคดีจะยอมอ่อนลงมากกว่านี้หรือเปล่า แต่เขาไม่ยอมอ่อนให้หรอก ลองได้อ่อนข้อให้สิเป็นโดนข่ม...

ทรงศักดิ์ผิดหวังจากโชคดีจึงไปหาปฐพีเพื่อทวงสัญญาที่ว่าจะช่วยเรื่องปัญหาหัวใจ ทันที่เข้าไปในห้องทำงานของนายตำรวจหนุ่มและเล่าเรื่องราวที่โชคดีตัดสัมพันธ์เขาทรงศักดิ์ก็แทบจะร้องไห้
“ทำไมหมูปิ้งไม่มองผมบ้างเลยครับผู้กอง คนกรุงเทพฯ คนนั้นเป็นใครมาจากไหน อยู่ๆ ก็จะมาคว้าโชคดีไป” ทรงศักดิ์พร่ำรำพัน
“แน่ใจหรือ”ปฐพีถามย้ำเพื่อความมั่นใจ พักหลังเขาเริ่มมีความรู้สึกว่าชยุตม์ชักจะแสดงท่าทีสนใจโชคดีมากกว่าเดิม
“ตาที่มองโชคดีแวววาวเหมือนคนตกหลุมรัก คิดว่าแอบซ่อนไว้ภายใต้ท่าทางไม่กินเส้นกันแล้วจะปิดผมได้ ผมมองเดี๋ยวเดียวก็รู้ ผมไม่ใช่คนโง่”
...ซ่งไม่โง่ แต่เขานี่ล่ะโง่ แค่นี้ก็มองไม่ออก เผลอคิดไปว่าโชคดีไม่ถูกกับชยุตม์มาเป็นนานสองนาน คุณเตือนใจก็เคยบอกความนัยให้รู้แต่เขาก็ไม่ฉุกคิด...
...แต่หากโชคดีกับชยุตม์ชอบกันเขาจะทำอะไรได้ แม้แต่ตอนที่ยังไม่มีชยุตม์โผล่เข้ามา โชคดีก็ใช่ว่าจะยอมรับรักเขาเสียเมื่อไหร่ ผ่านมานานหลายปีก็ไม่มีทีท่าว่าจะตอบรับอะไรเขาเลย เขาเองก็ไม่ต่างจากซ่งเท่าไหร่นัก...
“ผู้กองต้องช่วยผมนะครับ ผมยอมให้โชคดีตกเป็นของนายช่างเมืองกรุงคนนั้นไม่ได้หรอก” ทรงศักดิ์เริ่มตาแดง ขบกรามจนขึ้นเป็นสันนูน
“ซ่ง คือเรื่องนี้นะ มันเป็นเรื่องของ...”
“ถ้าถึงที่สุดแล้วหมูปิ้งไม่ยอมรักผมจริงๆ คนที่ผมอยากจะให้โชคดีรักก็คือผู้กอง อย่างน้อยผมก็อุ่นใจว่าได้คนดี คนที่จะคุม เอ๊ย ดูแลโชคดีได้”
ปฐพีไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้วจึงเอาแต่ยิ้มบางๆ รอฟังทรงศักดิ์พูดต่อไป
“ผู้กองเป็นตัวแทนความรักของผมต่อโชคดี ถ้าให้ต้องทนเห็นโชคดีเป็นของคนอื่น ผมก็คงจะทนได้หากเห็นว่าเป็นของผู้กอง”
“ยอมแพ้แล้วหรือซ่ง” ปฐพีถาม
“โธ่ ผู้กองครับ ผมไม่อยากยอมเลยซักนิด แต่โชคดีปิดตายประตูทุกบาน ในใจเขาไม่มีผมเลย ผมเปิดห้องหัวใจสี่ห้องให้หมูปิ้งขนาดนั้นมาตั้งแต่เรียนมัธยมฯ แต่โชคดีเอาแต่ด่าว่าเหมือนผมเป็นคนไร้ความรู้สึก ทำยังไงก็ไม่มองผมบ้าง แต่ผู้ชายคนนั้นมาไม่กี่เดือน โชคดีก็หวั่นไหว ชอบเขาไปเสียแล้ว แต่ก็ยังปากแข็ง แกล้งทำเป็นไม่ถูกกับเขาเพื่อปิดบังความรู้สึกแท้จริงของตัวเอง กลัวเสียหน้า กลัวเสียมาด กลัวไปเสียทุกอย่าง ไม่รู้ใจตัวเอง ไม่ยอมรับเสียเรียกร้องของหัวใจ” ทรงศักดิ์พูดเสียงขื่น
...มองทรงศักดิ์ผิดไปจริงๆ เห็นท่าทางแบบนี้ไม่นึกว่าจะเข้าใจอะไรได้ลึกซึ้งจนผู้ใหญ่บางคนยังอาย เพียงแต่ว่าทรงศักดิ์ไม่ยอมตัดใจ แต่ทว่าตอนนี้คงน่าจะถึงที่สุดแล้ว...
...ผู้ใหญ่ที่หนึ่งในนั้นควรมีเขารวมอยู่ด้วย...
...แล้วเขาล่ะ หัวใจเขาเรียกร้องอะไร...

