คิดถึงผู้อ่านจนทนไม่ไหว ก็เลยแอบเขียนต่ออีกบทให้อ่านครับ ไม่รู้จะมีใครคิดถึงและเป็นกำลังใจให้คนเขียนหรือเปล่าน๊อ
บทที่ 13
ชยุตม์จอดหน้าร้านโชคดีค้าเหล็กแล้วนั่งมองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจแรงๆ แล้วลงจากรถเดินไปยังหน้าร้าน กว่าจะเขาจะปลีกตัวออกมาจากจวนผู้ว่าราชการได้ก็แทบแย่ เมื่อวานเขาถูกมารดาบังคับให้นอนพักผ่อนและไม่ให้ออกไปไหนทั้งวัน ทั้งแขกผู้ใหญ่หลายคนในจังหวัดต่างก็มาเยี่ยมเยือน พ่อของเขาก็กักตัวเขาไว้ให้คุยกับคนนั้นคนนี้จนเขาปวดหัวไปหมด รวมถึงถกกันเรื่องการก่อสร้างรีสอร์ทของคุณอาของเขาด้วย
เช่นเคย พ่อของเขากับคุณอาเถียงกันทุกครั้งเมื่อคุยกันเรื่องธุรกิจ พ่อพยายามจะดึงตัวเขาไปทำงานให้โครงการมหาวิทยาลัย แต่คุณอาของเขาไม่ยอม แม่ของเขาก็พยายามจะให้เขากลับเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ
“ผมจะพักอีกซักครึ่งปี เสร็จงานคุณอา ผมจะพักร้อนแบบพักร้อนจริงๆ คืออยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร ไปเที่ยวให้หายเหนื่อย” ชยุตม์ยื่นคำขาด
“แล้วแกตกลงจะทำงานช่วยพ่อหรือเปล่า” พ่อของเขายังไม่ยอมละความพยายาม
“ขอเวลาผมคิดก่อนนะครับพ่อ” ชยุตม์ตอบ “ถ้าพ่อให้ผมพัก ผมก็สัญญาว่าจะคิดเรื่องนี้ให้มากๆ และก็อาจจะไม่ปฏิเสธ แต่ผมต้องคุยกับทางใต้หวันก่อน”
คุยกับพ่อเขานั้นยากที่สุด รองลงมาคือพี่ชายคนโต สองคนนั้นถ้าต้องการอะไรแล้วก็จะเอาให้ได้ ทว่า ยากขนาดไหนเขาก็พอรับมือได้ แต่คนที่เขากำลังจะไปพบนี่สิ...
...หนักใจจริงๆ เลย...
ร้านเงียบ ไม่คึกคักอย่างที่ชยุตม์คาด บรรยากาศต่างจากที่จวนผู้ว่าฯ โดยสิ้นเชิง น้าพงษ์ยืนตรวจนับสินค้าอยู่เงียบๆ คุณเตือนใจยืนอยู่ไม่ไกลนัก กำลังคุยอยู่กับชายหนุ่มหน้าอ่อนนัยน์ตาเรียวเล็ก
พงษ์มองเห็นชยุตม์ก่อนจึงรีบเดินเข้ามาทักทาย คุณเตือนใจหันตาม พร้อมๆ กับชายหนุ่มที่เขาจำได้ว่าเป็นคนที่แอบชอบโชคดีอยู่ สายตาคู่นั้นไม่เป็นมิตร มองเขาเหมือนเด็กกลัวจะถูกแย่งของเล่น
“คุณโชคดีอยู่ข้างบนครับ แต่ว่า...” พงษ์ทำอึกอัก แล้วก็หยุดพูดเมื่อคุณเตือนใจเดินมาใกล้
“พงษ์ ไปตามโชคดีมาพบนายช่างหน่อยเถอะ” คุณเตือนใจสั่ง พงษ์ทำหน้าแปลกใจแล้วเดินจากไปเงียบๆ
คุณแม่ของโชคดีเชิญให้ชยุตม์ไปนั่งรอในห้องทำงาน แต่ชยุตม์ขอนั่งรอที่ม้าหินอ่อนหน้าร้าน บอกว่าอากาศสดชื่นกว่า