แดดอ่อนๆ ส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ชยุตม์บิดขี้เกียจ มองออกไปเห็นท้องฟ้าสีครามสดใสแล้วก็ไม่สามารถนอนต่อไปอีกได้ อากาศสดชื่นเหลือเกิน ตั้งแต่ช่วงฝนหลงฤดูหยุดตก อากาศเมืองน่านเริ่มเย็นลง เขาเปิดหน้าต่างนอนทุกคืน รู้สึกเย็นเหมือนเปิดแอร์
วิศวกรหนุ่มเปิดประตูออกมายืนนอกบ้าน มองไปรอบๆ แล้วออกเดินเลาะไปตามริมธารน้ำ มุ่งตรงไปทางรีสอร์ทเจ้าปัญหาที่การก่อสร้างกำลังรุดหน้า ในใจอดนึกถึงใบหน้าดุๆ ของใครบางคนไม่ได้
..."รักสันโดษ รักธรรมชาติ มิน่า คุณชยุตม์ถึงได้ปลีกตัวไปพักที่บ้านหลังเล็กริมแม่น้ำเพื่ออิงแอบธรรมชาติ"
...มิน่า ถึงได้รับงานเป็นวิศกรสร้างรีสอร์ททำลายธรรมชาติ...
...ช่างเหน็บแนมเขาได้ไม่หยุดหย่อน ทีตัวเองถูกพูดกระทบบ้างก็ทำเป็นโกรธจะเอาเรื่อง คนแบบนี้ก็มีด้วย...
ชยุตม์เผลออมยิ้มเมื่อนึกถึงคนเจ้าอารมณ์ เขายอมรักว่าภาพใบหน้าคนเข้มของโชคดีค่อนข้างรบกวนจิตใจเขาบ่อยขึ้นในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ตั้งแต่ติดน้ำป่าบนเขาอาทิตย์ที่แล้ว เขาก็แทบไม่ได้เจอหน้าโชคดี เขารู้ว่าชายหนุ่มพยายามหลบหน้าเขา แล้วเรื่องประท้วงการก่อสร้างรีสอร์ทก็ดูเหมือนจะเงียบไป ทีมร่วมตรวจสอบที่โชคดีส่งเข้ามาสังเกตการณ์ก็ดูเหมือนจะพอใจกับการก่อสร้างที่ดำเนินงานไปตามที่ตกลงกัน
อาทิตย์หน้า ประตูน้ำที่ผันน้ำเข้าออกโครงการจะถูกปิดตาย จะมีการทำเนินดินด้านนอกเพื่อฝังกลบประตูน้ำ แล้วปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ให้สวยงาม ปลูกต้นไม้ใหญ่น้อยทำเป็นสวน แบบที่โชคดีต้องตาค้างหากได้เห็นว่า "โครงการ" ได้ "ยอม" โชคดีมากขนาดไหน
ชยุตม์เดินเล่นมาเรื่อยๆ จนถึงประตูน้ำเจ้าปัญหา ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ เขาก็ชะงัก เมื่อสายตามองไปเห็นร่างคุ้นตากำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ริมแม่น้ำ
...ทำอะไรอีกล่ะ เช้าขนาดนี้รีบตื่นมาทำอะไร...
ชยุตม์ค่อยเดินเข้าไปหยุดอยู่ด้านหลังของคนที่แสดงท่าทางเย็นชากับเขาได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว โชคดีกำลังตั้งใจทำอะไรบางอย่าง ในมือถึงตะกร้าบรรจุขวดแก้วหลายขวด ไม่รับรู้ว่า "เจ้าของพื้นที่" กำลังชะโงกหน้ามอง
...ตัวอย่างน้ำหรือ นี่กำลังคิดจะยกประเด็นเรื่องรีสอร์ทปล่อยน้ำเสียลงแหล่งน้ำธรรมชาติเอามาต่อต้านเขาหรืออย่างไร...
...มันน่า...นัก...
"มาทำอะไรแต่เช้าครับ" ในที่สุด ชยุตม์ก็อดถามไม่ได้ แต่เขาก็แปลกใจ โชคดีไม่สะดุ้งอย่างที่เขาคิด ชายหนุ่มนิ่งอยู่ชั่วครู่ในท่าก้มตัว มือกำลังจะจุ่มลงไปในน้ำ
"ให้ช่วยไหมครับ ผมถือตะกร้าให้ก็ได้" ชยุตม์อมยิ้ม
'นักวิทยาศาสตร์' คนใหม่ยืดตัวขึ้น แล้วหันมามองวิศกรหนุ่มช้าๆ จ้องตาคนที่กำลังเสนอความช่วยเหลือ ก่อนจะพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า "ไม่ต้อง"
"กำลังหาตัวอย่างสารปนเปื้อนหรือครับ" ชยุตม์กัดไม่ยอมปล่อย "คราวนี้คุณคงกะเล่นประเด็นโรงงาน The River Bend Resort ปล่อยสายตะกั่วลงแม่น้ำน่าน"
โชคดีเดินหนีช้าๆ ไม่อยากต่อปากต่อคำกับชยุตม์ แต่ฝ่ายนั้นไม่ยอมลดละ เดินตามเขามาไม่ห่าง แต่ก็เลิกพูดแล้ว
...เดี๋ยวได้โดนชกปากแตกหรอก พูดอะไรกวนอารมณ์...
...จะตามมาทำไมก็ไม่รู้ แล้วนี่กำลังทำหน้ายังไง มองเขาอยู่หรือเปล่า...
โชคดีเกิดอยากรู้ขึ้นมาเฉยๆ จึงหยุดเดิน แล้วหันหน้าไปมองคนที่เดินตามเขาเงียบๆ ชยุตม์กระตุกยิ้มมุมปากให้ ตาวิบวับ ขัดกับใบหน้าเรียบนิ่งอย่างที่เคยเห็น
...ประการแบบนี้เหมือนกันที่ปฐพีและซ่งทำเวลาจีบเขายังไงยังงั้น...
...ชยุตม์กำลังจะจีบเขาหรือ โดนเขาว่ามาตลอด ยังกล้ามาจีบอีกหรือ อุตส่าห์ตั้งตัวเป็นศัตรู ชยุตม์ยังคิดว่าเขาจะตอบรับความสัมพันธ์อีกหรือ ที่สำคัญ ตัวเองมีแฟนอยู่แล้ว จักริณทร์ก็เป็นคนดีขนาดนั้น ตัวเองมาทำงานต่างจังหวัด ยังกล้านอกใจแฟน...
...บ้าที่สุด ร้ายกาจมาก...
"ผมไม่ชอบหน้าคุณ" โชคดีเสียงห้วน "ไปไกลๆ หน่อยได้ไหม"
ชยุตม์อึ้ง สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นตกใจกับคำพูดของโชคดีที่จู่ๆ ก็หันหน้ามาขมวดคิ้ว ทำหน้าดุมากกว่าเดิม
"ผมไม่ไป ที่นี่เป็นที่สาธารณะ ผมไม่ได้รบกวนอะไรคุณด้วยซ้ำ แค่เดินเฉยๆ" ชยุตม์ฉุน พูดกับโชคดีเสียงเข้ม
"แค่เห็นหน้าก็อารมณ์เสียแล้ว" โชคดีเบ้ปาก จงใจยั่วมัวโหชยุตม์ "เช้าอากาศดีๆ แบบนี้ ไม่น่าเลย"
"แล้วทำไมต้องมาเดินเล่นในอาณาเขตของผมล่ะ ก็รู้อยู่ว่าบ้านผมอยู่แถวนี้"
...จะยั่วโมโหเขาหรือ เขาก็จะก็ยั่วเหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองควบคุมอารมณ์ได้น้อยกว่าก็ยังคิดจะมาลองดี...
"ผมจะไปเดินเล่นหน้าบ้านคุณยังได้ จะว่าไป บ้านหลังเล็กที่คุณไปสร้างอยู่ก็เป็นที่สาธารณะ จะเกณฑ์คนมาไล่เมื่อไหร่ก็ได้..."
"แน่ใจหรือ ไม่คิดหรือว่าผมจะมีเงินพอจะซื้อที่ดินแค่นั้น" ชยุตม์แทรก "หรือบางทีรอบๆ แถวนั้นด้วยซ้ำ ผมมีงบอยู่สองล้าน ตอนแรกว่าจะเอาไว้รอให้รางวัลชาวบ้านตามที่เคยประกาศเอาไว้ตอนคุณเกณฑ์คนมาประท้วง ตอนนี้ผมแน่ใจว่าคงไม่ต้องเสียเงินสองล้านไปฟรีๆ ผมก็เลยซื้อที่ดินซะเลย"
"รวยจังเลยนะ" โชคดีกระแทกเสียง เริ่มหายใจแรง แต่ก็พยายามสะกดอารมณ์ไว้ พยายามบอกตัวเองว่าชยุตม์เป็นคนที่มีอัตราความอดทนมากกว่าเขานัก และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าตั้งใจยั่วให้เขาระเบิดอารมณ์ออกมา
...อย่าหวังว่าเขาจะถูกปั่นให้เต้นไปตามใจต้องการ ไม่มีวันที่โชคดีจะแพ้ชยุตม์หรอก...
"ผมเป็นลูกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนี่ครับ ไม่รวยได้ยังไง" ชยุตม์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ อมยิ้มอย่างที่อีกฝ่ายคิดว่าน่าหมั่นใส้
"อ้อ ลูกนักการเมือง" โชคดีหรี่ตาเล็กน้อย พยักหน้า แล้วทำเป็นสื่อความหมายแฝงในคำพูด "เข้าใจแล้ว"
ชยุตม์นิ่ง ตระหนักว่าตัวเองพลาดไปถนัดที่เอาพ่อของเขาเข้ามาเกี่ยว ไม่ทันที่เขาจะนึกได้ว่าจะพูดอะไรต่อไป  โชคดีที่หัวไวกว่าก็พูดขึ้นว่า
"ผมไม่เคยคิดจะเป็นลูกนักการเมืองเลย ผมกัดฟันขายเหล็ก อีกหน่อยก็รวยเท่าคุณได้แล้ว"
"โชคดี" ชยุตม์เน้นเสียง
"ที่สำคัญ ไม่อยากเป็นน้องชายคุณด้วย"
"ผมก็ไม่อยากเป็นพี่ชาย ใครจะอยากเป็นพี่ชายคุณ มีน้องดื้อแบบนี้ คงเหนื่อยไล่จับตีก้นให้หายดื้อ"
"งั้นเราก็เป็นศัตรูกันเหมือนเดิมดีแล้ว" โชคดีเค้นเสียงผ่านไรฟัน
"ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นศัตรูกับคุณเลย ไม่เคยคิดจะเป็น" ชยุตม์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนโชคดีเผลอเอนตัวหนี ตอนนี้ทั้งสองยืนอยู่ริมตลิ่งที่เทลาดลงไป ชยุตม์ยืนอยู่สูงกว่าจึงดูเหมือนว่ากำลังยืนข่มโชคดี ยิ่งอีกฝ่ายตัวหนากว่าก็ยิ่งดูเหมือนว่ากำลังโดนคุกคาม
"คุณคงคิดอย่างนั้นมาตลอด ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ ไม่รู้หรือว่าผมรู้สึกยังไง"
...รู้สึกอะไร ชยุตม์รู้สึกอะไร...
...ทำไมเขาจะไม่รู้สึก...
...แต่รู้สึกยังไงของชยุตม์นี่คืออะไรกันหรือ เหมือนที่เขารู้สึกหรือเปล่า...
...บอกมาเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่พูดออกมาก็ไม่ต้องมาขยักเอาไว้ให้สงสัย...
...ชยุตม์...


...ทำไมร้ายแบบนี้นะ...
ชยุตม์มองตาคมกริบของโชคดี ใบหน้าห่างกันไม่ถึงคืบ รู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้น ใบหน้าร้อนผ่าว
...ร้ายนัก เดี๋ยวก็รักซะเลย...
...ไม่ไหวแล้ว เป็นไงเป็นกัน ปากแดงๆ ชอบพูดจาถากถางประชัดประชันเขาอยู่เรื่อย ขอจูบซักหน่อยเถอะ...
ชยุตม์เลิกคิดจะอดทนต่อไปอีกแล้ว ตอนนี้เขาแพ้หัวใจตนเองอย่างราบคาบ ถือโอกาสตอนที่โชคดีกำลังอึ้ง ก้มหน้าลงไป และประทับปากเข้ากับปากแดงๆ ของชายหนุ่มหน้าดุ
เพียงเสี้ยววินาที โชคดีก็ตั้งตัวได้ และทันทีที่รู้สึกตัว ชยุตม์ก็ถอนปากออกมาร้องลั่น เมื่อคนที่โดน "รังแก" เตะเท้าเข้าหน้าแข้งของเขาอย่างแรง ตามด้วยหมัดฮุกเข้ากลางท้องจนต้องยกมือขึ้นมากุมเอาไว้
"อย่านะ" ชยุตม์เสียงหลงเมื่อเห็นโชคดีกำหมัดแล้วง้างแขนออก ทำเหมือนจะเล็งหมัดเข้าที่แก้มของเขา
วิศกรหนุ่มที่กำลังยืนตัวงอ ละมือออกจากหน้าท้องแล้วกอดเอวฝ่ายตรงข้าม ซุกหน้าเข้ากลางอกของคนเลือดร้อน ตั้งใจคลุกวงในเพราะไม่ต้องการให้โชคดีต่อยเขาได้ถนัด แต่พื้นลาดและลื่นทำให้ทั้งสองเสียหลัก ล้มกลิ้งตกลงไปในแม่น้ำ โชคดีโวยวาย ทั้งมือและเท้าไม่หยุดนิ่ง ทว่า ชยุตม์ไม่ยอมแพ้ อาศัยความแข็งแรงกดตัวชายหนุ่มเอาไว้ โชคดีก็ไม่ยอมเช่นกัน พยายามดิ้นสุดแรงเกิด
"โชคดี"
"ปล่อย" โชคดีตวาด "บอกให้ปล่อย"
"ไม่" ชยุตม์เสียงแข็ง แล้วซุกหน้าเข้ากับแก้มของคนที่กำลังดิ้นรนขัดขืน
...ให้มันรู้ไปสิ ฤทธิ์มากนัก เขาจะปล้ำกลางแจ้งแบบนี้ล่ะ...
"พอเถอะโชคดี" ชยุตม์เสียงอู้อี้ หอบหายใจกระชั้นถี่ ปากพยายามประกบปากของโชคดีที่กำลังส่ายหน้าหนี
"หยุดนะ" โชคดีเสียงแผ่วลง แต่แรงดิ้นไม่ยอมตก
...ดื้อจริงๆ เลย...
ชยุตม์กัดฟัน ชักจะทนไม่ไหวแล้ว โชคดีฤทธิ์มากจริงๆ ทั้งหมัดทั้งศอกทั้งเข่า ประเคนใส่เขาเป็นชุดๆ ในเมื่อเขาโดนแบบนี้ก็สมควรที่จะตอบโต้บ้าง ดูซิ ใครจะแรงเยอะกว่ากัน
"คุณนั่นล่ะหยุด" ชยุตม์ตวาดเสียงเข้ม "แล้วยอมผม"
วิศวกรหนุ่มออกแรง มือคว้าแขนของชายหนุ่มเจ้าอารมณ์กดลงแนบเอว แล้วพยายามพลิกตัวขึ้นทับ กดอีกฝ่ายเอาไว้แนบพื้น โชคดีสูงกว่าชยุตม์ก็จริง แต่นายช่างหนุ่มร่างหนาและกำยำกว่า จึงตรึงโชคดีเอาไว้ได้
...จูบนี้รอมานาน เสี่ยงโดนกัดก็ยอม...
****15*******


katawoot

  • บุคคลทั่วไป
16 Draft 1

คุณเตือนใจเดินเข้ามาในร้านโชคดีค้าเหล็กแล้วมองไปรอบๆ เห็นคนงานกำลังเก็บของเพื่อปิดร้านโดยปราศจากเงาของลูกชายคนเดียวคอยดูแลความเรียบร้อย
"ยังไม่กลับครับ ไม่ได้บอกไว้ด้วยครับ" พงษ์ตอบเสียงเบาเมื่อคุณเตือนใจถาม
"ลองโทรตามซิ สามทุ่มครึ่งแล้ว เย็นวันศุกร์มันไปไหนของมัน"
"โทรไปแล้วครับ แต่ไม่มีสัญญาณ ผมอยากปรึกษาเรื่องออเดอร์ของสำนักงานโยธา เขาเร่งให้ส่งของ พรุ่งนี้หัวหน้าวินัยก็จะมาที่ร้าน ไม่รู้จะให้คำตอบเขายังไง" พงษ์รายงาน
"ไม่เป็นไร เอกสารอยู่บนโต๊ะใช่ไหม เดี๋ยวไปจัดการเอง" คุณเตือนใจพูด แล้วหันไปบอกพนักงานประจำร้านให้ไปตามโต๋มาหา
"หายไปทั้งวันแล้วนะครับ" พงษ์เงยหน้าขึ้นมามองนายจ้าง แล้วพูดเสียงเบา
"ทั้งวัน" อีกฝ่ายทวนคำ "หมายความว่าที่ติดต่อไม่ได้นี่คือตั้งแต่เช้าหรือ"
พงษ์พยักหน้าแล้วหันไปทำงานต่อ ปล่อยให้คุณเตือนใจยืนนิ่ง ครุ่นคิดถึงเหตุผลที่ลูกชายหายหน้าไปตั้งแต่เช้า ปกติโชคดีมักจะบอกคนที่ร้านไว้เสมอ นอกจากมีธุระด่วนจริงๆ ซึ่งมักจะใช้เวลาไม่นานมาก แต่การหายไปทั้งวันตั้งแต่เช้าจนค่ำ ไม่ใช่นิสัยของลูกชาย
ไม่นาน โต๋ก็เดินเข้ามาหา คุณเตือนใจบอกให้ชายหนุ่มไปนั่งคอยในห้องทำงาน เด็กหนุ่มลอบทำหน้าหนักใจเพราะเกรงว่าจะโดนดุ ร้อยวันพันปีคุณเตือนใจไม่เคยเรียกเขามาคุย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปคุยในห้องทำงาน

โต๋แปลกใจปนโล่งอกเพราะไม่ได้โดนดุอย่างที่หวาดหวั่น แต่คำถามของคุณเตือนใจทำให้เขาอึ้งไปชั่วขณะ จนอีกฝ่ายต้องถามซ้ำ
"คือผมก็ไม่เห็นนายช่างพูดอะไรนะครับ"
"ไม่บ่นบ้างเลยหรือ"
"นายช่างเป็นคนอดทน ไม่เคยบ่นเรื่องอะไรให้ได้ยินเลยครับ ไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัว นายช่างเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด" โต๋ตอบไปตามความเป็นจริง
"แสดงว่านายช่างชยุตม์กับโชคดีไม่ได้ทะเลาะกัน"
"เอ่อ ผมก็เห็นว่าไม่ค่อยถูกกันเป็นปกติ" โต๋พูดเบาๆ
"วันนี้นายช่างไปทำงานหรือเปล่า"
"ไปครับ แต่สายมาก นายช่างไม่เคยไปทำงานสายขนาดนี้ ถามก็ไม่ตอบ เห็นหน้าช้ำเป็นแผล ปากบามเจ่อ สงสัยมีอุบัติเหตุ" โต๋อธิบาย "เดินเขยกๆ ด้วย"
"โต๋ คอยดูนายช่างให้ด้วย มีอะไรต้องเอามารายงานให้หมด และอย่าไปพูดอะไรล่ะ ถ้าทำตามที่บอก ฉันจะหาห้องแถวให้ซักห้อง พานวลออกไปอยู่นอกร้าน จะได้สร้างครอบครัวด้วยกัน "
"จริงหรือครับ" โต๋ตาลุกวาบ รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น
"จริงสิ ฉันก็อยากเห็นเธอทั้งสองโตเป็นผู้ใหญ่ มีอะไรเป็นของตัวเอง แต่ช่วงแรกๆ ก็ต้องมาช่วยทำงานที่ร้านอย่างเคย แต่อีกสองสามปี ถ้าพร้อม เธอก็ควรเป็นหัวหน้าครอบครัว สร้างชีวิตด้วยกัน คงไม่อยากเป็นเด็กในร้านไปตลอดใช่ไหม"
โต๋ส่ายหน้า "แล้วคุณโชคดี"
"โชคดีก็คงคิดแบบนี้ล่ะ ไม่งั้นจะบังคับให้แต่งงานกันหรือ รอให้เดือนคลอดแล้วลูกเริ่มหัดคลานเสียก่อน ค่อยขยับขยาย ฉันจะช่วย แต่ว่าเธอก็ต้องช่วยฉันด้วย" คุณเตือนใจเสนอเงื่อนไข "ด้วยการรายงานทุกอย่างให้ฉันรู้ พูดง่ายๆ ก็คือเป็นสายลับให้เข้าใจไหม"
โต๋พยักหน้าโดยไม่รีรอเพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยากหรือเสียหายอะไร แค่กลับมาเล่าให้คุณเตือนใจฟังว่าชยุตม์ทำอะไรบ้างที่ทำงานเขาก็ได้ห้องแถวไปหนึ่งห้อง แต่ในใจเขากลับอดสงสัยไม่ได้ ร้อยวันพันปีคุณเตือนใจไม่เคยสนใจเรื่องนี้ ปกติแทบไม่เคยอยู่ร้าน งานส่วนมากคุณโชคดีเป็นคนจัดการ
เมื่อโต๋เดินออกจากห้องทำงาน คุณเตือนใจเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ในใจล่องลอยถึงเรื่องราวในอดีต ภาพใบหน้าของชายคนที่เธอเคยรักมากผุดขึ้นมาในความคิด ตามมาด้วยภาพอื่นๆ ที่เคยเลือนจาง แต่ตอนนี้กลับเด่นชัดขึ้น
...แม้เขาจะทำกับเธอแบบนั้น เธอก็ไม่เคยเกลียดเขาเลย ผ่านมานานจนถึงขนาดนี้ มีประโยชน์อะไรกันเล่าจะมาเคืองแค้นกัน...
...แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น โชคดีก็ไม่ควรจะไปเกี่ยวข้องกับชยุตม์ และครอบครัวนั้น ความแตกต่างจะนำมาซึ่งความผิดหวัง เธอไม่อยากให้ลูกของเธอเสียใจ ซักวัน ชยุตม์ก็ต้องกลับกรุงเทพฯ ไปมีชีวิตตามวิถีทางของตัวเอง...
...วิถีชีวิตคนเมือง วิถีชีวิตคนรวย วิถีชีวิตของตระกูลผู้ดีเก่า เธอเคยเจอมาแล้วกับตัว...