“คุณพ่อกับคุณแม่กำลังยุ่งอยู่ครับ แต่ท่านบอกว่าจะหาเวลามาขอบคุณที่ช่วยกันออกตามหาผม”
“ตามหานายช่างกับโชคดีต่างหาก ไม่ต้องมาขอบคุณกันหรอก ท่านก็ออกตามหาด้วยเหมือนกัน ไม่ได้อยู่เฉยๆ เลย จะว่าไป หากไม่ได้ท่าน เราก็อาจจะเจอกันนายช่างกับโชคดีช้ากว่านี้ด้วยซ้ำ”
เตือนใจใม่อยากให้ท่านรัฐมนตรีฯ มาที่ร้านพร้อมกับคุณหญิงเพียงฤดี เธอไม่อยากให้อดีตหวนกลับมาอีก สิ่งที่ต้องการลืม เธอต้องการฝังมันไว้ แต่เธอก็ยอมรับเช่นกันว่า คนเราจะฝืนความจริงไม่พ้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
เธอไม่ได้พบกับเพียงฤดีนานมากแล้ว นานเกือบจะพอๆ กับอายุของโชคดี แต่แวบแรกที่มองเห็น เธอก็จำเพียงฤดีได้ ภาพอดีตที่เคยเลือนจางกลับเด่นชัดขึ้นมาราวปฏิหารยิ์
...เมื่อเธอจำเพียงฤดีได้เพียงแวบแรกที่เห็น ฝ่ายนั้นก็คงจำเธอได้เช่นกัน เพียงฤดีไม่มีวันลืมเธอเด็ดขาด ไม่มีทาง...
ไม่นานพงษ์ก็เดินเข้ามาบอกว่าโชคดีนอนหลับไปแล้ว ทรงศักดิ์หันมายิ้มเยาะให้ชยุตม์แล้วขอตัวกลับ ชายหนุ่มเข้าใจว่าโชคดีไม่ยอมลงมาพบชยุตม์เพราะคุยกับเขาเสร็จแล้วขึ้นห้องไปเมื่อไม่นานนี่เอง
ชยุตม์รอจนทรงศักดิ์เดินห่างออกไปแล้วจึงพูดกับคุณเตือนใจว่าต้องการมาขอโทษโชคดี
“ผมคิดว่าคุณโชคดีคงโกรธเพราะรู้ว่าผมเป็นลูกใคร”
“ไว้ดิฉันจะช่วยคุยให้” คุณเตือนใจพูดเสียงอ่อนโยน “โชคดีเป็นคนมีเหตุผล แม้ดูร้ายๆ อย่างนั้นแต่ก็เป็นคนมีเหตุผล นายช่างอย่าเพิ่งหนักใจเลย”
...โกรธจนหูอื้อสิไม่ว่า ลองได้เงียบสนิทแบบนี้ ต่อให้เธอพูดจนปากฉีก ลูกชายคนเดียวของเธอก็ไม่ฟัง...
“ขอบคุณครับ แต่ผมก็ยังอยากจะอธิบายด้วยตัวเอง”
“รอซักหน่อยเถอะค่ะนายช่าง” คุณเตือนใจแนะนำ “น้ำกำลังเชี่ยว”
ชยุตม์กล่าวขอบคุณและอำลาคุณเตือนใจและพงษ์แล้วเดินไปขึ้นรถ เงยหน้าขึ้นมองชั้นบนของร้านโชคดีค้าเหล็กอยู่ชั่วครู่แล้วถอนหายใจแรงๆ อีกครั้งหนึ่งก่อนจะขับรถออกไป
...โชคดีต้องโกรธเขามาก ตั้งแต่ขึ้นเรือแล้วก็ไม่มองหน้าเขาอีกเลย พอเรือช่วยเหลือมาถึงฝั่งก็รีบลงเรือแล้วเดินลิ่วๆ หายไปทันที...
...ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ กำลังไปกันได้ดีอยู่แล้วเชียว เขายังนึกขอบคุณน้ำป่าด้วยซ้ำที่ทำให้เขากับโชคดีไปติดอยู่ที่กระท่อมปลายดอย แต่ตอนนี้...
...ตอนนี้ในหัวใจเขาร้อนรุ่มยิ่งนัก...
...หรือนี่เรียกว่ารัก...
...เขารักโชคดีเข้าแล้วหรือนี่ ใครก็ได้ช่วยบอกที...
...ร้ายซะขนาดนี้ รักเข้าไปได้ยังไง...