ปฐพีหยุดยืนมองชยุตม์ รู้สึกแปลกใจที่เห็นชายหนุ่มมานั่งทานข้าวข้างถนนคนเดียว ทั้งที่บิดาเพิ่งกลับมาจังหวัดน่านเมื่อบ่ายวันนี้
คุณแม่ของชยุตม์กลับกรุงเทพฯ ไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน คุณพ่อของนายช่างหนุ่มก็ย้ายไปพักที่โรงแรมในเชียงใหม่ แต่เย็นนี้มีงานเลี้ยงกับผู้หลักผู้ใหญ่ในจังหวัด พ่อชวนเขาไปด้วย แต่เขาปฏิเสธเพราะมีนัดกับโชคดีตอนสี่ทุ่ม และเขาก็คิดว่าคุณพ่อของชยุตม์ก็คงจะชวนลูกชายไปงานด้วยเช่นกัน
...แต่ทำไมชยุตม์มานั่งทานก๋วยเตี๋ยวอยู่คนเดียว ท่าทางเหมือนไปต่อยกับใครมา...
"อุบัติเหตุที่ทำงานน่ะครับ" ชยุตม์ตอบยิ้มๆ เมื่อปฐพีเดินเข้าไปทักและถามว่าเกิดอะไรขึ้น
"นึกว่าไปชกกับใครมาซะอีก" ปฐพีแสดงความเห็น "แล้วนี่ไม่ไปงานเลี้ยงหรือครับ"
"ไม่ดีกว่าครับ สภาพแบบนี้ คงต้องตอบคำถามเดิมๆ ทั้งคืน"
...อุบัติเหตุที่ทำงาน ไม่เห็นจะต้องโกหกเขาเลย เขาเป็นตำรวจ จากสภาพที่เห็น บอกได้ไม่ยากว่าเป็นการชกต่อย...
"ผู้กองมาทานข้าวหรือครับ" ชยุตม์ถาม
...เอ๊ะ ดูเหมือนรอยถูกแมวข่วน นี่ถ้าบอกว่าชยุตม์มีแฟนเป็นผู้หญิงขี้หึง เขาก็จะสรุปว่ารอยข้างแก้มใกล้ต้นคอนั้นเป็นรอยเล็บ...
"เปล่าครับ ผมทานแล้ว พอดีมีนัดกับโชคดี ใกล้จะถึงเวลานัดเลยรีบมารอ กลัวโดนดุ" ปฐพีหัวเราะ "ไม่รู้มีเรื่องอะไร นัดให้ไปเจอที่ศาลหลักเมืองตอนสี่ทุ่ม แปลกคนจริงๆ ปกติไปหาที่ร้านก็ได้อยู่แล้ว"
...คิดไว้ไม่ผิด ชยุตม์เงยหน้าขึ้นมามองเขาทันที แววตากร้าวขึ้นเห็นได้ชัดแม้เป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาที...
"นี่ก็ใกล้สี่ทุ่มแล้ว" ชยุตม์ยิ้มบางๆ ยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา
"งั้นผมต้องขอตัวก่อน" ปฐพีลุกขึ้น แล้วยกมือวันทยาหัตถ์อำลาชยุตม์ ปล่อยให้วิศวกรหนุ่มมองตามจนลับสายตา
...ร้อยตำรวจเอกปฐพีในชุดเครื่องแบบดูหล่อและเท่ ใครเห็นก็ต้องหันมองตาม ยิ่งไปกว่านั้น เป็นลูกชายผู้ว่าราชการจังหวัด ทำงานก็ใกล้กับโชคดี สนิทกันมานาน แม่ของโชคดีก็สนับสนุน ใจเย็น อ่อนโยน อบอุ่น โชคดีเองก็ดูเหมือนจะเกรงๆ ปฐพีอยู่เหมือนกัน ไม่คอยหาเรื่องเหมือนที่ทำกับเขา...
...ไม่ว่าจะมองมุมไหน ผู้กองปฐพีก็ดูเหมาะสมกับโชคดี...
...บ้าจริงๆ ทำไมรู้สึกเหมือนคนอกหักแบบนี้นะ ยังไม่ทันจะได้บอกรัก แต่ทำไมอกหักเสียแล้ว...
...แล้วนี่โชคดีนัดผู้กองปฐพีให้ออกมาหานอกบ้านทำไมดึกดื่น หายไปทั้งวัน โผล่มาก็ต้องการเจอผู้กอง เขาโทรหาก็ไม่ยอมรับสาย ปิดเครื่องไปเสียเฉยๆ แวะไปที่ร้าน พนักงานก็บอกว่าไม่รู้หายไปไหน...
...โกรธเขามากเลยหรือนี่ คนแค่กอดจูบ แลกกับถูกซ้อม คนที่โกรธควรจะเป็นเขาต่างหาก...
...มอบความรักให้กลับถูกต่อย...

โชคดีหันไปมองนายตำรวจหนุ่มในชุดเครื่องแบบสีกากีที่เดินยิ้มกว้างมาแต่ไกล ปฐพีมาตรงเวลาเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกินแม้เพียงนาทีเดียว
"มารอนานแล้วหรือครับ โทษทีที่ไม่ได้มารอ"
"ผู้กองไม่ได้มาสายนี่ครับ" โชคดีตอบยิ้มๆ
"แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นถึงได้บอกให้ผมมาหาที่หน้าศาลหลักเมือง"
"จะร้องเรียนเรื่องไฟหน้าศาลหลักเมืองไม่สว่าง อาจก่อให้เกิดมุมเปลี่ยวที่วัยรุ่นอาจมามั่วสุมกัน"
"แจ้งตำรวจท้องที่สิ ผมทำงานอยู่ลำปาง ไม่มีแรงมาดูแลเมืองน่านหรอก" ปฐพียิ้มกว้าง แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ "ว่าไง เรียกมาทำไม อย่าบอกนะว่า..."
"ผมอยากใช้เวลาส่วนตัวกับผู้กอง" โชคดีพูดเสียงเรียบ แล้วหลุบตาลงมองพื้น ก่อนจะหันหน้าไปมองศาลหลักเมือง
"น่าจะบอกก่อน จะได้แต่งตัวหล่อๆ" ปฐพีหัวเราะ กลบเกลื่อนความตกใจที่ได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม
"ทำเป็นพูดเล่นไป" โชคดีหันมาทำหน้าบึ้ง เสียงเข้มขึ้น
"ล้อเล่นก็ไม่ได้ ถ้ายังงั้นไปหาอะไรดื่มกัน" ปฐพียิ้มพราวแล้วเดินนำโชคดีไปตามฟุตบาธ
"ผู้กองครับ ตอนนี้ผู้กองคิดยังไงกับผม" โชคดีเดินตามมาได้สามสี่ก้าวก่อนจะถามขึ้น
นายตำรวจหนุ่มไม่ตอบทันใด ยังคงเดินล้วงประเป๋ากางเกงช้าๆ จนมาหยุดยืนตรงหัวมุมถนนจึงหันกลับไปมองอีกฝ่ายแล้วพูดว่า "ถามทำไมโชคดี ก็รู้อยู่นี่ว่าคิดยังไง ผมต่างหากควรจะเป็นฝ่ายถาม"
"ก็"
"และเมื่อผมถามแล้ว ก็ควรจะตอบตามความเป็นจริง"
โชคดีเงยหน้ามองไฟจราจรที่กำลังกระพริบ กำลังจะก้าวเท้าลงเหยียบพื้นถนน แต่ปฐพีแตะแขนเอาไว้ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"จะให้ถามตอนนี้เลยไหมโชคดี หรือจะรอให้เราไปหาที่นั่งเงียบๆ กันซะก่อน แล้วให้ผมถามอย่างเป็นทางการ"
"แล้วแต่" โชคดียักไหล่
"รอเป็นทางการดีกว่า" ปฐพียักไหล่เช่นกัน ก้าวเท้าเดินข้ามถนน แล้วหันมาพยักหน้าให้โชคดีเดินตาม แต่พลันเขาก็ชะงัก สองเท้าหยุดนิ่ง เมื่อได้ยินคนที่อยู่ข้างหลังพูดขึ้น
"ผู้กอง เรามาคบกับเป็นแฟนเถอะ"