...วันนี้เป็นไงเป็นกัน เขารอไม่ได้แล้ว ยังไงเขาก็จะตกลงกับโชคดีให้ได้ ชยุตม์ก็หลุดจากวงโคจรไปแล้ว ไม่มีใครเป็นอุปสรรค ขอเพียงแต่โชคดีใจอ่อน ความรักของเขาก็จะสมหวัง...
ทรงศักดิ์สูดลมหายใจลึกๆ เดินเข้าไปหาโชคดี แม้จะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่เขาก็อดประหม่าไม่ได้ วันนี้เขาตามหาโชคดีมาทั้งวันจนมาเจอตัวเอาตอนบ่าย
โชคดีปรายตามองเขาแวบหนึ่งแล้วหันไปมองไซท์ก่อสร้างรีสอร์ทเจ้าปัญหาต่อ มือไขว้หลัง หย่อนขาซ้ายเล็กน้อย ท่าทางผ่อนคลาย
"โชคดี" ทรงศักดิ์เรียกชื่อคนที่เขาหลงรักมาตลอด แล้วไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ เงยหน้ามองโชคดีด้วยสายตาหลงไหล
...บางทีเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมหลงรักโชคดีมากมายขนาดนี้ โชคดีไม่เคยแสดงท่าทีมีเยื่อใยกับเขาเลย หน้ำซ้ำมีแต่ดุว่า พูดกับเขาห้วนๆ แต่ความรู้สึกของเขาต่อโชคดีก็ไม่เคยเปลี่ยน หนำซ้ำกลับรู้สึกเข้มข้นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชยุตม์โผล่เข้ามา...
"หนาวไหมโชคดี" ทรงศักดิ์ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร เห็นลมโกรกก็เลยคิดว่าโชคดีอาจจะหนาว
"ร้อนจะตายอยู่แล้ว" โชคดีตอบเสียงห้วน ตายังมองอยู่ที่ประตูน้ำของโครงการก่อสร้างรีสอร์ท
"ตามหาตั้งนาน มาอยู่ตรงนี้เอง" ทรงศักดิ์ทำเสียงอ่อนโยน "เรามีเรื่องจะคุยด้วย"
"อย่ามาบอกรักนะซ่ง ไม่อยากฟัง"
"โธ่ ทำไมพูดแบบนี้" ทรงศักดิ์หน้ามุ่ยเพราะถูกดักคอ
"ไม่อยากคิดอะไรเรื่องรัก"
ทรงศักดิ์สะอึก โชคดีตรงไปตรงมาอย่างเคย แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาที เขาก็รวบรวมความกล้าได้ ตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาอีกครั้ง
"เรารักโชคดี จะบอกว่าไม่อยากฟังเราก็จะพูด ในเมื่อหัวใจมันเรียกร้อง เราก็ไม่อยากทรยศหัวใจตนเอง"
"ก็รู้ว่าคำตอบจะเป็นยังไง ทำไมไม่เลิกซะที" โชคดีหันมามองใบหน้าขาวสะอาดของขายหนุ่ม ทรงศักดิ์ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่แววตาก็จริงจัง
"รักแล้วแสดงออกมามันผิดตรงไหน รักและเก็บงำเอาไว้สิไม่ควรทำ โชคดีรู้อย่างนี้แล้วทำไมไม่พิจารณาเราดูบ้าง ตัวเองก็ยังไม่มีใคร" ทรงศักดิ์พูดได้ไม่เต็มเสียง อะไรบางอย่างลึกๆ บอกเขาว่าโชคดีอาจมีใจให้ชยุตม์ แต่อีกเสียงในหัวก็คอบปลอบใจเขาว่า ชยุตม์ทำให้โชคดีโกรธและผิดหวัง วิศวกรหน้าขรึมคนนั้นมีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากโชคดีเหมือนอยู่คนละโลก และโชคดีเองก็น่าจะเข้าใจสภาพที่เกิดขึ้น
"เราไม่ได้รักนาย"
คำตอบสั้นๆ ของโชคดีเสียดแทงเข้าไปในจิตใจของทรงศักดิ์ แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ จะขอพยายามให้ถึงที่สุด
"แต่เรารักโชคดี รักไม่เคยเปลี่ยน กี่ปีๆ ก็ไม่เคยเปลี่ยน รู้อย่างนี้แล้ว โชคดีไม่รู้สึกหวั่นไหวบ้างเลยหรือ ตั้งแต่เรียน ม. ปลายจนถึงตอนนี้ ไม่ใจอ่อนให้เราบ้างหรือไง" ทรงศักดิ์ออดอ้อน เสียงเริ่มแตกพร่า
"ซ่ง อีกสองปีค่อยมาคุยกับอีกทีได้ไหม" โชคดีต่อรอง "ตอนนี้ไม่อยากพูดเรื่องรัก"
แม้จะผัดผ่อนเรื่องเวลา ทรงศักดิ์ก็ควรจะดีใจที่โชคดียอมให้โอกาสเขา แต่ตอนนี้เขาไม่รู้สึกอย่างนั้น ยิ่งมีชยุตม์เข้ามาแทรก เขาก็ยิ่งไม่อยากรอ
"อย่าให้เราต้องรออีกเลย ถ้าโชคดีไม่ได้รักคุณชยุตม์ ก็รับรักเราเสียเถอะ"
โชคดีหันขวับมามองทรงศักดิ์นัยน์ตากร้าว แล้วกระแทกเสียงตอบ "อย่ามาพูดถึงคนคนนั้นนะ ไม่อยากได้ยินชื่อ แล้วไม่ต้องมาเดาว่าเรากับเขาจะรักชอบกัน"
"เรามองออก" ทรงศักดิ์แย้ง "แม่ของโชคดีก็มองออก ผู้กองปฐพีก็มองออก มีแต่โชคดีนี่ล่ะที่มองไม่ออก คุณชยุตม์ชอบโชคดี หลับตาข้างเดียวมองก็เห็น ถ้าโชคดีรักเขาทำไมไม่บอกเขาไปเลยล่ะ แต่ถ้าไม่รัก ก็ให้โอกาสเราสิ ให้โอกาสคนที่รักโชคดีหมดใจ"
"หุบปากนะซ่ง"
"ไม่" ทรงศักดิ์ปฏิเสธเสียงแข็ง "เราไม่ยอมแล้ว เรารักโชคดี มาเป็นแฟนกันเถอะ เราจะดูแลโชคดีเอง"
"จะบ้าหรือ อยากโดนต่อยหรือไง"
"จะต่อยให้เราสลบคามือ เราก็จะบอกว่ารัก อยากจะทำร้ายให้สมใจ เราก็จะยอม โชคดี มารักกันเถอะ ไม่มีใครเหมาะกับโชคดีเท่าเราแล้ว เราคนเมืองน่านด้วยกัน ช่วยกันทำมาหากิน เราจะหาคนซื้อเหล็กร้านโชคดีเยอะๆ คนกรุงเทพฯ ไม่ต้องไปมองเขาหรอก" ทรงศักดิ์ก้าวเข้ามาใกล้ ทำท่าเหมือนจะยื่นมือมาจับมือของโชคดี แต่ชายหนุ่มร่างสูงถอยหลัง รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่เห็นทรงศักดิ์กล้ามากกว่าทุกครั้ง
"ผู้กองปฐพีก็คนเมืองน่านเหมือนกัน แม้ไม่ได้เกิดที่นี่เหมือนเราแต่ก็อยู่มาตั้งแต่วัยรุ่น"
"หมายความว่ายังไง" ทรงศักดิ์เบิกตากว้าง อ้าปากค้าง
"หมายความว่าเราชอบผู้กอง มองไม่ออกหรือซ่ง" โชคดีตัดสินใจพูด อย่างน้อยก็คิดว่าพอจะช่วยให้ทรงศักดิ์เลิกกวนใจเขา
"ทำไมผู้กองรับปากจะช่วยเรา" ทรงศักดิ์พึมพำ
...บ้าหรือ ผู้กองปฐพีนั่นหรือจะทำแบบนั้น ตัวเองก็ชอบเขาอยู่ จะมาช่วยซ่งได้ยังไง...
...เจ็บใจผู้กองอีกคนแล้วนะนี่ นึกว่าจะเจ็บใจชยุตม์คนเดียวเสียอีก...