ชยุตม์ปิดประตูรถแรงๆ ปล่อยตัวเองให้นั่งนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่แล้วเสียบกุญแจเตรียมตัวติดเครื่อง แต่ชายหนุ่มก็เปลี่ยนใจ เอนตัวพิงเบาะรถช้าๆ ถอนหายใจแรงๆ นึกภาพของปฐพีกับโชคดีโผเข้าหากันแล้วจูงมือกันเดินไปตามถนนยามค่ำคืน
...โชคดีพบกับปฐพีทำไม วันนี้หากโชคดีตกใจและโกรธกับการกระทำของเขาและต้องการหลบหน้าทุกคน ก็ไม่ควรจะนัดให้ผู้กองปฐพีไปพบในเวลาดึกเช่นนี้ สี่ทุ่มของเมืองเล็กๆ กลางหุบเขาถือว่าดึกพอสมควร ปฐพีถึงกับปฏิเสธงานเลี้ยงที่ควรไปกับบิดา...
...อยากขับรถไปดูให้เห็นกับตานัก...
ไม่ทันที่จะได้ทำอะไรต่อไป ความคิดของชยุตม์ก็ถูกรบกวนด้วยเสียงโทรศัพท์ วิศวกรหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าคนโทรมาไม่มีทีท่าจะยอมวางสาย เขาจึงล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง แล้วยกขึ้นแนบหูอย่างเหม่อลอย
"ยุตม์ ผมกลับถึงกรุงเทพฯ แล้ว เป็นห่วงแทบแย่ พรุ่งนี้จะไปหานะ มีเรื่องจะคุยด้วย" เสียงของจักรินทร์ดังขึ้นทันทีที่ชยุตม์รับสาย
“มากี่โมง จะให้ผมไปรับไหม”
"เป็นอะไรไป ทำไมเสียงเหมือนจะขาดใจ โดนใครต่อยปากมา อ้าปากกว้างไม่ได้หรือยังไง"
"เปล่า" ชยุตม์ปฏิเสธ "ผมง่วงนอนเฉยๆ"
"งั้นก็รีบกลับบ้านเถอะ" จักรินทร์น้ำเสียงห่วงใย "ง่วงแล้วทำไมยังไม่กลับบ้านอีก"
...รู้ได้ยังไงว่าเขาอยู่นอกบ้าน...
"จักร" ชยุตม์เอ่ยขึ้นเสียงเบา
"เดี๋ยวนะ ผมกำลังจะผ่านอิมมิเกรชั่น" จักริณทร์บอกให้ชยุตม์รอ ระหว่างนั้น เขาได้ยินจักริณทร์พูดกับใครบางคนแล้วจึงกลับมาพูดกับเขาอย่างเร่งรีบ "ยุตม์ แล้วค่อยคุยกันเถอะนะ ง่วงแล้วก็รีบกลับไปนอนเถอะ ผมไม่โทรไปกวนอีกแล้วล่ะ ไว้คุยกันพรุ่งนี้เลย"
"เดี๋ยวสิจักร" ชยุตม์เรียกชายหนุ่ม จักริณทร์ถามว่าอะไรอีก ชยุตม์นิ่งไปชั่วครู่แล้วจึงพูดขึ้นว่า "คิดถึงผมไหมครับ"
คราวนี้คนที่นิ่งเงียบไปคือจักริณทร์ แม้เป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่ชยุตม์พอจะนึกภาพออกว่าจักริณท์คงทำหน้าแปลกๆ
...ตอนนี้เองที่เขาตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้ถามจักรินทร์ด้วยคำถามนี้เป็นระยะเวลาช่วงหนึ่งแล้ว...
"คิดถึงสิ แล้วยุตม์ล่ะ คิดถึงผมหรือเปล่า" จักริณทร์หัวเราะ แล้วบอกให้ชยุตม์รีบกลับบ้านพักผ่อน
...คิดถึง...
...คิดถึงบ้าง แต่ไม่ทุรนทุราย...
...ไม่รู้สึกทรมานเหมือนกับความรู้สึกตอนนี้ที่เขาจินตนาการภาพของคนสองคนที่กำลังยืนหรือเดินอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขาจอดรถอยู่...
...เมืองเล็กๆ แค่นี้ ขับรถหรือเดินไปไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว...
...โชคดีจะทำหน้าอย่างไร หากเขาเดินตรงเข้าไปหา แล้วบอกให้ผู้กองปฐพีถอยไป อย่ามายุ่งกับคนที่เขารัก...
...รัก...
...แน่ใจแล้วหรือว่ารัก...
...ชยุตม์ นายแน่ใจและพร้อมแค่ไหนที่จะรับมือกับพ่อตัวร้ายประจำจังหวัด...
...แล้วจักริณทร์ล่ะ จะทำอย่างไร...
******16*******

ขอบคุณที่อ่านนะครับ  :pig4:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-06-2009 08:26:06 โดย katawoot »

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
ดีจังที่วันนี้มาแต่เช้า ได้อ่านเพิ่มอีกตั้งหลายตอน

แค่จูบยังโดนขนาดนี้ ถ้าไปถึงขั้นนั้นจะโดนขนาดไหนเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
ยาวสะใจ แต่แอบสงสารพระเอกของเรา เฮ้อ...งานหนักเลย
โชคดีเฮี้ยวสุดๆ แถมหลอกตัวเองได้อีก
แต่ว่า...อ่านเรื่องพ่อแม่โชคดีแล้วงงงวย..สงสัยต้องไปอ่านใหม่อีกรอบเอิกซ์ซซซซซ  :z3:

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
คิคิ

พี่นาย หักห้ามใจ มาลงให้จนได้

ส่วนเรื่องนั้นอย่าหักโหมมากนะคะ

เด่วไปตามอ่านก่อน .. 

mecon

  • บุคคลทั่วไป
อุกรี๊ดดดดดดดดดด สามตอนรวดดดดดดดดดดดดด
ขอบคุณมากๆคะ  :กอด1:

หมูปิ้งเอ้ยโดนจู่โจมด้วยจูบแบบกะท้ันหันไม่ได้ตั้งตัวแบบนี้
คงอึ้งไปน่าดูเหมือนกันนะ แต่ตัวเองก็ชกนายช่างคืนแล้วหนิ
โกรธมากกกกกกเลยเหรอ หรือว่า กำลังโกรธที่ใจตัวเองก็ไม่รักดี
เหมือนกัน ถึงต้องทำประชดโดยการขอผู้กองคบแบบนี้อ่ะ  :z3:
ถ้านายช่างรู้คงหน้าชาหน้าดู เฮ้อออออทำไมเป็นแบบนี้นะ
หมูปิ้งจะลากผู้กองเข้ามาเจ็บทำไมเนี่ย รู้ว่าผู้กองเค้ารักเค้าชอบ
แต่ใจตัวเองไม่ได้คิดตาม แต่ตอนนี้อยากดึงเข้ามาให้วังวนรักสามเส้านี่ด้วย
เฮ้ออ สงสารผู้กองนะ ทำแบบนี้แลเหมือนหมูปิ้งจะมีใจให้ชัดๆ
รู้แบบนี้ นายช่างน่าจะทำมากกว่าจูบนะ แค่จูบยังลงโทษนายช่างด้วยการไปขอคบ
กับผู้กองเลย ถ้านายช่างทำมากกว่าจูบนี่ คงประชดมากกว่าแค่ขอผู้กองเป็นแฟนแน่ๆ
หมูปิ้งนะหมูปิ้ง ถึงตอนที่อยู่กับผู้กองจะน่ารักน่าหยิกอยู่หรอก ขี้งอนซะเหลือเกิน
เหมือนเด็กที่ต้องการเอาชนะด้วยการลากผู้กองมาเป็นพวกกับตัว ส่วนผู้กองก็นะ
ตามใจ เด็กดื้อคนนี้สารพัด เหอะๆ
ได้คบกับผู้กองเป็นแฟนจริงๆสมใจซ่งแล้วสิ แต่ว่าผู้กองจะรับรึป่าวเหอะ อืม..แต่ว่า
โอกาสแบบนี้ก็หาได้ยากนะนั่น ฉวยซะเลยเป็นไง

ส่วนนายช่างโดนคาบไปรับทานแบบนี้แล้ว เด๋วคงจะอึ้งหนักกว่าเก่าแน่ๆเหอะๆ
ก็เค้าเป็นแฟนกันแล้วหนิ จูบนั่นมันก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก

ส่วนเรื่องอดีต นี่มันงงนะ
โชคดี เป็นลูกของคุณชายอนิจรุจน์ หรือว่าอาของชยุตม์กันแน่แต่ทำไมคุณแม่ของนายช่าง
บอกว่า แม่โชคดีท้องหลังจากหายไป หงะ ปริศนานี้มึนมากกกกกก
แม่ชยุตม์เป็นแฟนเก่าของคุณชาย แล้วมาหลังรักท่างมท.หนึ่งได้ไง
แล้วทำไมถึงกลัวว่า ถ้าท่านมท.1 เห็นแม่โชคดีแล้วกัวว่าจะตกหลุมรักล่ะ หงะ มึนๆ งงๆ

ปล. o13 เยี่ยมมากๆคะ ยังบวกแต้มไม่ได้รออีกนิดนะคะ
ปล.1 คงไม่ต้องให้ครบ1000แล้วมั้งคนแต่งถึงจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนหนะ
ครึๆ

ออฟไลน์ ● MaYa~Boy ●

  • ฉันมันคนขี้อิจฉา
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-2

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
มาอย่างเยอะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเลยคับ แต่เรื่องอดีตนั้นยังคาใจอยู่เลย

ออฟไลน์ K2KARN

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3084
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +393/-6
กี๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซซ
แค่จูบ โดนขนาดนันเชียวรึ นายช่าง >w<
ร้ายเกินไปแล้วนะเนี่ย


แล้วนี่อะไรโชคดี !
จะมาคบกับผู้กอง โฮกกกกกกกกกกกกกกก
ไม่ย๊อมมมมมมมมมมมมมมม
ให้ผู้กองไปกับจักรโน่นนน !