"ผู้กองเป็นสุภาพบุรษ ไม่อยากให้นายเสียใจนะสิ" โชคดีพูดต่อ "ลูกชายผู้ว่าฯ กับลูกชายเจ้าของร้านทอง จะให้เราเลือกใครซ่ง"
"เรารักโชคดีจริงๆ" ทรงศักดิ์พึมพำ ตาหลุบมองพื้น มือกำแน่น กรามขับกันจนขึ้นเป็นสันนูน ปากเม้มเป็นเส้นตรง หัวใจเต้นแรง หายใจไม่สม่ำเสมอ ในหัวหมุนติ้วแทบจะทรงตัวไม่อยู่
"เราไม่ชอบคนตาตี่ ไม่ชอบคนจีน เราชอบคนไทยเหมือนกัน"
"ทำไมต้องแบ่งเชื้อชาติกันด้วย" ทรงศักดิ์รำพัน น้อยใจโชคดียิ่งนัก คราวนี้โชคดีทำร้ายหัวใจเขามากกว่าทุกครั้ง สิ่งที่ได้ยิน แทบทำให้เขาอยากไปเกิดใหม่ให้รู้แล้วรู้รอด
"ซ่ง นายเป็นคนดีนะ" โชคดีถอนหายใจลึกๆ อดรู้สึกสงสารทรงศักดิ์ไม่ได้ "เป็นเพื่อนที่ดี"
"ทำไมไม่ให้ผู้กองเป็นพี่ชายบ้างล่ะ แล้วให้เราเป็นแฟน" ทรงศักดิ์เสียงแผ่ว "เราไม่อยากเป็นเพื่อน"
"เลือกเอา เป็นเพื่อนหรือไม่ต้องเป็นอะไรกันเลย" โชคดีใจแข็ง แล้วเดินหนี ทิ้งให้ทรงศักดิ์ยืนคอตกอยู่คนเดียว
...พี่ชายหรือ ให้ผู้กองปฐพีเป็นพี่ชาย ให้ซ่งเป็นเพื่อน แล้วใครเป็นคนรัก...
...หรือไม่ต้องมีเลยเสียก็ดี...
แม้รู้ว่าโชคดีจะมาหาที่สถานีตำรวจ แต่ครั้นเห็นร่างสูงเดินขึ้นบันไดมาอย่างมั่นใจ ร้อยตำรวจเอกปฐพีก็อดหวั่นไม่ได้
"ผู้กองรู้ตลอดเวลาใช่ไหมว่าคุณคนนั้นเขาเป็นลูกชายรัฐมนตรี พี่ชายเจ้าของรีสอร์ท" โชคดีเปิดฉากทันทีที่เดินเข้ามาในห้องทำงานของปฐพี
นายตำรวจหนุ่มคงตอบไม่ทันใจ ฝ่ายที่ขับรถข้ามจังหวัดมาหาถึงที่จึงพูดต่อว่า "ผมถือว่าการเงียบคำการให้คำตอบว่า ใช่"
"โธ่ โชคดี ให้เวลา..."
"ให้เวลาคิดว่าจะตอบยังไงหรือครับ" โชคดีแทรก "หลงเชื่อใจนึกว่าเป็นพวกเดียวกับผม"
"ผมก็พวกเดียวกับโชคดีมาตลอด ไม่เคยเป็นพวกคนอื่นเลย" ปฐพียิ้มประจบ
"งั้นมาร่วมลุยรีสอร์ทนั่นกับผม วันเสาร์นี้ผมจะเกณฑ์คนไปปิดทางเข้าออกรีสอร์ท"
"อะไรนะ" ปฐพีเบิกตากว้าง "จะทำจริงๆ หรือ"
"เคยพูดเล่นที่ไหน" โชคดีกอดอก เอนตัวพิงขอบหน้าต่างห้องทำงานของปฐพี จ้องหน้านายตำรวจหนุ่มนิ่ง แสดงให้เห็นว่าเขาเอาจริง
"เพราะอะไรโชคดี" ปฐพีลุกขึ้นเยิน เดินเข้ามาใกล้ "เพราะรีสอร์ทสร้างขึ้นโดยการทำลายธรรมชาติ หรือเพราะไม่ชอบหน้าคุณชยุตม์ที่เขาเป็นวิศวกรโครงการ หรือที่เขาเป็นลูกชายรัฐมนตรีมหาดไทย อีกอย่าง โชคดีก็ยังไม่รู้เลยว่าท่านเกี่ยวข้องกับโครงการหรือเปล่า"
"เพราะอะไรอย่ารู้เลย" โชคดีเมินหน้าออกนอกหน้าต่าง