katawoot

  • บุคคลทั่วไป
17

เลิกงาน ชยุตม์แวะไปหาโชคดีที่บ้าน ตั้งใจจะไปขอโทษ พงษ์บอกว่าโชคดีไปเชียงใหม่ ชยุตม์จึงขับรถกลับบ้านอาบน้ำและเตรียมตัวไปรับจักริณทร์ที่สนามบิน ขณะที่รถกำลังจะผ่านสะพานข้ามแม่น้ำนึกถึงครั้งที่โชคดีรถเสียอยู่กลางสะพาน ใบหน้าดุๆ ของชายหนุ่มผุดขึ้นมาในความคิด ชยุตม์จอดรถ เดินไปหยุดยืนมองทัศนีภาพรอบๆ เพื่อปล่อยใจให้ล่องลอย แต่ครั้นก้มลงมองสายน้ำเบื้องล่างก็ต้องแปลกใจระคนดีใจที่โชคดีกำลังนั่งขว้างก้อนหินลงน้ำอยู่คนเดียว
...สงสัยคิดว่าก้อนหินเป็นใบหน้าของเขา...
ชยุตม์เดินลงไปหา พยายามทำเสียงให้ค่อยที่สุด จนกระทั่งเข้าไปใกล้ โชคดีจึงรู้สึกตัว ชายหนุ่มหันมามอง “ผู้ทำลายความเงียบ” ด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนจะหันกลับไป ทำเสมือนว่ายังนั่งอยู่คนเดียวเช่นเคย
“ผมมาขอโทษ” ชยุตม์เอ่ยขึ้นเสียงเบา “ผมรู้ว่าคุณโกรธ ผม...”
“ผมไม่สนใจหรอก ถือเสียว่าให้ทานคนเก็บกด” โชคดีตอบเสียงห้วน หยิบก้อนหินก้อนใหญ่ โยนลงไปในน้ำดังตูม
“ผมทำผิด ผมก็ต้องขอโทษ”ชยุตม์ให้เหตุผล
“ไม่ได้เจอแฟนมานานก็คงอยากปลดปล่อยอารมณ์หื่น กลางวันแสกๆ กลางแจ้งริมแม่น้ำก็ไม่เว้น”
“เช้าตรู่ต่างหาก” ชยุตม์แก้ให้ถูก
ได้เรื่อง โชคดีหันขวับมามองชยุตม์ตาลุกโชน ทำเหมือนจะกระโจนเข้ามาขย้ำคอวิศวกรหนุ่มหน้านิ่งแล้วพูดว่า “ถ้าคุณไม่เลิกกวนใจผม ระวังเจ็บตัวนะ คราวนี้ผมจะไม่ยั้งมือ”
“อ๋อ เมื่อวานคุณยั้งมือหรอกหรือ ปากผมถึงได้บวมเจ่อ โหนกแก้มช้ำ ต้นคอได้แผลเลือดซิบๆ แบบนี้” ชยุตม์ประชด “รอยที่ฝากเอาไว้นี่ยังไม่พอหรือไง”
“ถ้าไม่ยั้งได้เบ้าตาแตกไปแล้ว”
“เอาอีกสิ ให้จมูกผมหักไปเลย เลาะฟันอีกซักสองสามซี่ดีไหม”
“อย่าท้านะ”
“ผมไม่ได้ท้า ผมเอาจริง” ชยุตม์เอามือไพร่หลัง ก้มตัว ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “เอาให้เละคามือสมใจ คุณคงอยากจะตะบันหน้าผมมาตั้งนานแล้ว”
โชคดีหันหน้าหนี นิ่งเงียบไม่ตอบโต้ต่อ เวลาผ่านไปชั่วครู่ ชายหนุ่มจึงถามชยุตม์ด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่ามายุ่งกับเขาทำไม
“ตัวเองก็มีแฟนอยู่แล้ว ทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยาก”
“ผมห้ามใจตัวเองไมได้” ชยุตม์พูดขึ้นมาเบาๆ ส่งผลให้โชคดีนิ่งเงียบต่อไปอีกนานหลายอึดใจ
“ในเมื่อหัวใจเรียกร้อง ผมก็ไม่อยากฝืน”
“อารมร์หื่นเรียกร้องต่างหาก”
“คุณคิดยังไงครับ เกลียดผมจนเข้ากระดูกดำหรือยังไง รู้สึกยังไงทำไมต้องเก็บงำเอาไว้” ชยุตม์ถาม
“คุณคิดจะพูดอะไร บอกมาตรงๆ เลยดีกว่า” โชคดีถามเสียงเข้ม “เลิกอ้อมค้อมได้แล้ว”
“คุณชอบใคร ชอบผู้กองปฐพีหรือคุณทรงศักดิ์” ชยุตม์ถามไปตรงๆ อย่างที่โชคดีต้องการ แต่เขาก็รู้อยู่ว่า ตัวเองก็ยังไม่ “ถามตรงเป้า” ถึงที่สุด
...คุณชอบผมหรือเปล่า...นี่คือคำถามที่เขาอยากถาม
ทั้งที่บอกให้อีกฝ่ายเลิกอ้อมค้อม แต่โชคดีก็ไม่ตอบชยุตม์ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบก้อนหินขึ้นมาหลายก้อน แล้วขว้างลงน้ำพร้อมกัน
“ตอบมาสิครับ รู้สึกยังไง” ชยุตม์เร่งเมื่อเห็นว่าโชคดีเงียบนานจนเกินไป
...ไม่รู้หรือไงว่าเขาชอบใคร ถามอยู่ได้...
โชคดีเม้มปาก อยากจะหันไปมองหน้าชยุตม์แต่ก็ฝืนเอาไว้ อยากจะเห็นแววตาของคนที่กำลังถามคำถามเขา แต่ไมทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เขากลับรู้สึกไม่กล้าหันหน้าไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
..."เรารักโชคดี จะบอกว่าไม่อยากฟังเราก็จะพูด ในเมื่อหัวใจมันเรียกร้อง เราก็ไม่อยากทรยศหัวใจตนเอง"...
คำพูดของทรงศักดิ์ตอนที่ขอความรักเขาดังขึ้นมา โชคดีเผลอถอนหายใจเบาๆ แล้วพึมพำเสียงค่อยว่า “คุณจะรู้ไปทำไม”
...ก็แล้วตัวเองล่ะ รู้สึกยังไงทำไมไม่พูดออกมา...
..."รักแล้วแสดงออกมามันผิดตรงไหน รักและเก็บงำเอาไว้สิไม่ควรทำ”...
...ซ่ง ทำไมต้องมาพูดกับเขาแบบนี้นะ...
โชคดีนึกถึงสิ่งที่ทรงศักดิ์พูดอีกครั้ง ในใจสับสนเป็นยิ่งนัก เขาอยากจะตรงไปตรงมาและเปิดเผยเหมือนกันทรงศักดิ์ คนบอกว่าเขาเป็นคนตรงไปตรงมา ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น แต่พอชยุตม์มาถามแบบนี้ เขากลับไม่รู้จะพูดอะไร
โชคดีลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งบนโขดหินใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ชยุตม์ไม่ลดละ เดินตามไปยืนอยู่ใกล้ๆ กำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่โชคดีหันหน้ามาเสียก่อนแล้วห้ามว่า “อย่าพูดอะไรให้อารมณ์เสียนะ”
...ชยุตม์กำลังทำให้เขาหวั่นไหว สายตาคู่นั้นกำลังทำให้เขาจะแพ้ตัวเอง...
“ครับ” ชยุตม์รับคำสั้นๆ แล้วยืนนิ่ง มองชายหนุ่มที่นั่งชันเข่าอยู่บนโขดหินใหญ่
ภาพของโชคดีทำให้เขามองไม่เบื่อ ฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีม่วงแดงเหนือลำน้ำคดเคี้ยวที่กำลังไหล่เอื่อยๆ แสงสีทองของพระอาทิตย์ตกดินส่องกระทบเสี้ยวหน้าด้านข้างของชายหนุ่มเป็นภาพที่ตรึงตาตรึงใจเขายิ่งนัก
“คุณรู้หรือเปล่า ผมรักแม่น้ำสายนี้มาก ตั้งแต่เป็นเด็กเรียนมัธยมปลาย ผมมานั่งตรงนี้บ่อยๆ ผมรักที่นี่ ไม่เคยคิดจะจากที่นี่ไปเลย แม้แต่จะเข้าไปเที่ยวในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ก็ไม่เคยคิด”
“ผมรู้ว่าคุณรักน่านมาก” ชยุตม์พูดเสียงนุ่ม
“เราควรจะรักที่ที่เราอยู่”
“ผมรักที่ที่ผมกับคนที่ผมรักอยู่ด้วยกัน”
“คุณจักริณทร์เป็นคนดี เจอแค่ไม่กี่ครั้งช่วงสั้นๆ ก็รู้ว่าเป็นคนดี” โชคดีพูดเสียงอ่อนโยน ซึ่งชยุตม์แทบไม่เคยได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้มาก่อน สิ่งที่ชายหนุ่มพูด ทำให้เขานึกถึงเมื่อครั้งที่พี่ชายพูดถึงผู้กองปฐพี
...จักริณทร์กับปฐพีเป็นดีในสายตาของโชคดี แต่เขาเป็นคนไม่ดียังงั้นสิ...
“แต่ผมเป็นคนไม่ดีใช่ไหม คุณเลยไม่ชอบหน้าผม เจอมาตั้งหลายเดือน คุณก็ยังเห็นผมเป็นบุคคลน่ารังเกียจ” น้ำเสียงชยุตม์น้อยใจ
“ใครบอก” โชคดีพึมพำ
“อะไรนะครับ”ชยุตม์โน้วตัวเข้าไปหา เอียงหูเข้าไปใกล้เพราะไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดชัดเจน
“เปล่า”
“ถ้ายังงั้นผมก็ไม่รบกวนคุณแล้ว”ชยุตม์ขยับตัว
...ของอนหน่อยเถอะ ดูซิว่าโชคดีจะมีปฏิกิริยาอย่างไร...
“ไม่ได้ไล่นะ” โชคดีพูดเบาๆ ตายังมองไปอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ
...ลองพูดว่า “อย่าเพิ่งไปเลยครับ” สิโชคดี ถ้าคุณพูดออกมา ผมจะนั่งลงเดี๋ยวนี้...
ชยุตม์ถอนหายใจแล้วหันหลังเดินจากไปช้าๆ ในใจก็ลุ้นว่าจะได้ยินโชคดีพูดอะไรอย่างที่อยากจะให้พูดหรือไม่ จนเขาก้าวขึ้นเนินแล้ว โชคดีก็ยังเงียบ แอบหันไปมองก็เห็นนั่งกอดเข่านิ่งเหมือนรูปปั้น ชยุตม์หมดความอดทน หันหลัง เดินกลับมาที่เดิม แล้วยืนพิงโขดหินที่โชคดีนั่งอยู่
“ไหนว่าจะไปแล้ว” คนที่นั่งนิ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะๆ
“ผมเปลี่ยนใจ” ชยุตม์พูดเบาๆ มองไปยังพระอาทิตย์สีทองดวงกลมโตที่กำลังคล้อยต่ำลง
“หลายใจ” โชคดีพึมพำ นั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมไม่กระดุกกระดิก
ชยุตม์ไม่ตอบ เพียงหลุบตาลงมองคนที่นั่งนิ่งเป็นหุ่น แล้วหันกลับไปมองอาทิตย์อัสดงเช่นเดิม
...ก็ยังดีกวาคนที่ไม่ยอมรับสิ่งที่ใจตนเองเรียกร้อง...
วิศวกรหนุ่มพูดอยู่ในใจ แทนที่จะเอ่ยออกมา ตอนนี้เขาไม่อยากทำลายบรรยากาศ การได้ยืนนิ่งๆ อยู่เกือบแนบชิดกับโชคดีในบรรยากาศเงียบสงบเช่นนี้หาไม่ได้ง่ายๆ ตอนนี้เขาอยากให้โลกหยุดหมุน เวลาหยุดนิ่ง แล้วซึมซับเอาไว้ในความทรงจำ
...จะดีเพียงใดนะ หากได้ยืนกอดกัน เขาอยากกอดโชคดีอีกสักครั้ง คราวนี้กอดจริงๆ อยากจะรู้ว่าตัวจะอุ่นเพียงใด สองครั้งที่ได้แตะเนื้อต้องตัวนั้นเป็นการ “คลุกวงใน” ที่ล้มกลิ้งลงน้ำอย่างไม่เป็นท่า เปียกปอนกันทั้งสองครั้งสองครา ครั้งแรกโดนกระแทกไปหนึ่งครึ้ง แต่ครั้งที่สองโดนทั้งมือทั้งเล็บ ศอกเข่าประเคนมาหมด...
...ครั้งที่สามล่ะ ขอดีๆ สักครั้งได้ไหมครับโชคดี...
...ตอนนี้กำลังสงบ ลองสอดมือเข้าโอบเอวแบบนุ่มนวล แล้วดึงโชคดีมาอิงกับอก โชคดีวางศรีษะลงบนอกกว้างของเขา ยกมือขึ้นจับท่อนแขนของเขาเอาไว้ แล้วยืนนิ่งๆ...
ชยุตม์อมยิ้ม ได้แต่คิดในใจ เขายอมรับว่ายังไม่กล้า หากโดนถีบ โดนต่อยและล้มลงไปคงเสี่ยงหัวแตกเพราะรอบๆ เป็นก้อนหินทั้งนั้น วิศวกรหนุ่มจึงได้แต่ยืนมองไปข้างหน้าด้วยใบหน้ายิ้มๆ ไม่ได้สังเกตว่าคนที่นั่งกอดเข่าอยู่ ช้อนตาขึ้นมามองด้วยสายตาขวางๆ ราวกับจะบ่นว่า “คนอะไร ยืนยิ้มอยู่ได้”