"นี่สิ ผมถึงตอบรับไม่ได้ว่าจะเข้าร่วมต่อต้านด้วย" ปฐพียื่นหน้าเข้ามาใกล้ "มีเหตุผลหน่อยสิครับ อย่าพาล"
โชคดีหันขวับมามอง ปกติปฐพีไม่เคยพูดอะไรกับเขาตรงไปตรงมาขนาดนี้ นายตำรวจหนุ่มพูดประนีประนอมมาตลอด แต่ตอนนี้ทำเหมือนพี่ชายกำลังจะดุน้อง
ปฐพีถือโอกาสทองตอนที่โชคดีกำลังนิ่ง พูดต่อไปว่า "เท่าที่ผมได้ยินเขาคุยกัน ท่านฯ ไม่ค่อยลงรอยกับน้องชายเท่าไหร่ ผมเห็นว่าท่านเป็นคนดีคนหนึ่ง ตรงไปตรงมา ค่อนข้างนักเลงด้วยซ้ำ ดูๆ ไปก็ไม่ได้จะชอบที่น้องชายสร้างรีสอร์ท และที่สำคัญ หาหลักฐานได้ชัดเจนแล้วหรือว่ารีสอร์ทของเขาทำลายธรรมชาติจริงๆ ถ้าหลักฐานไม่แน่น ตัวเองก็รู้นี่ว่าจะ..."
"ผมรู้แล้ว" โชคดีลดมือลงล้วงกระเป๋า เอียงคอมองปฐพีอยู่ชั่วเสี้ยววินาที แล้วเดินตรงไปยังประตู
"หมูปิ้ง" นายตำรวจเรียกเสียงอ่อนโยน
โชคดีหันขวับ ตาขวาง ท่าทางไม่ชอบใจเช่นเคยเมื่อมีคนเรียกชื่อเล่น
"อย่าโกรธผมเลยนะ ถ้าลองคิดดีๆ จะเข้าใจว่าทำไมผมถึงเงียบไว้"
ชายหนุ่มหน้าดุไม่พูด มองนายตำรวจอย่างคิดคำนึงชั่วเวลาสั้นๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ปฐพีมองตามด้วยสายตาครุ่นคิดเช่นกัน
จากลำปาง โชคดีบึ่งรถตรงไปเชียงใหม่เพื่อพบกับดอกเตอร์พงศธร ชายหนุ่มนั่งรออยู่หน้าห้องทำงานของดอกเตอร์เกือบครึ่งชั่วโมง โทรศัพท์ดังขึ้น มารดาของเขาบอกว่าให้รีบกลับเพราะเย็นนี้ท่านรัฐมนตรีเชิญทานอาหารเย็น
"ผมไม่กิน" โชคดีตอบ
"ไปบอกท่านเองสิ" คุณเตือนใจสวนกลับ
"ทำไมเขาจะต้องมาเชิญเราล่ะแม่"
"ตอนไปถึงค่อยถามเค้า" ผู้เป็นแม่พูดกวนพอๆ กับลูกชาย หากประโยคต่อมาทอดเสียงลงอย่างอ่อนโยน "นะ หมูปิ้ง มาเป็นเพื่อนแม่หน่อย"
"ผมอยู่เชียงใหม่"
"มีเวลาถมเถ อีกหนึ่งชั่วโมงแกก็ออกจากเชียงใหม่ กลับมาถึงบ้านก็ห้าโมงเย็น หกโมงก็ไปพบท่านที่โรงแรมวังเวียง"
"ลูกชายท่านไปด้วยหรือเปล่า" โชคดีถาม
"แม่ไม่รู้" คุณเตือนใจตอบ "ทำไม แกไม่กล้าสู้หน้าเขาหรือไง"
"ทำไมจะไม่กล้า คนอย่างโชคดีไม่เคยกลัวใคร"
"ถ้าไม่กลัวก็มา แม่ไม่อยากไปคนเดียว"
"แต่ผมว่าแม่นั่นล่ะไม่กล้าสู้หน้า มีอะไรที่ผมต้องรู้หรือเปล่า"
คุณเตือนใจอ้ำอึ้ง โชคดีจึงพูดต่อว่า "แม่ เราไม่เคยมีความลับต่อกัน อย่ามากั๊กอะไรเอาไว้นะ บอกมาเถอะว่าทำไมไม่อยากไป"
"แล้วแกล่ะ ทำไมไม่อยากไป"
"ผมไม่อยากเจอหน้าคุณคนนั้น"
"คุณคนนั้น" คนที่เป็นแม่ทวนคำ "คุณคนนั้นคือคุณนายช่างชยุตม์หรือเปล่า งอนเขาล่ะสิ"