จักริณทร์หันไปมองคนที่เดินกระหือกระหอบเข้ามาในร้านอาหารแล้วหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้ายิ้ม ชยุตม์ลืมไปรับเขาที่สนามบิน โทรศัพท์หาเท่าไหร่ก็ไม่ติด โชคดีขณะที่ยืนรอรถรับจ้างเพื่อเข้าเมือง เสียงโทรศัพท์ของปฐพีก็ดังขึ้น เขาเลยได้นั่งรถตำรวจเข้าเมือง แถมด้วยอาหารค่ำฟรีหนึ่งมือโดยร้อยตำรวจเอกปฐพีเป็นเจ้าภาพ
“จักร ผมขอโทษ” ชยุตม์พูดขึ้นทันทีที่เดินถึงโต๊ะอาหาร
“ลืมละสิ” จักรินทร์ยิ้ม แล้วเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วเมื่อเห็นรอยช้ำบนใบหน้าของอีกฝ่าย
“ไปต่อยกับใครมา”
“เปล่า” ชยุตม์ตอบ แล้วหันไปขอบคุณปฐพีที่ช่วยไปรับจักริณทร์
“ใต้คางเหมือนโดนข่วนด้วยนะ” จักริณทร์ทัก “ไม่เคยเห็นยุตม์มีเรื่องทะเลาะอะไรกับใครจนต้องลงไม้ลงมือ”
“อุบัติเหตุที่ทำงาน” ชยุตม์พูดเสียงอุบอิบแล้วพยายามชวนปฐพีคุยเรื่องอื่น นายตำรวจหนุ่มมองชยุตม์อย่างครุ่นคิด ในใจนึกไปถึงคนที่เพิ่งขอคบกับเขาเป็นแฟน แต่พอขอเป็นแฟนแล้ว วันถัดมา ก็หายหน้าไปเฉยๆ อีกครั้ง
...เกิดอะไรขึ้นระหว่างชยุตม์กับโชคดี และรอยที่อยู่บนหน้าของชยุตม์นั่นน่ะ ตอนนี้เริ่มจะมั่นใจแล้วว่าต้องเป็นโชคดีที่เป็นคนฝากเอาไว้...
“ผมจะอยู่แค่สองสามวัน แล้วต้องกลับไปทำงาน คราวนี้บินใกล้ๆ อีกไม่กี่วันก็ว่างอีก ตอนนี้เศรษฐกิจโลกไม่ค่อยดี บริษัทลดเที่ยวบินลง สบายไปเลย” จักริณทร์เล่ายิ้มๆ “ตอนแรกจะมาตอนที่ชยุตม์หายตัวไป แต่ว่าผู้กองบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง”
...ไปบอกกันตอนไหน ปฐพีโทรไปบอก หรือจักริณทร์โทรมาถาม...
ชยุตม์สบตากับปฐพีแวบหนึ่ง แล้วหันไปเรียกพนักงานร้านอาหาร ในใจสงสัยว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างจักริณท์กับปฐพี
...ดีสิ ตัวแปรสองคนจะได้หายไป เรื่องของเขากับโชคดีจะได้ง่ายขึ้น ส่วนตี๋หน้าจืดคนนั้นเขาไม่ค่อยกังวลใจเท่าใดนัก...
“ผมโทรไปถามที่บ้าน คุณแม่ยุตม์เลยให้คุยกับผู้กอง” จักริณทร์อธิบาย
...แล้วนี่จักรจะพักกับผมหรือจวนผู้ว่าราชการ...
ชยุตม์ยิ้ม นึกถามคำถามอยู่ในใจ รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย บอกไม่ถูกว่าทำไมตัวเองถึงคิดอยากจะถามจักริณทร์เช่นนั้น
...หากโชคดีรู้ว่าจักริณทร์มาหาเขาที่น่าน จะทำหน้าอย่างไรนะ โชคดีก็คงเข้าใจว่า เมื่อจักริณทร์มาหา ก็หมายความว่าพักบ้านเดียวกัน ห้องเดียวกัน นอนเตียงเดียวกัน...
...ทำไมตอนนี้เขาแคร์ความรู้สึกของโชคดีเหลือเกิน...
...นี่เขาเปลี่ยนใจจากจักริณทร์แล้วเช่นนั้นหรือ...

ชยุตม์เดินออกมาจากห้องน้ำ เช็ดตัวให้แห้ง แล้วมองหาจักริณทร์ ทันที่ที่กลับถึงบ้าน จักริณทร์ก็ตรงเข้าไปอาบน้ำอยู่เป็นนานสองนาน
ขณะที่กำลังถูสบู่ เขารู้สึกเจ็บชายโครง พอก้มลงมองก็เห็นว่ามีรอยช้ำที่ไม่ได้สังเกตเห็นมาก่อน เลยนับจำนวน “รอย” ที่โชคดีฝากไว้ให้เพิ่มขึ้นมาได้อีกหนึ่งรอย
...อีกหน่อยรอยฟกช้ำเหล่านี้ก็จะหายไป แผลมุมปากกับใต้คางก็จะหาย แต่รอยประทับบนริมฝีปากกลับรู้สึกร้อนผ่าวไม่เคยจาง...
...นี่หรือคือรอยรัก...
...แรกที่เขากับจักริณทร์รู้จักกัน รอยจูบก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกได้ถึงขนาดนี้ สงสัยคงเป็นเพราะรู้จักกันได้ไม่ถึงอาทิตย์เขากับจักริณทร์ก็มีอะไรกัน ความสัมพันธ์ไม่หวือหวา ตื่นเต้น ท้าทาย เพราะเหตุนี้หรือ รสจูบถึงได้ต่างกัน...
...เรื่องแบบนี้ทำไมเข้าใจได้ยากเหลือเกิน...