"เปล่า"
"แกบอกแม่ไม่ให้มีกั๊กความลับ" คุณเตือนใจหยุดไปชั่วอึดใจแล้วพูดออกมาว่า "แกก็ต้องตอบคำถามแม่เหมือนกันว่า แกรักคุณชยุตม์ใช่หรือไม่ และตอนนี้กำลังงอนเขา เลยไม่กล้าเจอหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะเรียกชื่อ"
"ไม่ใช่ไม่กล้า ไม่อยาก" โชคดีตอบสั้น เสียงหนักแน่น ไม่ต้องการให้มารดาจับน้ำเสียงหวั่นไหวได้
"คำตอบแรกยังไม่ได้ตอบเลย"
"คำตอบไหน ผมตอบไปหมดแล้ว คราวนี้แม่บอกมาว่าทำไมไม่อยากไป"
"แกรักคุณชยุตม์หรือเปล่า" คุณเตือนใจไม่ยอมทิ้งประเด็น
"ไม่"
"งั้นก็รักผู้กอง"
"ไม่เหมือนกัน"
"งั้นเจ้าซ่ง"
"แม่" โชคดีโวยวาย "ไม่รักใครทั้งนั้น ได้ยินไหม ไม่ได้รักใคร"
...ไม่แน่ใจ ตอนนี้เขายังไม่แน่ใจ เขาต้องการเวลาซักพัก...
"เอาล่ะ ตอนนี้แม่ตอบมา"
คนที่เป็นฝ่ายเงียบคือคุณเตือนใจ
"ว่าไงแม่ หรือว่าแม่เคยรู้จักกับท่านรัฐมนตรีฯ มาก่อน"
"เปล่า" คุณเตือนใจถอนหายใจเฮือกใหญ่ "แม่รู้จักกับคุณหญิงฯ ของท่าน"
"ทำไมผมไม่รู้"
"ตอนนั้นแกดิ้นอยู่ในท้องแม่ เลยไม่รู้จัก"
"ไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย" โชคดีพูดเสียงเรียบ "แล้วคุณหญิงรัฐมนตรี แม่ของคุณคนนั้นเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราต้องมาตายเอาดาบหน้าที่เมืองน่านหรือเปล่า"
"โชคดี อย่าเพิ่งมาถามแม่ตอนนี้เลย ตกลงเย็นนี้ไปกับแม่นะ"
"ได้" โชคดีรับคำ "แต่ไม่รับประกันความราบรื่นนะแม่ ผมกลัวว่าเห็นหน้านายช่างคนนั้นแล้วผมจะอารมณ์เสีย"
"แกนั่งไกลๆ เขาหน่อยก็แล้วกัน แม่กับผู้กองจะขนาบข้างเอาไว้ ไม่ต้องห่วง"
"อ้อ แล้วถ้าไม่อยากไป ทำไมไม่บอกปฏิเสธไปล่ะแม่" โชคดีนึกอะไรได้ จึงถามมารดาออกไป ในใจรู้สึกสงสัยยิ่งนักว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ทำไม่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย แม่ไม่เคยพูดถึง "ผู้หญิงคนที่สอง" เลยแม้แต่ครั้งเดียว คนในอดีตที่ทำให้แม่ต้องหอบเขาออกมาจากกรุงเทพฯ ก็มีเพียงคนในตระกูล?????เท่านั้น
...พ่อกับภรรยาใหม่ของพ่อที่คุณหญิงย่าเป็นคนจัดการแต่งานให้ แล้วบังคับให้แม่กับเขาต้องออกจากบ้านไปเช่าห้องพักอยู่กันสองแม่ลูก...
...แม่ของชยุตม์มาเกี่ยวอะไรด้วย...
...หรือว่า...
...ได้โปรดเถิด ขออย่าให้เป็นอย่างที่เขากำลังนึกอยู่ตอนนี้เลย...
****************13**************