จักริณทร์อยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน ขดตัวอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ เหม่อมองออกไปยังความมืดข้างนอก แต่ครั้นชยุตม์เดินออกไป ชายหนุ่มก็หันมามองยิ้มๆ ราวกับว่าไม่ได้นั่งเหม่อ
“อากาศดีจังเลย ผมชักจะอิจฉายุตม์แล้วนะเนี่ย”
“งั้นก็ย้ายมาอยู่เลยสิ ซื้อที่ดินซักผืน สร้างบ้านหลังเล็ก” ชยุตม์แนะนำ
“ให้มาอยู่เลย หรือมาพักผ่อนตากอากาศ”
“ไม่ใช่ทะเล มาตากอากาศได้ยังไง” ชยุตม์ยิ้ม แล้วนั่งลงข้างๆ
“อยากมาอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ” จักริณทร์ถาม แล้วเอนตัวมาพิงไหล่ของอีกฝ่าย
ชยุตม์แอบถอนหายใจเบาๆ คำถามของจักริณทร์ทำให้เขาอึ้ง ไม่รู้จะตอบอย่างไร เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน จนกระทั่งวันนี้ ที่ริมน้ำใต้สะพานที่เขายืนอยู่กับโชคดี และตอนนี้ ขณะที่จักริณทร์กำลังนั่งพิงเขาอยู่
...“คุณรู้หรือเปล่า ผมรักแม่น้ำสายนี้มาก ตั้งแต่เป็นเด็กเรียนมัธยมปลาย ผมมานั่งตรงนี้บ่อยๆ ผมรักที่นี่ ไม่เคยคิดจะจากที่นี่ไปเลย แม้แต่จะเข้าไปเที่ยวในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ก็ไม่เคยคิด”...
คำพูดของโชคดียังดังก้องอยู่ในความคิด โชคดีบอกว่ารักเมืองน่านมาก ไม่เคยคิดที่จะย้ายไปอยู่ที่อื่น
...แล้วเขาล่ะ อีกไม่นานการก่อสร้างรีสอร์ทก็จะเสร็จ โปรเจ็คใหญ่ของเขากำลังรออยู่ที่ไต้หวัน แม้พ่อของเขาจะพยายามชวนให้เขารับงานที่เชียงใหม่ แต่ยังไงๆ การก่อสร้างก็จะเสร็จแล้วเขาก็จะต้องรับงานโครงการใหม่ๆ ต่อไปและเดินทางไปทำงาน ไม่ต่างจากจักริณทร์ที่ต้องขับเครื่องบินไปทั่วโลกเท่าใดนัก...
...รับงานสร้างหมู่บ้านจัดสรร สร้างโกดัง สร้างอาคารพาณิชย์ตามอำเภอ หรือจังหวัดต่างๆ ในแถบภาคเหนือก็ได้...
...วิศวกรที่เคยสร้างตึกสูงกว่าร้อยชั้นหลายตึกในเมืองใหญ่ๆ หลายประเทศ สร้างศูนย์ประชุม สร้างอะไรต่ออะไรที่ใช้โทคโนโลยีล้ำสมัย ต้องกลายมาเป็นโฟร์แมนสร้างบ้านเหมือนที่โดนโชคดีดูถูกหรือนี่...
...ทำไมรู้สึกว่าโลกของเขากับโลกของโชคดีเหมือนเป็นคนละโลก และท้ายที่สุดจะเป็นเหมือนกับที่กำลังเกิดขึ้นอยู่กับจักริณทร์เช่นนั้นหรือ จักริณทร์เดินทางบ่อย เขาก็ทำงานตามที่ต่างๆ อยู่บ่อยๆ พอห่างกันก็รู้สึกเนือยๆ ความสัมพันธ์ก็เริ่มจืดจาง...
“ถามแค่นี้ต้องคิดนานขนาดนี้เลยหรือยุตม์” จักริณทร์ถามขึ้นมาเสียงเบา
“เปล่า”
“พักหลังคุณพูดว่า เปล่า บ่อยขึ้นนะ” จักริณทร์อมยิ้ม “ขี้เกียจคิดหาคำตอบขนาดนั้นเลยหรือ”
ชยุตม์ส่ายหน้าแทนคำตอบที่หากเขาจะตอบแล้วก็คงพูดว่า “เปล่า” อีกครั้ง ก่อนจะชวนจักริณทร์เข้านอนเพราะเห็นว่าเดินทางมาเหนื่อย
“ไม่เหนื่อยหรอก พอเครื่องลงผมก็นอนหลับเป็นตายเกือบสิบห้าชั่วโมง ตอนนี้ยังไม่ง่วง ยุตม์ไปนอนก่อนนะ พรุ่งนี้ต้องทำงาน แล้วนี่ก็เห็นท่าทางจะไม่ไหวแล้ว” จักริณทร์ดันตัวออกห่าง “ไปชกต่อยกับคนทำไมก็ไม่รู้ ไปนอนเถอะไป๊”
ชยุตม์ไม่ขัดขืน ลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วบอกจักริณทร์ว่าอย่านอนดึกมากนัก ก่อนจะทิ้งท้ายว่าพรุ่งนี้เขาจะรีบกลับจากทำงานเพื่อพาจักริณทร์ไปเที่ยว
“ไม่ต้องหรอก ทำงานให้สบายใจเถอะ ไม่ต้องรีบกลับ ผู้กองจะพาไป คุยกันไว้แล้ว” จักริณทร์พูดยิ้มๆ “หึงหรือเปล่า”
“ควรหึงไหมล่ะ”
“ไม่ควร” จักริณทร์ส่ายหน้า “ผู้กองมีไมตรีให้แบบเพื่อน เขาเห็นว่าผมเป็นแขก มาเยี่ยมเมืองน่าน ก็อยากต้อนรับในฐานะคนรู้จักกัน ส่วนยุตม์ เป็นแฟน ต้อนรับที่บ้านก็พอแล้ว”
ชยุตม์ไม่ตอบว่าอะไร มองใบหน้ายิ้มๆ ของจักริณทร์แล้วเดินเข้าไปในบ้าน นึกถึงคำพูดของโชคดีเมื่อตอนบ่ายแล้วต้องถอนหายใจ
...จักริณทร์เป็นคนดี ทำไมเขาจะไม่รู้...
...คนดีอย่างจักริณทร์ ควรจะคู่กับคนดีอย่างผู้กองปฐพี...
...ส่วนตัวร้ายอย่างโชคดี ควรจะคู่กับเขา ถ้าจะมีใครปราบโชคดีได้ ก็น่าจะเป็นเขานี่ล่ะ...
***********************

::::คำคมวันนี้:::::::รักคือความอดทน >>>>> ผมยอมให้คุณนั่งตัก แม้คุณตัวหนัก ผมก็ยอมทน::::::::::::

แฟนใคร หล่อจัง นึกถึงผู้กองปฐพีขึ้นมาทันทีเลยอ่ะ  :z1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-06-2009 10:01:11 โดย katawoot »

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
งึ่มๆๆๆๆอีกนิดเดียวจริงๆ ชอบฉากริมแม่น้ำจัง
แอบอยากให้สวีทหวานมากกว่านี้ ....เฮ้อ


ปล.ใครไม่งงเรื่องพ่อของโชคดีมาอธิบายสรุปๆให้ฟังหน่อยค่ะ....อิฉันงงงวย... :sad4:

mecon

  • บุคคลทั่วไป
เฮ้ออออออออออ หมูปิ้งคิดเยอะ คิดมาก คิดมายไปทำไมกันนะ
คิดมากขนาดมาปล่อยวิเวก โยนหินถมแม่น้ำซะอย่างงั้น
แต่นายช่างอ่ะ หมูปิ้งพูดเปิดทางแหวกออกซะขนาดนั้นแล้ว
ถ้ามีใจให้กันก็ร้ากกกกกกกกกกันได้ หมูปิ้งแค่ต้องการคนโฉดๆ เอ้ย คนโสดๆ
ที่ไม่มีพันธะใดๆ แล้วที่สำคัญพร้อมที่จะสละทุกสิ่งอย่างมาอยู่ที่น่านกับเค้า
ก็เท่านั้น
หมูปิ้งโดนรุกสเต็ปง่ายๆ ใจก็อ่อนยวบแล้วเห็นมั๊ย นายช่างทำอะไรให้มันเคลียร์นะ
 :กอด1: รักหมูปิ้ง (เป็นครั้งแรกที่รู้สึกแบบนี้ 55555)
ปล. +1 จัดให้งามๆคะ คุณคฑาวุธ ขยันสุดพลัง

kaewpoo

  • บุคคลทั่วไป
 :laugh: นายช่างบอกไปเลย ผมรักหมูปิ้ง  :laugh:-------> ผลคือโดนต่อยเหงๆๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด